ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์

ตอน: 3.วิจิตรศรา

ม่านพรหม


3.

“ฟังจากที่เมเล่าแล้ว ไอ้หมอนั่นกับพวกมันตั้งใจลวนลามเมแน่ ๆ”..

“เมก็ว่าอย่างนั้นแหละ..เมก็แค่เซ ๆ เท่านั้น พวกนั้นทำอย่างกับเมล้มหัวฟาดพื้นไปแล้ว” ถ้าวิจิตร ศราเริ่มต้นสรรพนามแทนตัวเมขลาว่า เม เมขลาก็ใช้ เม แทนคำว่า เรา หรือ ว่าฉันไปด้วย..
วันนี้ตอนบ่ายสามวิจิตรศราโทรไปหาเมขลา บอกว่ามีนัดกินข้าวเย็นและดูหนังกับศุภนิมิตร แรกทีเดียวเมขลาจะไม่มา แต่วิจิตรศราก็ยังต้องมีเธอเป็นกันชน..เมขลาจึงปฏิเสธไม่ออก

เมขลานั่งรถมาหาที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว แต่งานบนโต๊ะกองสูงท่วมหัวทำให้เมขลาออกมาจากที่ทำงานตามเวลาเลิกงานจริงไม่ได้..ด้วยกลัวว่า วิจิตรศราจะรอนาน เมขลาจึงต้องขึ้นไฟฟ้าใต้ดินซึ่งเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าการนั่งรถเมล์หรือรถตู้โดยสาร

และเมขลาก็ได้เปรียบเทียบอยู่ในใจว่า ผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินนั้น เร่งรีบเกินไป มันเหมือนสังคมทุนนิยมที่ต่างฝ่ายต่างจะไปถึงจุดหมายโดยไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมทาง ต่างจากรถไฟรางคู่..ทุก ๆ เช้า เธอจะได้เห็นรอยยิ้มของคนที่มายืนรอรถไฟเหมือนกัน และเมื่อขึ้นบนรถแล้ว หากมีที่นั่งว่างเธอก็ยังได้เห็นแววตาเชื้อเชิญให้เธอไปนั่งตรงนั้น และระหว่างทางเธอยังได้ยินเสียงพูดคุยด้วยน้ำเสียงเหน่อ ๆ แปร่ง ๆ หูจากคนที่นั่งมาจากต้นทาง ซึ่งแต่งตัวเหมือน ๆ คนแถวบ้านของเธอที่นครสวรรค์

..รถไฟสายเหนือสายอีสานที่เธอมีโอกาสได้เป็นผู้โดยสารแม้มันจะล้าสมัยแต่มันก็ ทำให้เธอมีความสุขในเกือบจะทุกเช้า ยกเว้นเมื่อเช้า..

หากแต่เขาชนเธอล้มแล้วดึงเธอขึ้นก่อนจะรีบวิ่งไปทำธุระ..เธอก็คงไม่เสียความรู้สึกเท่านั้น..และยิ่งน่าแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง คนอะไร..ทำผิดแล้วยังไม่สำนึกผิด หากเพื่อนไม่ไปลากมาขอโทษเธอเค้าก็คงจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย..และที่ขอโทษเธอ เขาก็ทำอย่างขอไปที..

“ฟ้องไปทางการรถไฟเลยไหม”

“มากไปมั้ง..”

“งั้นก็เลิกขึ้นรถไฟไปตลอดชีวิต”

“คนอื่นเค้าไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่..อีกอย่างมันก็เป็นอุบัติเหตุจริง ๆ”

“บังเอิญชนกันอย่างในนิยาย...” วิจิตรศราไม่ใช่คนชอบอ่านนิยาย แต่ด้วยทำกิจการให้เช่าหนังสือนิยายกับต้องตามดูว่าในตลาดมีนิยายเรื่องไหนออกใหม่และนักเขียนคนไหนกำลังโด่งดังเป็นขวัญใจของนักอ่านวิจิตรศราจึงอ่านเรื่องย่อเอาบ้าง ให้ลูกค้าที่มาเช่าไปอ่านแล้วเล่าให้ฟังบ้าง..เพราะเวลาที่มีคนมาถามถึงความสนุกในเรื่องเธอจะได้เชียร์ได้ถูก..

“น้ำเน่า”

“รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ชาตินี้วิขออยู่ห่าง ๆ ”

“เรือเมล์ กับ ลิเก เห็นทีจะหายาก..”

“รถไฟก็หายาก แต่เมก็ยังเจอ ล่อซะหน้าเขียวเลย” วิจิตรศราเย้าเพื่อนเล่น ๆ แล้วก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาอีกรอบ..

“มองนาฬิกาจัง..เดี๋ยวพี่เขาก็มา” วันนี้ วิจิตรศราเอาข้ออ้างเรื่อง “โทนเนอร์” สมุนไพรที่ศุภนิมิตรคิด
สูตรขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการนัดพบเขา..และเขาก็ยอมมาทั้งที่งานยุ่งเป็นอย่างมากก็เพราะมีเมขลาเป็นตัวกันชน..

วิจิตรศราดูออกว่าศุภนิมิตรมีใจให้เมขลา แต่เธอก็อยากรู้ว่าความรู้สึกดี ๆ ที่เธอมีให้เขานี้ มันจะเปลี่ยนใจของเขาได้ไหม..

“ก็อยากให้เขามาก่อนเวลานัด”

“ก็โทรตามเขาสิ..”

วิจิตรศราส่ายหน้า..เธอรู้ว่าผู้ชายไม่ชอบการเซ้าซี้และผู้ชายที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองอย่างศุภนิมิตรก็คงจะเป็นอย่างนั้น..

กระทั่งนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่ม..โทรศัพท์ของวิจิตรศราก็ดังขึ้น..พอเห็น รูปของศุภนิมิตรขึ้นที่หน้าจอวิจิตรศราก็เลิกคิ้วให้เมขลายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกดรับสาย..

ศุภนิมิตรอยู่ในชุดกางเกงสแลคสีน้ำตาลเสื้อทรงสลิมที่สวมอยู่นั้นสีน้ำเงินเข้มมีเส้นสีขาวเล็ก ๆ ตามขวางเป็นลายหากแต่ต้องสังเกตุ ซึ่งเสื้อตัวนี้ วิจิตรศราเป็นคนซื้อให้เขาเป็นของขวัญปีใหม่ แรกทีเดียวเขาจะไม่รับไว้ แต่วิจิตรศราต้องอ้างว่าถือเป็นการขอบคุณที่เขาไปช่วยเก็บของช่วงที่น้ำกำลังจะเข้าท่วมบ้าน และวันที่ลากเขาไปเลือกเสื้อ วิจิตรศรายังจำได้ดีว่าเขาอิดออดแค่ไหน แต่ว่า ผู้ชายร้อยทั้งร้อยเมื่อเจอผู้หญิงออดอ้อนยกแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายก็ยากจะหนีพ้น และศุภนิมิตรก็เป็นอย่างนั้น..

“หน้าน้องหนูนาไปโดนอะไรมา” หลังจากทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้ามกับสองสาวเขาก็เลือกที่จะทักคนที่เขารู้สึกดีด้วยมากกว่า..แต่เขาก็รู้สึกได้เหมือนกันว่า เมขลาไม่มีใจให้เขาแบบชู้สาว..แต่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั่น..ถ้าเล่นไพ่ก็จะเรียกได้ว่า แบไพ่ให้เขาเห็นจนหมดมือ..แต่เขาก็ยังไม่ได้รู้สึกพิเศษ ๆ จนลงเอยด้วยการคบหากันฉันคนรัก..

หลังอาหารมื้อค่ำผ่านไปโดยการแชร์ค่าอาหารตามกฏที่วิจิตรศราตั้งขึ้นเพื่อลดความอึดอัดใจในการคบหากัน ทั้งหมดก็ไปที่โรงหนัง..แต่ที่นี่วิจิตรศราขอเป็นเจ้ามือ ด้วยครั้งที่แล้ว ศุภนิมิตรเป็นฝ่ายเลี้ยงทั้งสองสาวไว้ก่อน..และเมื่อสองสาวเดินกลับมาจากการช่องจำหน่ายตั๋ว ศุภนิมิตรก็ถือถังป๊อบคอร์นกับแก้วน้ำอัดลมรออยู่สองชุด เพราะเขาชอบเก็บสะสม โดยให้เหตุผลว่า ตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยมีของเล่น โตขึ้นมาจึงต้องชดเชยในส่วนที่ขาด..เขาชอบสะสมของเล่นเด็ก ๆ มีเต็มตู้โชว์ที่คอนโดหรูหราของเขา ซึ่งวิจิตรศราเคยไปเยือนเพราะต้องไปดูกรรมวิธีการผสมโทนเนอร์และสบู่ยี่ห้อ ‘จันทร์เจ้าฉาย’ ที่เพิ่งได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา..และครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่วิจิตรศราอยู่กับเขาสองต่อสอง..
ซึ่งเขาเองก็ดูระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างมาก..แต่วิจิตรศราก็ไม่ได้รุกเร้าเขาจนกลายเป็นการเสนอตัว..แต่ถึงกระนั้น เธอก็ดูออกว่าเขารู้ว่าเธอคิดอะไร..

และตั้งแต่วันนั้น วิจิตรศราก็ตัดสินใจทดลองใช้เวชภัณฑ์ที่เขาเป็นผู้ปรุงขึ้นมา และเมื่อเห็นผล เธอก็เริ่มแนะนำคนอื่น ๆ ให้ทดลองใช้..จนกระทั่งเขาคิดเปอร์เซ็นต์จากยอดขายให้เธอ..ดังนั้นเมื่อคบหากันด้วยเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจแบบนี้ด้วย เรื่องค่าใช้จ่ายที่เป็นแบบนี้หนุ่มสาวคบกันวิจิตรศราจึงต้องชัดเจน..และเขาก็ดูจะพอใจที่เธอชัดเจนอย่างนั้น...



กฤษณะกำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองโดยการอยู่กับเพื่อนให้มากที่สุด..เริ่มต้นเขาออกไปเตะฟุตบอลที่สนามของโรงเรียนวิศกรรมรถไฟจนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับฟ้า แรกทีเดียวเขาตั้งใจจะชวนคน อื่น ๆ ตั้งวง แต่ว่าเพื่อน ๆ ต่างก็มีนัดมีธุระของตนจนเขาหาเพื่อนตั้งวงด้วยไม่ได้

..เขาเปิดประตูห้องพักไปด้วยความรู้สึกว้าเหว่..เหล้าที่ยังเหลืออยู่ครึ่งขวดกลมตั้งอยู่ผนังห้อง..กินเพื่อให้เมาเพื่อจะได้ลืม มันก็ได้ผลเพียงชั่วคราว..

แต่ว่า เขาจำต้องกินมันเพื่อย้อมใจ..และด้วยท้องว่าง กับหมดกำลังไปกับการออกกำลังกายทำให้เขารู้สึกมึนอยู่ไม่น้อย...และเมื่อมึนแล้วก็ใช่ว่าสมองจะลืมเลือนภาพระหว่างมัทนากับเขาในอดีต..
มองไปตรงไหน..ก็มีแต่เจ้าหล่อน..ห้องที่สะอาดสะอ้านขึ้นมาได้ก็เพราะมัทนา..เธอเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เป็นผู้ครอบความคิดของเขาตลอดสองปีที่คบกันมา..แล้วทำไม ทำไม มัทนาถึงได้ปล่อยเขาให้เคว้งคว้างอย่างนี้..

กฤษณะมองโทรศัพท์ที่วางไว้บนที่นอน เขาเลื่อนหาภาพในอดีตแต่ว่าเขาก็ลบมันไปหมดสิ้น..

ลบเพื่อให้ลืม แต่ว่า มัทนามันฝังอยู่ในส่วนของความรู้สึกของเขา แต่เขาจำเป็นจะต้องลืม ลืมผู้หญิงใจร้ายใจดำ..อำมหิต..ใจร้าย ฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นชัด ๆ

“หาใหม่เลยโว้ย..ในแฟลตนี้ก็มีเหล่มึงอยู่น้อยซะเมื่อไหร่”..สองสามวันมานี้เพื่อนร่วมรุ่นที่รู้ปัญหาสด ๆ ร้อน ๆ จนทำให้เขาเสียการทรงตัวต่างช่วยกันหาทางออก และหนทางนี้น่าจะทำให้เขาลืมมัทนาได้ง่ายที่สุด..มีใหม่เพื่อลืมคนเก่า..มีใหม่เพราะจะได้ทำกิจกรรมกับคนใหม่เพื่อให้ลืมคนเก่า..แต่ว่า..ความรักมันไม่ได้เกิดขึ้นได้จากการทำอย่างนั้น ความรักไม่ได้เกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์..สำหรับเขากับมัทนามันเกิดขึ้นจากการเข้าอกเข้าใจกัน เธอเข้าใจว่าเขาจน มีตำแหน่ง เงินเดือน เท่านี้ ให้เธอได้เท่านี้ เธอพอใจกับรถมอเตอร์ไซด์ของเขา เธอพอใจกับรสจูบของคนยาก..แต่พอคิดว่า สุดท้ายมันก็คือการโกหกกันทั้งเพ..กฤษณะก็คว้าตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ที่ได้จากการปาเป้าลูกโป่งไปยังข้างฝาห้อง...

“อีหมวย กูเกลียดมึง..กูเกลียดมึง” เขาสะกดจิตตัวเองอย่างนั้นอยู่นาน จนกระทั่ง..เขามั่นใจว่ามันไม่ได้ผล กฤษณะลุกขึ้นจากเตียงกรากไปยังตู้เสื้อผ้า..

วันพุธราคาตั๋วหนังไม่ถึงร้อยบาทและโรงหนังก็ตั้งอยู่เพียงเดินข้ามถนนวิภาวดีรังสิตไปเท่านั้นเอง..



ที่นั่งข้างซ้ายอ่อนยวบลงพร้อมกับกลิ่นเหล้าโชยมาเตะจมูกทำให้เมขลาที่ได้ผลกระทบมากกว่าวิจิตรศราและศุภนิมิตรที่นั่งถัด ๆ ไป หันไปมองต้นเหตุของกลิ่นนั้น..

เขาทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาทั้งทางปากและทางจมูกเพื่อไล่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งรีบ..กลิ่นเหล้าก็ยิ่งเหม็น..เมขลานิ่วหน้า..และจังหวะนั้นเขาก็หันมาหา และเมื่อตาสองคู่ประสานกัน เขาก็ดีดตัวเองออกจากเก้าอี้..ส่วนเมขลาที่ดีดตัวจากเก้าอี้เพื่อดูหน้าของเขาก่อนหน้านั้นก็ปล่อยตัวให้แนบไปกับเก้าอี้อย่างอ่อนใจ

“คุณนั่นเอง..มากับใครเหรอ” เขาร้องทักและเสียงของเขาก็ดังมาก ดังจนวิจิตรศราขยับตัวหันมามองเขา..และพอเห็นว่าเป็นผู้ชายมีหนวดเหนือริมฝีปากกับตรงคางดวงตาวาว ๆ ในความมืดสลัววิจิตรศราก็ถลึงตาดุให้ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วดูหนังตัวอย่างต่อไป..

เมขลายกมืออุดจมูกบอกให้รู้ว่าเธอเหม็น และก็ไม่อยากคุยกับเขา..

และพอเห็นว่า คนที่น่าจะทักเขาตอบกลับไม่สนใจเขา กฤษณะก็ทิ้งตัวลงกับพนักนุ่ม ๆ และด้วยเสื้อแขกแขนยาวสีเหลืองที่ใส่มานั้นเป็นผ้าบาง ๆ เขาจึงรู้สึกหนาว และทางที่จะบรรเทาได้นั้นก็คือยกมือกอดอก..เมขลาเหล่ตามองเขาแล้วก็ขยับตัวเองให้ไปชิดแทบวิจิตรศราเพราะต้องการให้จมูกของตนเองนั้นห่างจากกลิ่นตัวของเขา..

จวบจนกระทั่งเรื่องราวบนผืนผ้าใบดำเนินไปได้ครึ่งเรื่อง เมขลาก็ต้องหันไปหาเขาอีกครั้ง..

เพราะเขากรน..และเสียงนั้นก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ..จนกระทั่งมีเสียงหัวเราะจากคนที่นั่งอยู่ในโรงหนัง

“ทำไงดีละวิ” เมขลาหันไปกระซิบถาม

“สะกิดบอกเขาซิ..”

“เอาอย่างนั้นนะ”

“อืม..ปลุกมันเลย..เอาน้ำในแก้วเทใส่ก็ได้”

“ทำเองซิ”

“เค้ามานั่งใกล้ตัวเอง ก็จัดการเองเถอะ” สองสาวกระซิบกัน คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าด้านหลังเริ่มกระแอมปราม..และเมื่อเห็นว่า อีตาคนข้าง ๆ พลอยสร้างความอับอายไปด้วย เมขลาจึงต้องเอื้อมมือไปหาแขนของเขาที่กอดกับอกเหมือนว่าหนาวเป็นอย่างมาก..

และพอมือของเธอสัมผัสกับผิวของเขา เขาก็สะดุ้งเฮือกและที่เมขลาคิดไม่ถึง เขาคว้ามือของเธอไว้ เท่านั้นยังไม่พอ เขาดึงเธอไว้ทำท่าจะโอบกอดโดยปากก็พร่ำพรรณาว่า

“หมวย..หมวยอย่าทิ้งน้าไปเลยนะ..หมวย หมวย หมวย”..เสียงของเขาดังเป็นอย่างมาก คนอื่น ๆ ต่างละความสนใจจากจอภาพยนตร์ตรงหน้าที่นั่งอยู่ข้างหน้าก็หันมาหาต้นเสียง ที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เพ่งสายตาฝ่าความมืดมาหา..เมขลารู้สึกอายเป็นอย่างมาก แต่ว่ามือของเขาก็แข็งราวคีมเหล็กและทางเดียวที่ที่จะหยุดเขาได้ก็คือน้ำอัดลมที่ในแก้วที่ศุภนิมิตรซื้อมาให้..



“โอ้ยยย เล่นอะไรกันเนี่ย” พอน้ำเย็นฉ่ำถูกตัวของเขา เขาก็สะดุ้งเป็นปลาถูกทุบ เท่านั้นยังไม่พอเขายังโวยวายเสียงดัง..

“ฉันควรจะถามนายมากกว่าเป็นอะไร”

“ผมเป็นอะไร”

“ก็นายมา...” เมขลาพูดไม่ออก..และยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะเถียงกันมากไปกว่านั้นพนักงานประจำโรงภาพยนตร์ก็รีบเข้ามาคลี่คลายสถาการณ์...

“เชิญพวกคุณออกไปข้างนอกกันก่อนครับ..รบกวนคนอื่น”..

“หนังยังไม่จบผมจะดูหนัง..”

“ฉันก็จะดูหนัง..” เมขลาหาได้ยอมแพ้..

“ถ้างั้นพวกคุณก็ต้องเงียบกันเดี๋ยวนี้..”..

“ออกไปเลย ออกไป” มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา เพราะยิ่งต่อปากต่อคำก็ยิ่งรบกวนคนอื่น ๆ และพอมีต้นเสียง ก็มีเสียงสนับสนุนจนอื้ออึง กระทั่งกฤษณะจำต้องยอมลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำออกมาข้างนอก..แต่ว่าพอเดินไปได้สองสามเก้า เขาก็หันไปหาคู่กรณี

“คุณก็ต้องออกมาด้วย ไม่งั้นผมก็ไม่ออก”

“รู้แล้ว”..เมขลาตะคอกกลับไปเพราะอารมณ์เสียไม่น้อยเหมือนกัน..



“ไอ้บ้าเนี่ยเหรอที่มันชนเธอเมื่อเช้า” ด้วยเรื่องบานปลายจนทำให้เธอ วิจิตรศรา ศุภนิมิตรต้องลุกออกจากโรงหนังก่อนที่หนังจะจบ เมขลาจำต้องบอกให้ทั้งคู่ได้รู้ไว้ว่า วันนี้เธอบังเอิญซวยถึงสองครั้งเหตุจากคนคนเดียวกัน..

“น้องเม น้องวิ พี่ว่า ใจเย็น ๆ ครับ..เราอย่าไปต่อปากต่อคำกับเค้าเลย ท่าทางจะกร่างไม่เบา” ศุภนิมิตรนั้นค่อนข้างจะเป็นคนใจเย็น ใจดี ใครได้อยู่ใกล้ ๆ ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเป็นผู้ชายอบอุ่น..

“เย็นได้ที่ไหนละพี่..มันแรงมา เราก็แรงไป..ไหน ๆ มันอยู่ไหน” พอพ้นประตูโรงหนังมาแล้ว วิจิตร ศราก็กวาดสายตามองหาคู่กรณี กระทั่งพบว่าเขาผู้มีผมยักศกหวีเสยขึ้น คิ้วเข้ม ตาโต จมูกโด่ง ริมฝีปากหนามีหนวดข้างบนและที่คางบุ๋ม เขาใส่เสื้อแขกสีเหลือง กางเกงยีนส์ขานกกระยาง รองเท้าหูคีบนั่งไขว่ห้างมือกอดอกใช้สายตาจ้องมาอย่างจะเอาเรื่อง..

และพอเห็นคู่กรณีเดินออกมาจากโรงหนังพร้อมกับหนุ่มหล่อซึ่งมีบุคลิกภาพแต่งต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิงกฤษณะก็ดีดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปขวางทางไว้อย่างไม่สนใจว่าสองสาวนั้นมีคนคุ้มกัน..

“คุณต้องขอโทษผม..”

“เรื่องอะไร” เมขลาถามเสียงเขียว..

“คุณเอาน้ำอัดลมมาราดผมทำไม เหนียวทั้งตัว..” ว่าแล้วเขาก็พยายามดึงเสื้อตัวบางที่ตอนนี้มันลีบแนบตัวเขา เมขลารู้สึกแขยงน้ำเหนียว ๆ นั่นอยู่ไม่น้อยและเจ้าหล่อนก็ไม่เก็บสีหน้าไว้ด้วย

“ก็คุณจะกอดฉัน”

“ผมจะกอดคุณ...คุณเอาที่ไหนมาพูด”

“นายจะบอกสิว่านายไม่รู้เรื่อง”

“ใช่ ผมไม่รู้เรื่อง”..

“งั้นที่ฉันเอาน้ำราดนายฉันก็ไม่รู้เรื่อง”

“แต่มันมีหลักฐานอยู่โทนโท่”

“ที่นายกอดฉันก็มีหลักฐาน”

“ใช่ฉันเป็นพยานให้เพื่อนฉันได้ คนที่อยู่เบาะหลังก็เห็น..เขาเห็นกันทั้งโรง”

“ขนาดนั้นเลย”

“ใช่..” วิจิตรศราช่วยเมขลาเต็มที่ พนักงานที่เห็นว่าคู่กรณีเสียงดังเกินจนกลายเป็นจุดเด่นรีบเข้ามาห้ามทัพ..กฤษณะเบ้หน้ามองสาว ๆ ซึ่งสองสาวก็ตั้งป้อมเตรียมโต้วาทีกับเขา..

“แล้วเรื่องที่ผมกอดนี่..จะให้ผมทำอย่างไร”

“ขอโทษเพื่อนฉันสิ”

“ให้แม่ไปขอเลยดีกว่าไหม รับผิดชอบที่เสียหาย”

“เมื่อเช้านายก็ทำดั้งจมูกเพื่อนฉันเกือบพังนะ”

“โอ้ยยย..จำได้ด้วย..ทีเมื่อกี้ผมทักเป็นจำผมไม่ได้”

“คุณคะ ขอความกรุณาค่ะ เสียงดังมาก ออกไปคุยกันที่อื่นได้ไหม”

“ก็เรื่องมันเกิดตรงนี้นี่” วิจิตรศราหันไปหาน้องพนักงาน”

“ฉันจะตามรปภ.นะคะ”

“ก็ไปตามซี่ ถ้าเสียงดังตรงนี้แค่นี้แล้วมีความผิดฉันก็พร้อมรับผิดชอบ..”

“น้องวิครับ” ศุภนิมิตรเห็นว่าเรื่องจะบานปลายและฟัง ๆ ดูแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียด้วยซ้ำ..แต่สองสาวและไอ้หนุ่มมันอยากจะมีเรื่อง เขาจึงต้องเอ่ยขัดขึ้นมา และวิจิตรศราก็อ่อนยวบลงอย่างต้องการเอาใจเขา..

“งั้น ก็..ไป..ไปเม...คุยกับคนอย่างนี้เปลืองน้ำลาย..” ว่าแล้ววิจิตรศราก็ดึงแขนของเมขลาให้เดินออกจากหน้าโรงหนังศุภมิตรเดินตาม และกฤษณะที่ยังฉุนที่ถูกปรามาส..เขาเดินลากรองเท้าแตะตามหลังทั้งสามคนอย่าหาได้สนใจกับสายของหญิงสาวสองคนที่หันมาทิ้งค้อนให้เขา..

“เดินตามฉันมาทำไม?”

“ห้างนี้มันของคุณ?”

“น้อง..” ศุภนิมิตรเสียงเข้มขึ้นมา..

“มีอะไรหรือครับพี่”..กฤษณะพร้อมจะมีเรื่องเหมือนกัน

“เลิกแล้วต่อกันเถอะนะ..บ้านใครบ้านมันดีไหม น้องเองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ทำงานถึงการรถไฟ อย่าต้องมามีเรื่องกันให้เสียประวัติเลย..” ศุภนิมิตรพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติที่สุด

“โห รู้ซะด้วย”

“คนอย่างนายใครจะลืมลง” วิจิตรศรายังอยากระบายอารมณ์..

“โอเค จบ..บ้านใครบ้านมัน..” ว่าแล้วกฤษณะก็เดินกร่างผ่านศุภนิมิตรไป แต่พอถึงจุดที่สองสาวยืน
นิ่งมองเขาอยู่ เขาก็ยักคิ้วบิดปากเย้าแหย่ให้..เมขลาเชิดหน้าส่วนวิจิตรศรานั้นถลึงตาใส่อย่างไม่เกรงกลัว



เดินแยกจากสองสาวปากจัดกับหนึ่งหนุ่มสไตล์บูติคมาแล้วกฤษณะก็ดุ่มเดินกลับที่พักซึ่งตรงอยู่ไม่ห่างจากสวนรถไฟ และพอเดินเหงื่อโทรมกายไล่ความมึนเมาออกจากร่างกายมาถึงทางที่กำลังจะกลับแฟลต ด้วยใจที่เบาขึ้นกว่าตอนขาไป..อาจจะเป็นเพราะได้ไปเจอคนหน้าขาวตาวาว ๆ ผมหน้าม้าซึ่งดูจะ เชย ๆ ผิดกับเพื่อนคู่หูที่ก๋ากั่นปากจัดไม่เบา..กับส่วนหนึ่ง เขาก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย..เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะมีเหตุบังเอิญเจอกันถึงสองครั้งสองคราว..และแต่ละครั้งนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ลืมเลือนไปเสียด้วย..
เรื่องแปลก ๆ แบบนี้มันไม่ควรเก็บไว้คนเดียว ถ้ากลับถึงแฟลตเขาจะรีบไปเคาะประตูเล่าเรื่องนี้ให้อาวุธฟัง..

และขณะที่เดินอมยิ้มให้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา..

“ไอ้น้า” รถยนต์ที่สวนทางมาคนขับคืออาวุธ เขาเปิดกระจกลงร้องเรียก กฤษณะจึงกรากเข้าไปหา

“ไอ้วุธ..”

“มึงไปไหนมา..โทรศัพท์ก็ไม่เปิด”

“ไปดูหนังมา..มึงจะไปไหน”ที่ถามเพราะท้ายรถกระบะคันที่เขาไม่คุ้นตานั้นมีโซฟาโทรทัศน์กล่อง
พลาสติกอีกสามสี่ใบ ถุงพาสติกขนาดใหญ่ใส่ของอีกนับไม่ถ้วน..และเขาก็ได้คำตอบทันทีว่า อาวุธคงจะขนของกลับไปให้พ่อกับแม่ซึ่งมีบ้านอยู่ที่ย่านดอนเมืองซึ่งน้ำที่เข้าท่วมขังเพิ่งจะแห้งเหือด ชาวบ้านที่อพยกโยกย้ายหนีความลำบากหรือขนของไปไว้ที่อื่นกำลังกลับไปสู่วิถีชีวิตเดิม ๆ

“ขนของกลับไปให้พ่อแม่กู..มึงว่างเปล่า”

กฤษณะตอบคำถามโดยการเดินอ้อมหน้ารถไปยังประตูฝั่งผู้โดยสาร พอเขาเปิดเข้าไปนั่ง..อาวุธก็พูดขึ้นว่า..

“จะให้ช่วยยกของซักหน่อย..หายหัวจ้อย..”

“ไปดูหนังมา..” ใบหน้านั้นสดชื่นอย่างผิดหูผิดตา..อาวุธหันไปมองหน้าเพื่อนซ้ำอีกหนก่อนจะถามว่า

“ไปดูกับใคร” ก่อนหน้านั้นกฤษณะมีแต่มัทนา เขาเองก็วุ่นอยู่กับอุมารินทร์ เพราะชีวิตเมื่อถึงจุดหนึ่ง เพื่อนจะหายไป ครอบครัวที่สร้างขึ้นใหม่จะสำคัญกว่า แต่ความเป็นเพื่อนระหว่างเขากับกฤษณะนั้นแน่นกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะ มัทนากับอุมารินทร์เป็นเพื่อนสนิทกันมาก..

สองสาวมีอะไรก็จะปรึกษากัน และเรื่องที่มัทนาไปเป็นอื่นนั้น อุมารินทร์ก็รู้มาก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงแต่เพิ่งมาบอกเขาหลังจากที่มัทนาบินไปกับฝรั่ง และอุมารินทร์ก็เดาออกได้ว่า กฤษณะจะต้องคลั่ง แน่ ๆ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ..และการที่กฤษณจะเมามายจนกระทั่งหลั่งน้ำตาของลูกผู้ชายให้เพื่อนได้เห็นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะแสดงออกอย่างนั้น..หากเป็นเขาบ้าง หากอุมารินทร์เป็นอย่างมัทนา เขาก็คงจะบ้าเหมือนกัน..

“ไปดูกับใคร”

“คนเดียว..ไอ้วุธ..กูมีเรื่องตลก ๆ จะเล่าให้ฟังว่ะ..”

“เล่ามา” แสดงความสนใจไปแล้วอาวุธก็หันไปมองถนนเบื้องหน้าที่ยังเห็นไฟท้ายแดงอยู่เต็มถนน..

“เมื่อเช้าไอ้หน่องเล่าให้มึงฟังหรือเปล่า เรื่องที่กูไปชน”

“เล่า..”

“เมื่อกี้กูเจอยายนั่นอีกแล้วว่ะ” ดวงตาของกฤษณะเป็นประกายปราโมทย์ขึ้นมาทันที..

“บังเอิญสองรอบเลยเหรอวะ”

“ตลกกว่าเดิมอีกนะมึง..เมื่อเช้าโดนศอกกูไปซะเลือดกำเดาไหล..เมื่อกี้ พอกูเข้าโรงไปนั่ง..”

“โลงเค้ามีไว้นอน”

“โรงหนัง..มึงอย่าเพิ่งขัด..”

“เล่ามาให้ละเอียดยิบ”

กฤษณะเล่าถึงเหตุการณ์ในโรงหนังอย่างออกรสออกชาติติดเกินจริงนิดตามนิสัย โดยอาวุธเองก็ทำทีเป็นสนใจเพราะอยากให้เพื่อนนั้นเอาจิตใจให้ห่างจากมัทนาที่ทำให้ซึมเศร้า และเพื่ออยากจะสะกดจิตของเพื่อนให้คล้อยตามเลิกหมกหมุ่นอยู่กับมัทนา อาวุธจึงพูดว่า..

“มึงกับเขานี่ต้องเนื้อคู่กันแน่ ๆ ต่างที่ต่างเวลากันยังเวียนมาเจอกันได้อีก บุพเพสันนิวาสชัวร์”

“เว่อร์..”

“คิดดูนะมึง วันเดียวสองรอบไปแล้ว แล้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ด้วย..แบบนี้ชัวร์..เนื้อคู่ ๆ ตามจีบเลย”

“ถ้าอีกรอบกูถึงจะเชื่อ่วะ”

“งั้นเดี๋ยวกูจะช่วย..”

กฤษณะหันไปมองหน้าของเพื่อนที่ขับรถไปด้วย.. “มึงจะทำอย่างไร”

“โอมมมมม ปู่เจ้าเขาเขียวเจ้าทุ่งเจ้าท่าเจ้าเมืองเจ้าป่าคอนกรีตช่วยดลบันดาลให้ไอ้น้าเพื่อนผมมันเจอน้องคนที่มันพูดถึงด้วยเถิด..มันจะมั่นใจว่า น้องเค้าเป็นเนื้อคู่ของมัน..”

“ไม่ตลก”..

“ก็ไม่แน่นะมึง..แต่ถ้าวันนี้มึงเจอน้องเค้าอีก มึงต้องตามจีบน้องเขานะโว้ย..”

“ฉะกันไปซะขนาดนั้นคงติดหรอก”

“เนื้อคู่กันแล้วคงไม่แคล้วกันได้ เจออีกมึงจีบ..”

และด้วยสายตามองไปยังนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโซลรถ กฤษณะจึงพูดขึ้นว่า “โอเค ถ้าภายในสองชั่วโมงก่อนจะหมดวัน กูเจอเขาอีก กูจะตามจีบเขาให้สมใจมึง”

พูดจบแล้วกฤษณะก็หันไปมองข้างทาง.. ซึ่งขณะนั้นรถของยนตร์ของอาวุธกำลังจะขับแซงรถมอเตอร์ไซด์ที่มีหนุ่มเป็นขี่และสาวเป็นคนซ้อนซบอยู่ที่แผ่นหลัง..ภาพเขากับมัทนาแทรกเขามาทำให้ใจของเขาหล่นวูบ.. ‘เธอจากไปแล้วตั้งนานแต่ฉันยังจมจ่อมอยู่กับความหลัง..’ เนื้อเพลงสุสานน้ำตาช่างเข้ากับจิตใจของเขายามนี้เหลือเกิน..

กฤษณะสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกพลังให้ตัวเอง โดยที่หูของเขาก็ได้ยินอาวุธพูดว่า

“มึงต้องรีบเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนนะน้า..”

“แล้วมันจะจบลงอย่างเดิมอีกไหมละไอ้วุธ”

“มึงก็คิดว่า อีหมวยไม่ใช่คู่แท้ของมึงซิวะ คิดอย่างนั้น มึงต้องคิดอย่างนั้น ท่องไว้”..



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ม.ค. 2555, 23:47:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2555, 08:39:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 2617





<< 2. เมขลา   4.ศุภนิมิตร >>
minafiba 6 ม.ค. 2555, 00:15:34 น.
^_^


คิมหันตุ์ 6 ม.ค. 2555, 00:44:27 น.
ปรามาท เขียนแบบ นี้หรือป่าวคะ----> ปรามาส


morisa 6 ม.ค. 2555, 08:28:45 น.
รอดูการเจอกันครั้งที่สามของสองคน


Zephyr 6 ม.ค. 2555, 11:55:55 น.
จาก มัทนา กลายเป็น อีหมวยไปแล้ว แต่นะ หนูนามีส่วนเรื่องนี้นิดหน่อย มารับผิดชอบพี่คะน้าด่วน เดินมาให้เจอรอบสามในสองชั่วโมงเร็วๆ คนอ่านจะได้ลุ้นต่อค่ะ ^^


nutcha 6 ม.ค. 2555, 19:41:59 น.
นั้นน่ะซิฉะกันซะขนาดนั้นอยากรู้จังว่านะจะจีบหนูนายังไง


nutcha 6 ม.ค. 2555, 19:42:03 น.
นั้นน่ะซิฉะกันซะขนาดนั้นอยากรู้จังว่านะจะจีบหนูนายังไง


loveleklek 6 ม.ค. 2555, 23:03:17 น.
วิจิตรศรา คุ้นมากกกก


ปิลันธน์ 20 ม.ค. 2555, 20:36:49 น.
กฤษณะ พูดไม่เพราะเลยนะตัว เค๊าอุตส่าห์จิ้นให้หล่อเว่อร์แล้วเชียว ที่สำคัญ หลับแล้วเพ้อนี่ อันตรายต่อชีวิตรักในภายหน้าเน้อขอบอก 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account