กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 7

ตอนที่ ๗

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นส่งผลให้พีรพัฒน์ต้องออกอาการนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ เออนะ ใครกันดันโทร.มาตอนนี้ ไอ้ลำพังแค่พยายามประคองรถไปบนผิวถนนโลกพระจันทร์ก็หัวสั่นหัวคลอนแย่พออยู่แล้ว เพราะงั้นไม่ต้องไปนึกถึงไอ้การขับแล้วคุยเลย

ชายหนุ่มตัดสินใจจอดรถข้างทางก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงไม่หยุดขึ้นมาดู เห็นชื่อและภาพใบหน้าสวยๆของคนโทร.ที่ปรากฏหราบนหน้าจอแล้วพีรพัฒน์ก็ได้ยิ้มบางๆ แม้บางครั้งอาจจะเข้าขั้นน่ารำคาญบ้างนิดๆ แต่เขาก็ยังไม่เคยนึกขุ่นใจกับเจ้าหล่อนคนนี้ได้ลงเลยจริงๆ

“ว่ายังไงครับรัก?” พีรพัฒน์กรอกเสียงถามยามกดรับสายคนโทร.มา แต่ทว่า...
“พี!...” คนปลายสายเรียกเขากลับด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเต็มที่ “พีอยู่ที่ไหนหรือคะตอนนี้ รู้มั้ย รักพยายามโทร.หาพีตั้งนานสองนานแต่ก็ไม่ติดเลยรู้หรือเปล่า”
“หืม?” ชายหนุ่มส่งเสียงฮืมฮัมในลำคอ “อืม...โทรศัพท์มันอาจไม่มีสัญญาณละมั้งผมว่า คือตอนนี้ผมอยู่ต่างจังหวัดน่ะ”
“ต่างจังหวัดหรือคะ?” หทัยรักทวนคำอีกหน “แหม! จังหวัดไหนกันคะ อะไรมันจะไกลปืนเที่ยงจนสัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึงขนาดนั้น”
“หึๆ” พีรพัฒน์ได้แต่หัวเราะขำๆกับคำตัดพ้อแกมประชดประชันเล็กๆของอีกฝ่าย
“กาญจนบุรีน่ะครับ”
“โธ่! แค่เมืองกาญจน์เองนะคะ ก็ไม่เห็นจะไกลสักหน่อย พีน่ะอำรักแล้วแน่ๆ”

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะขำ ที่จริงก็ใช่ กาญจนบุรีจะว่าไกลก็คงไม่เชิงสักเท่าไหร่หรอก แต่ไอ้ไกลปืนเที่ยงนี่ ของจริงทีเดียวสำหรับหมู่บ้านเล็กๆที่เขามา และเขาแน่ใจด้วยว่าถ้าหทัยรักได้มาด้วย เจ้าหล่อนจะต้องร้องกรี๊ดแล้วขอถอนคำพูดเมื่อกี้ชนิดแทบไม่ทัน

“เอ...ว่าแต่พีไปเมืองกาญจน์ทำไมหรือคะ ไม่เห็นบอกรักสักคำเลยนะ”

พีรพัฒน์กรอกตาไปมาขณะสะระตะคิดหาคำตอบ บ่อยครั้งเหมือนกันที่คำถามของหทัยรักคลับคล้ายว่าจะแสดงความเป็นเจ้าของเขา ทว่าอาจเพราะจริตหญิงสาวที่รู้จักใช้เลยทำให้ประโยคนั้นดูไม่คุกคามอธิปไตยพีรพัฒน์เกินไปจนน่าเกลียด แต่ถึงอย่างไร...มันก็ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะยอมให้ใครเข้ามาถือครองพื้นที่หัวใจ เพราะงั้นพีรพัฒน์จึงได้ขีดเส้นกั้นเบาๆ

“ผมมาทำธุระนิดหน่อยน่ะรัก แต่พอดีว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ผมก็เลยไม่ได้บอกใคร แล้วที่รักโทร.หาผมนี่ มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า?”

“แหม! พูดแบบนี้แปลว่าถ้าไม่มีธุระรักก็โทร.หาพีไม่ได้งั้นเหรอคะ”

“โธ่! ไม่ใช่แบบนั้นเลย” พีรพัฒน์รีบพูด ทำเอาหทัยรักส่งเสียงหัวเราะกิ๊กมาตามคลื่นสัญญาณโทรศัพท์

“เอาเถอะค่ะ พีไม่ต้องทำเสียงรู้สึกผิดแบบนั้นหรอก” เจ้าหล่อนว่าเสียงใส “รักแค่ล้อเล่นเอง จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เย็นนี้คุณพ่อรักท่านมีโปรแกรมจะออกไปสังสรรค์กับก๊วนกอล์ฟของท่านน่ะค่ะ”

“อือฮึ” ชายหนุ่มส่งเสียงรับรู้เบาๆขณะรับฟังความต้องการของอีกฝ่ายต่อ
“ตานี้...อือ...พีก็รู้ รักไม่ชอบทานข้าวคนเดียว ถ้ายังไงเย็นนี้พีออกมาทานข้าวเป็นเพื่อนรักหน่อยได้มั้ยล่ะคะ”

ฟังแล้วพีรพัฒน์ก็ได้แต่ขำออกมาอีก หทัยรักมักทำตัวเหมือนเด็กสาวขี้อ้อนเช่นนี้เสมอ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะชีวิตของหทัยรักได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาตลอด ทั้งนี้ก็ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียว มิหนำซ้ำยังกำพร้าแม่ไปตั้งแต่เล็กๆจึงทำให้คุณอมรผู้เป็นพ่อนั้นทั้งรัก ประคบประหงมและตามใจเสมอมา

“ว่าไงล่ะคะ เย็นนี้พีออกมาทานข้าวเป็นเพื่อนรักหน่อยได้หรือเปล่าล่ะ นะคะนะ”
“อืม...แต่ว่า...” ชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิด “แต่ว่าวันนี้ผมสัญญากับแม่ว่าจะไปทานข้าวด้วยแล้วน่ะสิ” เขาตัดสินใจบอกอีกฝ่ายไปอย่างนั้น แน่นอนว่าก็มีแต่ตัวของตัวเองเท่านั้นที่รู้แก่ใจ ว่าที่พูดไปเมื่อกี้ไม่ได้จริงทั้งหมด เขาไม่ได้ถึงขั้นไปสัญยิงสัญญาอะไรไว้กับคุณดวงทิพย์ แต่เรื่องตั้งใจจะไปกินข้าวเย็นด้วยนี่ เรื่องนี้เป็นความจริง เพราะชายหนุ่มแน่ใจว่าวันนี้แม่คงมีเรื่องอะไรที่อยากคุยอยากถามเขามากมาย แต่ทว่า...

“อ้าว!” หทัยรักร้อง “งั้นก็ดีเลยสิคะ รักเองก็อยากไปทานข้าวกับคุณป้าอยู่พอดีเหมือนกัน”
หืม? อาจค่อนข้างโชคดีที่การสนทนาหนนี้เป็นการคุยผ่านสัญญาณโทรศัพท์ เพราะชายหนุ่มสามารถแสดงสีหน้าแบบ...เหวอชนิดคาดไม่ถึง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกใคร ขณะที่คนปลายสายซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ยังพล่ามต่อไปได้อีก

“โอ้! ดีจริงๆเลยนะคะ นี่! พีจะเชื่อมั้ยล่ะว่าเมื่อวานน่ะรักยังโทร.ไปคุยกับท่านอยู่เลยนะคะ”
เชื่อสิ เขานึกตอบในใจ ก็ที่โทร.ไปจนคุณดวงทิพย์จับได้ว่าเขาตุกติกไม่ยอมเข้าไปทำงานที่เอพีกรุ๊ปนั่นไง
“อ่อ! เหรอครับ”

“ค่ะ รักคุยกับคุณป้าตั้งนานสองนานแน่ะ ยังคิดอยู่เลยว่าต้องหาโอกาสไปเยี่ยมท่านเร็วๆนี้ให้ได้ ถ้ายังไง เย็นนี้รักขออนุญาตไปทานข้าวกับคุณป้าพร้อมกับพีได้มั้ยล่ะคะ”

ฟังแล้วคนถูกถามก็ได้แต่นึกขำ ในเมื่อเล่นถามมาอย่างนี้แล้วจะให้เขาตอบยังไงได้เล่า

“ก็...ได้สิ”
“หึๆ พีน่ะ น่ารักที่สุดเลยค่ะ อือ...เย็นๆนะคะ แล้วรักจะรอค่ะ” ว่าจบหทัยรักก็วางสาย เป็นอันว่าสุดท้าย นอกจากพีรพัฒน์จะไม่ได้ทานข้าวกับแม่ตามลำพังแล้ว เขายังต้องเป็นสารถีไปรับหทัยรักอีก
“เฮ้อ!” พีรพัฒน์พ่นลมออกจากปากพรืดใหญ่ ถ้ามีบุคคลที่สามด้วยอย่างนี้เห็นท่าเขาคงต้องเล่าเรื่องเด็กจิ๊บให้คุณดวงทิพย์ฟังแบบนอกรอบวันหลังเสียแล้ว

...เด็กจิ๊บงั้นหรือ...

ชายหนุ่มเคาะนิ้วเบาๆกับพวงมาลัยรถยามครุ่นคิด นึกแล้วเขาก็อดจะเสียดายไม่ได้ ดูก็รู้ เด็กคนนั้นเป็นคนฉลาดมากทีเดียว มากกว่านั้นยังได้รับการปลูกฝังทั้งความคิดและจริยธรรมที่ดีมากๆจากยายอีกต่างหาก นี่ถ้าเด็กคนนั้นตัดสินใจรับความอุปการะละก็ พีรพัฒน์แน่ใจว่าเด็กนั่นจะต้องช่วยแบ่งเบาภาระงานในบริษัทป้าอังได้เยอะมากแน่ๆ แต่ว่า...

‘ฉันจะอยู่ทำไร่ค่ะ!’ น้ำเสียงที่ประกาศก้องทันทีหลังจากที่เขาไม่ได้ตอบให้ชัด ว่าจะให้เธอทำงานตอบแทนเขาแบบไหนยังติดตรึงในความนึกคิด พอๆกับผิวหน้าแดงก่ำยามเมื่อถูกเขาจับมือ อากัปกิริยาเหล่านั้นมันไม่ยากเลยที่จะทำให้เขาเดาความคิดของเด็กสาวได้ ...เด็กนั่นกลัวเขา...

ชายหนุ่มเผลอยิ้มบางๆไม่รู้ตัว ...โธ่! แม่สาวน้อยเอ๊ย!...

“เฮ้อ!” แล้วก็ทำได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอีก รู้ทั้งรู้ว่ามันไร้สาระและเปล่าประโยชน์ที่เขาจะมานั่งนึกเสียดาย ในเมื่อเด็กคนนั้นตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตแบบนั้นเองซึ่ง...
ซึ่งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามันอาจแย่กว่าไอ้อารมณ์กลัวชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเขาเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีไอ้หนุ่มขาเดฟขี้หึงนั่นด้วย เดาได้เลยว่าอนาคตแม่สาวน้อยก็คงจะไม่พ้น ‘ลูกสะใภ้ผู้ใหญ่บ้าน’ ยิ่งนึกยิ่งคิดก็ยิ่งตอกย้ำความน่าเสียดาย เด็กฉลาดๆอย่างนั้นน่าจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าต่อการทำงานมากกว่าการเป็นสะใภ้ผู้ใหญ่บ้านแน่ๆ

ใช่! แล้วความคิดนั้นก็ทำให้พีรพัฒน์ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ทันที


ความตึงเครียดกระจายตัวทั่วทุกอณูเมื่อผู้ชายตรงหน้าจ้องมองวริณสิตาด้วยดวงตาแข็งเขม็ง

“ไอ้นั่นมันเป็นใคร” กระแสเสียงที่ใช้จับได้ชัดถึงความไม่สบในอารมณ์ ความรู้สึกต่อร่างผอมโย่งของโกหนุ่ยที่เคยโชว์กร่างต่อหน้าเธอหลายต่อหลายครั้งชักเปลี่ยนไป จากที่เคยไร้พลังและความน่ากลัวอย่างสิ้นเชิง นาทีนี้กลับทำให้วริณสิตารู้สึกเกรงๆได้บอกไม่ถูก นั่นอาจเพราะความจริงสองข้อที่ต้องตระหนัก หนึ่งคือตอนนี้เธอตัวคนเดียว สองคือไม่ว่ายังไงคนตรงหน้าก็เป็นผู้ชาย แม้เขาจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากมาย แต่ด้วยพละกำลังโดยธรรมชาติ โกหนุ่ยย่อมแข็งแรงกว่าเธออยู่แล้ว! เพราะงั้นเกิดเขาคิดทำอะไร เธอคงไม่รอดแหง! สาวน้อยจึงพยายามจะคุมสติ

“เจ้าของที่” วริณสิตาตอบ “เขามาดูที่เขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโกหนุ่ยหรอก”
แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะทำตัวพร้อมหาเรื่องเต็มที่

“เจ้าของที่บ้าอะไร ไม่เชื่อโว้ย!” หนุ่ยส่งเสียงตะคอก อารมณ์เดือดมันคุกรุ่นตั้งแต่ที่โดนตะเพิดหักหน้าแล้ว! ก็เขาเป็นใคร เป็นตั้งลูกชายผู้ใหญ่บ้าน! ศักดิ์ศรีมากมายล้นหลามขนาดไหน! แล้วนี่บังอาจมาทำอย่างงั้นได้ มันเลยหมายถึงการหยามกันสุดตัว!

“ไม่ได้โง่นะโว้ย” หนุ่ยตะโกนอีก “ไอ้ที่ตรงนี้ ใครเขาก็รู้กันทั้งหมู่บ้านว่าเจ้าของเขาเป็นคุณหญิงคุณนายอะไรอยู่กรุงเทพฯโน่น อย่ามาหลอกซะให้ยาก คนอย่างไอ้หนุ่ยมันฉลาดเว้ย ไม่ใช่ควาย! เข้าใจป่ะ!”

เจอประโยคนั้นเข้าไปวริณสิตาก็ได้แต่อึ้ง! ในเมื่ออีกฝ่ายทั้งตะคอก ตะโกน แล้วพาลหาเรื่องกันขนาดนี้ มันก็ยากเช่นกันที่จะข่มอารมณ์เคือง!

“ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาคุยกันดีกว่า!” สาวน้อยตะโกนสวนก่อนจะเบี่ยงตัวก้าวลิ่วๆผ่านหน้าคนอันธพาลหาเรื่อง แต่ทว่า...

“เดี๋ยวเซ่!”

“โอ๊ย!” แค่เสี้ยวนาที มือกระด้างๆก็คว้าหมับเข้าที่แขนก่อนกระชากแรงๆเสียจนวริณสิตาเกือบหงาย
“วันนี้ทำเก่ง หยามหน้ากันหลายทีนะจิ๊บ!” คนพูดยื่นหน้าเข้ามา สายตาจ้องมองอย่างคุกคาม วริณสิตาพยายามบิดแขนแรงๆเพื่อให้พ้นจากมือกระด้างที่บีบข้อมือเธอจนแน่น
“โอ๊ย! นี่! ปล่อยฉันนะโกหนุ่ย! ปล่อย!”

นี่ก็อีกที่ทำให้อารมณ์เดือดของหนุ่ยวิ่งพล่าน ก็เห็นว่าหน้าตาสวยน่ารัก ตามจีบมาดีๆตั้งหลายปีไม่เคยมีละที่จะยอมให้ถูกเนื้อต้องตัวได้

“ไม่ปล่อยโว้ย!” หนุ่ยตะโกนก้องด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น “ทำไม! กะอีแค่จับมือนิดๆหน่อยๆไม่ได้เลยใช่มั้ย ทีไอ้กร๊วกนั่น หน้าแดงไม่อิดออด!”
“โกหนุ่ย! โกหนุ่ยไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้กับฉันนะ!”
“เฮอะ!” อีกฝ่ายสบถออกมา “เล่นตัวเหลือเกิ๊น รู้ไว้ด้วยนะโว้ย ไอ้ที่ตามจีบมาดีๆตั้งหลายปีก็เพราะพ่อขอไว้หรอก ถ้าไม่ใช่ว่าพ่อเกรงใจยายสายละก็ ไม่รอดมาถึงวันนี้หรอก กูฉุดทำเมียไปตั้งนานแล้ว!”

วริณสิตาได้แต่ร้องกรี๊ดเมื่อถูกอีกฝ่ายกระชากตัวไปกอด

“อ๊าย! หยุดนะ โกหนุ่ยจะทำอะไร ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยด้วย!” สาวน้อยปัดป้องและส่งเสียงร้องให้คนช่วย แต่ทว่าเมื่อบ้านเธอมันทั้งเปลี่ยวและไกลขนาดนี้ ใครที่ไหนจะมาได้ยิน!

“ฮึ! ร้องไปเถอะ ร้องไปเลย ไม่มีใครได้ยินหรอก วันนี้แหละ วันนี้จิ๊บต้องเป็นของพี่!” พูดจบอีกฝ่ายก็พยายามจะฝังหน้าลงมาเพื่อปล้ำจูบ ลำพังแค่ถูกจับมือวริณสิตายังรู้สึกแย่ แต่นี่เธอกำลังถูกโกหนุ่ยลวนลาม เพราะงั้นเธอขอสู้สุดชีวิตล่ะ วริณสิตาตัดสินใจชั่วเสี้ยววินาที สาวน้อยกระแทกเข่าขึ้นมาหวังใจว่าให้กระแทกคนอีกฝ่ายแรงที่สุด!

“โอ๊ย!” และแล้วก็ได้ผล ฝ่ายคนที่คุกคามร้องเสียงหลง ตัวงอทรุดลงไปส่งผลให้อ้อมแขนกักขฬะคลายลงด้วย วริณสิตารีบฉวยโอกาส ผละตัวออกและพยายามจะวิ่งหนี แต่ทว่าวิ่งไปไม่เกินสี่ก้าวสาวน้อยก็ถูกกระชากกลับมา ก่อนจะต้องตัวงอลงไปบ้างเพราะถูกอีกฝ่ายจัดการชกเข้าให้ที่ท้องอย่างแรง!

“โอ๊ย!” วริณสิตายกมือขึ้นกุมท้องขณะที่ตัวเองค่อยๆร่วงไปกองกับพื้น

“หน็อย! ฤทธิ์เยอะนะ พับเผื่อยดิ!” เสียงอีกฝ่ายสบถหัวเสียดังชัดเข้าโสตประสาท นี่อาจเพราะความที่เธอตัวเล็ก แรงก็น้อยจึงทำให้ไอ้ความอาจหาญป้องกันตัวด้วยการตีเข่าเมื่อกี้มีผลอะไรกับคนอีกฝ่ายไม่มากเลย! แย่แล้ว แย่เสียแล้ว! วริณสิตากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่สุดชีวิต!

“อย่านะโกหนุ่ย!...อย่าทำอะไรฉันเลยนะ” คนถูกคุกคามได้แต่ร้องอ้อนวอนออกมา แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหน้ามืดไปจนกู่ไม่กลับแล้ว ความหวาดกลัวเต้นระริกทั่วอณูใจเมื่ออีกฝ่ายกดใบหน้าต่ำลงมาหาอย่างหื่นกระหายเป็นที่สุด!

“อย่านะ! อย่า! ไม่!!!” วริณสิตาหลับตา หวีดร้องออกมาจนสุดเสียง หวังใจครั้งสุดท้าย ขอใครก็ได้ช่วยมาเธอที! ยายจ๋า มาช่วยจิ๊บที!!

ทว่าในความกลัวที่หวีดก้อง จู่ๆเงาทะมึนของโกหนุ่ยเหนือร่างเธอก็ถูกใครสักคนกระชากออกไป แล้วหลังจากนั้นไม่เกินอึดใจ เสียงอะไรที่ฟังคล้ายๆกำปั้นกระทบผิวเนื้อก็ดังตามขึ้นมาอีกตุ้บตั้บ! วริณสิตาตัดสินใจเปิดตาขึ้นมาทันพอจะได้เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงสง่าจัดการเหวี่ยงโกหนุ่ยกระเด็นไปจนล้มกลิ้ง

...คุณพี!...

“คิดจะทำอะไร” พีรพัฒน์แผดเสียงถามคนที่เขาเพิ่งจัดการเหวี่ยงออกไป “ทำแบบนี้มันเข้าข่ายผิดกฎหมายรู้รึเปล่า!” ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้มีท่าทีสำนึกผิดแม้แต่น้อย ไอ้หนุ่มขาเดฟจ้องหน้าพีรพัฒน์แข็งเขม็ง ดวงตาแข็งกร้าว

“ห่า! คนเขาเป็นแฟนกัน แล้วมึงมาเสือกอะไรด้วย!”
“ไม่ใช่นะคะ...ฉันไม่ใช่...” แม้จะยังจุกอยู่อย่างมากแต่วริณสิตาก็ส่งเสียงค้านขณะพยายามทรงตัวลุกขึ้นมา เพราะดันหวั่นใจเหลือเกินว่า หากคุณพีเขาเกิดเชื่อและเลิกยื่นมือยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอต้องแย่แน่ๆ

“ไม่ใช่นะคะ...ฉันไม่...”

แต่ไม่ทันที่วริณสิตาจะได้พูดจบ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นทำนองห้ามก่อนจะหันไปทางโกหนุ่ย

“ไอ้ที่นายทำเมื่อกี้ ไม่มีคนดีๆที่ไหนเขาเรียกแฟนหรอก” พีรพัฒน์บอก “แต่เขาเรียกโจร! รีบไปให้พ้นๆหน้าเลย ก่อนที่ฉันจะโทร.เรียกตำรวจมาจับนาย!” ได้ยินอย่างนั้นหนุ่มขาเดฟก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่แน่นอน เมื่อพีรพัฒน์คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาขู่ อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะยอมผละไป แต่ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายด้วยความอาฆาตอย่างเคย

“หน็อย! ฝากไว้ก่อนเถอะมึง! กูหาทางเอาคืนแน่ คอยดู!”

เมื่อสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานผ่านไป วริณสิตาก็ทรุดฮวบลงมานั่งแปะบนพื้นอีกครั้ง ขณะที่พีรพัฒน์ก็ได้แต่หันกลับมา จ้องหน้าสาวน้อยด้วยสายตาดุๆ

“ไงล่ะ คนบ้านเดียวกัน”

เจอแบบนี้เข้าไปคนถูกถามก็พูดอะไรไม่ออก! พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจแผ่วยาวก่อนตรงมา ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งเพื่อจะถามวริณสิตา เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆว่า

“ทีนี้เธอจะตัดสินใจอย่างไร ไปหรือไม่ไป ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้เลย”
……………….



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 08:54:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 08:54:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 3257





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account