กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 8

ตอนที่ ๘

วันนั้นกว่าที่พีรพัฒน์จะกลับมาถึงบ้านคุณอังกาบก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้ว ชายหนุ่มเลี้ยวรถผ่านประตูอัลลอยด์รีโมทขนาดใหญ่ วนอ้อมน้ำพุที่อยู่กลางสวนหย่อมหน้าบ้านก่อนจะมาจอดที่ใต้ชายคาเทียบกับบันไดหินอ่อนหน้าประตูพอดี

พีรพัฒน์ดับเครื่องยนต์ก่อนหันไปมองคนที่นั่งอยู่เบาะข้าง ร่างบางๆที่เห็นในสายตานั่งเอนหลังอิงพนักเบาะ เปลือกตาทั้งคู่ปิดสนิท ส่วนลำแขนเล็กๆทั้งสองข้างก็กอดกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กของตนเอาไว้แน่น

“วริณสิตา” พีรพัฒน์เอ่ยเรียกออกมาเบาๆ ทั้งที่ตอนแรกก็ดูจะตื่นๆแต่แม่สาวน้อยนี่ก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่รถเขายังไม่ผ่านเข้าเขตราชบุรีด้วยซ้ำ ทว่าก็คงตำหนิอะไรไม่ได้ในเมื่อเด็กคนนี้เพิ่งผ่านเหตุการณ์น่าตระหนกมา มิหนำซ้ำยังถูกทำร้ายอีก

“วริณสิตา” แล้วเขาก็เรียกอีก แต่คนถูกเรียกก็ยังหลับตานิ่ง เห็นแล้วพีรพัฒน์ก็ชักจะหงุดหงิด แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะหงุดหงิดคนหลับนี่หรอกนะ เขาหงุดหงิดตัวเองมากกว่า ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าแม่สาวน้อยนี่จะเป็นคนขี้เซา แต่เขากลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปต่างหาก

ใช่! นึกแล้วก็ชักอยากโมโหตัวเองให้หนัก เขาไม่น่าจะเชื่อน้ำคำเด็กคนนี้ที่บอกว่าไม่เป็นไรเลย เด็กผู้หญิงก็คือเด็กผู้หญิง โดนผู้ชายชกเข้าไปที่ท้องอย่างนั้นจะไม่เป็นไรเลยได้ยังไง!

พีรพัฒน์ตัดสินใจทันที เขาบิดกุญแจรถอีกครั้ง สิ่งนั้นทำเอานางบัวศรีที่มายืนรอรับตรงบันไดหน้ากับนายก้านคนขับรถเก่าแก่ของคุณอังกาบที่เพิ่งจะตามมาสบทบอยู่ข้างๆถึงกับงง ชายหนุ่มเปิดกระจกลง ยื่นหน้าไปบอกคนทั้งคู่เสียงเคร่งเครียด

“เด็กที่ผมพามาด้วยไม่สบาย ผมจะพาเขาไปหาหมอ เปิดประตูใหญ่ให้ด้วย” พีรพัฒน์ออกคำสั่ง ขณะที่คนรับฟัง โดยเฉพาะนางบัวศรีดูจะมีสีหน้าตกใจนิดๆ

“ค่ะๆ” รับคำแล้วจึงรีบกดรีโมทให้ประตูใหญ่หน้าบ้านเปิดออก ทว่านาทีนั้น พีรพัฒน์ก็หันกลับมาเพียงเพื่อจะพบว่าแม่สาวน้อยที่ห่วงนักหนาว่าจะไม่สบายได้ขยับตัวดีดผึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ว

เขาเลยได้แต่ร้อง “อ้าว!” เบาๆก่อนจะรัวคำถามตามไปเป็นชุด “ตื่นแล้วรึ เป็นยังไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

แต่สาวน้อยที่เพิ่งตื่นมาดูจะมีสีหน้าเลิกลั่ก

แน่สิ! ก็ในเมื่อลืมตามา วริณสิตาก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นาทีแรกเธอเลยตกใจ ตื่นๆงงๆกับภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคย เด็กสาวได้แต่กะพริบตาถี่ๆ หลังจากตั้งสติอยู่เกือบนาทีจึงค่อยๆปรับตัวได้

จริงสินะ...นี่เธอตัดสินใจมากรุงเทพฯกับคุณพีแล้วนี่นา วริณสิตายกมือขึ้นลูบหน้า ตั้งใจจะขับไสความอ่อนเพลียไปให้พ้น น่าอายเหลือเกินที่เธอดันเผลอหลับจนทำให้คุณพีต้องมาปลุกแบบนี้!

ด้านพีรพัฒน์ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่เพิ่งตื่นตรงหน้าไม่ได้ตอบคำถามอะไรออกมาสักคำ จึงเอ่ยซ้ำ
“ว่ายังไง” ชายหนุ่มพูด “เธอรู้สึกไม่สบายอะไรตรงไหนบ้างหรือเปล่า หืม?”

แต่ทว่า...

“ขะ...คะ?” แม่สาวน้อยถึงกะเลิกคิ้วถาม ทำเอาใจหนึ่งพีรพัฒน์ก็อยากจะนึกขำ
แม่คนเมาขี้ตา! แต่ทว่าเขาก็แค่ยิ้มบางๆ

“ฉันถาม ว่าเธอเป็นยังไง รู้สึกไม่สบายอะไรตรงไหนมั้ย?”
“มะ...ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร ฉันสบายดี” วริณสิตารีบตอบ พีรพัฒน์เลยได้แต่โคลงศีรษะไปมา และแล้วแม่สาวน้อยนี่ก็ตอบเขามาด้วยประโยคที่มีเนื้อหาแบบเดิมเป๊ะ ‘ไม่เป็นไร ฉันสบายดี’ แต่แน่ละ! หลังจากที่เล่นผล็อยหลับไปเป็นตายแบบนั้น ใครจะไปวางใจ

“แน่ใจนะ?” พีรพัฒน์ถามย้ำก่อนขยายความสำทับอีก “ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายอะไรยังไงให้บอกฉันเลยไม่ต้องเกรงใจ เพราะถ้าเกิดเป็นอะไรไปทีหลัง มันจะยิ่งยุ่ง เข้าใจหรือเปล่า”
“ค่ะ”
และเมื่อสุดท้าย จนแล้วจนรอดเด็กสาวหัวดื้อก็ยังเอาแต่พยักหน้าขันแข็ง พีรพัฒน์จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องจำใจเชื่อ
“อืม! โอเค งั้นเราก็ลงจากกันรถเถอะ ถึงบ้านแล้ว” พูดจบชายหนุ่มก็ดับเครื่องก่อนเปิดประตูลงไป ทำเอาอีกฝ่ายต้องรีบเปิดประตูอีกด้านตามเขาลงมาเช่นกัน แต่ทว่าสำหรับสาวน้อยที่เพิ่งจะได้เห็นสถานที่ที่คุณพีพามาอย่างเต็มตาก็ถึงกับชะงัก เพราะแค่ความอลังการที่เห็นตรงหน้า ก็ทำให้วริณสิตาใจโหวงๆแล้ว!

บันไดหินอ่อนขัดมันเจ็ดขั้นที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ประตูไม้สักทองบานใหญ่สลักลายเป็นเถาไม้แสนวิจิตรทำให้ต้องเผลอกลืนน้ำลาย แถมเมื่อกวาดตามองไปโดยรอบ ทั้งลานหน้าบ้านใหญ่กว้างขวาง ทั้งโรงจอดรถที่มีรถคันใหญ่ไม่น้อยกว่าสามคัน ทั้งน้ำพุที่พุ่งสูงตระหง่านในสนามหญ้าแสนสวยนั่นอีก ยิ่งมอง ยิ่งเห็น สาวน้อยตัวเล็กๆก็ยิ่งโหวง!

บอกได้เลยว่า เคหสถานที่เธอจากมา เทียบไม่ได้แม้แต่เศษขี้ผงของที่นี่ด้วยซ้ำ!

วริณสิตารู้สึกหวิวๆเมื่อก้มลงมองสภาพของตัวเอง เชิ้ตผ้าลายสก็อตสีเทา กางเกงขายาวกับรองเท้าแตะเก่าๆมอมๆ! เด็กสาวร้อนวูบๆที่ใบหน้า รู้สึกเหมือนว่าตนเองเป็นวัตถุสกปรกมอซอที่ไม่เหมาะจะเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้เลย! นึกแล้วก็ได้แต่ก้มหน้า กอดกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองแน่นไปอีก เจ้าของบ้านหนุ่มเดินอาดๆอ้อมหน้ารถเข้ามา ร่างสูงสง่านั้นหยุดยืนอยู่ข้างวริณสิตาก่อนเสียงนุ่มทุ้มของเขาจะเอ่ยขึ้นเบาๆว่า

“วริณสิตา นี่คือป้าบัวศรี เป็นแม่บ้านของที่นี่ ส่วนคนนี้คือลุงก้าน เป็นคนขับรถเก่าแก่ของป้าอัง รู้จักไว้สิ” ทันทีที่เขากล่าวจบ สาวน้อยก็ค่อยๆเงยหน้าก่อนจะกระพุ่มมือไหว้คนสูงวัยกว่าทั้งคู่อย่างกล้าๆกลัวๆ

“สวัสดีค่ะ”

“โอๆ สวัสดีจ้ะ” ทั้งนางบัวศรีและนายก้านต่างก็รีบรับไหว้ สีหน้าแปลกใจฉงนฉงายเมื่อหันไปทางเจ้านายหนุ่ม “เอ! ก็ไหนคุณพีบอกป้าว่าแม่หนูจิ๊บนี่ไม่...”
“เขาว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรน่ะ” พีรพัฒน์บอกเรียบๆก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ถามจบ ทั้งแม่บ้านวัยหกสิบห้าและคนขับรถวัยไล่เลี่ยกันเลยได้แต่พยักหน้ารับรู้ แต่ชื่อเล่นวริณสิตาที่หลุดออกมานี่สิ ทำให้เจ้าของชื่อต้องกะพริบตามองหน้าคนพูด

ก็ประโยคเมื่อกี้แปลว่าคุณป้าคนนี้เคยเห็นเธอตอนเล็กๆด้วยหรือ?

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามอะไรตามใจคิด เสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้น
“แล้วป้าบัวศรีจัดการเรื่องห้องที่ผมบอกเรียบร้อยหรือยัง” ชายหนุ่มถามขณะยื่นกุญแจรถส่งให้นายก้านจัดการนำเข้าเก็บตามหน้าที่
“โอย! เรียบร้อยแล้วละค่ะ พอวางสายคุณพีปุ๊บ ป้าก็จัดการตามที่คุณพีสั่งทันที งานไม่ได้เยอะอะไรหรอกค่ะเพราะป้าเข้าไปดูแลทำความสะอาดห้องเล็กนั่นประจำอยู่แล้ว”
“อือ ดี” พีรพัฒน์พยักหน้าก่อนหันมาทางสาวน้อย “มาเถอะ ไปดูห้องพักของเธอกัน” พูดจบเขาก็เดินนำไปพร้อมนางบัวศรีผู้เป็นแม่บ้าน ส่วนวริณสิตาก็ได้แต่ตามไปต้อยๆไม่เกี่ยงงอน ก็เรื่องห้องพักสาวน้อยนั้นพอรู้ตั้งแต่ตอนที่เห็นคุณพีโทรศัพท์ในรถแล้ว ตอนนั้นจับความได้ ว่าเขาบอกให้คนปลายสายจัดการเรื่องห้องให้เธอด้วย

‘ห้องเล็กตรงปีกซ้ายก็ได้’ ได้ยินเขาบอกสั้นๆเท่านั้น ตอนแรกวริณสิตาเดาว่า ห้องเล็กคงเป็นห้องที่เรือนคนรับใช้ หรือไม่ก็ต้องเป็นห้องเก็บของอะไรสักห้องในคฤหาสน์หลังนี้ล่ะ

แต่ทว่า...ถ้าเป็นเรือนคนใช้หรือห้องเก็บของ ทำไมคุณพีเขาถึงต้องเดินขึ้นมาถึงชั้นสองด้วยเล่า? ไม่มีใครจะให้คำตอบกับคำถามในใจวริณสิตาได้กระทั่งร่างสูงที่เดินนำอยู่หยุดฝีเท้าหน้าประตูบานหนึ่ง
ไม่ทันจะได้มีเวลาสังเกตสังกาลายสลักบนประตูไม้สักเท่าไร เพราะคนเดินนำจัดการเปิดประตูออกกว้างแล้วเข้าไปด้านในทันที

และแล้วนี่อาจเรียกได้ว่า ยิ่งกว่าฝัน

ห้องเล็กไม่ได้เล็กอย่างที่ถูกเรียกแม้แต่นิด มิหนำซ้ำ ยังมิมีเค้าว่ามันจะเป็นหรือแม้แต่เคยเป็นห้องเก็บของอีกด้วย วริณสิตาได้แต่ยืนนิ่งเงียบกริบอยู่หน้าประตู แล้วนางบัวศรีก็เป็นคนแรกที่หันมา และเห็นว่าสาวน้อยหยุดชะงักอยู่แค่นั้น

“อ้าว! เป็นอะไรไปเล่า เข้ามาซี”

คนถูกเรียกต้องลอบชำเลืองสายตามองหน้าพีรพัฒน์ มันอย่างกับกลัวว่าจะเป็นความผิดหากไม่ขออนุญาตเขาเสียก่อน ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ
“เข้ามาเถอะ นี่เป็นห้องของเธอ”

...ห้อง...ของเธอ...อย่างนั้นหรือ...

กระแสเสียงนุ่มทุ้มของคนพูดดังกลับไปกลับมาในหูสาวน้อย เขาบอกว่า ห้องแสนสวยนี่เป็นห้องของเธออย่างนั้นหรือ... วริณสิตาค่อยๆก้าวผ่านธรณีประตูไป โทนของห้องเป็นสีเบจเฉกเช่นเดียวกับโทนสีของคฤหาสน์ ม่านลูกไม้สีหวานที่แขวนอยู่บนกรอบหน้าต่างทรงโค้งกำลังสะท้อนแสงไฟสีนวลจากโคมไฟให้ความรู้สึกนุ่มละมุนตาดุจผ้ากำมะหยี่ ส่วนเตียงนอนกว้าง...สวย...และสะอาดก็ตั้งโดดเด่นอยู่เกือบกลางห้อง

วริณสิตาต้องกลืนน้ำลายลงคออีกหน สาวน้อยหันไปมองพีรพัฒน์ก่อนตัดสินใจโพล่งถาม

“คุณพีบอกว่า ห้องนี้ คือห้องของฉันจริงๆหรือคะ?”

คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นวา อะไรกันล่ะ ก็ที่เขาพูดไปเมื่อกี้ไม่ได้เข้าหูแม่สาวน้อยคนนี้เลยหรืออย่างไร แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร โทรศัพท์มือถือเขาก็ดังขึ้นมาก่อน พีรพัฒน์หยิบเครื่องอิเล็กทรอนิกปัจจัยที่ห้าออกมาดู ดวงตาคมก้มลงจับจ้องเพียงครู่ก่อนจะเงยขึ้น แล้วเอ่ยกับนางบัวศรีว่าสั้นๆ

“ผมฝากเด็กคนนี้ให้ดูแลด้วยแล้วกันนะ”
“ได้ค่ะ คุณพีไม่ต้องเป็นห่วง”

เมื่อแม่บ้านรับคำ ชายหนุ่มก็กดรับสายคนโทร.มาทันที

“ครับรัก” สาวน้อยได้ยินเขาพูด “ใช่ครับ ผมถึงกรุงเทพฯแล้ว กำลังจะออกไปรับคุณ เดี๋ยวพบกันครับ” แล้วเขาก็หมุนตัวออกจากห้องไปโดยไม่ได้แม้แต่จะหันกลับมามองวริณสิตาอีกเลย สาวน้อยได้แต่มองตามร่างสูงที่ก้าวลิ่วๆออกไปอย่างรวดเร็ว

รีบร้อนขนาดนั้น ท่าทางคงเป็น...คนสำคัญ...แน่ๆเลย

ประหลาดแท้ที่ความจริงข้อนั้นทำให้วริณสิตารู้สึกเหงาขึ้นมาได้อย่างมหาศาล นางบัวศรีได้แต่จ้องมองเด็กสาวตรงหน้า ด้วยความที่นางเป็นสาวโสด ลูกผัวอะไรไม่เคยมี นางบัวศรีเลยปลอบใจใครไม่ค่อยจะเป็น เพราะอย่างนั้นท่าทางหงอยๆจ๋อยๆจึงทำให้นางอึดอัดอยู่ใช่น้อย

“เออ! เอาละ” นางบัวศรีเอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ “มาเหนื่อยๆ เอากระเป๋ามาสิ ป้าจะช่วยจัดให้”

แต่ว่า...

“ไม่เป็นไรค่ะ” วริณสิตาส่ายหน้า ตอบเบาๆ “เสื้อผ้าหนูมีแค่นิดเดียว”
“อ่อ...เออ งั้น...” นางบัวศรีลองใหม่ “งั้นเราน่ะ หิวไหมล่ะ ถ้าหิวป้าจะได้หาอะไรให้ทาน”

แต่ทว่า...

“ไม่ค่ะ” วริณสิตาส่ายหน้าอีก
“เอ้า! งั้นจะดูทีวีมั้ย ป้าจะจัดการเปิดให้”

แต่สุดท้ายไอ้คนถูกถามมันก็ยัง...

“ไม่ป็นไรค่ะ”
“เฮ้อ!” นางบัวศรีบ่นออกมา “อะไรๆก็ไม่เอาเลยล่ะลูกเอ๊ย”
แล้วก็เงียบกันไปอึดใจใหญ่ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ย “เออ งั้นก็พักผ่อนซะเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ มีอะไรก็ลงไปเรียกได้นะ ป้าก็อยู่เรือนเล็กหลังตึกใหญ่นี่ล่ะ” ว่าจบ นางบัวศรีก็ค่อยเดินออกไปและทิ้งวริณสิตาไว้เพียงลำพัง

...พักผ่อนหรือ...วริณสิตาได้แต่กวาดตามองไปโดยรอบ เมื่อมีความเงียบเป็นเพื่อน ห้องกว้างแสนสวยที่น่าจะสร้างความตื่นตาตื่นใจก็กลับให้ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาจนสุดขั้ว สาวน้อยค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างเตียงสวย

“ยายจ๋า...ช่วยบอกจิ๊บทีเถอะจ้ะ จิ๊บ...ตัดสินใจผิดหรือเปล่าจ๊ะที่ตามเขามาที่นี่...”



“อ้าว! ตื่นแล้วหรือจ๊ะ” เสียงคุณดวงทิพย์ร้องทักอย่างแจ่มใส ริมฝีปากคลี่ยิ้มละไมยามเมื่อเหลียวไปเห็นลูกชายคนเดียวของนางกำลังเข้ามาในครัว
“ทำไมถึงรีบตื่นจังเลยล่ะ ยังเช้าอยู่เลย” นางถาม แต่คนถูกถามส่งเสียงฮืมฮัมในลำคอ ก่อนจะย้อน
“เจ็ดโมงครึ่งนี่น่ะหรือครับเช้า? สายโด่งล่ะสิไม่ว่า”

ฟังแล้วคนเป็นแม่ก็ได้แต่หัวเราะขำ เพราะที่ลูกย้อนมาก็คงถูก ในเมื่อตัวนางเองเป็นคนสอนพีรพัฒน์มาตลอดให้เป็นคนตื่นแต่เช้า แต่ว่าสำหรับเช้านี้นางคิดว่ามันต่างกัน

“โธ่!” คุณดวงทิพย์ร้องครางเมื่อหันกลับมาให้ความสนใจกับหม้อแกงเขียวหวานตรงหน้า “ก็เมื่อคืนแม่เห็นพีเปิดไฟนั่งอยู่จนดึกดื่นนี่นา แม่ก็นึกว่าพีอยากจะนอนมากกว่านี้น่ะซี”

“ไม่หรอกครับ นอนแค่นี้ก็พอแล้ว”

คุณดวงทิพย์ได้แต่ส่ายหน้าค้านน้อยๆ

“อย่ามาพูดเลย” คนเป็นแม่บอกเบาๆ “ไอ้ดึกดื่นที่พูดเนี่ย ไม่ได้หมายถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนนะจ๊ะ”

ใช่! คำว่าดึกดื่นที่นางใช้ไปไม่ได้หมายถึงวันเก่าสักนิด แต่หมายถึงวันใหม่...ตีสามของเช้าวันใหม่!
ก็ลองไล่ดูเถิด เมื่อวานกว่าที่พีรพัฒน์จะมาถึงบ้านสวนแล้วกินข้าวกินปลา มันก็ตั้งสองทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว มิหนำซ้ำยังมีแขกอย่างแม่หนูหทัยรักมาด้วยอีก ดังนั้นกว่าจะทานข้าวเย็นกันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม แล้วหลังจากนั้นก็ต้องไปส่งแม่หนูหทัยรักที่บ้านอีก กลับมาอีกทีก็จวนเจียนเที่ยงคืนแล้ว แล้วแทนที่พ่อลูกชายจะอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอน ก็เปล่า นางเห็นเขานั่งจมอยู่กับแฟ้มเอกสารต่างๆนานากระทั่งสามนาฬิกาของวันใหม่นั่นแหละ!

เห็นอย่างนั้นแล้ว หัวอกคนเป็นแม่ก็อดจะห่วงไม่ได้

“วันนี้ผมต้องเข้าร่วมประชุมกรรมการผู้ถือหุ้นน่ะครับ กลัวว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เลยต้องทำความเข้าใจข้อมูลอะไรนิดหน่อย”
“แม่รู้” คุณดวงทิพย์เอ่ย “งานบริหารที่บริษัทป้าอังเป็นของใหม่สำหรับพีก็จริง แต่พีก็ต้องรักษาสุขภาพบ้างนะ อย่าหักโหมเกินไปนัก ค่อยๆเรียนค่อยๆรู้ไปก็ได้นี่ลูก”

พีรพัฒน์ได้แต่ลอบถอนใจ อยากบอกแม่ไปเหลือเกินว่าจะดีที่สุดหากเขาไม่ต้องเข้าไปบริหารมันเลย แต่แน่นอน เขาไม่มีวันจะทำเช่นนั้นได้

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำแผ่วๆ “แต่ว่า...” คนพูดกรอกตาไปมา ดวงหน้าแกล้งยิ้มนัยๆยามเอ่ยกับคนเป็นแม่ต่อไปว่า “แต่แม่จะมาดุแต่ผมคนเดียวก็ไม่ถูกนะครับ”

“แน่ะ!” คนเป็นแม่ร้องเบาๆอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ “ไม่ถูกยังไงกัน”

“ก๊อ...แม่ต้องดุตัวเองด้วย เพราะถ้าแม่รู้ว่าผมอยู่ดึกขนาดไหน ก็แปลว่าแม่ต้องอยู่ดึกกว่าผม จริงไหมครับ”
“ฮื้อ! ลูกคนนี้นี่ จริงๆเชียว” ฟังคำพ่อลูกชาย คุณดวงทิพย์ก็ได้แต่ค้อนขวับ ทว่าค้อนงอนอยู่ไม่นาน เรื่องสำคัญอีกอย่างที่ไม่มีโอกาสได้ถามเลยเมื่อวานก็วกเข้ามาในใจ คุณดวงทิพย์จึงเอ่ยไป

“ว่าแต่เรื่องเด็กคนนั้นล่ะจ๊ะ เป็นยังไงบ้าง?”

“เด็กคนนั้น...” ชายหนุ่มทวนคำ “วริณสิตาน่ะหรือครับ”
“จ้ะ”
“อ๋อ...ก็...” ทว่ายังไม่ทันที่พีรพัฒน์จะเอ่ยอะไร โทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เออ! มันก็ประหลาดดี พักนี้เวลาเขาอยากจะพูดอะไรก็มักจะมีสายเรียกเข้าเช่นนี้ประจำ!
“คนที่บ้านป้าอังน่ะครับ สงสัยป้าบัวศรี” พีรพัฒน์บอก ชายหนุ่มกดปุ่มรับสายก่อนยกโทรศัพท์แนบหู
“ครับ ว่าไงครับ”
“แย่แล้วค่ะคุณพี เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เจ้าจิ๊บค่ะ เจ้าจิ๊บหายตัวไป!”
.............................

สวัสดีค่ะ
สองตอนสำหรับภาคเช้านะคะ ไปทำงานก่อน ภาคบ่ายมาใหม่ค่ะ

ปล. ตอนที่ 28 แบบเต็มๆไปอ่านได้ที่บล็อกแก๊งแล้วคะนะ แล้วเดี๋ยวถ้ามีเวลา จะแว่บมาอัพที่ให้ทันกันค่ะ



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 09:03:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 09:03:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 3298





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
สะเรนี 18 เม.ย. 2554, 10:55:29 น.
อ๊ายย อยากตามไปอ่านในบล็อกแกงค์ แต่ต้องออกไปทานข้าวแล้ว
สุขสันต์วันทำงานค่า (แต่เราหยุด 555)


Pat 18 เม.ย. 2554, 12:22:13 น.
บล็อคแก๊งอะไรคะ จะได้ตามไปอ่าน


ปาริน 18 เม.ย. 2554, 14:46:34 น.
แอ๊ๆ แอบอิจฉาคุณเสี่ยวเหม


สะเรนี 18 เม.ย. 2554, 15:21:44 น.
อย่าอิจฉาเลยค่า ตอนทุกคนหยุดสงกรานต์ เราทำงานงกๆเลยค่ะ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account