Missing Love
(ภาคต่อของพาย) เมื่อเขาทำรักหายไปจนมาเจอเธอ และเธอตั้งใจพลาดความรักเพื่อความสำเร็จ แล้วเขาจะทำให้เธอหันมาสนใจความรักได้อย่างไร
Tags: พาย แจ็คลีน

ตอน: ML014

Missing Love ตอนที่ 14

“ท่านพี่ชวนเขามาค้างเหรอคะ” แจ็คลีนถามพี่ชายด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้วล่ะ มิคชวนตาลุงนั่นมาค้างล่ะ” ไพรด์บอกน้องสาว ก่อนจะถือตะกร้าพร้อมมีดตัดผลไม้ จากนั้นก็ชวน “ไปช่วยพี่ตัดผลไม้สดๆ มาทานกันเถอะ วันนี้ยำส้มโอดีกว่า ทานแล้วจะได้สดชื่น”

“แจ็คไม่มีอารมณ์หรอกค่ะ” แจ็คลีนส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะนั่งลงแล้วทำท่าเซ็งอีกรอบ

ไพรด์เห็นแบบนั้น ก็ใช้มือที่เหลือกึ่งรั้งกึ่งอุ้มให้ลุกขึ้นยืน แล้วพาออกไป “ไปเถอะน่า อยู่ทำไมเครียดๆ ในบ้าน”

“เฮ้ย! ไพร” มิคาเอลเดินขึ้นเรือนไทยมา เห็นน้องสาวโดนกึ่งลากกึ่งรั้งก็ทำหน้าแปลกๆ แล้วทันทีที่แจ็คลีนเห็นพี่ชาย ก็ลุกเองแล้ววิ่งเข้ามาหา จากนั้นก็กระโดดเข้าใส่จนพี่ชายเกือบล้มทั้งยืน “อะไรๆ แจ็ค”

“พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง ชวนตาลุงนั่นมาค้างที่บ้านเราแบบนี้” แจ็คลีนทุบอกพี่ชายอย่างขัดใจ

“ก็เขาอยากมาน่ะ ถามว่าแถวนี้มีโรงแรมไหม บ้านนอกแบบนี้จะเอาโรงแรมมาจากไหนล่ะ อีกอย่างก็ไหนว่าเพื่อนกันไง แล้วทำไมให้มาค้างไม่ได้ล่ะ” มิคาเอลอธิบาย และต้องปล่อยตัวเองให้นอนลงบนพื้นไม้ โดยมีน้องสาวนั่งอยู่บนตัว เพราะถ้าไม่ยอม เขาก็คงเป็นพี่ชายแบบที่เป็นมาเสมอไม่ได้

“พี่มีน้องสาวนะคะ” แจ็คลีนขมวดคิ้วอย่างเข้มงวด

“จ๊ะ แต่พี่ก็มีหมัดเด็ดนะจ๊ะ ก็แค่ให้แจ็คย้ายมานอนห้องพี่ก็แก้ปัญหาได้แล้วล่ะ” มิคาเอลพูดแก้ปัญหาง่ายๆ แล้วยังกล่อมให้น้องสาวสบายใจ “ถ้าดึกแล้วแจ็คยังไม่เข้ามานอนในห้อง พี่จะเอาปืนไปเคาะประตูห้องตาลุงนั่นดีไหม”

“รักท่านพี่ที่สุดเลยค่ะ” แจ็คลีนก้มลงหอมแก้มพี่ชายทั้งสองข้าง แต่ท่าทางที่เธอแสดงอยู่นั้นทำให้พิมลพรรณต้องตกใจ

หลานสาวกำลังนั่งคร่อมพี่ชายที่นอนแผ่ราบกับพื้น แต่ก่อนจะได้พูดอะไ รก็นึกขึ้นได้ว่าหลานสองคนเป็นลูกของน้องสาวที่ชอบทำอะไรทะเล้นทะลึ่งอยู่เรื่อย ก็ได้แต่ทำใจ

แจ็คลีนรีบลงมาจากตัวพี่ชาย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเอามือประสานไปข้างหลัง แล้วยิ้มแห้งๆ จากนั้นก็เดินไปไปหาพี่ชายอีกคน แล้วรีบชวน “ไปเก็บส้มโอกันค่ะ”

“งั้นฉันอยู่อ้อนป้าพิม ป้าพิมครับวันนี้ทำอะไรให้มิคกินครับ” มิคาเอลหันไปอ้อนป้าขึ้นมาทันที

ไพรด์พาแจ็คลีนลงชั้นล่างไป โดยทิ้งอุปกรณ์สื่อสารไว้บนบ้าน ทั้งหมดเห็นเหมือนกัน เพราะไม่อยากให้อะไรมารบกวนในช่วงเวลาสงบ

“เห็นมิคบอกว่าจะมาถึงเย็นนี้นะ บอกให้เชฟทำอาหารเย็นเผื่อด้วย แม่พี่ก็เลยสั่งให้เด็กไปจ่ายตลาดล่ะ” ไพรด์บอกน้องสาวที่เขากำลังส่งส้มโอให้

“วุ่นวายแย่เลยนะคะ” แจ็คลีนพูดอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เลย ตอนนี้บ้านเราพร้อมต้อนรับทุกคนนั่นแหละ ดีที่น้ากาเบรียลกับน้าพายไม่อยู่ที่ปารีส แล้วแจ็คก็พาเชฟมาด้วย สบายเลยล่ะ เห็นสั่งของแล้วก็ทำรายการอาหารแต่ละวันให้แม่พี่ด้วยนะ แม่พี่ยิ้มหวานเลยล่ะ เพราะไม่ต้องทำกับข้าว พ่อพี่ก็ดีใจ เพราะได้ทานอาหารแปลกๆ แต่ยังไงแม่ก็คอยช่วย เพราะบางมื้อทำอาหารไทย” ไพรด์พูดคุยกับน้องสาวอย่างเพลิดเพลิน

“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยากให้คุณป้าเหนื่อยค่ะ ก็เลยสั่งไว้ ถ้าไม่มีใครอยู่บ้านก็ให้พาเชฟไปด้วย อีกอย่างบ้านที่กรุงเทพก็ไม่ค่อยมีคนอยู่นี่คะ ถ้ามาที ก็ลำบากออกไปทานนอกบ้าน คุณพ่อกับคุณปู่เป็นห่วงกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยค่ะ” แจ็คลีนอธิบายตามจริง แต่ปู่เธอก็ไม่มีวันลืมว่าลูกชายเคยโดนลักพาตัวในเมืองไทย แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม

“พี่เข้าใจเลยล่ะ ข้อเสียของการเป็นคนดังคือ ทุกคนคิดว่าเรามีเงินมากพอให้เรียกค่าไถ่” ไพรด์พูดแล้วก็ต้องหัวเราะ เมื่อแจ็คลีนค้อนเข้าให้

“พี่ไพรน่ะ ว่าแจ็คเหรอคะ ตัวเองก็มีเงินเยอะเหมือนกันนั่นแหละ เป็นดาราแล้วนี่คะ” แจ็คลีนก็ออกปากพูดแซวพี่ชาย

สองพี่น้องเดินเล่นอยู่ในสวนอีกนิด ไพรด์ก็หาเรื่องคุยให้แจ็คลีนสบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนขึ้นเรือนไปสมทบกับมิคาเอลที่กำลังสีซอเพลงหวานให้ลุงกับป้าฟัง อีกสองคนรีบเข้าร่วม แจ็คลีนตีขิม ส่วนไพรด์ตีระนาดขับกล่อม ทำให้บ้านทรงไทยเต็มไปด้วยมนต์ขลังแห่งบทเพลงไทยเดิม อันแสนไพเราะ

****************************************


ทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบง่าย จนกระทั่งเย็นค่ำ แล้วแขกก็มาถึง ทรงธรรมขับรถมาเอง โดยปล่อยให้อรัญจัดการกับงานที่เขาสั่งการเอาไว้ ยุคที่เทคโนโลยีเข้าถึง ทำให้เขาสามารถสั่งงานผ่านคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องกังวล

เขาเห็นบ้านทรงทันสมัยตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสวย และไม่ใช่สวนที่โล่งเตียน แต่เป็นสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้น มีศาลาไม้สักหลังใหญ่ และสระน้ำขนาดย่อมปลูกบัวไว้เต็มไปหมด

เมื่อมองไปทางบ้านทรงตึกเห็นกระจกบานใหญ่ เขาก็เดาได้ว่า คงมีสระว่ายน้ำอยู่ที่นั่นแน่นอน พร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครัน เขาเดินไปกดกริ่งที่ประตูบ้าน และมองกล้องสำหรับมองผู้ที่มา ก่อนจะมีเสียงเชิญและเปิดประตู

เบเนดิกซ์รอเขาอยู่แล้ว มีปิแอร์เดินเข้ามาอีกคน ก่อนจะมองแขกแล้วถาม “กระเป๋าคุณอยู่ไหนครับ”

“ในรถครับ อืม แจ็คลีนกับมิคาเอลอยู่บ้านใช่ไหมครับ” ทรงธรรมถามถึงทั้งสองคน เพราะเกรงว่าถ้าถามถึงแต่เธอจะเสียมารยาทเกินไป

“อยู่เรือนไทยค่ะ เข้ามาเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาไปดูห้องก่อน แล้วปิแอร์จะเอาของไปให้ คุณค่อยตามฉันไปเรือนไทย ทั้งหมดจะทานอาหารที่นั่น ที่นี่จะเหลือแต่บอดี้การ์ดสามคนเท่านั้นค่ะ” เบเนดิกซ์ต้อนรับแขกของเจ้านายเป็นอย่างดี

“แจ็คลีนไม่ได้เอามือถือไปด้วยใช่ไหมครับ” ทรงธรรมถามตามตรง เพราะพยายามโทรหาเธอแต่ไม่มีคนรับสาย

“คุณแจ็คลีนปิดเครื่องตลอดค่ะ พี่ชายเธอทั้งสองคนเห็นว่า การมีโทรศัพท์เข้าตลอดไม่ได้ช่วยอะไร อีกทั้งที่นี่มีอินเตอร์เนต สามารถติดต่อสื่อสารได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครขาดการติดต่อหรอกค่ะ” เบเนดิกซ์รายงานตามเรื่อง ก่อนเปิดประตูห้องที่ชั้นสองให้ เห็นวิวแม่น้ำกับด้านหน้าของบ้านได้ชัดเจน

ชั้นบนมีห้าห้องนอน แต่ละห้องมีห้องน้ำราวกับโรงแรมหรู ห้องใหญ่สุดเป็นห้องของพายกับกาเบรียล และมีระเบียงยื่นออกพร้อมกับมีอ่างจากุสซี่ขนาดใหญ่

“เดี๋ยวเชิญคุณไปเรือนไทยนะคะ ท่านรอคุณอยู่ที่นั่นหมดทุกคนค่ะ เพราะตอนนี้ได้เวลาอาหารค่ำ และทุกคนรอคุณอยู่ค่ะ” เบเนดิกซ์บอกตามตรง ก่อนจะปิดประตู และลงไปรอเขาอยู่ชั้นล่าง

ทรงธรรมเดินไปที่ลิ้นชัก ก่อนเอากระเป๋าเงินกับมือถือใส่ลงไปในนั้น แล้วล็อกด้วยกุญแจที่ทางบ้านจัดเอาไว้ให้ ยังไงก็ดี เขาคิดว่าที่นี่ยังดีกว่าโรงแรมหลายแห่งนัก ก่อนจะออกไปจากห้อง

ปิแอร์กับเบเนดิกซ์พาเขาไปยังบ้านทรงไทย ทางเดินปูด้วยศิลาแลงทำให้เดินสะดวกในช่วงที่พื้นแฉะ เมื่อถึงบ้านเรือนไทยก็ได้พบกับสมาชิกทุกคน เขาประหลาดใจนิดๆ เพราะเห็นพายผมสั้นกว่าที่เคย และไม่เห็นสามีผมสีทองของเธอ แต่เห็นหนุ่มไทยนั่งอยู่ข้างๆ แทน

“มากันแล้ว นั่งเลยๆ” มิคาเอลกวักมือเรียกทั้งสาม ให้มาล้อมวงนั่งทานอาหาร ที่โต๊ะขนาดใหญ่ กลางศาลา และมีเบาะรองนั่งเท่าจำนวนคนที่ร่วมโต๊ะ

ทั้งหมดผลัดกันทักทาย ก่อนทรงธรรมจะปล่อยไก่ออกมาทั้งตัว “ไม่ทราบว่าคุณมาที่นี่ด้วย พาย”

คนอื่นก็หัวเราะกันใหญ่ ก่อนไพรด์จะแนะนำ “ไม่ใช่ครับ นี่แม่ผมเป็นพี่สาวของน้าพาย แล้วนี่ก็พ่อผม”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะมีคนทักผิดอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ผมสั้นยาวไม่เท่ากัน” พิมลพรรณพูดอย่างไม่ถือสา แล้วก็พยักหน้าให้คนเสริฟอาหาร แม้ปกติจะช่วยกันทำก็ตาม แต่วันนี้มีแขกมาเยี่ยม

“หิวจังเลยค่ะ” แจ็คลีนกอดแขนป้าเอาไว้แล้วอ้อนนิดๆ

สีหน้าเธอดูผ่อนคลาย ไม่มีท่าทีเคร่งเครียด และพอทานอาหารเสร็จก็คุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนผู้ใหญ่ปล่อยเด็กๆ ไปยังตึกโน้น มีแต่ไพรด์เท่านั้นที่ค้างอยู่ที่เรือนไทย

มิคาเอลโอบไหล่น้องสาวอยู่ตลอด แสดงให้ทรงธรรมเห็นว่าเขายังคงดูแลน้องสาวอยู่เสมอ แม้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน

เมื่อถึงบ้าน เขาก็ขอตัว “พี่ไปนั่งเล่นเบสในห้องก่อนนะ”

แจ็คลีนเห็นพี่ชายหลบฉาก เธอก็ชวนเขาไปนั่งในห้องนั่งเล่น แล้วถามหาเครื่องดื่มจากเบเนดิกซ์ ก่อนเธอจะเปิดโทรทัศน์ และเปิดเล่นหนังที่อิคารัสร่วมแสดง

“เป็นไงบ้างคะ งานยุ่งไหม” เธอถามขึ้นทำลายความเงียบ

“ก็ยุ่งเรื่อยๆ ครับ แต่ทุกอย่างควบคุมได้ คุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง ผมเป็นห่วงคุณนะ” ทรงธรรมพยายามสังเกตท่าทางของเธอ

ขณะในวัยรุ่นวัยเดียวกัน ห่วงแต่เรื่องเท่ห์และเจ๋งในสายตาคนอื่น พร้อมเรียกร้องขอเป็นผู้ใหญ่ และเธอขอเป็นผู้ใหญ่ ด้วยการทำงานหนักแลกความน่าเชื่อถือ ทว่าเพียงเพราะความเจ้าเล่ห์ของคนกลุ่มเดียว ทำให้เธอเครียดหนัก เพราะแบกรับความไว้ใจของผู้ใหญ่หลายคน

“ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ มีผู้ใหญ่ช่วยดูให้อยู่ อีกอย่างทางนั้นฟ้องบริษัท และลุงพอลก็จะไม่ยอมให้ใครสาดโคลนใส่บริษัท โดยไม่ได้บทเรียนอะไรหรอกค่ะ ปัญหาคือคุณพ่อไม่อยากให้ฉันออกสื่อ แต่ลุงพอลอยากให้ฉันออกไปสู้กับสื่อ ก็เลยทำให้ฉันเครียดมากก็เท่านั้นเอง” แจ็คลีนรู้สึกสับสนนิดๆ และไม่แน่ใจว่าว่าควรทำอย่างไรดี ตอนนี้เธอไม่ได้คุยกับปู่เรื่องนี้ เพราะไม่ต้องการให้โซลอนจ์เข้ามาวุ่นวายกับกิจการของเคไอ

“ถ้าคุณคิดจะทำงานด้านนี้ และเชื่อว่าทางนั้นจงใจกลั่นแกล้งเคไอ เพื่อให้กระทบกับคุณ กับโซลอนจ์ การไม่พูดยิ่งทำให้ดูแย่ในสายตาสื่อ เพราะงั้นผมคิดว่าคุณควรออกไปแถลงข่าว ชี้แจงเบื้องต้น เพียงแต่เวลาไหนควร เหมาะจะทำแบบนั้น เป็นสิ่งที่คุณควรไว้ใจกับมืออาชีพ ซึ่งในที่นี้ ผมเชื่อว่าเป็นลุงพอลของคุณนะ” ทรงธรรมช่วยเธอวิเคราะห์ และเขาก็เห็นรอยยิ้มของเธอ แสดงว่าเธอก็คิดไม่แตกต่างจากเขา

คนอย่างแจ็คลีนก็มีจุดอ่อนเช่นกัน และจุดอ่อนนั้นก็คือจุดแข็งของเธอด้วย เพราะเธอรักครอบครัวมาก ทำให้เกิดความสับสนในความรู้สึก จากการที่เธอเชื่อฟังพ่อแม่ด้วย

“ขอบคุณค่ะ” แจ็คลีนยิ้มให้เขา เมื่อมีอีกคนช่วยยืนยันความคิดของเธอ

พรุ่งนี้คงมีอะไรให้ทำอีกมาก และถึงแม้ว่าจะมีปัญหากับพ่อ แต่เธอก็รู้ว่าแม่เธอจัดการได้ และเชื่อว่าแม่ก็คงคิดอย่างเดียวกัน คือไว้ใจพอล ซึ่งดูแลธุรกิจการลงทุนมานาน

หลังจากเขาแต่งแต้มดวงหน้าสวยหวานนั้นด้วยรอยยิ้ม ก็ไม่มีคำสนทนาใดๆ อีก ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ แต่ในความเงียบนั้นกลับสงบลงอย่างน่าประหลาด

บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยคำพูด...ถ้าไม่มีเรื่องไหนให้อึดอัดใจ

****************************************


เช้าวันใหม่ เขาตื่นในที่แปลกตาอีกครั้ง นับตั้งแต่ได้รู้จักแจ็คลีน เขาก็ต้องเดินทางบ่อยกว่าที่เคย แต่น่าแปลกแทนที่จะเหนื่อย เขากลับรู้สึกดีที่ไม่ต้องอยู่กับที่ จมอยู่ในกองทุกข์ที่หาทางออกไม่เจอ

เขาลงมาชั้นล่างแล้วยังไม่เจอใคร บ้านที่เมืองไทยแตกต่างจากที่ปารีสตรงที่ เขาต้องลงมาดูว่าอะไรอยู่ที่ไหนเอง คิดว่าเจ้าของบ้านคงไม่ได้ตั้งใจอยู่ที่นี่ตลอดนัก การเตรียมพร้อมจึงดูแตกต่างกันออกไป

เขาเห็นเธอกำลังออกกำลังกายบนเครื่องออกกำลังกาย จึงทักทายเธอด้วยสีหน้าสดชื่น “หลับสบายดีไหมครับ”

“ค่ะ คุณล่ะ อืม อาหารเช้าอยู่ในห้องอาหารนะคะ อีกสักครู่ฉันถึงจะทาน ถ้าคุณหิวทานก่อนเลย มื้อเช้านี้บริการตัวเองนะคะ” แจ็คลีนพูดและยังหอบกับการออกกำลังกาย เธอไม่หยุดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังช่วยให้ผ่อนคลายได้ด้วย “หรือจะออกกำลังกายด้วยกันคะ”

“คุณออกกำลังกายมานานแล้วเหรอ” ทรงธรรมถามหยั่งเชิงก่อน เผื่อว่าเธฮจะพักแล้ว

“สักครึ่งชั่วโมงได้แล้วค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงถึงจะพัก ถ้าคุณไม่ออกก็ไปนั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่นก็ได้นะคะ” แจ็คลีนอยู่ที่เครื่องออกกำลังกายใกล้ๆ กับสระว่ายน้ำในร่ม

บ้านหลังนี้ใหญ่โตไม่น้อยไปกว่าฐานะของเธอ ถึงพ่อแม่เธอไม่ได้รวยเป็นพันล้าน แต่ก็มากพอให้สบายไปได้ทั้งชาติ โดยไม่ต้องทำงาน เพียงแต่บ้านเธอชอบทำงานมากกว่าอยู่เฉยๆ

“งั้นขอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ดีกว่าครับ เดี๋ยวค่อยรอทานอาหารพร้อมคุณ” ทรงธรรมตัดสินใจ

“เบนคะ ขอกาแฟให้คุณธรรมหน่อยค่ะ” แจ็คลีนบอกคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก

“พี่ชายคุณยังไม่ตื่นเหรอครับ” ทรงธรรมถามขึ้น

“อ๋อ ยังหรอกค่ะ เมื่อคืนบอกให้ฉันติดป้ายห้ามปลุกเอาไว้หน้าห้อง แสดงว่าคงใกล้เที่ยงถึงจะตื่น เข้าห้องมาตอนไหนก็ไม่รู้ค่ะ คิดว่าถ้าไม่แต่งเพลงก็คงเล่นเบสจนเช้าที่ห้องนอนไหนสักห้อง คุณพ่อทำให้ห้องนอนทุกห้องเป็นห้องเก็บเสียงน่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องสร้างห้องซ้อมดนตรีเพิ่ม” แจ็คลีนยังคงหอบ เพราะเธอไม่ได้ลดความเร็วในการออกกำลังกายเลยแม้แต่น้อย

“ผมไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ดีกว่าครับ” ทงธรรมเห็นเธอเหนื่อยก็ไม่อยากรบกวนอีก

แจ็คลีนไม่ตอบคำเพียงพยักหน้าช้าๆ แล้วออกกำลังกายของเธอต่อไป เมื่อครบครึ่งชั่วโมง เธอก็ขึ้นชั้นบน เพื่ออาบน้ำ ก่อนจะลงมาด้วยชุดลำลองกางเกงแสนธรรมดา จากนั้นก็ชวนเขาไปทานอาหารเช้า

“ไง แจ็ค อ้าว ดีครับลุง” อิคารัสเผลอเรียกทรงธรรมตามแบบที่แอบเรียกประจำ “เอ๊ย คุณทรงธรรม”

ทรงธรรมขมวดคิ้วแทบจะทันที แล้วมองอย่างสงสัย แต่ไม่มีใครเฉลยอะไรให้ฟัง เขาก็ได้แต่นิ่งเงียบ

แจ็คลีนส่งสัญญาณไม่ให้อิคารัสเรียกเขาแบบนั้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “พี่อิกกี้คะ ทานอาหารเช้ามาหรือยัง”

“ยังเลย เมื่อคืนเล่นเกมแข่งกับมิคยันเช้า แล้วโดนปู่กับย่าปลุกตั้งแต่เช้าน่ะ กะว่าจะมาหาที่นอนสักหน่อย คนแก่นี่ไม่ชอบให้นอนตื่นสายนะเนี่ย ขนาดมาพักยังไม่ได้พักเลย” อิคารัสบ่นๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แจ็คลีน แล้วใช้คีมคีบอาหารใส่จานตัวเอง

“ที่แท้ก็เล่นเกมกันจนเช้านี่เอง เหลือห้องว่างห้องเดียวนะคะ ไปนอนได้เลยค่ะ” แจ็คลีนหันไปพยักหน้ากับเบเนดิกซ์ ก่อนเบเนดิกซ์จะหยิบกุญแจห้องให้

“โอ๊ย!!! ไม่ต้องหรอก ห้องมิคก็ได้ นอนได้เหมือนกัน มันคงไม่ถึงกับละเมอปล้ำพี่หรอกน่า” อิคารัสพูดง่ายๆ ก่อนจะลงมือทานอาหารเช้าอย่างเร็วๆ แล้วรีบแยกตัวไปนอนพัก

แจ็คลีนส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดคุยไปตามเรื่อง “คุณพ่อบอกว่า ให้ซนอยู่ในบ้าน ดีกว่าไปสร้างปัญหานอกบ้านค่ะ มาที่นี่ทีไร ต้องหากิจกรรมทำกันตลอด ไม่งั้นก็ไม่ไหวเบื่อกันตาย ไม่มีอะไรให้ทำ อีกอย่างผับบาร์แถวนี้ก็อยู่ไกล อิกกี้ชอบบอกว่ามาบ้านนี้ดีกว่า มีเหล้าดีๆ ให้ดื่มเยอะ ส่วนเรื่องสาวๆ นี่ออกจะเข็ดกัน เพราะคราวก่อนเกิดเรื่องกับน้องสาวอิกกี้ค่ะ คุณคงจำได้ เพราะตอนนั้นฉันไปทานอาหารค่ำกับคุณ แล้วโดนตำรวจเรียกกลับไงคะ”

“อ๋อ ผมจำได้ แต่ก็ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ” ทรงธรรมถามอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว

“คือหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นอีกค่ะ นอกจากปัญหาเรื่องอีฟแซงก็มีเรื่องนี้นี่ล่ะค่ะ ที่ฉันปวดหัว เด็กวัยรุ่นทำตัวได้คิดสั้นมากจริงๆ” แจ็คลีนบ่นราวกับตัวเองอายุสักสามสิบได้ แต่ก็ทำให้เขาหัวเราะ เธอจึงถามอย่างสงสัย “มีอะไรน่าขำเหรอคะ”

“ก็คุณพูดเหมือนตัวเองไม่ใช่วัยรุ่นอย่างนั้นแหละ คุณอายุสิบเก้าเองนะ ถึงคุณจะไม่ทำตัวแย่แบบนั้น ก็ต้องทำใจกับช่วงวัยให้ได้ล่ะ บางทีอาจมีบางอย่างที่น้องสาวอิกกี้ต้องการแต่แตกต่างจากคุณ” ทรงธรรมพูดขึ้นอย่างผู้ใหญ่ที่มากประสบการณ์ เพราะเขาก็เคยมีช่วงที่น้องชายต่างแม่สร้างปัญหาให้เขาได้เช่นกัน

“ค่ะ” แจ็คลีนต้องยอมรับ ก่อนถามเขา “แล้วนี่สถานการณ์ปัญหาเรื่องคู่แข่งทำไม้ของคุณเป็นยังไงบ้างคะ ได้ข่าวว่าตอนนี้พ่อคุณเข้าไปช่วยงานคู่แข่งคุณเต็มที่แล้วนี่”

“ก็เรื่อยๆ ครับ ต่างคนต่างก็ทำไป ความเห็นไม่ลงรอยกันเล็กน้อย อย่าใส่ใจเลยนะครับ” ทรงธรรมพยายามบอกปัด เพราะไม่อยากให้เธอต้องปวดหัวกับปัญหาของเขา

“ฉันว่าคงไม่เล็กน้อยค่ะ เพราะแม้แต่ครอบครัวทางฝั่งคุณพ่อฉัน ก็ยังเป็นปัญหาได้เลย เข้าใจนะคะ ฉันก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคุณ เพียงแต่ของฉันเป็นญาติ ของคุณเป็นคุณพ่อน่ะค่ะ” แจ็คลีนพูดด้วยความเห็นใจ

“ของผมคงต่างจากคุณเยอะครับ ผมกับพ่อ เรามีสิ่งที่เชื่อมโยงเดียวก็คือสายเลือดเท่านั้น ที่เหลือก็แทบจะไม่รู้จักกันเลย ที่เขาทำแบบนั้น ผมก็เข้าใจได้ เพราะนอกจากเงินเดือนเปล่าๆ ที่กองกลางมอบให้แล้ว พ่อผมก็ไม่ได้อะไรจากครอบครัวเลย ปัญหามากแต่ก็เพราะทำตัวเองกันทั้งนั้น” ทรงธรรมเผลอระบายความในใจ

“อะไรที่ปรับไม่ได้ก็ต้องทำใจนะคะ พ่อคุณก็มีความสามารถด้านนี้ ถ้าเขาคิดว่าเขาทำงานด้านนี้ได้ ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา เรื่องคู่แข่งไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ ปัญหาคือเราสามารถที่จะบริหารงานได้แค่ไหน จริงไหมคะ” แจ็คลีนพูดตามที่คิดและเห็นเขาพยักหน้า

“ผมก็พยายามปลอบย่าผมเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ต้องให้ท่านค่อยๆ ทำใจ ช่วงนี้ท่านก็ทำใจได้มากขึ้นแล้วครับ” ทรงธรรมพูดคุยกับเธอได้อย่างสบายใจ ไม่บ่อยนักที่เขาจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจเสมอมา

“คนอายุมากก็คิดมากเหมือนกันค่ะ คุณปู่คุณย่าฉันเขาก็ขี้กังวล แล้วปัญหาเดียวที่ท่านพยายามแก้แต่แก้ไม่ได้สักทีก็คล้ายๆ คุณเหมือนกัน แต่บางครั้งก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องชองโชคชะตานะคะ” แจ็คลีนพูดอย่างปลงๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุผลของมันเอง เรื่องไหนพอทำได้ก็ทำ เรื่องไหนทำไม่ได้ก็ต้องทำใจ

ทรงธรรมเห็นด้วยกับเธอ ปัญหาที่เขาคิดว่าควรแก้ เขาก็พยายามแก้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ เขาก็ต้องทำใจอย่างที่เธอพูด ปล่อยเวลาให้ผ่านไป แล้วใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าก็พอ

****************************************


เมื่ออีฟแซงตั้งใจเล่นงานเคไอ และคิดว่าหลักฐานต่างๆ ที่ได้มาจากเคไอจะต้องเป็นปัญหา เพราะแจ็คลีนจะต้องขอความช่วยเหลือจากโซลอนจ์ แต่กลับกลายเป็นว่าเคไอไม่ใช่บริษัทข้ามชาติธรรมดา และมีสายข่าวสารของตัวเอง

คดีจึงพลิก และเคไอรวบรวมหลักฐาน ที่อีฟแซงสร้างหลักฐานปลอม ทำให้แจ็คลีนยกระดับขึ้นสู่นักธุรกิจอย่างเต็มตัว เมื่อเธอออกแถลงข่าวอย่างสุขุมรอบคอบระหว่างมีคดีความ แม้จะทำได้เพียงกำจัดผู้จัดการคนหนึ่งของอีฟแซงเท่านั้น

“อย่างนี้ต้องฉลองหน่อย” อิคารัสหยิบแชมเปญออกมาฉลองให้กับแจ็คลีนที่ผ่านพ้นวิกฤติไปได้

“ยังไม่หมดหรอกค่ะ เรื่องแผนการตลาดน้ำหอมเพิ่งจะเริ่มเท่านั้นล่ะค่ะ ตอนนี้อะไรๆ ก็ยังวุ่นวายอยู่เหมือนเดิม แล้วอิซซี่ก็ยังต้องเคลียร์งานแล้วย้ายมาเรียนที่นี่อีก ไม่เห็นมีอะไรน่าฉลองสักอย่าง” แจ็คลันพูดตามจริง

“แหม! พอคบกับลุง ก็ต้องแก่ตามลุงไปด้วยหรือไง เรื่องของอิซซี่ เอาไว้ให้เจ้าตัวสำนึกได้ ก็จะดีเองล่ะ นี่แม่ก็ให้กักบริเวณอยู่แต่ในห้องนะ ไม่ให้ลงมาชั้นล่างเลยด้วย” อิคารัสพูดอย่างเห็นใจน้องสาว

“พูดอะไรบ้าๆ แจ็คไม่ได้คบกับตาลุงนั่นซะหน่อย เป็นเพื่อนกันค่ะ” แจ็คลีนคว้าหมอนขว้างใส่อิคารัส แต่แทนที่เขาจะโกรธกลับหัวเราะ แล้วส่งแก้วแชมเปญให้แทน

“คิดมากทำไม เพื่อนก็เพื่อนสิ” อิคารัสส่งแก้วให้ ก่อนจะยกดื่มให้ชุ่มคอ จากนั้นก็ลุกขึ้น “พี่ไปเที่ยวก่อนนะ เห็นแม่พี่บอกว่าจะไปช็อปปิ้งหน่อยนี่”

“ค่ะ ไปกับแจ็ค เพราะย้ายมาเข้าเรียนที่นี่ แล้วเสื้อผ้าของอิซซี่ไม่ไหวเลยค่ะ ดูไม่เรียบร้อยเท่าไร โรงเรียนประจำที่นี่ก็ระเบียบเคร่งครัดด้วย โรงเรียนเก่าแก่ก็อย่างนี้ล่ะค่ะ” แจ็คลีนบ่นไปตามเรื่อง ก่อนมองปารีสที่เดินเข้ามาหลังจากอิคารัสออกไป

“อิกกี้ไปเที่ยวแล้วสินะ มิคก็ไม่อยู่ ไพรด์ก็กลับเมืองไทย หนุ่มๆ อยู่ไม่ค่อยติดบ้านกันเลยนะเนี่ย” ปารีสเริ่มคาดเดาชีวิตประจำวันของลูกชายออก

“อย่างนี้ล่ะค่ะ ให้อยู่ติดบ้านก็คงยาก จะอยู่ได้ก็คงต้องอยู่ที่เมืองไทย เพราะไม่มีที่ให้เที่ยวค่ะ” แจ็คลีนอยู่บ้านคนเดียวจนชินแล้ว จึงไม่ค่อยแปลกใจมากนัก

“น้ามาอยู่ที่นี่ แน่ใจนะว่าไม่ทำให้ลำบาก” ปารีสพูดอย่างเกรงใจ ถ้าแค่มาเที่ยวไม่กี่วันกลับก็ยังไม่เป็นไร แต่นี่มาอยู่นาน เพราะจับลูกสาวมาเรียนที่นี่ด้วย เพื่อลดปัญหาต่างๆ

“ไม่หรอกค่ะ ดีเสียอีก มีคนอยู่เป็นเพื่อนแจ็ค นี่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไปโมร็อกโคอีกแล้วค่ะ เห็นว่าอีกสองอาทิตย์กลับ ท่านพ่อได้รับเชิญไปเล่นฮาร์ฟในงานแสดงคอนเสิร์ตอีกค่ะ” แจ็คลีนอธิบาย ขณะมองตารางงานที่แน่นขนัดของตนเอง ทั้งเรื่องเรียนเรื่องงาน

ปารีสเห็นหลานสาว ที่กำลังจัดการตารางงานของตัวเองแล้วก็ได้แต่ทำใจ เพราะแจ็คลีนถือว่าเป็นนักธุรกิจที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งหลังจากพิสูจน์ตนเองในหลายครั้ง

“เอาเวลาที่ไหนไปพักผ่อนกันล่ะ แจ็ค หนูทำงานเยอะแบบนี้เลยเหรอ” ปารีสถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

ระหว่างแจ็คลีนกับเฮเลนมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คนหนึ่งเอาการเอางาน ส่วนอีกคนยังเป็นเด็กที่ต้องให้คนอื่นคอยพยุงอยู่ตลอด

“มีค่ะ นี่ก็แค่สองสามอาทิตย์เท่านั้นค่ะ ตารางเวลาส่วนใหญ่ เบนเขาจัดสรรปันส่วนให้เหมาะสมแล้วค่ะ ถ้าไม่มีช่วงพัก ท่านพ่อกับท่านแม่ตัดออกจากกองมรดกแน่ค่ะ” แจ็คลีนพูดติดตลก แต่ก็เห็นด้วย อย่างที่แม่เธอบอกเสมอ ชีวิตมันสั้นให้รู้จักพักบ้าง หาอะไรสนุกๆ ทำ

“แล้วถ้าเสร็จจากสองสามอาทิตย์ที่ว่านี่ล่ะ” ปารีสถามอย่างสงสัย

“แจ็คนัดเพื่อนจะไปเล่นสกีค่ะ เห็นท่านพี่จะไปด้วย ไปกันหลายคนสนุกค่ะ แล้วน้าปารีสจะไปด้วยกันไหมคะ” แจ็คลีนถามชวน ทั้งที่รู้ว่าต้องโดนปฏิเสธ

“ไม่ได้หรอก ต้องอยู่เป็นเพื่อนเฮเลนน่ะ ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะดูแลเฮเลนอย่างเต็มที่ น้าก็ไม่อยากให้มีอะไรผิดแผน” ปารีสบอกเล่า แล้วก็ถอนหายใจ

“เฮเลนไม่ได้สิ้นคิดหรอกค่ะ แค่หลงผิดไปชั่ววูบ คนเราเมื่อตั้งหลักได้ ก็จะพบทางสว่าง อย่าห่วงไปเลยนะคะ” แจ็คลีนแตะที่หลังมือเพื่อนแม่เพื่อปลอบ

ปารีสรู้สึกถึงความเหมือนกันของสองแม่ลูก ที่พร้อมจะปลอบใจคนที่กำลังเป็นทุกข์อยู่เสมอ ถ้าสักวันแจ็คลีนเติบโตขึ้น คงเป็นสุภาพสตรีที่ใครๆ ก็พูดถึงอย่างแน่นอน

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แล้วแจ็คลีนก็กดรับสาย “สวัสดีค่ะ”

“เป็นยังไงบ้างครับ” ทรงธรรมโทรมาถามความเป็นไปของเธอ

“ก็ปกติดีค่ะ คุณล่ะคะ” แจ็คลีนพูดคุยอย่างไม่ใส่ใจนัก และยังคงจัดการรายละเอียดของงานต่อไป

“มีปัญหาบ้างแต่ก็พอแก้ไขไปได้” ทรงธรรมยังพูดไม่จบ เธอก็แทรกขึ้นมา

“เดี๋ยวรอสายสักครู่นะคะ” แจ็คลีนกดสลับสายไปยังเพื่อนอีกคนที่โทรเข้ามา “มีอะไร สเตฟาน เรื่องรายงานเหรอ ฉันทำเสร็จแล้วล่ะ อืม ได้สิ มาที่บ้านได้นะ ไอรีนด้วยเหรอ พามาเถอะ ช่วงเย็นนะ แค่นี้นะ”

“กลับมาแล้วค่ะ เพื่อนจะมาบ้านเรื่องรายงานน่ะค่ะ คงต้องแค่นี้ก่อนนะคะ จะพาน้าปารีสไปซื้อของค่ะ” แจ็คลีนตัดบททั้งหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็พับปิดเอกสารที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อย “เดี๋ยวเราไปกันเลยนะคะ”

“ได้จ๊ะ” ปารีสยิ้มรับ แต่ก็ให้รู้สึกเกรงๆ นิดๆ เพราะถึงอย่างไรแจ็คลีนกับมิคาเอลก็ดูคล้ายพ่อมากกว่าแม่

ต่อให้มิคาเอลพยายามทำตัวคล้ายแม่มากแค่ไหน หากปารีสก็ดูออก เพราะในยามขัดใจ เขาก็ทำตัวได้ทรงอำนาจเหมือนกาเบรียล ทว่าแม้คนสนิทอย่างปารีสก็ลืมนึกไปว่า จริงๆ แล้วข้อนี้ทั้งกาเบรียลและพาย ต่างก็มีความเหมือนกัน เพียงวิธีการแสดงออกต่างกันเท่านั้นเอง

****************************************


อาหารมื้อนี้ทำให้มรกตรู้สึกประหลาดกว่าเคย เมื่อแก้วกินรีนัดทานข้าวเที่ยง และโชคดีที่ลูกๆ เธอก็ไปโรงเรียนกันหมด เธอจึงมีเวลามาตามนัด

“เป็นยังไงบ้าง กต” แก้วกินรีทักทายทันทีที่เจอหน้าเพื่อน

“เธอล่ะ ทำงานที่โรงแรมแล้วเป็นไงบ้าง แล้วนี่ไปยังไงมากรุงเทพฯ ได้” มรกตทักทายเพื่อนแล้วก็มองหาจุดประสงค์เพื่อนให้ชัด

“มาอบรมน่ะ ฉันขอบคุณเธอมากนะ ที่ช่วยให้ฉันมีทุกอย่าง ฉันตั้งตัวได้ก็เพราะเธอ ทั้งบ้านทั้งรถ แล้วยังงานอีก ฉันไม่คิดว่าเธอจะช่วยเหลือฉันมากแบบนี้ ลิซซี่มีชีวิตที่มั่นคงก็เพราะเธอนะ” แก้วกินรีพูดทั้งที่ยิ้ม

เพราะชีวิตปีกว่าเกือบสองปีของเธอนี้เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมาย

“เธอก็รู้ว่าฉันมีลูก ฉันก็อยากจะให้เธอกับลูกมีหลักฐานที่มั่นคงล่ะนะ” มรกตพูดสวยหรู เพื่อไม่ให้แก้วกินรีรู้เรื่องที่ทรงธรรมให้เงินมาสามล้าน เพื่อจัดการให้สองแม่ลูกได้อยู่อย่างสบาย โดยไม่มาวุ่นวายกับเขา

“ทำไมนนท์ไม่มาด้วยกันล่ะ” มรกตถามถึงสามีเพื่อน ซึ่งก็เป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน

“เขาจะมาจากสำนักงานน่ะ ฉันไม่ได้ทำงานแล้วล่ะ เป็นแม่บ้านลูกสองเต็มตัวแล้ว” มรกตพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเห็นสามีเดินเข้ามา “นั่นไงมาพอดีเลย”

อานนท์โบกมือให้เพื่อนและภรรยา ก่อนจะนั่งลงข้างภรรยาเขา “ขอโทษทีรถติดน่ะ เป็นยังไงบ้างแก้ว เธอยังดูสดใสเหมือนเดิมนะ”

“เพราะกตเนี่ยแหละ ฉันถึงมีชีวิตที่สดใสได้อีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าเธอสองคนจะช่วยฉันแบบนี้” แก้วกินรีพูดทั้งที่ยังคงรอยยิ้มเอาไว้

“ไม่มีปัญหาหรอก แล้วนี่ลูกเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ” อานนท์พูดถึงลูกสาวเพื่อน เพราะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

“ลิซซี่สบายดี ชาร์ลเอาลูกไปจากฉันไม่ได้ ทั้งหมดต้องขอบใจเธอสองคนนะ” แก้วกินรีมองเพื่อนด้วยรอยยิ้ม

“แค่หางานให้เพื่อนทำ มันไม่มีอะไรมากอย่างนั้นหรอกนะ ไม่ต้องขอบอกขอบใจตลอดเวลาก็ได้” อานนท์พูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะถามภรรยา “สั่งอะไรให้ยังจ๊ะ แม่”

“สั่งแล้วล่ะ” แก้วกินรีพูดกับสามีแล้วก็ยิ้มให้อย่างมีความสุข

“แค่เรื่องงานอะไร บ้านหลังใหญ่ใกล้เมือง แล้วยังจะรถอีก ไม่คิดเลยว่าเธอสองคนจะช่วยเหลือฉันไว้มากอย่างนี้ ฉันรู้ว่าตลอดมาฉันไม่ค่อยได้ทำอะไรเพื่อเธอสองคนมากอย่างนี้ แต่ก็ขอบคุณมากนะ ฉันจะไม่ลืมเลย” แก้วกินรียังคงรอยยิ้มปลื้มกับความดีของเพื่อน

“บ้าน? รถ?” อานนท์ทวนคำก่อนหันไปมองภรรยา ตั้งท่าทางแบบสงสัย “นานแค่ไหนแล้วล่ะ แก้ว ขอโทษทีนะ จำไม่ได้”

“พวกเธอเนี่ยรวยแล้วรวยเลยจริงๆ เงินเยอะนะ รถน่ะไม่แพง แต่บ้านใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่แบบนั้น อย่างน้อยๆ ก็สองล้านขึ้นไปล่ะ ก็ตั้งแต่ฉันทำงานให้พ่อกตนั่นแหละ” แก้วกินรียังไม่ทันได้สังเกตท่าทางแปลกๆ ของเพื่อน

“เกือบสองปีแล้วสินะ” อานนท์จ้องภรรยาเป็นเชิงถาม เพราะเขาไม่รู้ว่าแก้วกินรีกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

มรกตรู้ว่าสามีต้องสงสัย จึงได้แต่หาทางแก้ “เอ้อ จริงสิ พ่อ ตอนแม่เดินเข้ามา เจอร้านนาฬิกา เห็นว่าพ่ออยากได้นาฬิกาใหม่ อืม ยังไม่ค่อยหิว เดี๋ยวมานะ แก้ว”

เธอรีบดึงแขนสามีออกไปดูนาฬิกาทันที ขณะที่แก้วกินรีได้แต่ส่ายหน้า เพราะนิสัยมรกตเรื่องช็อปปิ้งไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย ก่อนจะมองเห็นเพื่อนลืมกระเป๋าเงิน จึงบอกบริกรเอาไว้ว่าเดี๋ยวจะกลับมา แล้วเอากระเป๋าเงินไปให้เพื่อน

เธอกลับได้ยินเรื่องที่มรกตกำลังเล่าให้สามีฟัง

“อะไรนะ! ธรรมทำไมทำแบบนี้ล่ะ” อานนท์ฟังภรรยาเล่าเรื่องให้ฟังแล้วก็ต้องประหลาดใจ

“ก็สงสารเด็กตาดำๆ น่ะ ลำพังแก้วคนเดียว ขอแค่มีงานทำก็ไม่เท่าไร แต่ลิซซี่ต้องมีบ้าน ต้องเข้าโรงเรียน ต้องมีความมั่นคงในชีวิต ไม่งั้นก็คงแย่ พ่อก็รู้นี่ ธรรมเขาสงสารลิซซี่ เพราะเขาเองก็อยู่ในครอบครัวที่แตกแยกมาก่อน แต่เรื่องนี้ให้แก้วรู้ไม่ได้นะ ครั้งก่อนแก้วเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตเขาเสีย จนเขารำคาญจนไม่รู้จะยังไงแล้ว เขาเป็นคนดีอยากช่วยเหลือเพื่อนก็เท่านั้น” มรกตพยายามอธิบายกับสามี

“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก ทำให้พ่องงอยู่ตั้งนาน นึกโกรธด้วย นึกว่าแม่แอบเอาเงินเป็นล้านไปช่วย โดยไม่บอกพ่อ เอาเถอะ” อานนท์พยักหน้าช้าๆ

“จริงๆ แล้วก็เอาไปช่วยแหละ แต่ไม่ถึงล้านน่ะ พ่อ คือว่าธรรมให้เงินแม่สามล้าน มันก็พอแค่ค่าบ้านเท่านั้นแหละ ค่ารถนี่แม่ออกเองน่ะ พ่อคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม” มรกตกลืนน้ำลายนิดๆ

“ตอนนี้คงว่าไม่ได้แล้วล่ะ เอาล่ะ ทีหลังต้องปรึกษาพ่อด้วยนะ” อานนท์พร้อมให้อภัยภรรยาเสมอ เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมาน้อยครั้งที่ภรรยาจะตัดสินใจพลาด

“จ๊ะ พ่อ” มรกตโล่งใจที่ปรับความเข้าใจกับสามีได้ ถึงเธอจะเป็นลูกพ่อเลี้ยงทางเหนือที่เอาแต่ใจ หากพอแต่งงานแล้วเธอก็รู้ว่าการประนีประนอมเป็นสิ่งสำคัญกว่า

แก้วกินรีได้ฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปในทันที ที่รู้ว่าคนรักเก่าเป็นคนให้เงินสำหรับซื้อบ้านให้เธอ เขายังใจดีเสมอ แม้จะทำเพื่อลูกสาวเธอก็ตาม เธอกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ความหวังคงไม่ไกลถ้าหัวใจยังคงตั้งมั่น...

****************************************

อิอิ สวัสดีค่ะ
เอ๋ นี่วันที่ 3 แล้วเป็นตอนที่ 5 ตามที่ตกลงกันไว้ค่า
อิอิ จะเป็นตอนสุดท้ายของอาทิตย์นี้หรือเปล่าน้า โฮะๆๆๆ
เชิญสนุกกับนิยายกันเลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายมาตลอดนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2555, 12:37:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2555, 12:37:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1943





<< ML013   ML015 >>
XaWarZd 3 ม.ค. 2555, 13:30:00 น.
ยัยแก้วถ้าหน้าด้านกลับไปก็เกินทนล่ะ อยู่ห่างๆ สบายๆ ไปนะดีแล้ว เมื่อไหร่แจ็คจะใจอ่อนซะทีน้า สงสารลุงธรรม


anOO 3 ม.ค. 2555, 13:30:32 น.
ยัยแก้วแอบได้ยินรึเนี้ย เดี๋ยวได้หวังคิดเข้าข้างตัวเองอีก


maplezaa 3 ม.ค. 2555, 13:46:12 น.
น๊านนนนนนนนน หวังขึ้นมาเชียวน่ะย่ะ


หนอนฮับ 3 ม.ค. 2555, 16:19:08 น.
เย้....ฟ่าน้ำท่วมมาอ่านนิยายได้แว้ววววว อิอิ


ร้อยวจี 3 ม.ค. 2555, 18:32:29 น.
เคไอแข็งจริงๆ แต่เรื่องซื้อบ้านของตาลุงความแตกซะแล้ว หวังว่าความใจดีของตาลุงคงจะไม่ไปตั้งความหวังให้นางมารร้ายนะคะ


ร้อยวจี 3 ม.ค. 2555, 18:33:34 น.
ลืม กวังว่าวันพฤหัสฯ จะมาลงต่อนะคะ รอค่ะ


sai 3 ม.ค. 2555, 18:57:56 น.
โอ๊ยยย ยายแก้วมีความหวังอีกแล้วววว ลุงหนอลุงเรื่องโน้นจบเรื่องใหม่มาจ่อคิวรอแล้ววว น่าสงสารจริงๆ


konhin 3 ม.ค. 2555, 23:30:43 น.
ปัญหาก่อตัวอีกแล้วววววว


wind 4 ม.ค. 2555, 00:45:49 น.
ผู้หญิงอะไร พูดไม่รู้ฟัง


ตุ๊งแช่ 4 ม.ค. 2555, 07:38:18 น.
วุ่นของแท้เลยครอบครัวนี้ อิอิ


ใบบัวน่ารัก 4 ม.ค. 2555, 12:35:36 น.
น่าจะคิดได้นะ อย่าไปยุ่งกะเค้าอีกเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account