กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 9

ตอนที่ ๙

ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าเข้ามาในโถงกว้างของคฤหาสน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่คนที่ดูจะตึงเครียดกว่าคือแม่บ้านวัยหกสิบห้าที่รอรับหน้าเขาอยู่

“หาดูทั่วแล้วหรือ?” ชายหนุ่มเปิดฉากคำถามแรกทันที แต่อาจเพราะคิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นจึงทำให้น้ำเสียงที่เคยฟังนุ่มทุ้มอยู่เสมอกลับยังความน่าเกรงขามจนทำให้คนถูกถามเหมือนจะสะดุ้งไปน้อยๆ

“ขะ...ค่ะ”

เมื่อคำตอบเป็นเช่นนั้นพีรพัฒน์ก็ไม่ได้พูดอะไรกับนางบัวศรีอีก เขาก้าวยาวๆไปตามบันไดหินอ่อนที่ทอดตัวขึ้นสู่ชั้นบนของคฤหาสน์ ช่วงก้าวยาว แข็งแรงและมั่นคงเช่นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ทำให้นางบัวศรีที่ก้าวตามอยู่ด้านหลังต้องคว้าราวบันไว้ แล้วพาสังขารที่อายุอานามเข้าวัยชราแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อตามให้ทัน

พีรพัฒน์คว้าลูกบิดประตูไม้แกะลายเถาองุ่นของห้องเล็กตรงปีกซ้ายแล้วเปิดออกอย่างไว มวลอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศชั้นยอดกรูเข้าปะทะผิวกาย แต่ห้องทั้งห้องกลับว่างเปล่าไร้ความเคลื่อนไหว

“นี่แหละค่ะ” เสียงนางบัวศรีเล่า “เมื่อเช้าเกือบเจ็ดโมงกว่า ไม่เห็นเจ้าจิ๊บออกมาสักที ป้าก็เลยขึ้นมาดู แต่...แต่ก็อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ” เสียงนางบอก จนถึงตอนนี้ความรู้สึกตกใจยังวูบๆอยู่ในอก เพราะงั้นไม่ต้องไปนึกถึงเมื่อเช้าเลย พอเปิดมาเจอห้องโล่งๆ ใจนางนี่หล่นแว้บไปอยู่ตาตุ่มเทียว!

“เป็นความผิดของป้าเองล่ะค่ะ เมื่อคืนก็เห็นแล้วว่ามันซึมๆหงอยๆ ไม่น่าเล้ย ไม่น่าทิ้งให้อยู่คนเดียวเลย นี่เลยหนีไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้” นางบัวศรียังพล่ามต่อไป “แต่คุณพีไม่ต้องกังวลนะคะ ข้าวของมีค่าในบ้านทุกอย่างยังอยู่ครบ ป้าตรวจแล้ว”

พีรพัฒน์เหลือบมองหน้าคนพูดทันที ที่จริงเขาไม่เคยมีความคิดหรือสงสัยว่าเด็กคนนั้นจะขี้ขโมยแม้แต่น้อย แต่แน่ล่ะ! คงตำหนิอะไรไม่ได้กับคำพูดเมื่อกี้เพราะไม่มีใครจะรู้จักนิสัยใจคอแท้จริงของเด็กนั่น ชายหนุ่มถามอีกครั้ง

“แน่ใจนะ ว่าหาทั่วแล้ว”

“ค่ะ” นางบัวศรีตอบ “พอเปิดมาเห็นห้องโล่งๆ ป้าก็ตกใจ เดินหาให้ทั่วทั้งชั้นบนชั้นล่าง ให้ตาก้านช่วยตามจนรอบบ้านแล้วก็ยังไม่เจอ ป้าขอโทษนะคะคุณพี ป้าขอโทษ เป็นความผิดของป้าแท้ๆเลย”
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปกลางห้อง กวาดตามองรอบๆ ของทุกอย่างยังอยู่ปกติดีเช่นที่นางบัวศรีบอก เขาหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด

แล้วเด็กคนนั้นจะหายไปไหนได้?

‘เป็นความผิดของป้าเองล่ะค่ะ เมื่อคืนก็เห็นแล้วว่ามันซึมๆหงอยๆ ไม่น่าเล้ย ไม่น่าทิ้งให้อยู่คนเดียวเลย’

หรือว่า...จะหนีกลับไปที่บ้านเก่า?

ทั้งๆที่เพิ่งจะถูกคุกคามหวังทำมิดีมิร้ายนี่น่ะ?

พีรพัฒน์ถึงกับแค่นยิ้มออกมา เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นละก็

เฮอะ! เด็กไร้หัวคิด! ชายหนุ่มหมุนตัวจะเดินออกไปจากห้องทันที แต่ทว่า...แค่แวบหนึ่งของปลายหางตา เขารู้สึกราวกับว่าจะเห็นปลายเท้าคนที่ยื่นพ้นออกมานิดๆจากซอกเตียงฝั่งด้านใน พีรพัฒน์สะดุดกึกก่อนสะบัดหน้าไปเขม่นมอง และแล้วก็...

ใช่! ใช่จริงๆนั่นแหละ! แม้จะยื่นพ้นออกมาจากฐานไม้ตันๆของเตียงแค่นิดเดียวก็ตาม แต่มันคือเท้าคนจริงๆ!

เขารีบก้าวยาวๆเข้าไปดูอีกด้านของเตียงทันที และแล้ว...

เฮ้อ! อยู่นี่นี่เองนะ แม่เด็กเจ้าปัญหา

พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจหนักอึ้งออกมา ส่ายหน้าน้อยๆขณะทอดสายตามองร่างบางๆที่นอนตะแคงคู้กายหลับนิ่งอยู่บนพื้นตรงซอกเหลือบข้างเตียง ส่วนนางบัวศรีที่เห็นอาการสะดุดของเจ้านาย ก่อนร่างสูงใหญ่จะโดดผลุงไปชะโงกดูอีกด้านของเตียง เช่นนั้นนางจึงรีบเดินเข้ามาดูบ้าง

“โอย! ตายๆ!” แล้วแม่บ้านวัยหกสิบห้าก็อุทานลั่นออกมา “ทำไมลงมานอนตรงนี้ล่ะลูกเอ๊ย!” แล้วก็เกิดอาการไม่กล้ามองหน้าเจ้านายหนุ่มขึ้นมากะทันหัน เพราะความสะเพร่าขี้ตกใจของนาง ที่พอเห็นห้องโล่งๆปุ๊บก็ตระหนก รีบร้อนตื่นไฟออกไป แต่ว่า...

ไฮ้! ก็ใครจะไปคิดเล่า ว่าเด็กมันจะลงมานอนข้างล่างเมื่อเตียงกว้างๆ นุ่มๆ อุ่นๆก็มี! นึกแล้วน่าตีจริงๆ!

“จิ๊บเอ้ย เจ้าจิ๊บ” ว่าแล้วนางบัวศรีก็ส่งเสียงปลุกพร้อมเสลงกุลีกุจอเข้าหาร่างน้อยๆที่ยังคงนอนนิ่ง แต่เรียกสองทีก็แล้ว เจ้าของร่างที่นอนคุดคู้ก็ไม่มีท่าทีจะลุกสักนิด นางบัวศรีเลยยื่นมืออูมๆไปเขย่าต้นแขน ทว่าทันทีที่ทำเช่นนั้นมือของนางก็ได้สัมผัสกับไอระอุที่มากกว่าปกติทันที

“ตายแล้ว!” แล้วก็ถึงกับร้องตกใจออกมาอีกหน “ทำไมตัวร้อนเป็นไฟอย่างนี้ล่ะ! จิ๊บ จิ๊บเอ้ย!”
นางบัวศรีพยายามประคองศีรษะวริณสิตาขึ้นมาอิงกับร่างของนาง เด็กสาวปรือตา พิษไข้ทำให้ส่งเสียงเพ้อเบาๆ

“ยาย...ยายจ๋า...จิ๊บหนาว...”

พีรพัฒน์ขยับเข้ามาเกือบจะทันที เขาทรุดตัวลงนั่งก่อนยกมืออังหน้าผากสาวน้อย ความร้อนที่แตะอังกับหลังมือนั้นสูงจัดจนเขาเองต้องตกใจ ชายหนุ่มตัดสินใจทันที

“ตัวร้อนจัดขนาดนี้ ผมจะพาเขาไปโรงพยาบาล” พูดจบเขาก็ช้อนร่างสาวน้อยให้ลอยละลิ่วขึ้นมา นางบัวศรีนั้นได้แต่อ้าปากค้าง แต่ครั้นเจ้านายหนุ่มอุ้มเด็กสาวก้าวลิ่วๆไปจากห้อง นางก็ต้องรีบลุกอย่างทุลักทุเล กึ่งเดินกึ่งวิ่งให้ทันอีกหน

“ลุงก้าน เปิดประตูหน้ารถให้ที!” เสียงพีรพัฒน์ออกคำสั่งทันทีที่เจอหน้าอดีตคนขับรถคุณอังกาบตรงหน้าบ้าน สภาพการณ์อย่างนั้นนายก้านก็งงๆอยู่ไม่น้อยล่ะ

แต่แน่นอน ไม่มีเวลาหรือโอกาสจะได้ซักอะไรให้เข้าใจ เพราะสถานการณ์ที่เห็น เจ้านายหนุ่มอุ้มเด็กสาวที่เขากับนางบัวศรีวิ่งตามหาลงมา ที่สำคัญแม่หนูนั่นสลบไสลไม่ได้สติอีกต่างหาก มันดูร้ายแรงและเร่งด่วนจนต้องพับความสงสัยทุกอย่างเก็บไปก่อน

“ครับๆ” นายก้านตอบ กุลีกุจอเปิดประตูหน้ารถให้ชายหนุ่ม พีรพัฒน์วางร่างวริณสิตาตรงเบาะหน้าข้างคนขับซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นายก้านวิ่งอ้อมไปอีกด้านเพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ แต่ทว่า...

“ไม่ต้องลุงก้าน ผมขับเอง” ว่าจบพีรพัฒน์ก็ก้าวยาวๆ อ้อมเข้าไปนั่งประจำที่คนขับและไม่เกินอึดใจเขาก็พารถยุโรปคันใหญ่ออกตัวพุ่งทะยาน โดยทิ้งนายก้านให้อยู่กับความงุนงงสงสัยหนักเข้าไปอีก

“เออ! สรุปมันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย งงจริงๆวุ้ย” อดีตคนขับรถวัยหกสิบหกได้แต่ยกมือเกาหัว หันมองเข้าไปในบ้านก่อนตะโกนลั่น “ยายศรี ยายศรีโว้ย ไหนแกมาเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ!”

แม้โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดจะอยู่ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่สภาพการจราจรที่ค่อนข้างแออัดของเช้าวันทำงานก็ทำให้พีรพัฒน์หงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องติดแหง็กอยู่ตรงแยกไฟแดง แม้ตัวเลขดิจิตอลที่กำลังวิ่งนับถอยหลัง จะแสดงความยุติธรรมของเวลาว่าเท่าเทียมกับทุกๆวันสักเพียงไหน แต่ตอนนี้พีรพัฒน์ก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่ามันดูยาวนานกว่าปกติ

“ฮือ...” เสียงเพ้อยังคงเล็ดลอดจากริมฝีปากของคนป่วยเป็นระยะๆ พีรพัฒน์ละสายตาจากท้ายรถคันหน้ามามอง

“วริณสิตา”
“หนาว...” สาวน้อยพึมพำแผ่วเบา แม้เขาจะหรี่แอร์ลงไปให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เพราะไม่อยากจะปิด ด้วยเกรงว่าจะหายใจไม่สะดวกกัน แต่ร่างเล็กๆที่นั่งอยู่เบาะข้างก็ยังสั่นระริก สองแขนกอดเข้ากับตัวเองจนแน่น เห็นแล้วพีรพัฒน์นึกเคืองตัวเองขึ้นมา สะเพร่าชะมัด เขาน่าจะหาผ้าห่มหรืออะไรติดมาด้วยสักนิด เด็กคนนี้จะได้ไม่ทรมานขนาดนี้

“วริณสิตา เป็นยังไงบ้าง?”
“หนาว...หนาวน่ะ...”

พีรพัฒน์นิ่วหน้า นึกเคืองตัวเองอยู่เกือบครึ่งนาทีก่อนที่สายตาจะแลเห็นปลายเนคไทสีเทาเงินบนอกตัวเอง แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นได้

จริงสิ! สูทเขาไง

พีรพัฒน์เอี้ยวตัวไปคว้าสูทตัวนอกที่โยนไว้ตรงเบาะหลังทันที ปกติเขาไม่ใคร่จะพิสวาทนักกับการผูกไทใส่สูทอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่วันนี้จำเป็นเพราะเขาต้องเข้าประชุมบอร์ดของเอพีกรุ๊ป และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พีรพัฒน์รู้สึก ว่าไอ้ชุดหรูๆนี่ก็มีประโยชน์ใช้ได้เหมือนกัน!

ชายหนุ่มคลี่สูทตัวนอกห่มให้วริณสิตาอย่างเบามือ ความอบอุ่นที่แผ่เข้ามาในภาวะหนาวสั่นของร่างกายทำให้วริณสิตาแข็งใจลืมตาขึ้นมา และแล้ว...คนที่เธอได้เห็นในความทรมานเพราะพิษไข้ ก็เป็นคนๆนี้อีกจนได้

...คุณพี...

“เป็นยังไงบ้าง?” พีรพัฒน์เอ่ยถามทันที วริณสิตาส่ายหน้าและพยายามจะดันตัวลุกขึ้นมานั่งหลังตรง แต่ทว่า...
“พิงลงไปตามเดิมเดี๋ยวนี้นะ แล้วก็ห้ามบอกเชียวว่าไม่เป็นไร ฉันไม่ประทับใจแน่ถ้าต้องถูกเด็กหลอกซ้ำซาก” ว่าจบเขาก็เบนสายตากลับไปท้ายรถคันหน้า สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วและรถต้องเคลื่อนตัวไปอีกครั้ง

น้ำเสียงดุที่เพิ่งจะเคยได้ยินจากเขาเป็นครั้งแรกทำให้วริณสิตาต้องพิงตัวกลับลงไปกับพนักเบาะตามเดิม แต่จะคิดว่าเป็นเพราะบทดุอย่างเดียวก็เห็นจะไม่ใช่ เพราะตอนนี้วริณสิตาปวดหัวเหลือเกิน แต่สาวน้อยก็พยายาม เพราะเมื่อรับรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน คนข้างๆคือใคร เธอก็ตั้งใจว่าจะไม่นอนหลับตาอีกแล้ว

แต่ก็ราวกับเขาจะทราบดีหรืออย่างไรว่าอาการไข้นี่ทรมานหนักหน่วง เพราะน้ำเสียงดุๆที่เคยใช้กลับอ่อนโยนลงไปทันตายามเมื่อเอ่ยต่อว่า

“ทนหน่อยแล้วนะ เลยแยกนี้ไปก็ถึงโรงพยาบาลแล้วล่ะ”

วริณสิตาตอบรับค่ะเสียงเบา สาวน้อยไม่แน่ใจหรอกว่าเขาจะได้ยิน คุณพีอาจโกรธ แต่เธอก็ไม่มีแรงพอจะพูดให้ดังกว่านี้แล้ว เพราะการต้องพยายามฝืนลืมตาในภาวะที่พิษไข้รุมเร้าแบบนี้ มันก็ทรมาน...ทรมานเอาการเลยทีเดียว!


พีรพัฒน์หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รปภ.หนุ่มสองคนที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำลาน กุลีกุจอโบกมือเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการถอยรถเข้าซองของเขา ก่อนจะมาเปิดประตูรถให้อย่างสุภาพพร้อมร่มคันใหญ่ยักษ์ที่กางหันแดดให้ซึ่งนับเป็นการบริการที่ดีเยี่ยมทีเดียวสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลสมัยนี้

วริณสิตาพยายามแข็งใจจะเดินเอง แต่เดินได้แค่ไม่กี่ก้าวพีรพัฒน์ก็จัดการบอกให้บุรุษพยาบาลนำรถเข็นมาให้เสียแล้ว จะขัดขืนหรือก็เจอสายตาดุๆเข้าอีก สาวน้อยจึงต้องจำยอมนั่งเฉยๆให้บุรุษพยาบาลเข็นเข้าไปด้านใน

แต่แม้จะดูหรูหราสะดวกสบายเพราะประกอบการโดยเอกชน แต่โรงพยาบาลก็คือโรงพยาบาล เป็นสถานที่ๆมีผู้คนจำนวนมากรอคิวเข้ารับบริการเสมอ พีรพัฒน์เข้าไปจัดการเรื่องบัตรประจำตัวผู้ป่วยให้เพราะต้องการให้คนป่วยนั่งอยู่เฉยๆ วริณสิตาได้แต่มองตามหลังเขาไป ในใจอดหม่นๆไม่ได้

เธอนี่แย่นัก ทำให้คุณพีเขาต้องเดือดร้อนอีกจนได้!

พีรพัฒน์เดินกลับมาหาวริณสิตาอีกครั้งหลังจากจัดการเรื่องบัตรประจำตัวคนไข้เสร็จ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะความป่วยไข้ไม่สบายทางกายที่เป็นอยู่หรือไรที่ทำให้เด็กสาวตรงหน้าดูจะเศร้าสร้อยได้ขนาดนี้ พีรพัฒน์บอกไม่ถูก วริณสิตาดูซีดเซียวและเหงาหงอยจนเขาอดนึกสงสารไม่ได้ ชายหนุ่มค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งยาวที่อยู่ด้านข้าง

“ไง ปวดหัวมากเลยเหรอ?” เขาถามเบาๆอย่างปรานี และหนนี้ก็ไม่มีความหยิ่งทระนงเหลืออีกแล้วเพราะสาวน้อยพยักหน้ารับไม่ปิดบัง พีรพัฒน์ยื่นมือไปอังหน้าผากเธอดูอีกครั้ง ไอร้อนยังคงระอุ แต่จะทำยังไงได้ ทุกคนที่นั่งอยู่บริเวณนี้ ไม่ว่าเด็ก คนแก่ คนสาวหรือแม้แต่คนหนุ่ม ก็ล้วนเป็นคนไข้ที่รอรับการเรียกตรวจรักษาตามคิวด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ตอนนี้พีรพัฒน์จะกลายเป็นประเภทคนมีเงินแล้ว แต่ก็ไม่ใช่วิสัยเขาเลยที่จะเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยอำนาจเงินตรา

“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้หาหมอแล้ว”

“ค่ะ...”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆอย่างเอื้อเอ็นดู

“แล้ว...เธอกลัวเข็มฉีดยาหรือเปล่า?” เขาถามต่อ วริณสิตาส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่ค่ะ แต่...ไม่ชอบยาเม็ดขมๆ” ประโยคนั้นฟังอุบอิบเสียจนคนถามหัวเราะขำๆ คิดอยู่ว่า นี่แหละนะ เด็ก อย่างไรก็คือเด็ก
“อือ! งั้น เดี๋ยวพอเจอหมอก็บอกคุณหมอว่า หนูไม่เอายาขมๆกลับไปทานบ้านนะคะ แต่ขอมาฉีดยาทุกวันจนกว่าจะหาย แบบนั้นดีมั้ย?”

“ไม่ค่ะ ไม่ดีเลย” สาวน้อยตอบ รู้สึกได้ชัดว่าประโยคนั้นคนพูดเพียงแค่แกล้งเย้าเฉยๆเลยยิ้มออกมาได้นิดๆ แต่คนแหย่น่ะ...ยิ้มได้กว้างทีเดียว โทรศัพท์มือถือพีรพัฒน์ส่งเสียงดังขึ้นมานาทีนั้น ชายหนุ่มหยิบมันออกมาพิศดูก่อนรอยยิ้มในหน้าจะจางลงไปยามเมื่อได้เห็นชื่อคนโทร.มา

“หทัยรัก...”

พีรพัฒน์เงยหน้าขึ้นทันที

“เดี๋ยวฉันมานะ” เขาเอ่ยสั้นๆเท่านั้นก่อนจะดันตัวลุกขึ้นแล้วก้าวยาวๆอย่างเร่งรีบ แต่ทว่า...
“คุณพี!” คนถูกเรียกหันขวับกลับมาทันที แม้น้ำเสียงที่เรียกนั้นจะฟังอ่อนๆ แต่ก็จับได้ชัดถึงความตระหนกที่เจืออยู่ และยิ่งเมื่อได้เห็นแววตาตื่นกังวลในดวงหน้าอ่อนระโหยนั่น พีรพัฒน์ก็ยิ่งกว่าจะรู้สึก!

เสียงโทรศัพท์มือถือยังคงกรีดร้องไปอย่างต่อเนื่อง และแน่ละ เขารู้ดีด้วยว่าคนโทร.มาร้อนใจขนาดไหน แต่ทว่า...พีรพัฒน์หมุนตัวกลับมา ตัดสินใจปล่อยให้มือถือดังต่อไปอีกสักนิด ชายหนุ่มคลี่ยิ้มละไม ค้อมตัวลงมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับสาวน้อย

“ไม่ต้องกลัว” พีรพัฒน์บอก “ฉันไม่หนีไปไหนหรอก แค่คุยโทรศัพท์แป๊บเดียว เดี๋ยวฉันก็มา” หนนี้กระแสเสียงเขาอ่อนโยนชนิดที่ไม่คิดเหมือนกันว่าตนเองจะพูดได้ เขาไม่ใช่คนกระด้าง ห่าม เถื่อน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะอบอุ่นอ่อนโยนอะไรขนาดนี้ด้วย ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นอีกครั้ง ก่อนหันแล้วรีบก้าวยาวๆหลบไปอีกด้านโดยไม่หันกลับมองคนป่วยอีกเลย

วริณสิตาได้แต่มองตามร่างสูงไปจนร่างนั้นลับหายไปตรงหลังหัวมุมทางเลี้ยว แม้น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอื้อนเอ่ยเมื่อครู่จะทำให้รู้สึกวางใจในระดับหนึ่ง แต่ความเหงาแบบเดิมก็ผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คนที่โทร.มาคงเป็นคนเดียวกันกับทุกครั้ง เพราะชื่อที่เคยได้ยินเขาเรียกและที่เขาหลุดครางออกมาเมื่อกี้

รัก...หทัยรัก...ก็คงจะ...เป็นคนสำคัญจริงๆ

“พี! พีอยู่ที่ไหนคะนี่?” เสียงแหลมๆของหทัยรักทะลุมาตามสัญญาณทันทีที่พีรพัฒน์กดรับสาย “รู้มั้ยตอนนี้กรรมการผู้ถือหุ้นทุกคนเขามากันครบแล้วนะ แล้วทุกคนก็กำลังรอพีอยู่คนเดียว ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ?!”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกไป

“ผมขอโทษรัก” พีรพัฒน์เอ่ย เขาไม่ตอบคำถามหทัยรัก ทว่ากลับเลี่ยงถามไปเสียเอง “กรรมการผู้ถือหุ้นของเอพีกรุ๊ปมากันครบพอจะเป็นองค์ประชุมไหม”

“ก็ครบน่ะสิคะ ก็บอกแล้วไงคะว่าตอนนี้เราขาดท่านประธานกรรมการอยู่คนเดียว!” เสียงเล็กๆนั้นฟังกระเง้ากระงอดแบบเด็กขัดใจอยู่นิดๆ

พีรพัฒน์ก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง เก้าโมงยี่สิบห้า ล่วงเลยเวลาการนัดประชุมของเอพีกรุ๊ปมากว่ายี่สิบห้านาทีแล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาเริ่มประชุมกันได้เลย ผมคงเข้าไปไม่ทันภายในสิบโมงแน่”
“พี!” หทัยรักร้องเสียงแหลม “ไม่ได้นะคะ การประชุมจะเริ่มได้ยังไงถ้าประธานกรรมการยังไม่มา”
“ได้สิรัก” พีรพัฒน์บอก เขาเลือกอธิบายเหตุผลของตนเองต่อไปอย่างใจเย็น “ถ้าผู้ถือหุ้นของเรามาครบองค์ประชุมละก็ ผมก็ไม่ต้องการให้การประชุมต้องเลื่อนหรือล้มเลิก อีกอย่าง หากที่ประชุมต้องการประธานในการประชุม คุณลุงอมรก็ทำหน้าที่นั้นแทนได้ ช่วงที่ป้าอังไม่สบายก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ”

“ไม่ได้นะคะ!” หทัยรักไม่ยินยอม “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด คิดดูสิคะ มันจะเป็นเรื่องตลกมากนะถ้า...ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่สุดไม่มาประชุม!”

“รัก”

“พี!” คนปลายสายเริ่มส่งเสียงโอดครวญ “พีจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ก็เมื่อคืนพีสัญญาแล้วว่าจะมาประชุมบอร์ด แล้วนี่มันเกิดอะไรกันขึ้นน่ะ คุณอยู่ที่ไหนคะ บอกรักมาเดี๋ยวนะ”

พีรพัฒน์รู้และเข้าใจดีว่าทำไมหทัยรักถึงได้โกรธเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ นั่นเพราะหทัยรักอยากเหลือเกินที่จะให้เขาเข้าไปบริหารงานที่เอพีกรุ๊ปเต็มตัว แต่ว่า...

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

“รัก” พีรพัฒน์เรียกชื่อหญิงสาวปลายสาย เขาอยากให้เธอคลายความขุ่นเคืองลง แต่ก็ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร เสียงนางพยาบาลที่ขานชื่อคิวคนไข้ก็ดังขึ้น

“คุณวริณสิตาค่ะ” และทันทีที่ชื่อนั้นกระทบโสตประสาท พีรพัฒน์ก็เอ่ย
“ขอโทษจริงๆรัก แต่ผมต้องวางสายแล้ว”

“พี!”

“ช่วงบ่ายผมจะเข้าไป แล้วค่อยพบกันนะครับ” พูดจบชายหนุ่มก็วางสายและปิดเครื่องไปในทันที
...............




ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 14:20:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 14:20:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 3227





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
ree 19 เม.ย. 2554, 20:49:08 น.
อ่านกี่ทีๆ ก็ยังเซ็งยัยรักได้ทุกทีสิน่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account