เชลยสิเน่หา
เพราะรอยอดีตทำให้เขาพาตัวเองเข้ามาใกล้เธอ...
และเพราะรัก เขาจึงไม่อาจปล่อยเธอไป...

ในชีวิต ราชิด บินท์ อานาบีย์ ไม่เคยมองหญิงสาวคนใด ผู้หญิงทุกคนแค่เพียงผ่านมาแล้วจากไปอย่างไม่เคยหลงเหลือในความทรงจำ เพราะหัวใจเขามีไว้แค่เพียงเด็กผู้หญิงกำพร้าตัวเล็กๆ คนหนึ่งในอดีตเท่านั้น เขาเฝ้าตามหาเธอเรื่อยมา กี่สิบปีมาแล้วที่ราชิดมีหัวใจไว้แค่เธอ
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกือบคิดว่าตัวเองได้พบกับหญิงสาวในอดีต วริษา... เขาเคยเกือบเชื่อว่าเธอคือลูกแมวที่เขาตามหา ทว่า เมื่อเธอปฏิเสธและลาจากเขาไป เขากลับเจ็บ เจ็บอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มรู้ว่าเธอคือน้องสาวของผู้ชายที่เป็นหนี้เขา ราชิดจึงไม่ลังเลเลยที่จะอาศัยหนี้ก้อนนี้ดึงเธอให้กลับคืนมา
เพื่อชดใช้หนี้หรือ... เขาเองก็ยังตอบได้ไม่เต็มปากนัก เมื่อเธอนั้นแสนดื้อรั้น ไม่เคยคิดเชื่อฟังเขาเลยสักครั้ง
เพื่อรักหรือ... เขาเองก็ยังลังเล เมื่อเธอไม่ใช่รักแรกและรักเดียวในใจเขา

แต่สิ่งเดียวที่ราชิดรู้คือ เขาไม่ต้องการปล่อยเธอไป ไม่มีวัน!

Tags: ราชิด วริษา ชีค

ตอน: บทนำ เด็กหญิงในความทรงจำ

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตลงนิยายในเวปนี้นะคะ ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นตัวละครต่อจากเรื่องไฟรักซาตาน ที่เคยตีพิมพ์กับสนพ. ไลต์ ออฟ เลิฟ ไปค่ะ แต่รับรองว่าเนื้อหาไม่ได้ต่อกันนะคะ ติดตามอ่านได้แน่นอน ...ฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ด้วยนะคะ

*************

ร่างสูงของบุรุษหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ กำลังก้าวลงจากรถสปอร์ตคันหรูของตัวเอง ดิ่งตรงมายังโรงแรมหรูแห่งในใหม่กลางเมืองนิวยอร์ค ไม่นานนักราชิด บินท์ อานาบีย์ก็เดินเข้ามาภายในลอบบี้ของโรงแรม เรือนกายแกร่งสูง สมส่วนราวเทพเจ้ารังสรรค์ขึ้น ดูโดดเด่นภายใต้เสื้อไหมพรมคอวีแขนยาว กับกางเกงยีนทรงแคบ แม้เครื่องประดับบนเรือนกายแกร่งจะมีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น แต่สำหรับคนเจนสังคม มองปราดเดียวคงรู้ได้ทันทีว่า เสื้อผ้าที่ชายหนุ่มสวมใส่นั้นเป็นของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่การแต่งกายเรียบง่าย แต่บุรุษผู้นี้ก็สามารถเรียกสายตาของใครต่อใครได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งลอบบี้ต่างชายตามองเจ้าของเรือนกายแกร่งหายลับเข้าไปภายในลิฟต์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

“หล่อชะมัดเลย ใครน่ะ แขกในโรงแรมนี้เหรอ” สาวผมทองคนหนึ่งหันมาเม้าท์กับเพื่อนข้างกาย
“ไม่รู้สิ แต่ดูแล้วไม่น่าใจคนอเมริกันรึเปล่า ผมดำ ตา...ฉันว่าตาของเขาเป็นสีทองนะ” อีกคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต
“ไม่ทันสังเกตด้วยสิ” สาวผมทองบอกด้วยท่าทีเสียดาย “อย่างกับเจ้าชายอาหรับ” เธอบอกพร้อมกับทำท่าทีฝันหวาน ใจละลายไปกับใบหน้าหล่อคมคาย รอยเคราจางๆ บริเวณรอบคาง ยิ่งส่งให้ดวงหน้าคมแลดูน่ามองยิ่งขึ้น

“พอเถอะ ฝันหวานไปก็ไม่ได้อะไร หล่อขนาดนั้น แถมยังมีผู้ติดตามอีก ไม่ธรรมดาแน่ๆ”
ในขณะที่ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสนทนาของ กลับไม่มีท่าทีรับรู้ถึงอาการเพ้อละเมอของสาวๆ ในลอบบี้เลย ราชิดขึ้นลิฟต์มายังบริเวณชั้นบนสุด ซึ่งถูกกันไว้เป็นห้องพักวีไอพี ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เขาก็เข้ามาถึงบริเวณห้องพักชั้นบนทันที เมื่อห้องพักแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ มีลิฟต์ขึ้นมาตรงถึงหน้าห้องพัก ตามคำสั่งของไมเคิล มาเดอร์สัน ผู้เป็นเจ้าของ
“คุณไมเคิลรออยู่ด้านในแล้วครับ” ชายในชุดสูทโค้งศีรษะให้เขา
ก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มก็ต้องยิ้มออกมา เมื่อร่างเล็กของเด็กชายวิ่งตรงดิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้
“อาราชิดมาแล้ว” เสียงสดใสของวิลเลี่ยม มาเดอร์สัน ทำให้ราชิดจำต้องย่อตัวลง พร้อมกับอุ้มบุตรชายของเพื่อนขึ้นมาไว้แนบอก

“เป็นไงเจ้าจอมซน มาเที่ยวอเมริกาสนุกไหม”
“สนุกครับ” เด็กชายพยักหน้าตอบทันควัน “อาราชิดจะพาผมไปเที่ยวใช่ไหมครับ วันนี้”
นัยน์ตาสุกใสสีน้ำเงินเข้ม ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเพื่อนรักของเขา เฝ้ามองชายหนุ่มด้วยแววรอคอย คาดหวัง นั่นเลยทำให้ราชิดยิ้มออกมา

“อืม ไปสิ แล้วพ่อกับแม่วิลเลี่ยมล่ะ”
“อยู่ในห้องครับ พ่อกับแม่ยังไม่ยอมออกมาจากห้องนอนเลย ตื่นสายกันจริงๆ” เด็กชายบ่นหน้ามุ่ย
หากคนเป็นเพื่อนรักกันมานานอย่างราชิด กลับไม่คิดว่าเพื่อนของเขาจะตื่นสาย
‘เพราะบางที คนหลังบานประตูอาจจะยังไม่ได้นอน หรือตื่นอยู่แต่ไม่อยากเปิดบานประตูออกมาก็เป็นได้ ในเมื่อหมอนี่ มันหลงเมียจะตายไป’

ด้วยความหมั่นไส้ เจ้าของเรือนร่างสูงจึงตรงดิ่งไปยังบานประตู มือหนาข้างหนึ่งยังโอบอุ้มร่างเล็กกระจ่อยร่อยไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นเคาะประตูห้องอย่างไม่ยั้งมือนัก
“ตื่นยังว่ะไมค์ ฉันจะพาลูกนายออกไปเที่ยวแล้วนะ” ราชิดตะโกนถามคนในห้องออกไปด้วยน้ำเสียงไม่เบานัก
ต้องใช้เวลาเกือบห้านาที กว่าบานประตูไว้จะถูกเปิดออก พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้งของไมเคิล มาเดอร์สัน
“เคาะทีเดียวก็รู้แล้ว เดี๋ยวประตูได้พังกันพอดี” ไมเคิลบ่นด้วยท่าทีหัวเสียเล็กน้อย
ผมเผ้าของอีกฝ่ายยังคงยุ่งเหยิง เสื้อคลุมที่ทับอยู่ลวกๆ เรือนกายแกร่ง มองปราดเดียว เพื่อนรักอย่างราชิดก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีอะไรสวมใส่อยู่ภายใน

“วันนี้นายจะอยู่โรงแรมทั้งวัน ไม่ออกไปไหนรึไง”
“เดี๋ยวออกไปตอนบ่ายๆ” น้ำเสียงของไมเคิลพยายามปรับให้นุ่มลง
ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายกำลังโอบอุ้มลูกชายตัวน้อยของเขาอยู่ เขาคงได้หาเรื่องด่าราชิดออกไปแล้ว โทษฐานที่ดันเข้ามาขัดจังหวะความสุขของเขา
“ว่าไงเจ้าตัวยุ่ง ตื่นแต่เช้าเชียว จะออกไปกับอาราชิดจริงๆ เหรอ” ไมเคิลก้มหน้าลงมาถามบุตรชาย
“ครับ อาราชิดบอกว่าจะพาผมไปพิพิธภัณฑ์แก้ว ผมอยากไปดูเขาเป่าแก้วครับ” วิลเลี่ยมบอกพร้อมกับดวงตาสุกสกาว

เรื่องความอยากไปพิพิธภัณฑ์แก้วเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน เมื่อบุตรชายของเขาได้บังเอิญดูโทรทัศน์เห็นเขาสาธิตวิธีการเป่าแก้ว แล้วดันเกิดสนใจในงานศิลปะแขนงนี้ขึ้นมา จนร่ำร้องให้เขากับเพียงดาวพาไป แต่ไมเคิลยังไม่ทันได้ตกปากรับคำ ราชิดซึ่งเคยแวะมาเยี่ยมเขาในโรงแรมเสียก่อนก็ขันอาสาจะพาหลานไปพิพิธภัณฑ์เสียเอง เพื่อจะได้ให้เพื่อนรักของเขามีเวลาสวีตกับภรรยา
“ท่าทางหลานฉันไม่ทิ้งเชื้อแม่เลยแหะ หัวศิลปินตั้งแต่ยังเล็กเชียว” ราชิดมองแววตาสุกสกาวของเด็กชายในอ้อมแขนพลางหัวเราะ ก่อนชะเง้อคอเข้าไปเพื่อมองเลยไปยังเบื้องหลังบานประตู “แล้วนี่สตาร์หายไปไหน ยังไม่ตื่นเหรอ”

แววตาระริกของคนถาม บ่งชัดว่าไม่ได้จงใจหมายความตามคำพูดเลยแม้แต่น้อย
“ยุ่ง!” ไมเคิลอยากจะสบถออกมายาวๆ เสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าบุตรชายของเขายังคงอยู่ตรงนี้ “วิลเลี่ยมไปเที่ยวกับอาราชิดนะครับวันนี้ แล้วเย็นๆ พ่อจะไปรับ” เขาบอกบุตรชายเสียงนุ่ม แล้วจึงส่งสายตาอาฆาตมายังเพื่อนรัก
“โอเคๆ ฉันไปก็ได้ รู้หรอกน่าว่าหวง” ราชิดหัวเราะกับท่าทีจะเป็นจะตายของเพื่อน
นับตั้งแต่แต่งงานมา ชายหนุ่มก็พอรู้ว่าเพื่อนรักของเขาหลงเมียตัวเองขนาดไหน แต่ก็นะ ถ้ามีหญิงสาวสวยหวาน เป็นทั้งดวงใจมาอยู่เคียงข้างแบบนี้ เป็นเขาก็คงหวงเธอไม่น้อยเช่นกัน

ราชิดถอนหายใจออกมา วางร่างเล็กๆ ลงบนพื้นพรมขณะจับจูงเด็กชายวิลเลี่ยมกลับเขามาในลิฟต์ ในใจอดอิจฉาในความรักของไมเคิลและเพียงดาวไม่ได้ ก่อนเขาจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เมื่อมองย้อนกลับมาในชีวิตตัวเอง
ใช่ว่าชีวิตของราชิด บินท์ อานาบีย์จะไม่เคยหลงรักใคร ตรงกันข้าม หัวใจของชายหนุ่มกลับมีใครคนหนึ่งจับจองอยู่เต็มพื้นที่สี่ห้องหัวใจ เธอคือเด็กหญิงน้อยในความทรงจำ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนินนานเพียงใด เขาก็ยังจดจำภาพของเธอคนนั้นได้...ไม่มีวันลืม

Corning Museum of Glass คือชื่อพิพิธภัณฑ์แก้วแห่งสำคัญของนิวยอร์ค พิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือสถานที่รวบรวมงานศิลปะประเภทแก้วโดยเฉพาะ ภายในพิพิธภัณฑ์มีทั้งงานนิทรรศการเกี่ยวกับแก้ว ประวัติศาสตร์อันยาวนานของแก้วที่อยู่คู่สังคมมนุษย์มา ตลอดไปจนการแสดงสาธิตวิธีการเป่าแก้วจากช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ
ราชิดจูงร่างเล็กกระจ่อยร่อยของเด็กชายวิลเลี่ยมเข้ามายังอาคารด้านใน เพราะสายวันนี้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีรถทัวร์จำนวนหลายคันแวะมาจอด เพื่อนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชม

ภายในอาคารที่ควรจะร้างผู้คนจึงเนืองแน่นเป็นพิเศษ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มร่างน้อยขึ้นมาไว้ในวงแขน เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเพื่อซื้อบัตรเข้าชมสำหรับตัวเขาเอง เนื่องจากหลานชายยังเป็นเด็กอยู่ ทางพิพิธภัณฑ์จึงไม่เก็บค่าเข้าชม
สิบนาทีต่อมา ราชิดก็จูงวิลเลี่ยมขึ้นมายังบริเวณชั้นสองของตัวอาคาร ซึ่งมีการจัดนิทรรศการแก้ว บอกเล่าประวัติความเป็นมาของแก้วแต่ละยุคสมัยไว้ในตู้กระจก

“โห อาราชิดครับ สวยจังเลย”
วิลเลี่ยมดิ้นขลุกขลักขอลงจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม วิ่งตรงมายังตู้กระจกบานใหญ่ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองวัตถุโบราณในตู้ด้วยแววตื่นตาตื่นใจ
“เขาบอกว่าแก้วพวกนี้อยู่ในช่วงยุคโรมัน” ราชิดอ่านป้ายสีขาวบริเวณข้างตู้ให้หลานชายฟัง ไม่มั่นใจนักว่าเด็กวัยขนาดนี้จะรับรู้อะไรได้เท่าไร แต่ดูจากสายตาสนอกสนใจของวิลเลี่ยมแล้ว ทำให้เขาอดอ่านข้อความในป้ายสีขาวให้หลานฟังไม่ได้

สองหนุ่มต่างวัยใช้เวลาอยู่ในห้องประวัติศาสตร์แก้วอยู่นานพอควร จนกระทั่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวของคณะทัวร์ดังขึ้น พร้อมกับกลุ่มฝูงชนหลั่งไหลเข้ามาภายในห้องจัดนิทรรศการ แล้วกว่าราชิดจะรู้ตัวอีกทีหนึ่ง ร่างเล็กกระจ่อยร่อยของวิลเลี่ยมก็ถูกกลืนหายไปในเหล่าฝูงชน
“วิลเลี่ยม! หายไปไหนของเขานะ”
นัยน์ตาคมกวาดมองไปยังเหล่าฝูงชนด้วยความหวั่นใจ สองเท้ายาวๆ ก้าวไปรอบห้อง หยุดมองแทบจะทุกตู้จัดนิทรรศการ จนมาหยุดหอบเล็กๆ หน้าตู้กระจกบานหนึ่งริมผนังห้อง

“เจ้าตัวยุ่งอยู่นี่เอง” เขาบ่นขณะสาวเท้าตรงมาหาร่างเล็กหน้าตู้กระจก
เด็กชายวิลเลี่ยมยามนี้กำลังหันไปสะกิดแขนเจ้าของร่างโปร่งบางข้างกาย หวังให้อีกฝ่ายช่วยพยุงเขาขึ้นไปยังตู้กระจกด้านบน
“พี่สาวอุ้มผมหน่อยสิครับ ผมอยากเห็น”
ราชิดได้ยินเสียงเจ้าตัวแสบของไมเคิลร้องขอหญิงสาวผมดำคนหนึ่ง จากเบื้องหลังเขามองไม่เห็นว่า เจ้าของเรือนร่างเล็กแบบบางมีสีหน้าอย่างไร แต่เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของเธอ ก็ทำเอาเขาถึงกับส่ายหน้า นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะโอบอุ้มร่างของหลานชายเขาขึ้นไปได้อย่างไร

‘ตัวก็เล็กแค่นั้น จะมีปัญญาอุ้มเจ้าตัวยุ่งรึ’
ขณะกำลังสาวเท้าเข้าไปหา ราชิดเห็นเธอคนนั้นย่อตัวลง ใช้แขนทั้งสองข้างอุ้มวิลเลี่ยมขึ้นมาแนบอก ร่างบางเซถอยหลังไปเล็กน้อย หากก็ยังสามารถประคองเด็กชายไว้ได้ด้วยสองแขนบอบบาง
“เห็นรึยัง” สำเนียงภาษาอังกฤษที่แม้จะผิดเพี้ยนไปบ้างเนื่องจากไม่ใช่เจ้าของภาษา หากน้ำเสียงหวานใสของคนพูดก็ทำเอาถ้อยคำสั้นๆ นั้นฟังดูระรื่นหูไม่น้อย
“เห็นแล้ว สวยจัง แล้วนั่นอะไรอ่ะครับ” เด็กชายวิลเลี่ยมซึ่งไม่รับรู้ถึงน้ำหนักมหาศาลของตนเองชี้มือป้อมๆ ของตัวเองไปยังแว่นขยายในตู้กระจก

“แว่นขยายจ้ะ เขาคงให้ส่องดูล็อคเกตอันนั้น” เจ้าของร่างบางบอกคนในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดู
วริษานึกอยากจะอุ้มร่างเล็กหากน้ำหนักไม่น้อยไปยังล็อคเกตสีฟ้าซึ่งอยู่ถัดไปไม่กี่ก้าวนัก หากเรี่ยวแรงที่เธอกลับไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกได้ สองแขนบางจึงเกิดอาการเมื่อยล้า พยายามฝืนอุ้มร่างของเด็กชายไว้สุดแรง
“วางวิลเลี่ยมลงเถอะ เห็นตัวเล็กแค่นี้ แต่ก็หนักเอาการอยู่”
ไม่ใช่แค่เพียงคำพูด แต่อุ่นไอที่ซ้อนอยู่ทางด้านหลังเธอ ทำให้วริษายืนอึ้งไปพักใหญ่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนแขนกำยำของใครบางคนโอบล้อมอยู่รอบตัวเธอ พร้อมกับคว้าร่างของเด็กชายที่กำลังจะร่วงตกลงสู่พื้น ให้ลอยผ่านศีรษะเธอไป

“ทำอะไรของคุณน่ะ” เสียงหวานเตรียมจะแหวใส่คนด้านหลัง
หากการหมุนตัวกลับมาอย่างเร็วของเธอ กลับทำให้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวกันโดยไม่ตั้งใจ ร่างบางเซถอยหลังไปเล็กน้อย เปิดโอกาสให้หนุ่มปริศนาเอื้อมมือข้างที่เพิ่งผละออกจากร่างเด็กชาย มาคว้าต้นแขนอีกฝ่ายไว้
แรงกระชับอุ่นจัดบริเวณต้นแขน นอกจากจะช่วยพยุงเธอให้สามารถทรงตัวได้แล้ว แต่กระไอบางอย่างจากสัมผัสของมือหนา กลับสร้างความรู้สึกคุ้นเคย อุ่นวาบอย่างประหลาดขึ้นมาในหัวใจของหญิงสาว วริษาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้เห็นคือใบหน้าคมคายตามแบบฉบับหนุ่มอาหรับโดยทั่วไป โดยเฉพาะนัยน์ตาคมหวานของบุรุษหนุ่มตรงหน้า เพราะได้สบตาตรงๆ วริษาจึงได้รู้ว่าบุรุษหนุ่มหล่อเหลาราวเทพเจ้ารังสรรค์ขึ้นผู้นี้ มีดวงตาสีเทาเหลือบทองชวนหลงใหล

“ไม่เป็นอะไรนะ” น้ำเสียงทุ้ม สำเนียงออกไปทางผู้ดีอังกฤษมากกว่าอเมริกันสะดุดหูคนฟังไม่น้อย
แต่น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาก็ยังไม่น่าอันตรายเท่ากับดวงหน้าคมคาย ซึ่งเขยิบเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นจัดรินรดลงมากระทบลงบนดวงหน้าหวาน พาหัวใจของวริษารัวกระหน่ำอยู่ในอก
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” คำตำหนิติเตียนที่จ่ออยู่ริมฝีปาก ถูกกลืนหายไปทันที
แรกทีเดียววริษาอยากจะนึกกล่าวโทษคนด้านหลัง กับการถือวิสาสะมาอุ้มเด็กชายในอ้อมแขนของเธอไป แต่เมื่อการณ์กลับตาลปัตรมาเช่นนี้ คนตั้งใจเอ่ยปากต่อว่าก็สงบปากลงฉับพลัน หัวใจแทบจะกระเด็นออกมาจากอกกับความใกล้ชิดเกินพอดีของเธอกับบุรุษแปลกหน้า

ราชิดจ้องมองหญิงสาวชาวเอเชียตรงหน้าด้วยแววตะลึงเล็กๆ แรกทีเดียวเขาเองก็สะดุดตากับเส้นผมสีดำขลับที่ถูกมัดไว้เป็นหางม้าบนศีรษะสวยได้รูป รวมไปถึงแผ่นหลังบอบบาง และรูปร่างอรชร เอวบาง สะโพกผาย ภายใต้เสื้อยืดและกางเกงยีนรัดรูป แต่ทุกอย่างที่เห็นกลับเทียมไม่ได้เลยกับดวงหน้ารูปไข่ หวานหยดย้อยของคนที่สูงอยู่แค่เพียงหัวไหล่เขา แววตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเงยขึ้นมองเขาด้วยแววตื่นตะลึงเล็กๆ สะกดสายตาราชิดไว้จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาการหยุดหายใจ

‘ให้ตายเถอะ ตั้งแต่โตเป็นหนุ่มมา เขาเคยติดตาต้องใจหญิงสาวคนไหนตั้งแต่แรกพบด้วยหรือ’
ตลอดชีวิตหนุ่มโสดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา แม้ราชิดจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวยงเหมือนเพื่อนซี้ทั้งสองอย่าง ไมเคิล มาเดอร์สัน และนิโคลัส เลมไทม์ แต่ชีวิตของชีคหนุ่มก็มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาแวะเวียนผ่านเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เขาผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจเก็งกำไรที่ดิน กุมอำนาจใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในโซนยุโรปและอเมริกา ทว่า หญิงสาวหรือคู่ขาทุกคนในชีวิตเขาต่างรู้ว่าไม่เคยมีใครเป็นตัวจริงของเขาได้

‘คุณราชิดน่ะชอบผู้หญิงผมดำ’ ชายหนุ่มเคยได้ยินสาวๆ แอบนินทาตัวเขาเองในงานเลี้ยงคืนหนึ่ง
‘งั้นฉันไปย้อมผมดีไหม เพื่อเขาจะสนใจฉันบ้าง’ นางแบบสาวชาวอเมริกันคนหนึ่งเอ่ยปากถามเพื่อน
‘คงยาก สเปคราชิดต้องเป็นหญิงเอเชีย ผมดำ แล้วยิ่งถ้าเป็นคนไทยด้วยแล้ว เขาจะยิ่งสนใจเป็นพิเศษ เคยมีคนบอกว่าชีคท่านนี้เคยมีความหวังกับสาวไทยมาก่อน’
ราชิดไม่รู้ว่าสองสาวชาวอเมริกันรู้เรื่องราวความหลังของเขาได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทั้งสองพูดมา ก็ใช่ว่าจะผิดเสียทีเดียว ในเมื่อเขาก็มักให้ความสนใจกับหญิงเอเชียผมดำเสมอ โดยเฉพาะถ้าหญิงผู้นั้นมาจากประเทศที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่

“เอ่อ...คุณ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยแขนฉันเถอะ”
เสียงของวริษาดึงสติของคนที่หลงตกอยู่ในวังวนหวานจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มให้กลับมาสู่ความเป็นจริง ราชิดก้มลงมองมือตัวเองซึ่งยังค้างอยู่บนต้นแขนอีกฝ่าย และเมื่อเห็นนัยน์ตาวาวของคนตัวเล็กกว่า เขาจึงจำใจปล่อยมือตัวเองออก
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ขอบคุณที่ช่วยอุ้มเจ้าตัวยุ่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลูกชายคุณเหรอคะ น่ารักจัง”
เพราะน้ำเสียงสุภาพบวกกับความน่ารักของเด็กชายในอ้อมกอดชายหนุ่ม ทำให้คนนึกเคืองกับอาการถือวิสาสะของชายหนุ่ม หายโกรธไปเสียสนิท

‘จะไปถืออะไรกับพวกอเมริกัน อาการถึงเนื้อถึงตัวคงเป็นเรื่องปรกติของคนพวกนี้กระมัง’
“ผมจะดูอันนั้น” ขณะที่ราชิดตั้งใจจะเอ่ยปากปฏิเสธความเข้าใจผิดของเธอ แรงกระตุกจากคนในอ้อมแขนก็ทำให้เขาจำต้องก้มหน้าลงไปมอง
มือน้อยๆ ของวิลเลี่ยมชี้ตรงไปยังตู้กระจกใส เป็นผลให้เขาจำต้องก้าวขาเข้าไปหาบานกระจก
“ล็อคเกตนี่เหรอ” เขาถามหลานชาย พลางเขยิบตำแหน่งให้วิลเลี่ยมสามารถมองดูล็อคเกตอันเล็กกระจิ๋วผ่านเลนส์แว่นขยายได้
“สวย เอากลับไปฝากแม่ได้ไหม” เด็กชายหันมาอ้อนราชิด
วริษาหลุดขำกับท่าทางของเด็กชายวิลเลี่ยมขึ้นมา ไม่ต้องบอก เธอก็พอเดาได้ว่าเด็กชายคงจะรักคนเป็นแม่มากเพียงใด

“อันนี้ไม่ได้หรอกจ้ะ ชิ้นนี้เป็นวัตถุโบราณ มีไว้ตั้งโชว์ให้เด็กๆ อย่างหนูแล้วก็ใครต่อใครได้ชม” เธอบอกกับคนในอ้อมแขนของชายหนุ่ม พลางก้มหน้าลงอ่านประวัติคร่าวๆ ของล็อคเกต
ล็อคเกตชิ้นนี้คือหนึ่งในงานศิลปะแบบโมเสก ในช่วงคริสศตวรรษที่สิบเจ็ด แต่ด้วยขนาดชิ้นแก้วหรือ tesserae มีขนาดเล็กมาก ศิลปะแขนงนี้จึงถูกเรียกว่า ไมโครโมเสก (Micromosaic) เนื่องจากแก้วแต่ละชิ้นที่นำมาประดิษฐ์เป็นรูปนั้นเล็กเสียจนต้องนำแว่นขยายมาส่อง
หญิงสาวจ้องมองรูปหญิงสาวบนล็อคเกตขนาดไม่เกินนิ้วก้อย ถูกประดิษฐ์ขึ้นจากแผ่นโมเสกนับพัน ด้วยความชื่นชมในความอุตสาหะของคนสมัยก่อน

“เอาไปฝากแม่ไม่ได้เหรอ” เสียงของวิลเลี่ยมอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด จนราชิดจำต้องปลอบ
“ชิ้นนี้ไม่ได้ แต่เดี๋ยวพาไปดูของฝากข้างล่างแทนแล้วกัน”
“จริงนะ”
“อื้อ จะโกหกทำไม” ราชิดบอก ก่อนละสายตาจากคนในอ้อมแขนมาจาหญิงสาวข้างกาย “มากับคณะทัวร์เหรอ” อะไรบางอย่างในตัวทำให้ราชิดเอ่ยปากถามหญิงสาวตรงหน้าออกไปเช่นนั้น
นัยน์ตาคมกวาดมองเรือนร่างอรชรตรงหน้า สะดุดตากับแผ่นป้ายเล็กๆ บริเวณหน้าอกด้านซ้าย มันถูกเขียนไว้เป็นภาษาจีนอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจความหมาย แต่ชายหนุ่มก็พอเดาได้ว่าเธอคงเป็นหนึ่งในคณะทัวร์ชาวจีนที่ส่งเสียงอึกทึกอยู่รายรอบห้อง

“ค่ะ ฉันมากับทัวร์” วริษาพยักหน้ารับคำ “ขอตัวก่อนนะคะ” เธอบอกเมื่อเห็นหัวหน้ากรุ๊ปทัวร์ของตัวเองกำลังโบกธง
หญิงสาวไม่ได้รอให้อีกฝ่ายตอบรับแต่อย่างใด เธอหันมาส่งยิ้มให้กับเด็กชายตัวน้อย ก่อนรีบสาวเท้าตามคนในคณะออกจากห้องไป วริษาจึงไม่ทันได้เห็นสีหน้าตกตะลึงของหนุ่มอาหรับที่จ้องมองเธอ จนร่างแบบบางหายลับไปกับฝูงชน

“ใครนะฝน หล่อชะมัดเลย” มัลลิกา เพื่อนรักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ค่อนข้างดัง
เพราะในกรุ๊ปทัวร์นี้มีเพียงสองสาวเท่านั้นที่เป็นชาวไทย ทำให้พวกเธอแทบไม่จำเป็นต้องระมัดระวังคำพูดมากนัก
“ไม่รู้สิ บังเอิญเจอกัน เขาเป็นพ่อของเด็กน่ะ”
“อ้าว มีลูกแล้วรึ น่าเสียดาย” มัลลิกาบอกพร้อมกับแววตาละห้อย คล้ายคนอกหัก

ท่าทีของเพื่อนรัก เรียกเสียงหัวเราะจากวริษาได้ในทันที เธอและมัลลิกาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี แม้ว่ายามนี้ทั้งสองต่างมีหน้าที่การงานแยกย้ายกันไปคนละที่ แต่บ่อยครั้งสองสาวก็มักหาเวลาตรงกันเพื่อเดินทางท่องเที่ยว ทริปอเมริกาครั้งนี้เองก็เช่นกัน มันเกิดขึ้นเมื่อมัลลิกาต้องการเดินทางมาเยี่ยมพี่ชายที่ซีแอทเทิล เมืองหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา แต่เพราะความอยากเที่ยวน้ำตกไนแองการ่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทำให้มัลลิกาชักชวนวริษาลาหยุดยาว ซื้อโปรแกรมท่องเที่ยวจากอินเตอร์เน็ต ก่อนสองสาวจะจูงมือกันบินข้ามมาครึ่งโลก เพื่อใช้วันหยุดตะลอนไปทั่วอเมริกาฝั่งตะวันออก โปรแกรมท่องเที่ยวในครั้งนี้ของวริษาใกล้จะสิ้นสุดลงในอีกสามวันข้างหน้า เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงน้ำตกไนแองการ่า แล้วจะพักค้างอยู่สองคืน ก่อนจะขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย ส่วนมัลลิกาก็จะต่อเครื่องภายในประเทศข้าม บินข้ามไปยังฝั่งตะวันตกเพื่อเยี่ยมพี่ชาย

“เสียดายทำไม อย่าบอกนะว่ามะลิติดใจหนุ่มคนเมื่อกี้เข้าให้แล้ว” วริษาล้อเพื่อน
“บ้าสิ ก็แค่เห็นเขาหล่อดี นึกว่าเขามาปิ๊งปั๊ง ขอเบอร์เธอเสียอีก”
“ไม่มีทาง ผู้ชายหน้าตาดีแบบนั้นจะมาสนใจผู้หญิงธรรมดาอย่างเราได้ยังไง แล้วอีกอย่างนะ พวกเราก็ไม่ใช่สเปคฝรั่งเสียหน่อย”
มัลลิกาพยักหน้ารับคำเพื่อน ก็จริงอย่างที่วริษาพูดเพราะในความคิดของสองสาว ฝรั่งส่วนใหญ่มักชอบสาวไทยผิวคล้ำ ผิดไปจากสองสาวซึ่งมีผิวค่อนข้างขาวและนวลลออ
แต่หนุ่มคนนั้นไม่ใช่ฝรั่งแท้นี่นา แถมหน้าตายังออกไปทางอาหรับเสียด้วย แล้วมาตรฐานนี้จะใช้วัดได้หรือ... มัลลิกากังขาคำถามนี้อยู่ในใจ

จนกระทั่งสองสาวเดินตามคณะทัวร์เข้าไปยังห้องจัดการแสดงเป่าแก้ว ตลอดระยะเวลาการแสดง สองสาวต่างให้ความสนใจกับการเป่าแก้วบนเวที โดยไม่ได้นึกเอะใจเลยว่ายังมีสายตาคมคู่หนึ่งจับจ้องอยู่

ราชิดคิดว่าหญิงสาวผมดำคือชาวจีน เขาหลงเข้าใจเธอผิดเพราะป้ายชื่อของคณะทัวร์ชาวจีน จนกระทั่งมารู้ความจริงเอาตอนเจ้าหน้าที่คนหนึ่งบนเวทีจับฉลากรายชื่อผู้โชคดีขึ้นมาได้ ร่างอรชรของหญิงสาวที่เขาพบในห้องประวัติศาสตร์แก้ว เดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับของที่ระลึก ระหว่างนั้นพิธีกรชายก็ได้เอ่ยปากถามเธอ
“คุณชื่ออะไรครับ”
“วริษาค่ะ”

เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของพิธีกร เธอจึงเอ่ยสำทับต่อ “ฉันเป็นคนไทย ชื่อของฉันแปลว่าฝน” หญิงสาวเอ่ยความหมายของชื่อตัวเองให้อีกฝ่ายฟังเสร็จสรรพ
“โอ ถ้างั้นคุณก็คงนำความชุ่มชื้นหัวใจมาให้ผม มาให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้”
เสียงแซวของพิธีกรเรียกเสียงหัวเราะและตบมือจากผู้คนในห้องได้เป็นอย่างดี ตรงข้ามกับราชิดซึ่งยังจับจ้องร่างอรชรถูกกลืนหายไปกับฝูงชนด้วยแววตาไม่มั่นใจนัก
“อาราชิดครับ ผมไปซื้อของฝากให้แม่ได้รึยัง” เสียงของวิลเลี่ยมสะกิดคนในภวังค์ให้ดึงสติกลับมา
“ไปสิ”

จากนั้นชายหนุ่มก็จับจูงเด็กชายเดินออกมายังบริเวณร้านขายของที่ระลึก หากตลอดระยะเวลาเดินอยู่ในร้านขายของ สายตาของเขากลับพยายามมองหาแต่เพียงร่างแบบบางของหญิงสาวผู้มีนามว่า วริษา
ต้องใช่แน่ เขาคิดว่าเขาได้พบเธอแล้ว...ยายลูกแมวของเขา



เรมิกาญจน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2555, 11:15:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2555, 11:15:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 2542





   บทที่1 ปฏิบัติการล่ารัก >>
อสิตา 6 ม.ค. 2555, 20:50:58 น.
ดวงตาสีเทาเหลือบทอง... /กี๊ซซซ


ameerahTaec 9 ก.พ. 2555, 14:23:33 น.
>_<


ChaussonAuxPomme 13 ก.พ. 2555, 20:46:49 น.
...เขียนดีจังเลยคะ ชอบจัง แล้วถ้าอยากอ่านเรื่องก่อนหน้านี้(ไฟรักซาตาน)ต้องทำยังไงอ่ะคะ... : )


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account