เชลยสิเน่หา
เพราะรอยอดีตทำให้เขาพาตัวเองเข้ามาใกล้เธอ...
และเพราะรัก เขาจึงไม่อาจปล่อยเธอไป...

ในชีวิต ราชิด บินท์ อานาบีย์ ไม่เคยมองหญิงสาวคนใด ผู้หญิงทุกคนแค่เพียงผ่านมาแล้วจากไปอย่างไม่เคยหลงเหลือในความทรงจำ เพราะหัวใจเขามีไว้แค่เพียงเด็กผู้หญิงกำพร้าตัวเล็กๆ คนหนึ่งในอดีตเท่านั้น เขาเฝ้าตามหาเธอเรื่อยมา กี่สิบปีมาแล้วที่ราชิดมีหัวใจไว้แค่เธอ
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกือบคิดว่าตัวเองได้พบกับหญิงสาวในอดีต วริษา... เขาเคยเกือบเชื่อว่าเธอคือลูกแมวที่เขาตามหา ทว่า เมื่อเธอปฏิเสธและลาจากเขาไป เขากลับเจ็บ เจ็บอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มรู้ว่าเธอคือน้องสาวของผู้ชายที่เป็นหนี้เขา ราชิดจึงไม่ลังเลเลยที่จะอาศัยหนี้ก้อนนี้ดึงเธอให้กลับคืนมา
เพื่อชดใช้หนี้หรือ... เขาเองก็ยังตอบได้ไม่เต็มปากนัก เมื่อเธอนั้นแสนดื้อรั้น ไม่เคยคิดเชื่อฟังเขาเลยสักครั้ง
เพื่อรักหรือ... เขาเองก็ยังลังเล เมื่อเธอไม่ใช่รักแรกและรักเดียวในใจเขา

แต่สิ่งเดียวที่ราชิดรู้คือ เขาไม่ต้องการปล่อยเธอไป ไม่มีวัน!

Tags: ราชิด วริษา ชีค

ตอน: บทที่1 ปฏิบัติการล่ารัก

บทที่1 ปฏิบัติการล่ารัก

“อะไรนะ นายคิดว่านายเจอยายลูกแมวเหรอ” ไมเคิลถามอย่างไม่เชื่อหูนัก
“ฉันยังไม่แน่ใจ แต่แค่คิดว่าอาจเป็นไปได้”
“แต่นี่มันนิวยอร์คนะ ไม่ใช่เมืองไทย โลกมันจะกลมขนาดนั้นเชียวเหรอว่ะ อุตส่าห์บินกลับไปหาตั้งไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่กลับมาเจอกันที่นิวยอร์คเนี่ยนะ”

เรื่องราวปมหลังในชีวิตของราชิดไม่ใช่เรื่องที่มีคนรู้มากนัก แต่สองในน้อยคนนั้นก็คือไมเคิลและนิโคลัสผู้เป็นเพื่อนรัก เพราะหลายครั้งนับตั้งแต่รู้จักกันมา ราชิดมักชวนสองหนุ่มบินไปยังเมืองไทยสม่ำเสมอ และเหตุผลเดียวของการบินไปยังเมืองไทยก็คือการกลับไปตามหาเด็กหญิงผู้เป็นรักแรกของเขา

ลูกแมวหรือลูกแมวน้อยคือคำเรียกขานของเด็กหญิงในความทรงจำ ไมเคิลไม่มั่นใจนักว่าราชิดจำได้รึเปล่าว่า เธอคนนั้นมีชื่อจริงว่าอะไร เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันก็นานมากแล้ว ยี่สิบกว่าปีเห็นจะได้ นับตั้งแต่ราชิดยังเป็นเพียงเด็กชายวัยสิบปี ยามนั้นเขาเดินทางไปท่องเที่ยวกับบิดามารดายังประเทศไทย และเพราะอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่พรากบุพการีทั้งสองไป ทำให้เขาจำต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า

ท่ามกลางความเศร้าของการสูญเสีย เด็กชายราชิดจำต้องปรับตัวอย่างหนักกับสภาพแวดล้อมใหม่ ไม่มีใครเลยพูดคุยกับเขารู้เรื่อง เนื่องจากเขาไม่เข้าใจภาษาของผู้คนในประเทศนี้ แล้วเขาเองในตอนนั้นก็พูดภาษาอังกฤษได้เพียงไม่กี่ประโยค การสื่อสารจึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กพลัดถิ่นอย่างเขา แต่ในความเลวร้ายของวันคืนแสนทรมาน เด็กชายก็ได้พบกับแสงแห่งความหวังริบหรี่จากรอยยิ้ม และนัยน์ตาหวานสุกสกาวของใครบางคน เด็กหญิงตัวน้อย... เด็กหญิงที่ต่อให้โลกนี้สูญสลาย ชีวิตจำต้องดับสูญ เขาก็ไม่มีลืมเธอได้
“ฉันก็ไม่มั่นใจหรอก แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไทย แล้วเธอก็เหมือนลูกแมวน้อยที่ฉันจำได้” ราชิดบอกขณะทอดสายตา เหม่อมองออกไปไกลนอกหน้าต่าง

เลยผ่านกระจกบานใหญ่ของโรงแรมชั้นสูงสุดไป คือรัตติกาลอันมืดมิด ไม่มีแม้แสงของจันทราหรือดาราดวงใด ด้วยความสว่างจากเมืองทางเบื้องล่างได้กลบแสงระยิบระยับบนฟากฟ้าไปสิ้น ต่ำลงไปภายใต้รัตติกาลสีดำคือมหานครนิวยอร์คอันยิ่งใหญ่ แม้เวลานี้จะปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่มหานครเบื้องล่างก็ยังคงไม่ได้หลับใหลลงเลย

“อะไรทำให้นายมั่นใจว่าเธอคือเด็กผู้หญิงที่นายตามหา ปรกตินายก็เคยเจอสาวไทยนี่ ไม่เห็นมั่นใจขนาดนี้มาก่อน” ไมเคิลถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“รอยยิ้ม”
“หา! นายจะบอกว่าจำคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมากว่ายี่สิบปีได้เพราะรอยยิ้มเนี่ยนะ” คำพูดของไมเคิลบ่งชัดว่าไม่เชื่อถือในน้ำคำของเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

“ยังไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น เพียงแต่สะดุดตากับรอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้น เธอมีลักยิ้มที่เหมือนกันยายลูกแมวมาก” ราชิดบอกขณะนึกย้อนไปถึงรอยยิ้มหวานของคนที่เจอกันเพียงไม่กี่นาที
นอกจากริมฝีปากบอบบาง น่าก้มลงไปฝากรอยรักแล้ว วริษายังมีรอยยิ้มแบบที่สามารถสะกดหัวใจเขาไว้ได้ตั้งแต่แรกเห็น ลักยิ้มของเธอไม่ได้บุ๋มลงไปยังข้างแก้มทั้งสอง เหมือนอย่างลักยิ้มของใครหลายคนทั่วไป แต่ยามดวงหน้าหวานแย้มยิ้ม บริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างของเธอกลับปรากฏลักยิ้มเป็นรอยขีดเล็กๆ สองรอยบนแก้มซ้ายและขวา ไม่ผิดไปจากเด็กหญิงในความทรงจำของเขาเลยแม้แต่น้อย

“แค่ลักยิ้ม มันพิสูจน์ไม่ได้หรอกนะ” ไมเคิลส่ายหน้ากับหลักฐานเพียงเล็กน้อยของเพื่อนรัก แต่ก็อดถามต่อไม่ได้ “แล้วนายจะทำยังไงต่อไป คงจะหาทางสืบประวัติผู้หญิงคนนั้นสินะ ได้ความบ้างรึเปล่า”
“มือฉันนี้แล้ว คิดว่าหาไม่ได้เหรอ” ราชิดโบกกระดาษเอสี่ในมือของตัวเองขึ้น
จากตัวอักษรที่เห็นในกระดาษคือตารางทัวร์นิวยอร์คของบริษัทนำเที่ยวแห่งหนึ่ง บริษัทนี้แทบไม่เคยอยู่ในสายตาของสองหนุ่มเลย เนื่องจากเป็นบริษัทจัดทัวร์แบบประหยัด มีเจ้าของและไกด์นำเที่ยวเป็นชาวจีนเสียส่วนใหญ่

ไมเคิลนำตารางทัวร์ในมือเพื่อนรักขึ้นมาพลิกๆ ดู ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“นี่อยากบอกนะว่า นายจะตามผู้หญิงคนนั้นไปที่น้ำตกไนแอนการ่า”
“งั้นสิ พรุ่งนี้เช้า ฉันว่าจะไปเที่ยวน้ำตกเสียหน่อย” ราชิดบอก มองตารางทัวร์ในมืออย่างหมายมาด
‘พรุ่งนี้เถอะ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าวริษาใช่ยายลูกแมวของเขาหรือไม่’

ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมที่พักอยู่หลายชั่วโมง กว่ารถทัวร์จะพาเหล่านักท่องเที่ยวมาถึงยังบริเวณอุทยานแห่งชาติไนแองการ่า เสียงไกด์บรรยายเป็นภาษาจีนให้เหล่าคณะท่องเที่ยวอยู่กว่าพักใหญ่ ก่อนจะแทรกด้วยภาษาอังกฤษตามมา

“เรามีเวลาสองชั่วโมงในการเดินชมน้ำตกและรับประทานอาหารเย็นยังตึกด้านนู้น” มือของไกด์ชาวจีนชี้ไปทางตึกด้านซ้ายของสองสาว “จากนั้นผมรบกวนทุกท่านกลับมารวมตัวกันที่รถตอนทุ่มครึ่งนะครับ แล้วเราจะเข้าที่พักกัน”
หลังจากนัดแนะเวลากันเสร็จ สองสาวชาวไทยจึงเร่งรุดลงจากรถ กว่าวริษาจะรู้ตัวอีกทีหนึ่งว่าตนเองลืมหยิบเสื้อกันหนาวลงมา ร่างอรชรก็ปะทะเข้ากับสายลมเย็นฉ่ำเข้าเสียแล้ว

“มะลิ ฉันลืมเสื้อไว้บนรถล่ะ” วริษาบอกอีกฝ่ายหน้ามุ่ย
“อ้าว ทำไมดีล่ะ ไกด์เดินไปนู่นแล้วด้วยสิ” มัลลิกาชะเง้อคอมองธงสีเหลืองที่เริ่มจะหายลับไปกับฝูงชน
“เธอเดินไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันตามไป”
“แล้วจะหากันเจอเหรอ ให้ฉันไปด้วยไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปก่อนเถอะ จะได้ถ่ายรูปด้วยไง แต่ถ้าซวย หลงกันจริงๆ ก็กลับมาเจอที่รถแล้วกัน”
“ก็ได้” เพราะความเป็นห่วง กลัวไม่มีเวลาถ่ายรูป ทำให้สองสาวตัดสินใจแยกกัน

วริษาเดินกลับออกมาจากอุทยาน ตรงดิ่งไปยังบริเวณริมฟุตปาธที่เธอเพิ่งลงจากรถทัวร์มา ทว่า เมื่อกลับมาถึง เธอกลับไม่พบรถทัวร์ของตัวเองจอดอยู่
“อ้าว หายไปไหนเสียแล้ว” เสียงหวานบ่นอุบทันที หวั่นใจไม่น้อยว่าตลอดสองชั่วโมงต่อจากนี้เธอคงต้องทนหนาวเป็นแน่แท้

ระหว่างกำลังเดินคอตก เตรียมกลับไปหามัลลิกาและคณะทัวร์ จู่ๆ ร่างสูงของหนุ่มอาหรับที่เธอเคยพบหน้าเมื่อวานนี้ก็โผล่เข้ามาขวางทาง
“อ้าว คุณ มาเที่ยวน้ำตกเหรอคะ” วริษาร้องทักออกไปพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
เล่นเอาคนเดินตามหาเธอมาพักใหญ่ถึงกับหัวใจสะดุด
เย็นวันนี้ราชิดมีประชุมสำคัญเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายที่ดินผืนหนึ่งในเมืองไทย เขาจึงเสียเวลาคุยเรื่องสัญญาอยู่นานกว่าจะได้ข้อสรุป ดังนั้นพอบึ่งรถมาถึงอุทยานแห่งชาติ ชายหนุ่มก็พบว่าคณะทัวร์ของหญิงสาวได้มาถึงพักใหญ่แล้ว

“ใช่ มาเที่ยว แล้วเธอล่ะ” ชายหนุ่มรับสมอ้างคำของอีกฝ่าย
ไม่กล้าบอกหรอกว่าเขาเที่ยวเดินตามหาเธอเสียทั่วอุทยาน
“ก็มากับคณะทัวร์ค่ะ” วริษาบอกขณะชะเง้อคอ กวาดตามองไปรอบอุทยาน แต่ไม่พบคนคุ้นหน้าสักคน “ฉันขอตัวก่อนนะคะ รู้สึกเหมือนตัวเองจะหลงกับคณะเสียแล้ว”

หางเสียงของคนพูดมีร่องรอยกังวลอย่างเห็นได้ชัด และนั่นยิ่งทำให้ราชิดไม่คิดจะเดินจากอีกฝ่ายไป เจ้าของเรืองร่างสูงภายใต้เสื้อสเวตเตอร์ฝ่าหน้า พยายามผ่อนฝีเท้าตัวเองให้ช้าลงขณะเดินตามร่างเล็กกว่าเข้าไปในเขตอุทยาน
‘อุตส่าห์ตามมาจนถึงนี่ จะให้เขาปล่อยเธอไปรึ... หึ ไม่มีวันเสียล่ะ เขาต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่าเธอใส่เด็กผู้หญิงในความทรงจำของเขาหรือไม่’ ราชิดคิดอย่างหมายมาด

แม้จะหันหน้ามองไปทางไหน แต่สุดท้ายวริษาก็ยังมองมัลลิกา หัวหน้าไกด์ หรือแม้แต่คนคุ้นหน้าสักคน ในขณะที่หญิงสาวกำลังคิดด้วยความว้าวุ่นใจอยู่นั้น จู่ๆ มือบางของเธอก็ถูกใครบางคนคว้าหมับเข้า
“อุ๊ย!” วริษาอุทานด้วยความตกใจ พยายามจะชักมือกลับทันที
หญิงสาวเพิ่งจะมาสังเกตเห็นว่าหนุ่มอาหรับเดินตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้

“ปล่อยมือฉันนะคะ” เสียงหวานเริ่มแข็งขึ้นทันทีกับความมือไวของชายหนุ่ม
“เธอคงหลงกับคณะทัวร์แล้วล่ะ นี่มีนัดกันไว้รึเปล่า”
“ค่ะ นัดมาเจอกันตรงที่ลงรถตอนทุ่มครึ่ง”
ราชิดก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง แล้วจึงพยักหน้าอย่างพอใจ
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันเป็นไกด์ให้เอง”

ชายหนุ่มไม่ฟังคำตอบรับหรือคัดค้านของเธอแม้แต่น้อย เขาจับจูงร่างบางเดินดุ่มๆ ตัดออกจากอุทยานมา ท่ามกลางความตกใจของคนถูกจูง
“นี่คุณปล่อยมือฉันนะ” เสียงหวานแหวพร้อมกับหยุดเดิน พยายามจะชักมือออกจากการเกาะกุมอย่างฉวยโอกาส
“เธอไม่อยากไปดูน้ำตกรึ”
“อยากสิ แต่ฉันไปเองได้” วริษาบอกเสียงเขียว สะบัดมือตัวเองออกจากอุ้งมือใหญ่ได้ในที่สุด

ร่างบางจ้ำอ้าวหนีอีกฝ่ายเต็มฝีเท้า แต่สองขาของเธอก็ยังเทียบไม่ได้กับก้าวยาวๆ ของคนด้านหลัง เพราะเพียงแค่ราชิดสาวเท้าตามมาไม่กี่ก้าว เขาก็มายืนขวางตรงหน้าได้สำเร็จ
“อยากไปดูน้ำตก แต่รู้ไหมว่านั่นน่ะเดินไปผิดทางแล้ว”
วริษาหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันทีกับคำพูดอีกฝ่าย หญิงสาวตัดสินใจหันหลังกลับ ตั้งใจจะเดินหนีชายหนุ่มสุดฤทธิ์ แต่คนรอจังหวะอยู่แล้วไม่ยอมปล่อยให้เธอทำได้อย่างใจคิด

มือหนาซึ่งเคยเกาะกุมอยู่บนข้อมือบางเอื้อมมาโอบเอวเธอไว้มั่น พร้อมกับแรงกระชับ ดึงร่างบางให้เซเข้าไปปะทะแผงอกแกร่ง ไออุ่นจากเรือนกายหนาและกลิ่นหอมอ่อนๆ รวยระรินออกมาแตะจมูก ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ปละ...ปล่อยฉันนะคะ คุณไม่ควรทำแบบนี้”
“แบบนี้ที่เธอว่าคือแบบไหนกัน”
นอกจากสถานการณ์จะไม่ดีขึ้นแล้ว ทุกอย่างกลับดูเลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อดวงหน้าคมคายโน้มต่ำลงมากระซิบถามเสียชิดริมใบหูเธอ ลมหายใจร้อนผะผ่าวเป่ารดติ่งหูและพวงแก้ม ส่งผลให้พวงแก้มนวลลออแดงระเรื่อขึ้น ตามแรงสูบฉีดของหัวใจ

“ปล่อยค่ะ คุณกับฉันเป็นคนแปลกหน้ากัน คุณไม่ควร...เอ่อ...กอดฉันแบบนี้ แล้วการที่คุณทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่น ภรรยาของคุณคงไม่ชอบนัก”
วริษาหยิบยกคำว่าภรรยาขึ้นมาด้วยความเชื่อว่า ชายหนุ่มที่รักลูกของเขาขนาดนั้น คงต้องเป็นคนรักครอบครัว รักภรรยาของตนเองบ้าง

หากสิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะขำของคนตัวสูงกว่า วริษาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก
“สาวน้อย ฉันยังไม่มีภรรยาหรอก แม้แต่แฟนยังหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ส่วนเจ้าตัวยุ่งที่เธอเห็นน่ะ เป็นลูกชายของเพื่อนฉันเอง”
“อ้าว” คราวนี้แววตาสีน้ำตาลกลมโต เงยขึ้นมองเขาอย่างคาดไม่ถึง
“ฉันยังโสด ถ้านั่นคือสิ่งที่เธอกำลังสงสัย” ราชิดยิ้มขัน
นิ้วยาวเรียวของบุรุษตรงหน้า แตะลงบนริมฝีปากของเธอด้วยท่าทียั่วเย้า เล่นเอาคนไม่สันทัดในเรื่องเพศตรงข้ามอย่างวริษาหัวหมุนไปกับใบหน้าหล่อคมคาย และรอยยิ้มกระชากใจ

ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ทันได้ปฏิเสธ ยามเมื่อคนตัวโตกว่าคว้ามือเธอ พาเดินตัดอุทยานลงมายังบริเวณทางเดินติดริมน้ำ
เสียงน้ำตกดังกระหึ่มมาเรื่อย ดึงความสนใจของวริษาให้หันไปมองภาพเบื้องหน้า ต่ำลงไปจากทางเดินปูนซีเมนต์คือที่ตั้งสายธารน้ำขนาดใหญ่ ไหลเชี่ยวจนเกิดละอองเซ็นซ่า กระเด็นฟุ้งราวกลุ่มหมอกหนา ตัดกับยามเย็นของแสงอาทิตย์และตัวตึกสูงของอาคารหลายหลังทางอีกฟากฝั่งหนึ่ง

และเมื่อชายหนุ่มจูงวริษาเดินต่อมาทางขวา เรื่อยมาจนเธอมองเห็นจุดสิ้นสุดของสายธารเชี่ยวกราด กลายสภาพเป็นน้ำตกใหญ่ ไหลแรงเร็ว ทิ้งตัวดิ่งลงสู่ก้นบึ้งเบื้องล่าง ก่อกำเนิดกลุ่มหมอกจากละอองไอน้ำสีขาว ฟุ้งกระจายไปทั่วสารทิศ
“โอ้โห สวยจัง” วริษาตื่นตากับภาพที่เห็นไม่น้อย
เบื้องหน้าของเธอยามนี้คือภาพน้ำตกไนแองการ่าขนาดใหญ่ ตัดกับฟากฟ้าสีฟ้าอมส้มของพระอาทิตย์ตกดิน
“ฝั่งนู้นคือแคนนาดา” คนตัวโตซึ่งยังไม่ยอมละมือจากเอวบาง ชี้ไปยังเมืองซึ่งมีตึกสูงหลายหลังตั้งเด่นอยู่

“ข้ามไปนี่ก็แคนนาดาแล้วเหรอคะ” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ
“ใช่ แถมน้ำตกฟากนู้นยังสวยกว่านี่อีกรู้ไหม”
“ยังมีสวยกว่าอีกเหรอ” เสียงหวานเพ้อ
เพราะเท่าที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าสวยสุดใจแล้ว

“มี” ราชิดยืนยันคำพูดของตัวเอง ขณะก้มลงกระซิบอธิบาย “น้ำตกไนแองการ่ามีทั้งหมดสามแห่งคือน้ำตกเกือบม้า (Horseshoe Falls) น้ำตกอเมริกา (American Falls) และน้ำตกไบรเดรอร์ เวล (Bridal Veil Falls) ครอบคลุมทั้งฝั่งแคนนาดาและอเมริกา แล้วถ้าคุณอยากเห็นน้ำตกที่สองแห่งสวยกว่านี้ ก็ต้องข้ามฝั่งไปทางแคนนาดา”

“ข้ามไปฝั่งนู้นเหรอคะ” วริษาทวนถามด้วยความงุนงงเล็กน้อย นัยน์ตาหวานเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าคมคายที่กำลังโน้มลงมาต่ำ
หัวใจของหญิงสาวพลันวูบไหวไปกับความแพรวพราวของนัยน์ตาคมสีเทาเหลือบทอง สติบอกให้เธอก้าวถอยห่างจากบุรุษแปลกหน้า หากร่างกายเธอกลับไม่ยอมขยับตามสมองสั่ง
ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้มีดวงตาคมชวนลุ่มหลงเหลือเกิน...

“ใช่ ข้ามไปฝั่งนู้นกัน” น้ำเสียงทุ้มดูเร่งเร้า เชื้อเชิญเธอให้หลงวนอยู่ในความรู้สึกแปลกประหลาด
วริษาฝืนบังคับตัวเองให้เสหลบตาอีกฝ่าย พยายามอย่างยิ่งที่จะดึงสายตาตัวเองกลับมายังภาพน้ำตกเบื้องหน้า และเมื่อหลุดพ้นจากวังวนสิเน่หา สติของเธอก็เริ่มกลับมา ร่างบางจึงพยายามจะเขยิบกายออกห่าง พยายามจะชักมือตัวเองกลับ ไม่นานมือหนาก็ยอมคลายออกด้วยท่วงท่าบ่งชัดถึงความเสียดาย

“ไม่ได้หรอกค่ะ โปรแกรมทัวร์ของฉันไม่ได้ลงไว้เรื่องที่จะข้ามฝั่งไปอีกประเทศหนึ่ง”
“ไม่ต้องห่วง ผมพาคุณไปเอง”
คำชักชวนสั้นๆ ง่ายๆ ของชายหนุ่มแปลกหน้า ทำเอาคนฟังถึงกับเหวอไป
“จะไปได้ยังไงคะ วีซ่าก็ไม่ได้ทำมา แถมฉันยังมากับทัวร์ แล้วอีกอย่างเราก็เพิ่งรู้จักกัน ฉัน...เอ่อ...คงไม่ไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้าหรอก”

ราชิดส่ายหน้ากับถ้อยคำปฏิเสธของหญิงสาว นิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากอวบอิ่ม อดใจแทบตายที่จะไม่ก้มลงไปควานหาความหอมหวานจากเรียวปากอิ่ม
ผู้ชายอย่าง ราชิด บินท์ อานาบีย์ ไม่ยอมให้ใครปฏิเสธง่ายๆ หรอก...
“ใครบอกว่าเราเป็นคนแปลกหน้า” นัยน์ตาสีเทาเหลืองทองจดจ้องเธอคล้ายตัดพ้อ

“แปลกสิคะ ชื่อของคุณ ฉันยังไม่เลยด้วยซ้ำ”
“ผมชื่อราชิด”
“ค่ะ ฉัน วริษา”
“ผมรู้ น้ำฝน”
สีหน้าของคนฟังงุนงงไปในทันทีคำเรียกขานอย่างชัดถ้อยชัดคำของชายหนุ่ม แปลกใจไม่น้อยว่าเหตุใดหนุ่มต่างชาติอย่างเราถึงได้ออกเสียงชื่อเธอชัดเจนขนาดนี้

และเพราะท่าทีงุนงงของหญิงสาว ราชิดจึงตัดสินใจเอ่ยปากอธิบายความออกไป
“ผมเคยไปเมืองไทยหลายครั้ง ตอนเด็กๆ ก็เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายปี ผมเลยพอพูดภาษาไทยได้” หางเสียงของคนพูดมีร่องรอยของความคาดหวังปะปนมาชัดเจน
เธอจะจำเขาได้บ้างไหม ยี่สิบกว่าปีผ่านมาแล้ว เขาจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเธอบ้างไหม...

ทว่า สิ่งที่เขาได้รับกลับมากลับเป็นเพียงรอยยิ้มหวาน
“เหรอคะ แสดงว่าคุณคงชอบเมืองไทย แล้วคุณไปเที่ยวไหนมาบ้างคะ”
“ก็หลายที่อยู่” เขาบอกอย่างไม่เจาะจงนัก “เธอ... ไม่รู้สึกคุ้นหูกับชื่อฉันบ้างเลยเหรอ” ราชิดตัดสินใจถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา

หญิงสาวส่ายหน้าแทบจะในทันที “ไม่นี่ ฉันไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนอาหรับ”
จบคำพูดของเธอ ต่างฝ่ายจึงต่างนิ่งกับไปพักใหญ่ จนกระทั่งแสงอาทิตย์เริ่มหายลับจากขอบฟ้าไป ความหนาวเย็บเข้ามาเยือนผิวกายจนวริษาชักเริ่มอดทนไม่ไหว
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ ค่ำแล้ว เดี๋ยวต้องไปทานข้าวอีก จะไม่ทันเวลานัด” วริษาบอก เตรียมจะขยับออกห่าง

แต่คนตัวสูงกว่ากลับไม่ยินยอม มือหนาที่เคยปล่อยออกกลับมาคว้าข้อมือบางไว้มั่น
“แล้วเรื่องข้ามไปฝั่งแคนนาดาล่ะ” ราชิดถาม
แม้จะเสียใจ ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะใช่เด็กผู้หญิงที่เขาตามหาไหม แต่ ณ จุดนี้ เขาก็ไม่คิดปล่อยแม่สาวไทยร่างเล็ก นัยน์ตาหวานไป

“คงไม่ได้หรอกค่ะ ก็บอกแล้วว่าฉันมากับทัวร์ อีกไม่กี่วันก็จะกลับบ้านแล้ว”
คำว่ากลับบ้านสร้างความรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาทันทีในหัวใจของผู้ชายผู้ไม่เคยหวั่นไหวอย่างราชิด มือหนากระชับรอบมือบางมั่น ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีวันปล่อยเธอไป
จนกว่าเขาจะรู้ความจริง แม่น้ำฝนหวานฉ่ำคนนี้จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น...

“คุณจะกลับเมืองไทยเมื่อไร” ราชิดถาม ทั้งๆ ที่ทราบโปรแกรมทัวร์ของอีกฝ่ายจากนักสืบมาเรียบร้อยแล้ว
“อีกสองวันค่ะ ฉันพักอยู่แถวนี้สองคืน แล้วก็จะขึ้นเครื่องกลับวันมะรืน” เธอเล่ารายการทัวร์ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ
“งั้นก็ยังมีเวลา”
“คะ?” เสียงหวานถามออกไปด้วยความงุนงง

“อีกสองวันของเธอไง ขอได้ไหม” คำถามอย่างตรงไปตรงมาของราชิด ทำเอาวริษาถึงกับอึ้งไป “รับรองว่าฉันจะเป็นไกด์ที่ดีให้เธอได้แน่นอน”
“เอ่อ...ฉันว่าไม่...”

วริษายังไม่ทันเอ่ยปากปฏิเสธด้วยซ้ำ นิ้วเรียวก็เอื้อมลงมาแตะริมฝีปากของเธออีกครั้ง
“อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ ยังมีเวลาคิดอีกคืนไม่ใช่เหรอ คืนนี้เธอพักแถวนี้ใช่ไหม”
“ค่ะ” แม้จะงุนงงเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ถึงที่พักของตัวเองได้อย่างไร หากหญิงสาวก็ยังพยักหน้าออกไป พร้อมกับบอกชื่อโรงแรมที่เธอจำได้จากในโปรแกรม

“ถ้างั้นเราไปทานข้าวกัน แล้วฉันจะพาเธอไปส่งที่รถทัวร์ ถึงตอนนั้นเธออาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้” เขาบอกอย่างไม่ยอมแพ้

วริษาไม่มั่นใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่ตลอดระยะเวลาชั่วโมงกว่าหลังจากนั้น ข้างกายเธอมีเรือนร่างสูงของชายหนุ่มอยู่เคียงข้างตลอด เขาพาเธอมาทานอาหารในร้านอาหารเล็กๆ กึ่งผับ ห่างออกไปไม่ไกลจากบริเวณอุทยานแห่งชาติ จากนั้นก็เตร่เดินทอดน่องกันต่อบนถนน
“คลุมไว้ซะ หนาวไม่ใช่เหรอ”

เสื้อไหมพรมตัวใหญ่สีเทา ซึ่งเคยประดับอยู่บนเรือนกายแกร่ง ถูกถอดออกมาวางลงบนหัวไหล่มน สัมผัสนุ่ม อบอุ่น และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเสื้อ ทำเอาวริษาแทบหัวหมุนไปกับความรู้สึกหวามไหวที่ระรัวอยู่ในอก
“แต่ว่า... ไม่หนาวเหรอคะ” เสียงหวานถามอย่างเกรงใจ
“แค่เย็นๆ” ราชิดบอก พยายามไม่ยอมให้อีกฝ่ายถอดเสื้อกันหนาวของเขาออก

แม้วริษาจะยังมีสีหน้ากระอักกระอวล แต่สุดท้ายเธอก็จำต้องยอมรับเสื้อของอีกฝ่ายมาห่อหุ้มเรือนกายไว้ ความอบอุ่นที่แล่นผ่านมาในเนื้อผ้า นอกจากจะช่วยขับไล่ความหนาวเหน็บออกไปแล้ว ยังพาหัวใจดวงน้อยระรัวขึ้นในอกอย่างห้ามไม่อยู่
ทำแบบนี้ก็ทำเอาหัวใจเธอเต้นไม่หยุดกันพอดีสิ...

ดังนั้นเมื่อตอนราชิดเดินมาส่งถึงหน้ารถทัวร์ วริษาจึงละล่ำละลักคืนเสื้อกันหนาวของอีกฝ่ายให้ ทว่า มือหนากลับเลื่อนมาจับมือเธอโดยไม่ยอมรับเสื้อตัวเองกลับคืน
“ฉันยังหวังว่าพรุ่งนี้เราจะเจอกันอีก ไว้ฉันจะไปเอาคำตอบจากโรงแรมตอนเช้า” ราชิดบอกพร้อมกับคว้ามือเธอขึ้นไปประทับจุมพิตบนหลังมือ

ยังไม่ทันที่วริษาจะทันพูดอะไร ร่างสูงผึ่งผายก็หันหลังเดินหายลับไปเสียก่อน ปล่อยให้เธอได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นตามลำพัง
“เรนนี่ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันน่ะ” เสียงของหญิงสาวชาวเปรูคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับคณะทัวร์ถามขึ้นทันทีพร้อมกับปราดเข้ามาเขย่าแขนวริษา

“เขาชื่อราชิด”
“มาจีบเธอเหรอ” นัยน์ตากลมโตของเพื่อนต่างชาติถามด้วยความใคร่รู้
“อื้อ ไม่หรอก เพิ่งเจอกัน” วริษาตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก รีบสาวเท้าพาตัวเองขึ้นรถทันที ท่ามกลางสายตาวิบวับของคนถาม
“เธอไม่เคยได้ยินเรื่องรักแรกพบหรือไง แบบนี้แหละใช่เลย หมอนี่ต้องคิดจะจีบเธอแน่ๆ แล้วเธอให้เบอร์หรืออีเมลเขาไปรึเปล่า”

“ไม่มีหรอก คนเพิ่งเจอกันเองนะ” หญิงสาวพยายามตัดบท อีกฝ่ายจึงเดินกลับที่ไปด้วยท่าทีเสียดาย
วริษานั่งรออยู่บนรถทัวร์แต่เพียงลำพัง จนเกือบใกล้เวลานัดเข้ามาแล้ว นักท่องเที่ยวทั้งหลายต่างเดินกลับขึ้นมาบนรถทัวร์กันเกือบหมด ยกเว้นแต่มัลลิกาเพียงคนเดียว วริษานั่งกระสับกระส่าย นึกเป็นห่วงเพื่อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเพื่อนรักของเธอคนนี้เป็นคนตรงต่อเวลาไม่น้อย

แล้วหัวใจของหญิงสาวก็พลันกระตุกวูบ เมื่อจู่ๆ คนขับรถทัวร์ก็สตาร์ตเครื่อง พารถวิ่งออกจากลานจอดรถไป
“เดี๋ยวค่ะ เพื่อนฉันยังไม่ขึ้นมาเลย” วริษารีบตรงไปบอกไกด์
“อ้อ คุณมอลลี่ไม่ไปกับเราแล้วครับ โทษที ผมลืมบอกไปว่าเมื่อกี้เพื่อนของคุณทิ้งโน้ตไว้ให้” หัวหน้าไกด์ทัวร์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เธอ

น้ำฝน...

ขอโทษทีนะ พอดีฉันเพิ่งได้รับโทรศัพท์ด่วนจากพี่ชายมา ก็เลยตัดสินใจจะบินไปหาพี่เลยคืนนี้ ฉันไม่รู้ว่าเธอเดินหายไปไหน แถมเธอเองก็ไม่มีโทรศัพท์ของที่นี่ก็เลยต้องฝากบอกไกด์ไว้ ไม่ต้องห่วงนะ พอดีฉันเจอคนรู้จักก็เลยขออาศัยเขาติดรถไปสนามบิน ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วย เดินทางกลับบ้านดีๆ นะจ้ะ

รัก
มะลิ

วริษาพับกระดาษในมือลงกระเป๋า นึกงุนงงกับการตัดสินใจอย่างกะทันหันของเพื่อน แต่จะโทร.ไปคุยให้รู้เรื่องรู้ราวเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ติดว่าเธอเองไม่มีซิมโทรศัพท์ของประเทศนี้ เนื่องจากเดินทางมาท่องเที่ยวเพียงไม่กี่วัน ผิดกับอีกฝ่ายที่ตัดสินใจซื้อซิมการ์ดไปตั้งแต่ออกจากสนามบิน

เอาเถอะ ไว้กลับไปถึงโรงแรมก่อนค่อยโทร.ไปถามแล้วกัน...




เรมิกาญจน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2555, 10:14:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2555, 10:14:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2936





<< บทนำ เด็กหญิงในความทรงจำ   บทที่2 หลอกล่อ >>
ChaussonAuxPomme 15 ก.พ. 2555, 19:17:09 น.
...สนุกมากคะ ที่สำคัญเคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกันตอนไปเรียนต่อ แต่ไม่ได้เหมือนทุกเรื่องนะคะ แต่ก็เป็นเรื่องดีๆๆๆแบบนี้ล่ะคะ... : )


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account