เชลยสิเน่หา
เพราะรอยอดีตทำให้เขาพาตัวเองเข้ามาใกล้เธอ...
และเพราะรัก เขาจึงไม่อาจปล่อยเธอไป...

ในชีวิต ราชิด บินท์ อานาบีย์ ไม่เคยมองหญิงสาวคนใด ผู้หญิงทุกคนแค่เพียงผ่านมาแล้วจากไปอย่างไม่เคยหลงเหลือในความทรงจำ เพราะหัวใจเขามีไว้แค่เพียงเด็กผู้หญิงกำพร้าตัวเล็กๆ คนหนึ่งในอดีตเท่านั้น เขาเฝ้าตามหาเธอเรื่อยมา กี่สิบปีมาแล้วที่ราชิดมีหัวใจไว้แค่เธอ
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกือบคิดว่าตัวเองได้พบกับหญิงสาวในอดีต วริษา... เขาเคยเกือบเชื่อว่าเธอคือลูกแมวที่เขาตามหา ทว่า เมื่อเธอปฏิเสธและลาจากเขาไป เขากลับเจ็บ เจ็บอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มรู้ว่าเธอคือน้องสาวของผู้ชายที่เป็นหนี้เขา ราชิดจึงไม่ลังเลเลยที่จะอาศัยหนี้ก้อนนี้ดึงเธอให้กลับคืนมา
เพื่อชดใช้หนี้หรือ... เขาเองก็ยังตอบได้ไม่เต็มปากนัก เมื่อเธอนั้นแสนดื้อรั้น ไม่เคยคิดเชื่อฟังเขาเลยสักครั้ง
เพื่อรักหรือ... เขาเองก็ยังลังเล เมื่อเธอไม่ใช่รักแรกและรักเดียวในใจเขา

แต่สิ่งเดียวที่ราชิดรู้คือ เขาไม่ต้องการปล่อยเธอไป ไม่มีวัน!

Tags: ราชิด วริษา ชีค

ตอน: บทที่2 หลอกล่อ

บทที่2 หลอกล่อ

เมื่อคืนนี้ตอนโทร.หามัลลิกา เธอคิดว่ามัลลิกาโกหก หรือมีอะไรบางอย่างปิดบังเธอไว้ แต่วริษาก็ไม่คิดคาดคั้นเพื่อนรัก ตัดสินใจวางสายลงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเดินทางไปถึงสนามบินเป็นที่เรียบร้อย ค่ำคืนที่ผ่านมา วริษาเลยจำต้องนอนเหงาอยู่ในโรงแรมเพียงลำพัง
พอรุ่งเช้ามา สิ่งแรกที่เธอเห็นขณะเดินลงมารอรถทัวร์ยังบริเวณล็อบบี้ก็คือร่างสูงของราชิด นั่งเด่นอยู่บนโซฟาสีดำสนิท

อากาศยามเช้าแสนเหน็บหนาว ไม่ได้ให้ความรู้สึกหนาวเท่าที่ควรเมื่อเธอสบเข้ากับนัยน์ตาคมของบุรุษเบื้องหน้า หัวใจก็พลันเต้นรัว รู้ตัวอีกทีก็ตอนมือหนาเอื้อมมาวางทับลงบนมือน้อยบนหูกระเป๋า
“ตัดสินใจได้รึยังเรื่องไปเที่ยวแคนนาดากับฉัน” ราชิดถาม
และหากจับให้ดีท้ายประโยคของชายหนุ่มมีความคาดหวังปะปนมาในน้ำเสียงเต็มเปี่ยม

“เอ่อ...คือฉัน...” วริษาจนด้วยคำพูด
ตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา หญิงสาวแทบนอนไม่หลับ ความเหงาที่ต้องนอนอยู่ตามลำพังในห้องพัก ทำให้เธอหวนนึกถึงคำชักชวนของบุรุษหนุ่มนัยน์ตาคม ความลังเลใจผุดพรายขึ้นตลอดคืน
กล้าเกินไปไหมหากเธอจะตัดสินใจไปเที่ยวกับคนแปลกหน้า...
“ยังตัดสินใจไม่ได้เหรอ แย่จริง ฉันไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเชียว” ทั้งน้ำเสียงและท่าทีละห้อยของชายตรงหน้าละลายหัวใจเธอลงไปกว่าครึ่ง

“ไม่ใช่นะคะ เพียงแต่...เอ่อ...ฉันมากับทัวร์ จู่ๆ จะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร”
“ไม่ได้หายไปเสียหน่อย ก็แค่ไม่ไปกับทัวร์วันเดียว รับรองค่ำนี้ฉันจะพาเธอกลับมาส่งโรงแรมอย่างปลอดภัย”
“ข้ามไปแล้วกลับวันเดียวเลยเหรอคะ” คราวนี้หางเสียงคนถามเริ่มมีวี่แววความสนใจ
ราชิดพยักหน้า พยายามซ่อนรอยยิ้มสมใจไว้ภายใต้หน้ากากนิ่งสนิท “ใช่ วันเดียว ฉันจะพาเธอไปดูน้ำตก กินข้าวเที่ยงด้วยกัน อาจจะแวะที่ร้านขายของปลอดภาษีตรงฝั่งโน้นหน่อย แล้วก็กลับมา รับรองก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”

ตารางแสนน่าสนใจพร้อมกับท่าทีแข็งขัน เชื่อถือได้ของราชิด สั่นคลอหัวใจของวริษาจนจวนเจียนจะตามเขาไปอยู่แล้ว ถ้าไม่เพราะเสียงร้องเรียกชื่อเธอจากบริเวณด้านหน้าประตูดังขึ้นเสียก่อน
“เรนนี่ ได้เวลารถจะออกแล้วนะ พวกเรารอเธออยู่คนเดียว” เสียงของเพื่อนสาวชาวเปรูดังมาจากทางด้านหลัง
ร่างของคนมาใหม่ชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่าวริษาไม่ได้ยืนอยู่ตามลำพัง
“ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ คงไปกับคุณไม่ได้” หญิงสาวตัดสินใจโดยฉับพลัน รีบสาวเท้าตรงมาหาเพื่อน
“เขามาคุยอะไรกับเธอรึ”

“ชวนไปแคนนาดาน่ะ” วริษาบอกไม่ใคร่ใส่ใจนัก
หากคนฟังกลับตาวาวขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมไม่ไป โปรแกรมวันนี้น่าเบื่อจะตาย ฉันว่าแคนนาดาต้องมีอะไรน่าสนใจมากกว่าพิพิธภัณฑ์ที่เราจะไปดูแน่ๆ”
ร่างอรชรชะงักไปเล็กน้อยคล้ายคนลังเลใจ “แต่ฉันเพิ่งเจอเขาเมื่อสองวันมานี้เองนะ” เธอท้วงอย่างไม่สบายใจนัก

“แล้วไง เจอแล้วรักเลยไม่ได้เหรอ” หญิงสาวชาวเปรูย้อนถาม พยักพเยิดไปทางร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งเดินเอื่อยๆ ตามพวกเธอมา คล้ายรอให้วริษาเปลี่ยนใจ “โลกใบนี้มีคนอยู่นับล้าน การหวังจะกลับมาเจอคนแปลกหน้าที่บังเอิญพบกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ถ้าเธอทิ้งโอกาสนี้ไปแล้ว จะไม่เสียใจจริงๆ ใช่ไหม”
วริษาชะงักปลายเท้าทันที ร่างบางหันกลับไปมองคนข้างหลังอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้ ท้ายสุดจึงกลายเป็นราชิดเองที่เดินตรงมากุมมือบางไว้ พร้อมกับบอกหญิงสาวอีกคน

“ฝากขึ้นไปบอกไกด์ของพวกคุณด้วยว่าน้ำฝนจะไปกับฉัน แล้วฉันจะพาเธอมาส่งโรงแรมเย็นนี้”
จบคำพูดร่างสูงก็กึ่งจูงกึ่งประคองร่างบางให้เดินห่างจากรถทัวร์มา ตลอดระยะเวลานั้นวริษาไม่ได้ปริปากคัดค้านใดๆ ออกไปเลย เพราะหัวใจของเธอยังงุนงง สับสน จับต้นชนปลายใดๆ ไม่ออก

กว่าวริษาจะหาลิ้นตัวเองเจอ ก็เป็นตอนที่เธอถูกรั้งให้นั่งลงภายในรถยนต์สปอร์ตคันหนึ่ง
“เราจะไปไหนกันคะ” วริษาถามขึ้นเมื่อรถยนต์คันหรูแล่นออกจากลานจอดรถของโรงแรม พาเธอมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
“ข้ามแดน”
“แต่ฉันไม่มีวีซ่า” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

หากคนขับกลับเพียงแค่หันมายิ้มให้
“เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอก” เขาบอกอย่างหน้าตาเฉย
วริษาไม่แน่ใจว่าไม่เป็นปัญหาของชายหนุ่มคืออะไร แต่หนึ่งชั่วโมงถัดมาราชิดก็สามารถพาเธอข้ามแดนมาได้อย่างสบาย ราชิดขับรถพาเธอเข้ามาในเขตเมืองของฝั่งแคนนาดา ต่อจากนั้นมาไม่นานร่างสูงก็เดินอ้อมมาเปิดประตูข้างให้หญิงสาว
“ถึงแล้ว ลงมาเถอะ”

“คะ เราจะไปไหนกัน” นัยน์ตากลมหวานเงยหน้าขึ้นถามด้วยสีหน้างงงวย
หากแววตากระจ่างใส ไร้เดียงสาของคนถาม ก็ทำเอาคนพยายามควบคุมตัวเอง ร่ำๆ อยากจะทำอย่างใจปรารถนาขึ้นมา
ให้ตายเถอะ ทำไมยายลูกแมวของเขาถึงได้น่าขย้ำแบบนี้... ราชิดจำต้องข่มใจตัวเอง สลัดจินตนาการเลยเถิดออก เอื้อมมือมาฉุดร่างบางให้ลุกขึ้น แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว พอถูกแรงดึงขึ้นจากเบาะอย่างกะทันหัน ร่างอรชรเลยเสียหลัก คว้าเอาสิ่งที่ใกล้มือสุดมายึดไว้ ซึ่งก็หนีไม่พ้นร่างสูงกำยำของคนตรงหน้า

“เป็นอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบถามอยู่ชิดริมใบหู
หญิงสาวรับรู้ถึงแรงกอดกระชับจนแทบจะดันร่างเธอแนบสนิทไปกับความแกร่งกำยำ รุ่นร้อนของเรือนกายสูง ลมหายใจอุ่นจัดของคนตัวโตกว่าเป่ารดลงมาบนใบหู พวงแก้ม แล้วทำท่าจะไล่ต่ำลงมาอีก
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” วริษาละล่ำละลักตอบ พยายามผลักตัวเองออกจากความอบอุ่นตรงหน้า
หากก็ทำไม่ได้ดีนัก เมื่ออ้อมแขนแกร่งยังคงกระชับอยู่รอบกาย ท้ายสุดแม้ราชิดจะยอมละมือข้างหนึ่งจากแผ่นหลังเธอไป หากมือหนาอีกข้างก็ยังโอบอยู่รอบเอวบาง กึ่งบังคับกึ่งจูงเธอให้เดินเข้าไปยังสถานที่ด้านใน

Maid of Mist คือชื่อทัวร์สำคัญทัวร์หนึ่งในการชมน้ำตกไนแองการ่า โดยทัวร์นี้จะให้นักท่องเที่ยวนั่งเรือเฟอรี่จากท่าเรือเข้าไปชมน้ำตกในระยะใกล้ หลังจากซื้อบัตรสำหรับลงเรือเสร็จแล้ว ราชิดก็ยังคงโอบประคองร่างบางให้เดินตามผู้คนลงตามทางเดินมาเรื่อยๆ
“ใส่เสื้อกันฝนซะ”
มือหนาของชายหนุ่มคลี่เสื้อกันฝนสีสดที่ทางทัวร์แจกให้ก่อนลงเรือ สวมลงบนร่างบาง ทั้งกิริยาเอาใจใส่และความใกล้ชิดของชายตรงหน้า ทำเอาหัวใจหญิงสาวผู้ไม่เคยใกล้ชิดชายใดมาก่อนเต้นระส่ำอยู่ในอก นัยน์ตาหวานเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าซึ่งกำลังก้มลงมาผูกเชือกหมวกกันฝนไว้ใต้คางเธอ

วินาทีหนึ่ง วริษารู้สึกราวโลกหยุดหมุนลง นัยน์ตาคมสีเทาเหลือบทองกลายเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง หญิงสาวทำอะไรไม่ได้เลยยามเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมา ประทับริมฝีปากตนเองลงบนหน้าผากเธอ สัมผัสอุ่นลามเลียอยู่บนหน้าผากเธอเพียงแค่แวบเดียว ก่อนจะค่อยๆ ถอยออก แล้วเสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้น ดึงเธอกลับออกมาจากโลกของความฝัน
“เรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่มีที่ยืน” มือหนาดุนหลังเธอให้ก้าวเดิน
ราชิดพยายามข่มความรู้สึกมากมายที่พลุ้งพล่านลงในอก นัยน์ตาหวานตาแป๋วที่เงยขึ้นมองเขา ทำเอาเขาร่ำๆ จะหมดความอดทน คว้ายายลูกแมวของเขามาจูบโชว์นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เสียแล้ว

เพราะช่วงนี้เป็นช่วงมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ทำให้คิวในการลงเรือแน่นขนัด กว่าสองหนุ่มสาวจะลงเรือมาได้ บริเวณพื้นที่ภายในเรือก็เต็มเกือบหมด
“มานี่ดีกว่า” ราชิดบอกพร้อมกับจูงมือบางให้เดินลัดขึ้นมาบนชั้นสองของเรา
เลยขึ้นบันไดมาได้ วริษามองเห็นลูกเรือคนหนึ่งโค้งศีรษะให้เขา ก่อนจะเปิดประตูกั้น ให้เธอและเขาเดินผ่านขึ้นมายังบริเวณชั้นสองของเรือ

“เอ๊ะ ทำไมไม่มีคนเลยล่ะคะ” หญิงสาวหันมาถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิ คนอื่นอาจไม่รู้ละมั้งว่ามีชั้นสองอยู่” ชายหนุ่มยักไหล่ ไม่ได้บอกออกไปหรอกว่าแท้จริงแล้วเขาเหมาชั้นสองของเรือลำนี้ไว้เพื่ออยู่ตามลำพังกับเธอต่างหาก “ดูน้ำตกกันดีกว่า เห็นไหมว่าฟากนี้สวยกว่าฝั่งอเมริกาตั้งเยอะ”

ราชิดเบนความสนใจของเธอด้วยการชี้ชวนอีกฝ่ายไปยังน้ำตกสายใหญ่ น้ำตกไนแองการ่าฝั่งนี้ค่อนข้างสูงชันและงดงามกว่าฝั่งอเมริกา ไม่ผิดไปจากคำโฆษณาของเขาเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวเลยดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้า ไม่ทันได้สนใจเลยว่ายามนี้ร่างตัวเองตกอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษหนุ่มเบื้องหลัง
ชายหนุ่มก้มลงมองคนในอ้อมกอดด้วยความรู้สึกหลากหลาย ร่างอรชรสมส่วนแลดูยวนตา ยวนใจเขาเสียเหลือเกิน วริษาสูงเพียงแค่หัวไหล่เขา เธอดูเล็ก บอบบางราวแก้วเจียระไนอย่างที่เขาเฝ้าจินตนาการถึงมาตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปี

ในที่สุดเขาก็ได้เจอเธอแล้วใช่ไหม ยายลูกแมวตัวน้อยที่เขาเฝ้าตามหามานาน เธอจะจำเรื่องราวเมื่อครั้งยังเด็กได้บ้างไหม...
ดวงหน้าคมซบลงบนกลุ่มผมสีดำเบื้องหน้า อยากบอก อยากเล่าเรื่องราวต่างๆ มากมายให้คนในอ้อมกอดได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขา หากกิริยาและความอุ่นจัดที่แนบลงมาหากลับทำให้หญิงสาวตัวแข็งค้างไปด้วยความตกใจ
“คุณราชิดคะ เอ่อ...คือ ปล่อยฉันเถอะค่ะ” วริษาละล่ำละลักบอก ละสายตาจากการมองน้ำตกเบื้องหน้า หันกลับมาหาคนด้านหลังด้วยแววตาหวาดหวั่น
“ไม่ได้หรอก เห็นไหมว่าเรือแล่นแล้ว” เขาบอกพร้อมกับอ้อมแขนกระชับแน่นขึ้น “เธอคงไม่อยากตกลงไปในแม่น้ำหรอกใช่ไหม”

รั้วสูงขนาดนี้จะตกได้ยังไง... คนตัวเล็กกว่านึกค่อนในใจ
แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร อ้อมแขนแข็งแรงก็ยังคงไม่ยอมผละห่าง
“นู่น ดูน้ำตกดีกว่า เดี๋ยวเราจะแล่นเข้าไปใกล้น้ำตกแล้ว” ราชิดบอกพลางชี้ชวนเธอให้หันกลับไปมองน้ำตกเบื้องหน้า
ความอลังการของธารน้ำตกสายใหญ่ ดึงความสนใจของวริษาไปเสียหมด ท้ายสุดเธอเลยจำต้องปล่อยตัวเองตกอยู่ในวงแขนอย่างห้ามไม่ได้

“อุ๊ย!” เสียงหวานอุทานออกมาเมื่อละอองน้ำจากธารน้ำสายใหญ่ กระเซ็นผ่านเข้ามาภายในเรือ
ยิ่งขับเรือเข้าใกล้ธารน้ำตกมากเท่าไร ละอองน้ำซึ่งเคยเห็นเป็นควันฟุ้งก็ยิ่งสาดเข้ามาภายในเรือมากขึ้น จนคนตัวบางซึ่งยืนอยู่ชิดรั้วจำต้องเอี้ยวหน้าหลบ เมื่อเริ่มทนกับความเปียกปอนไม่ไหว
มือหนาเอื้อมมารั้งไหล่มน กดศีรษะทุยลงซบแผงอกแกร่ง พร้อมกับรั้งร่างน้อยให้ขยับเข้ามาทางด้านใน
“เปียกหมดแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังอยู่เหนือศีรษะเธอ

ราชิดคว้าผ้าเช็ดหน้าผืนไม่ใหญ่นักจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง ขึ้นมาบรรจงเช็ดหน้าหญิงสาว วูบหนึ่งนัยน์ตาคมของเขาก็สบลงบนดวงตาสีน้ำตาลหวาน ราวโลกทั้งใบหยุดหมุน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายพลันหยุดนิ่งลง มีเพียงเขาและเธอยืนอยู่ลำพังสองคน
ชายหนุ่มอาศัยสองมือของตัวเอง ประคองใบหน้ารูปไข่ให้เงยขึ้น ภายใต้นัยน์ตาสว่างสดใส ราชิดมองเห็นแววหวาดหวั่นพาดผ่านนัยน์ตากลมโต ขณะเขาโน้มหน้าลงมาหาเธอเรื่อยๆ...เรื่อยๆ...

แล้วสิ่งที่เธอหวาดหวั่นก็มาถึงจริงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง วริษาพยายามจะหลับตาลงเพื่อพาหัวใจตัวเองหนีไปให้พ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า หากความตื่นตระหนกกลับผลักดันให้เธอจ้องคนเบื้องหน้าเขม็ง ยามนี้ดวงหน้าคมคายราวสวรรค์สร้างไม่ได้ห่างออกไปไกลเหมือนเมื่อครั้งแรกเจอ หากลมหายใจอุ่นจัดกลับรดรินลงมาเต็มดวงหน้าหวาน พร้อมกับสัมผัสอุ่น นุ่มละมุน ประทับลงบนเรียวปาก

“อื้อ!” อุทานออกมาได้เพียงเท่านั้น ร่างกายของวริษาก็แข็งค้างไปด้วยความตกตะลึง
เพราะสัมผัสนุ่มอุ่นเมื่อสักครู่ ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เพียงเรียวปากเธอเหมือนทีแรกเมื่ออีกฝ่ายจงใจทาบริมฝีปากลงมาราวกับลองเชิง รอยรุ่มร้อนจากปลายลิ้นบรรจงแทรกผ่านเข้ามาในเรียวปาก อย่างช้าๆ ในทีแรก ก่อนราชิดจะเพิ่มความรุ่มร้อน บดเคล้ามาลงบนเรียวปากอิ่มอย่างไม่อาจห้ามใจได้
‘ให้ตายเถอะ ทำไมยายลูกแมวของเขาถึงได้หวานปานนี้’ ราชิดรำพันอยู่ในอกขณะยังคงไม่หยุดรุกรานดวงหน้าหวานรูปไข่ รอยจุมพิตของเขาหนักแน่น ร้อนแรง และเรียกร้องจากเธอ เสียจนคนเพิ่งเคยถูกฉกฉวยจุมพิตแรกถึงกับหัวหมุน ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ายามนี้ร่างแบบบางของตัวเองแทบจะจมหายไปในอ้อมกอดแข็งแกร่งของคนตรงหน้า

จนกระทั่งราชิดเป็นฝ่ายค่อยๆ ถอนจุมพิตของตนออก หากความอ่อนหวานที่ได้รับจากหญิงสาวตรงหน้าก็ทำเอาเขาแทบไม่อยากผละออกจากร่างน้อยนุ่มนิ่ม จมูกโด่งๆ และริมฝีปากร้อนจึงยังคงคลอเคลียไปทั่วพวงแก้มนวล ก่อนเริ่มไล้ต่ำ ดอมดมลงมาตามลำคอระหง
“หยะ...หยุดได้แล้ว” เสียงหวานละล่ำละลักออกมา
วริษาอยากจะผลักไสตัวเองออกจากอ้อมกอดของคนตรงหน้าเหลือเกิน หากเรี่ยวแรงของเธอยามนี้กลับหดหาย ราวกับจุมพิตเมื่อสักครู่ได้ดูดกลืนพลังชีวิตเธอไปเสียสิ้น เพราะยามนี้อย่าว่าแต่ผลักคนตรงหน้าเลย แม้แต่จะยืนให้เต็มเท้าด้วยแรงตัวเอง เธอก็ยังไม่อาจทำได้

“อยากให้หยุดจริงเหรอ เธอไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง ยายลูกแมวที่แสนน่ารักของฉัน”
วริษารู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับคำเรียกขานแปลกๆ ของราชิด หากสถานการณ์ตอนนี้เธอกลับไม่มีเวลาสนใจนัก
“ไม่รู้สึกหรอก หยุดเถอะค่ะ คุณไม่ควรทำแบบนี้” เธอพยายามบังคับเสียงตัวเองให้แข็งขึ้น
เมื่อสติเริ่มมา ร่างอรชรจึงพยายามผลักตัวเองออกห่างจากคนตรงหน้า กิริยาดิ้นรนอย่างเป็นอิสระ ทำให้ราชิดไม่คิดรั้งเธอไว้ ทั้งๆ ที่หัวใจร่ำร้องอยากจะแนบริมฝีปากตัวเองลงไปควานหาความหอมหวานตรงหน้าต่อ
‘เอาเถอะ เขายังมีเวลาอีกมากที่จะละเลียดความหวานตรงหน้า และเขาก็ไม่ต้องการแค่เพียงเท่านี้เป็นแน่’ เมื่อคิดได้ อ้อมแขนแกร่งจึงค่อยคลายออก เหลือเป็นเพียงการโอบเอวบางไว้ แม้จะหลวมๆ แต่ก็แข็งแกร่งเกินกว่าอีกฝ่ายจะดิ้นหลุดไปได้

ราชิดก้มลงมองเสี้ยวหน้านวลที่ตอนนี้แดงก่ำไปทั้งหน้า วริษาไม่ยอมสบตาเขาอีกเลย เธอเอาแต่ก้มงุดๆ มองพื้นเรือเบื้องล่าง ราวกับปลายเท้าเธอมีสิ่งน่าสนใจกว่าตัวเขา กิริยาของหญิงสาวจุดรอยยิ้มพรายขึ้นบนริมฝีปากสวยสมชาย
“อายหรือ ไม่ต้องบอกฉันก็พอจะเดาได้ จูบแรกของเธอใช่ไหม”
อาการหันขวับมามองเขาพร้อมเบิกตากว้าง แล้วพอสบนัยน์ตาคมเข้าก็กลับก้มหน้างุดๆ ต่อ เรียกเสียงหัวเราะและความปลื้มปีติขึ้นในหัวใจคนถามเป็นอย่างมาก

‘ถึงไม่ตอบ เขาก็อ่านคำตอบได้แล้วจากดวงหน้าหวาน เขาต้องเป็นเจ้าของรอยจูบแรกของเธอเป็นแน่แท้’
กว่าสองหนุ่มสาวจะกลับขึ้นมาบนรถได้ก็เลยเที่ยงไปพักใหญ่ ตลอดระยะเวลาเดินขึ้นมาจากเรือเฟอรี่ วริษาไม่ยอมพูดคุยอะไรกับเขาอีกเลย หญิงสาวเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น กิริยาเขินจัดของเธอจุดทั้งความปลื้มใจและความขี้แกล้งขึ้นในหัวใจคนมอง
“เดี๋ยวเราไปทานข้าวกันนะ” ราชิดหันมาบอกคนข้างกาย เมื่อทั้งสองกลับมานั่งอยู่บนรถสปอร์ตแล้ว
และเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยังคงไม่ยอมตอบคำถามเขา ร่างสูงจึงโน้มกายข้ามไปยังเบาะคนนั่ง พร้อมกับใช้สองแขนคร่อมร่างแบบบางเอาไว้

“คุณราชิด! อย่าค่ะ” คราวนี้คนเอาแต่ก้มหน้าเลยรีบร้องห้ามเสียงหลง
หญิงสาวอาศัยสองมือตัวเองดันแผงอกแกร่งไม่ให้เขยิบเข้ามาใกล้ เรียกรอยยิ้มขันขึ้นในดวงตาคม
“ฉันก็แค่จะคาดเข็มขัดให้เท่านั้นเอง” เขาบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดนิรภัยลงมาให้
“ขอบคุณค่ะ” วริษาพึมพำบอกอีกฝ่ายเสียงเบา เกือบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาอยู่แล้วเมื่อคนตัวโตเริ่มขยับถอยห่าง

แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นดั่งใจคิดนัก เมื่อร่างสูงของราชิดเพียงแค่ขยับห่างออกไปเล็กน้อย ก่อนแนบแก้มสากๆ ของเขาลงมาชิดแก้มเธอ พร้อมกับกระซิบบอก
“ท่าทางเธอไม่ชินกับจูบของฉันเลยนะ แบบนี้มันน่าลองเสียหลายๆ ครั้ง เผื่อเธอจะได้ติดใจรสจูบของฉันเหมือนที่ฉันเป็นไง”
“ไม่เอาแล้วค่ะ แค่นี้ฉันก็...” เสียงหวานตั้งท่าจะเอ่ยปากต่อ แต่ก็เหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ดวงหน้าหวานเลยรีบปิดปากสนิท ก้มหน้าหงุด
“ก็อะไร เมื่อกี้เธอจะบอกอะไรฉัน” ท่าทีขัดเขินจนร่างกายแดงก่ำไปทั่วตัว ยิ่งจุดความอยากรู้ขึ้นในหัวใจชายหนุ่ม

“ไม่มีอะไรค่ะ”
“จะไม่มีได้ยังไง บอกมาซะดีๆ นะ เมื่อกี้เธอจะพูดอะไร ไม่งั้นฉันจูบเธออีกครั้งแน่” คำขู่หวามไหวพร้อมกับดวงหน้าโน้มต่ำลงมาเลาะเล็มแถวแนวคางเธอ ทำให้หญิงสาวจำต้องรวบรวมแรงใจพักใหญ่ กว่าจะอ้อมแอ้มตอบกลับไปได้
“ถ้าขืนคุณจูบฉันอีก ฉัน...คงขาดใจตายแน่” เสียงหวานบอกด้วยท่าทีอายแสนอาย เรียกรอยยิ้มกว้างจากดวงหน้าคมคายขึ้นมาทันที
“น้ำฝน ไม่มีใครเขาขาดใจตายเพราะรสจูบหรอก ถ้าไม่เชื่อจะลองดูอีกสักทีดีไหม” เขาถามพร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะ

หากวริษากลับรีบสั่นหน้าหวือ ‘ไม่จริงหรอก ก็เธอนี่ไงรายแรก จะขาดใจตายกับรสจุมพิตหวามไหวของเขาเสียให้ได้’



เรมิกาญจน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2555, 11:22:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2555, 11:22:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 2162





<< บทที่1 ปฏิบัติการล่ารัก   บทที่3 หลอกให้รัก >>
Ariesboo 11 ก.พ. 2555, 16:24:51 น.
Maid of the Mist เป็นเรือที่ขึ้นจากฝั่งอเมริกานะคะ ถ้าเรือจากฝั่งแคนาดาจะเรียกว่า Journey Behind the Falls ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account