คือ...รัก
'ความรัก'เป็นสิ่งมนุษย์ทุกคนถวิลหา ไม่มีใครมีชีวิตอยู่โดยปราศจากรัก ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจรักก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนโหยหา แม้บางคราวรักจะทำให้มีน้ำตา แต่รักก็คือความสุข 'วิมาลินธ์' หญิงสาวผู้มีอดีตแห่งรักที่ไม่เคยแน่ใจในความรัก เธอไม่เคยเชื่อในอิสระของหัวใจ หากหัวใจดวงนี้จะมีรักมันก็มีแต่เพียงความรักที่บริสุทธิ์งดงามระหว่างแม่กับลูก หากทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...เมื่อเขาเดินเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3


“ลินธ์นะลินธ์กลับมาเป็นอาทิตย์แล้วก็ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย ทำอย่างกับว่าเราไม่ใช่เพื่อน ดูซิมีลูกโตขนาดนั้นก็ไม่มีแก่ใจจะเล่าให้เราฟัง ต้องให้เรารู้จากปากอีตาพี่เอื้อบ้า” นวียาบ่นเพื่อนสนิทที่นอนอยู่บนเตียงอย่างงอนๆ พร้อมกับพาดพิงคนที่รู้ความลับอยู่คนเดียว นึกน้อยใจเพื่อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่เจ้าตัวไม่เคยปริปากบอกเรื่องแม่หนูน้อยธาร่าเลย ทั้งที่ติดต่อกันอยู่ไม่ขาด ถ้าวันนี้ไม่เจอเอื้อภูมิเธอคงไม่มีทางทราบว่าเพื่อนสนิทกลับมาแล้ว...

“ไหนลินธ์บอกว่าเราเป็นเพื่อนที่ลินธ์รักที่สุดไงล่ะ รักประสาอะไรถึงไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญขนาดนี้กับเรา”
“โธ่...วีอย่าโกรธเราเลยนะเราแค่อยากเซอร์ไพซ์วี นี่กะอยู่ว่าถ้าจัดการทุกอย่างลงตัวแล้วจะแวะไปหาวีที่บ้าน แต่พี่เอื้อดั๊นมาทำแผนแตกซะก่อน” คนที่ถูกกล่าวหาอธิบาย

“แล้วที่เราไม่ได้บอกเรื่องธาร่าก็เพราะไม่อยากให้คนที่เรารักต้องมากังวลกับเรื่องของเรา” วิมาลินธ์ตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “วีก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่มีใครอยากพูดประจานตัวเองนักหรอก”

“เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะลินธ์ เรื่องของลินธ์เราไม่เคยเห็นว่ามันน่าอายเลยสักนิด เราดีใจที่ลินธ์มีลูกสาวที่น่ารักอย่างยัยหนูธาร่า แต่ไอ้ที่น้อยใจน่ะเราน้อยใจที่ลินธ์ไม่เคยไว้ใจเราเลยต่างหาก ขนาดเรายังเล่าเรื่องสำคัญทุกอย่างให้ลินธ์ฟังเลยแม้แต่เรื่องพี่ชายลินธ์...” ใบหน้าของคนพูดมีสีเข้มขึ้นทันตาเมื่อเอ่ยถึงผู้ชายอีกคน

“แต่ดูลินธ์สิไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยปากบอกเราสักนิดว่ากำลังมีปัญหาอะไร” นวียาตัดพ้อ เธอกับวิมาลินธ์คบกันมาตั้งแต่ชั้นประถม เรียนด้วยกันมาตลอดจนถึงระดับมหาวิทยาลัย มาห่างกันไปก็ตอนที่วิมาลินธ์ไปเรียนต่อที่อังกฤษนี่แหละ แต่กระนั้นระยะทางก็ไม่สามารถบั่นทอนสายใยความเป็นเพื่อนระหว่างเธอกับวิมาลินธ์ได้มีแต่ทำให้ผูกพันเหนียวแน่นขึ้นทุกวัน แต่ตอนนี้เธอชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิ...

“เราไม่ได้บอกวีพร้อมๆ กับที่ไม่ได้บอกคุณยายและคุณลุงคุณป้า ยัยเอื้อนเองก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่เคยบินไปเยี่ยมเราที่นู้น ทุกคนพึ่งรู้พร้อมๆ กับวี ที่เราไม่บอกก็มีอยู่เหตุผลเดียวคือเราไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเป็นทุกข์เพราะการกระทำของเรา มันเป็นเรื่องน่าอายนะวีกับการท้องไม่มีพ่อ...” วิมาลินธ์หยุดพูดเมื่อก้อนแข็งๆ ที่แล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ

“ที่เราตัดสินใจกลับมาวันนี้ก็เพราะเราไม่อยากหนีความจริงอีกต่อไปแล้ว ไม่ช้าก็เร็วที่ทุกคนต้องรู้เรื่องนี้ แต่ที่เราประวิงเวลาออกไปก็เพราะอยากจะเข้มแข็งให้มากที่สุด เราไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครมองด้วยสายตาสมเพชเวทนา...วีเข้าใจเรามั้ย”

วิมาลินธ์อธิบาย เธอรู้ว่าการตัดสินใจของตัวเองเป็นสิ่งที่หลายคนก็ไม่เข้าใจนัก แต่วันนี้เธอคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่ทำอย่างนี้ เธอเข้มแข็งพอที่จะหยัดยืนและตอบคำถามของคนในสังคมพร้อมๆ กับดูแลธาร่าให้เติบโตต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องอ้อนวอนขอความเห็นใจจากใคร...

“แล้วทำไมพี่เอื้อถึงรู้อยู่คนเดียวล่ะ” นวียาถามอย่างไม่เข้าใจ

“จำตอนที่วีโทรมาบ่นกับเราเรื่องที่พี่เอื้อต้องไปประชุมกับสาวๆ ในกระทรวงที่ฝรั่งเศสได้มั้ย” นวียาพยักหน้ารับอย่างอายๆ ผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยลืมในความวุ่นวายของตัวเองที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าของเจ้าของเอื้อภูมิทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไรกันกับชายหนุ่มเลยสักนิด...นอกจากพี่น้อง...

“ความลับของเราแตกเพราะประชุมครั้งนั้นนั่นแหละ เราไม่ได้ตั้งใจให้พี่เอื้อรู้สักนิดเดียว แต่บังเอิญพี่เอื้ออยากเซอร์ไพส์เลยบินมาเยี่ยมเราที่อังกฤษโดยไม่บอกล่วงหน้า ตอนนั้นเราท้องได้เจ็ดเดือนมั้ง ท้องโตด้วยปิดยังไงก็ปิดไม่มิด” วิมาลินธ์หัวเราะเบาๆ เล่าให้เพื่อนสนิทฟังเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนฟังน่ะพอฟังออกว่าเจ้าตัวเจ็บปวดแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ตอนนั้นพี่เอื้อโมโหใหญ่ พยายามคาดคั้นว่าใครเป็นพ่อเด็ก แต่เราปากแข็งไม่ยอมบอก จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีใครรู้สักคน คงไม่อยากถามให้เราเจ็บปวดอีกครั้งมั้ง” หญิงสาวกล่าวพลางมองหน้าเพื่อนสนิท เธอยังไม่พร้อมจริงๆ ที่จะพูดถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง มันเจ็บปวดจนเธอไม่แน่ใจว่าหากเผลอไปสะกิดแผลที่ยังไม่ตกสะเก็ดเข้าอีกครั้งมันจะเจ็บปวดเพียงใด

“เราไม่สนใจหรอกว่าใครคือพ่อของธาร่า ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จักผู้ชายสั่วๆ แย่ๆ แบบนั้นสักนิด” นวียากล่าวอย่างมีอารมณ์ทั้งนึกโมโหและโกรธเคืองผู้ชายคนนั้นอยู่ครามครัน ถ้ารู้ว่าเป็นใครแม่จะตามไปเฉือนให้กุดเลยคอยดู !!!

หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเห็นใจแกมสงสัยและไม่คาดคั้น รู้ดีว่าเรื่องหัวใจเป็นเรื่องที่วิมาลินธ์ไม่ค่อยให้ความสนใจหรือพูดถึงบ่อยนัก สมัยอยู่เมืองไทยมีหนุ่มๆ เข้ามาจีบอยู่ไม่ขาดแต่เพื่อนของเธอก็ไม่เคยสนใจและให้ความสนิทสนมกับใครไปมากกว่าเพื่อน และแม้จะไปเรียนต่อยังต่างประเทศเธอก็ไม่เคยเห็นเพื่อนจะมีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักกับใคร ในอีเมลล์แต่ละฉบับนอกจากพูดคุยถามไถ่เรื่องทั่วไปน้อยครั้งมากที่วิมาลินธ์จะเล่าถึงเรื่องหัวใจและก็มีเพียงครั้งเดียว

‘สุภาพบุรุษหนุ่มจากเมืองไทย’ จะใช่เขาคนนี้ไหมนะที่เป็นรักแรกและเป็นพ่อของธาร่า นวียาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ และก็ปัดทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ

“ลินธ์เป็นคนดี เป็นคนน่ารัก สักวันลินธ์ก็ต้องได้พบใครสักคนที่ดีๆ”

“จริงๆ แล้วเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะสมหวังในความรักรูปแบบนั้น” วิมาลินธ์บอกด้วยรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดที่นวียาเคยเห็นมา หยาดน้ำใสๆ คลอที่หน่วยตาเรียว รู้สึกผิดยิ่งนักที่ทำให้เพื่อนต้องหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีตอันเจ็บปวดอีกครั้ง

“เราขอโทษนะที่ไม่มีเหตุผลจนลินธ์ยอมเล่าเรื่องราวพวกนี้ออกมา”

“ไม่เป็นไรหรอกวี ระบายออกมาบ้างก็ดีเหมือนกัน” วิมาลินธ์กล่าว “ทีนี้วีคงรู้แล้วใช่มั้ยว่าทำไมพี่เอื้อถึงบินไปต่างประเทศบ่อยๆ พี่เอื้อบอกทุกคนว่าไปทำงานแต่ความจริงพี่เอื้อมาหาเรา มาดูแลเรากับธาร่า ตอนที่คลอดธาร่าใหม่ๆ เราต้องดูแลลูกเองหมดเลย ทั้งเหนื่อยทั้งท้อ เราร้องไห้วันละสิบๆ รอบ ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ คนอื่นตั้งหน้าตั้งตาเรียนแต่เราต้องมาเลี้ยงลูก จะออกไปไหนก็ไม่ได้เพราะอายไม่อยากเจอเพื่อนคนไทยด้วยกัน กลัวเค้าจะถามถึงพ่อเด็ก...ตอนนั้นเรากดดันมาก เครียดนอนจนไม่หลับเราเหมือนคนบ้าต้องกินยานอนหลับวันละสิบๆ เม็ด รู้มั้ยธาร่าไม่เคยได้กินนมแม่เลยก็เพราะอย่างนี้แหละ โชคดีเหลือเกินที่พี่เอื้อกับแอนนามาช่วยไว้ทันไม่อย่างนั้นป่านนี้เราคงนอนอยู่ใน ‘โรงบาลบ้า’ไปแล้วล่ะ”

“โธ่...ลินธ์” นวียาครางพร้อมกับกอดเพื่อนสนิทไว้แน่น ถ่ายเทกำลังใจทั้งหมดให้หญิงสาว

“ เราตัดสินใจทำเรื่องลาออกจากมหาวิทยาลัย ไม่รู้จะเรียนไปเพื่ออะไร วันๆ เราไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยสักนิด ขนาดลูกร้องไห้เพราะหิวเรายังไม่รู้เรื่องเลย แอนนามาเห็นเข้าพอดีคงเห็นว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไป ถ้าธาร่าไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตเข้าสักวัน”

วิมาลินธ์หลับตาลงยังจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี “พี่เอื้อพยายามเกลี้ยกล่อมให้เรากลับเมืองไทยแต่เราไม่ยอม แอนนาเลยขอให้เราย้ายไปอยู่กับเขาที่บ้านเกิดแทน พี่เอื้อก็ตามไปส่งด้วย โชคดีที่ๆ นั่นมีมอมโรสคุณยายของแอนนาคอยดูแลถ้าไม่มีท่านเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง ” นวียานั่งฟังเพื่อนเล่าอยู่เงียบๆ อย่างเข้าใจ รู้สึกเห็นใจเพื่อนขึ้นมาครามครันที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์อันโหดร้ายเพียงลำพัง และพาลนึกโกรธคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘พ่อ’ ของธาร่าขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

“บางครั้งเราก็เคยนึกอยากตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเหมือนกันนะ แต่พอเห็นหน้าธาร่าก็ทำไม่ลง ธาร่าเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่นำแสงสว่างมาสู่ชีวิตของเรา รอยยิ้มเสียงหัวเราะของแกเป็นเหมือนพลังที่ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าไม่มีธาร่าป่านนี้เราอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

“พอแล้วลินธ์...ไม่ต้องเล่าแล้ว” นวียากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาเมื่อเห็นอาการสั่นสะท้านของเพื่อนสนิท “เราขอโทษนะ เราไม่น่าถามลินธ์เลย”

“ทำไมการรักใครสักคนมันต้องเจ็บปวดขนาดนี้ด้วยนะวี...”

“มันจะไม่เจ็บอีกแล้วลินธ์ มันจะไม่เจ็บอีกแล้ว เชื่อวีนะ” นวียาปลอบ กอดเพื่อนสนิทไว้แน่นอย่างเข้าใจ มิบังอาจคลางแคลงในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวิมาลินธ์อีกต่อไปแล้ว วิมาลินธ์คือเพื่อนรักของเธออย่างมิต้องสงสัย สิ่งที่เธอต้องทำหลังจากนี้ไม่ใช่การนั่งซักไซร้ถึงเรื่องราวในอดีตของเพื่อนสนิท ‘ความเข้าใจ’ ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้




“มีแต่ของโปรดลินธ์ทั้งนั้นเลยทานเยอะๆ นะลูก” คุณอัมพรบอกพลางตักสายบัวต้มกะทิให้หลานสาว เพราะรู้ดีว่าวิมาลินธ์ชอบอาหารชนิดนี้มากเพียงไร

“ขอบคุณค่ะคุณยาย”

“ขอบคุณพี่ด้วยสิลินธ์ ถ้าไม่มีพี่คงไม่มีสายบัวในถ้วยนี้” เอื้อภูมิที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงยหน้าจากข้าวมายักคิ้วหลิ่วตาให้น้องสาว

“พี่ลินธ์อย่าไปเชื่อพี่เอื้อค่ะ ถ้าคุณยายไม่บังคับจ้างให้พี่เอื้อก็ไปลงไปว่ายตุ๊บป่องๆ เก็บบัวอยู่ในสระให้เสียเวลาหรอก” เอื้อนดาวที่นั่งข้างหันมาขัดพี่ชายๆ หมั่นไส้ในความช่างทวงบุญคุณของคนเป็นพี่

“แต่ยังไงมันก็เป็นความดีความชอบของพี่อยู่ดีที่ลงไปเก็บสายบัวมาให้คุณยายทำกับข้าว”

“ย่ะ...ทำความดีเพราะต้องการจะลบล้างความผิดน่ะสิไม่ว่า”

“พูดมากนักนะยัยเอื้อน...นี่ทานเข้าไปเยอะๆ ของโปรดเราไม่ใช่เหรอ” เอื้อภูมิตักพริกขี้หนูสวนที่ลอยอยู่บนถ้วยน้ำพริกกะปิใส่จานน้องสาวไปสองสามเม็ด แกล้ง...คนพูดมากที่กินเผ็ดไม่ได้

“คุณพ่อขาพี่เอื้อแกล้งเอื้อนอีกแล้ว ดูสิคะคนอะไรนิสัยไม่ดี้ไม่ดี เพราะอย่างนี้ล่ะน้า...พี่วีเค้าถึงไม่เอาไปเป็นแฟนน่ะ...”

แรงบดที่กระหน่ำลงมาบนเท้าทำให้เอื้อนดาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองพี่ชายอย่างแค้นๆ

“ก็เราไปรวนพี่เค้าก่อนทำไมล่ะยัยเอื้อน รู้ก็รู้ว่าตาเอื้อมันไม่ค่อยปกติ คนโสดก็เป็นอย่างนี้แหละอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ” คุณสิภูมิกล่าว ไม่วายแขวะบุตรชายคนโตด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“โธ่..คุณพ่อเข้าข้างยัยเอื้อนอีกแล้ว” เอื้อภูมิโอด “ยัยเอื้อนปากไม่ดีเป็นนิสัยคุณพ่อก็น่าจะรู้ น่าสงสารว่าที่น้องเขยของผมชิบเป๋งที่ได้เมียนิสัยแบบนี้”

คำพูดของพี่ชายทำเอาเอื้อนดาวฉุนกึก บดเบียดแรงที่มีทั้งหมดลงไปบนเท้าของพี่ชายอย่างไม่น้อยหน้าเป็นการเอาคืน

“มีเมียแบบเอื้อนน่ะมันเป็นยังไงฮะพี่เอื้อ บอกมานะไม่ต้องทำไขสือ...”

“ก็ถ้าพี่มีเมียแบบแกนะยัยเอื้อน พี่ขอหนีไปบวชซะดีกว่า ทำอะไรก็ไม่เป็นสักกะอย่าง หาความเป็นกุลสตรีในตัวไม่ได้เลยสักกะติ้ดเดียว ไม่รู้ว่านายสิทเค้าตาบอดมาชอบได้ยังไง”

“อร้าย...พี่เอื้อปากเสียที่สุดคุณแม่ขาดูพี่เอื้อว่าเอื้อนสิคะ” บุตรสาวคนเล็กหันไปฟ้องมารดาที่นั่งมองอยู่เงียบๆ

“พอกันทั้งสองคนนั่นแหละ ไม่ต้องมาอ้อนแม่เลยนะ สอนมาตั้งแต่เล็กจนโตว่าไม่ให้ทะเลาะกันบนโต๊ะอาหาร โตกันจนจะแต่งงานมีครอบมีครัวแล้วยังไม่จำไม่มีมารยาทจริงๆ” คุณเอื้องพรดุบุตรทั้งสองอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้ ‘คนไม่มีมารยาท’ สองคนจำต้องหย่าศึกชั่วคราว หันไปก้มหน้าก้มตาทานข้าวเงียบๆ แทนก่อนที่จะโดนฝ่ามือพิฆาตของมารดาเข้าเสียก่อน...

“ลินธ์ทานข้าวเถอะอย่าสนใจเสียงนกเสียงกาแถวนี้เลย ประเดี๋ยวจะพาลรำคาญจนทานอาหารไม่อร่อยเอา” ผู้เป็นป้าหันมาบอกหลานสาวที่นั่งอมยิ้มมองสองศรีพี่น้องปะทะคารมณ์จนลืมกินข้าว...
“ดูซิ...ธาร่านั่งมองแม่ตาแป๋วเลยสนใจอะไรเข้าอีกล่ะนั่นแม่คุณ”

“คุณยายขาแม่ลินธ์ทานอะไรหรอคะ ทำไมน่าตามันแปล้กแปลกล่ะคะ” เด็กหญิงธารินที่นั่งอยู่ข้างๆ มารดาบนเก้าอี้พิเศษที่ต่อขาให้สูงขึ้นกว่าเดิมเอ่ยถามคุณยายเอื้องพรด้วยความสนใจหลังจากที่แอบจ้องอาหารที่ผู้เป็นแม่ตักเข้าปากคำแล้วคำเล่าอยู่นาน...

“อ่อ...นี่เค้าเรียกว่าสายบัวต้มกะทิจ้ะธาร่า” วิมาลินธ์หันมาตอบลูกสาวด้วยรอยยิ้ม พลางเอื้อมมือไปหยิบเม็ดขาวที่ติดอยู่บนแก้มออกให้อย่างอ่อนโยน ถึงแม้จะยังเก้ๆ กังๆ ในการร่วมโต๊ะอาหารแต่ธาร่าก็สามารถทานอาหารได้เองโดยไม่เป็นภาระแก่ใคร เด็กน้อยนั่งทานอาหารร่วมกับผู้ใหญ่โดยไม่เคอะเขินทั้งยังไม่สร้างปัญหากวนใจให้ใครมีแต่เรียกร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะจากสมาชิกในบ้านในความช่วงพูดช่างสงสัย...
คำตอบของแม่ลินธ์ทำให้แม่หนูน้อยธาร่าสงสัยไม่เลิก มองถ้วยแกงที่แม่ลินธ์ตักสลับกับจานข้าวผัดของตัวเอง

“แล้วสายบัวคืออะไรหรอคะ” วิญญานเจ้าหนูจำไมเริ่มเข้าสิงเด็กหญิงธารินแล้ว

“สายบัวคือส่วนก้านของดอกบัวที่อยู่ในน้ำไงคะ ธาร่านึกออกมั้ยลูก ก้านยาวๆ ที่ช่วยให้ดอกบัวโผล่ขึ้นมาบนน้ำไงคะ”

เด็กหญิงทำท่านึกก่อนจะทำตาโตเมื่อนึกภาพออก “อ่อ...จำได้แระค่ะ ไอ้ที่ยาวๆ อยู่ในน้ำมีดอกสีชมพูส้วยสวยน่ะเอง”

“แล้วมันกินได้จริงๆ เหรอคะแม่ลินธ์” ถามต่อด้วยความสงสัย ถึงมันจะสวยแต่ธาร่าก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่ามันจะกินได้ยังไง ก็มอมโรสไม่เคยเอามาทำกับข้าวเลยนี่นา...

“กินได้สิคะลูก ไม่อย่างนั้นคุณทวดจะเอามาทำอาหารให้เราทานหรอ คนไทยเรากินสายบัวเป็นอาหารมานานมากแล้ว สายบัวมีประโยชน์พอๆ กับผักที่ธาร่าชอบกินนั่นแหละค่ะ” คุณแม่ตอบคำถามลูกสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “ธาร่าชิมมั้ย เดี๋ยวแม่ตักให้”

“มันเผ็ดรึเปล่าคะ”

“ไม่เผ็ดหรอกธาร่า ทวดไม่ได้ใส่พริกแม้แต่เม็ดเดียว ลองชิมดูสักหน่อยซิว่าหนูชอบรึเปล่า” คุณอัมพรที่นั่งมองอยู่เงียบๆ บอกเหลนตัวน้อย

“ก็ได้ค่ะ” เด็กหญิงรับคำอย่างกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ “แม่ลินธ์ป้อนธาร่าหน่อยสิคะ”

คำขอของลูกสาวทำให้วิมาลินธ์ต้องตักน้ำแกงสีขาวๆ ขุ่นๆ ให้เจ้าหล่อนชิม ในใจก็ลุ้นว่าธาร่าจะชอบหรือเปล่า ถึงแม้ตอนอยู่ที่เมืองนอกเธอจะทำอาหารไทยให้ลูกสาวทานบ้างแต่ส่วนมากเป็นอาหารพื้นๆ ที่ทำได้ง่ายๆ มากกว่า ไม่รู้ว่าธาร่าจะชอบอาหารรสชาติแปลกใหม่ที่ได้ลิ้มลองบ้างไหม...

“เอ...แปลกจัง” เด็กหญิงตอบหลังจากที่ซดน้ำแกงเข้าไปเป็นคำแรก ท่าทีครุ่นคิดของเจ้าหล่อนทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารพลอยลุ้นไปด้วย “หว้านหวาน...แต่ก็อาร่อย คุณทวดเก่งจังเลยค่ะ”

“อร่อยก็ทานเยอะๆ นะลูก ทวดจะได้ขยันทำให้ทานบ่อยๆ” คุณทวดกล่าวด้วยรอยยิ้มปลื้มใจเมื่อได้รับคำชมจากเหลนตัวน้อย น่าเอ็นดูจริงๆ หลานยาย เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นไปหมด คุณอัมพรคิด
“ค๊า...ธาร่าจะทานเยอะๆ เลย ธาร่าชอบทานขนมของคุณทวด”

ความชอบของลูกสาวทำให้วิมาลินธ์ต้องตักน้ำแกงสีขุ่นป้อนให้แม่หนูน้อยที่อ้าปากรับอาหารรสชาติแปลกใหม่ด้วยดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง เวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียวธาร่าก็สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อมแปลกใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็น ถึงแม้จะสับสนเรื่องเวลาและไม่ชินกับสภาพอากาศอยู่บ้าง แต่ธาร่าก็ไม่เคยงอแงตรงข้ามกับกระตือรือร้นและตื่นตาตื่นใจที่จะได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นอยู่เสมอ ดูเหมือนตอนนี้ความน่ารักของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะสามารถครอบครองหัวใจของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี...




บ้านสีขาวสไตล์โมเดริน์ที่ปลูกอยู่อีกด้านหนึ่งของพื้นที่ ‘บ้านสุรวงศ์’ ทำให้วิมาลินธ์มองอย่างชอบใจในความสวยและเรียบเก๋ของตึกทรงสี่เหลี่ยมหลังนี้ การออกแบบที่ปราณีตทำให้บ้านรูปทรงทันหลังสมัยหลังนี้กลมกลืนเข้าเป็นสวนหนึ่งของตึกโบราณสีเหลืองนวลได้เป็นอย่างดี...
วันนี้เอื้อนดาวชวนเธอมาเป็นเพื่อนตรวตราความเรียบร้อยของ ‘เรือนหอ’ หลังจากที่ทยอยขนย้ายข้าวของบางส่วนลงมาจากตึกใหญ่เมื่ออาทิตย์ก่อน อีกไม่กี่วันน้องสาวของเธอก็จะเข้าพิธีแต่งงานแล้ว ประกายแห่งความสุขที่ทอแสงอยู่ในดวงตาของเอื้อนดาวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหญิงสาวเป็นว่าที่เจ้าสาวที่กำลังมีความสุขเพียงใด ดีใจ...ในความโชคดีของน้องสาวที่ได้พบกับรักแท้ ได้มีโอกาสใช้ชีวิตคู่อยู่กับคนรักอย่าง สิทธา ทวินันท์เจ้าบ่าวของเอื้อนดาวที่เธอพึ่งมีโอกาสได้ทำความรู้จักเมื่อไม่นานมานี้ ชายหนุ่มแสดงออกว่ารักและอาทรน้องสาวของเธอมาก ถึงแม้จะมีอายุห่างกันถึงเก้าปีแต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความรักคนทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย

“คิดอะไรอยู่คะพี่ลินธ์” เอื้อนดาวที่พึ่งเดินลงบันไดมาจากชั้นบนเอ่ยถามพี่สาวที่กำลังนั่งเหม่ออยู่คนเดียว
“กำลังคิดเรื่องของเอื้อนอยู่”

“เรื่องอะไรเหรอคะ” ผู้เป็นน้องถามด้วยความสงสัย พลางนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

“เรื่องที่เอื้อนกำลังจะแต่งงานไง” วิมาลินธ์ตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ็ดปีก่อนเอื้อนยังใส่ชุดนักเรียนผูกผมเปียอยู่เลย ไม่นึกว่าวันนี้จะกลายเป็นเจ้าสาวแล้ว เวลานี่ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันเนอะ”

ยังจำได้ดีว่าตอนที่เธอกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศเอื้อนดาวยังเรียนอยู่แค่ชั้น ม.หก เผลอแป๊ปเดียวน้องสาวของเธอก็เรียนจบและกำลังจะเป็นเจ้าสาวในอีกสองวันข้างหน้านี้แล้ว

“แหม...พี่ลินธ์จะว่าเอื้อนแก่แดดแต่งงานเร็วก็บอกมาเถอะค่ะ” เอื้อนดาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ลินธ์คงคิดว่าเอื้อนพึ่งเรียนจบมาแท้ๆ จะรีบแต่งงานไปทำไมกันใช่มั้ยล่ะ”

“ร้อนตัวจังเรา พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นซะหน่อย”

“พี่ลินธ์ไม่ต้องปฏิเสธหรอกค่ะ ใครๆ ก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น เพื่อนๆ เอื้อนน่ะแปลกใจกันใหญ่ที่เอื้อนได้สละโสดเป็นคนแรกของรุ่น คงคิดว่าคนอย่างเอื้อนจะหาเจ้าบ่าวไม่ได้ล่ะสิ โดยเฉพาะเจ้าบ่าวที่สุดแสนจะเพอร์
เฟคอย่างคุณสิทด้วยน่ะ เพื่อนบางคนล้อว่าเอื้อนไปทำเสน่ห์ยาแฝดใส่คุณสิทรึเปล่าเค้าถึงได้มาตกล่องปล่องชิ้นยอมแต่งงานด้วย แหม...ไม่อยากจะคุยเลยว่าคุณสิทน่ะเค้ามาหลงรักตั้งแต่เอื้อนยังเป็นนักเรียนอยู่เลยเหอะ...” เอื้อนดาวบ่นยาวเหยียดเมื่อนึกไปถึงคำพูดกวนๆ ของบรรดาเพื่อนสนิททั้งหลายแหล่ที่ไม่ค่อยจะเชื่อว่าเจ้าบ่าวของเธอคือ ‘สิทธา ทวินันท์’ ข้าราชการหนุ่มไฟแรงประจำกระทรวงการต่างประเทศ บุตรชายคนเล็กของอดีตเอกอัครราชทูตที่พึ่งจะหมดวาระไป...

“เอื้อนชิงพูดซะยาวเลย ฟังพี่พูดก่อนซิจ๊ะ ” วิมาลินธ์หัวเราะกับอาการเป็นเดือดเป็นร้อนของว่าที่เจ้าสาว

“พี่ก็แค่อยากจะบอกว่าเวลาหกเจ็ดปีเปลี่ยนน้องสาวพี่จากเด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งให้กลายเป็นหญิงสาวที่สวยงามและเพรียบพร้อมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอื้อนรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองสวยและน่ารักขนาดไหน” วิมาลินธ์ชมน้องสาวอย่างจริงใจจนคนโดนชมหน้าแดงด้วยความเขิน

“ข้อนี้เอื้อนรู้มาตั้งแต่ออกจากท้องคุณแม่แล้วว่าตัวเองสวยแค่ไหน”

คำพูดยกยอตัวเองของน้องสาวทำให้วิมาลินธ์หัวเราะออกมาอีกครั้งด้วยความเอ็นดูนี่ล่ะหนายัยเอื้อนของเธอ น่ารัก สดใส ใครอยู่ใกล้ก็พลอยสนุกสนานไปด้วย ซึ่งเป็นข้อดีในตัวหญิงสาวที่ทำให้ใครๆ ก็หลงเสน่ห์ได้ไม่ยาก นวียาเคยเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเธอกับเอื้อนดาวให้ฟังว่า

‘ถึงแม้เวลาอยู่ใกล้ลินธ์แล้วยัยเอื้อนจะกลายเป็นดอกไม้ธรรมดาดอกหนึ่ง แต่ก็เป็นดอกไม้ที่มีสีสันสดใสสะดุดตามองดูมีชีวิตชีวาและจับต้องได้จริง แตกต่างกับลินธ์ที่เป็นดอกไม้แสนสวยหายากแลดูสูงค่าจับนิดจับหน่อยก็กลัวแต่จะช้ำแถมต้องคอยดูแลรักษาเป็นอย่างดี รู้มั้ยที่หนุ่มๆ ส่วนมากหันไปขายขนมจีบให้ยัยเอื้อนแทนที่จะมาจีบลินธ์ก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ ดอกไม้แบบยัยเอื้อนน่ะไม่ต้องดูแลประคบประหงมให้มากจัดให้อยู่ในแจกันแบบไหนก็สวยได้ แต่ลินธ์ไม่ใช่...ดอกไม้แบบลินธ์ต้องอยู่ในแจกันที่สวยงามและสูงค่าพอๆ กัน เพราะงี้ไงหนุ่มๆ ทั้งหลายถึงได้แต่ชะเง้อมองลินธ์อยู่ห่างๆ เพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่แจกันที่มีค่าพอจะให้ดอกไม้แสนสวยอย่างลินธ์มาประดับ’

คำพูดของนวียามีส่วนถูกจะผิดหน่อยก็ตรงที่วันนี้ดอกไม้อย่างเอื้อนดาวก็มีแจกันใบงามที่คู่ควรอย่างสิทธา ผิดกับเธอที่ไม่มีแม้แจกันสักใบ ความจริงแล้วเธอไม่คู่ควรกับแจกันใบไหนในโลกนี้เลยต่างหาก ต่อให้สูงค่าหรือไร้ราคาเพียงใด เธอก็เป็นได้เพียงดอกไม้แสนสวยที่ถูกชื่มชมแล้ววางทิ้งไว้ข้างๆ แจกันเท่านั้น ไม่มีวันได้ปักอวดความงามอยู่บนนั้น...

“พี่ลินธ์เหม่ออีกแล้ว” เอื้อนดาวสะกิดแขนพี่สาวที่เอาแต่นั่งเหม่อให้ได้สติ

“ไม่ได้เหม่อ พี่แค่คิดอะไรเพลินๆ เท่านั้นเอง”

“อะไรเหรอคะ”

“เอื้อนจำที่วีเคยเปรียบเทียบเราสองคนเอาไว้ได้มั้ย”

“จำได้สิคะ...พี่วีบอกว่าเอื้อนเหมือนดอกไม้สีสันสดใสแต่พี่ลินธ์น่ะเหมือนดอกไม้หายากราคาแพง” เอื้อนดาวตอบด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะความจำบางส่วนจะเลือนลางไปบ้างก็ตาม

“แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่วีพูดไว้จริงๆ วันนี้เอื้อนของพี่ได้เจอแจกันใบสวยที่เหมาะสมอย่างคุณสิทธา”

“บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องชม เอื้อนรู้ตัวมาตลอดค่ะว่าตัวเองเหมาะสมกับพี่สิทมากแค่ไหน”

“น้องสาวพี่นี่ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะ”

“แหม...นานๆ จะมีคนชมนี่คะ” เอื้อนดาวกล่าวพลางมองหน้าพี่สาว

“พี่ลินธ์รู้มั้ยเอื้อนน่ะอิจฉาในความสวย ความเก่งความฉลาดของพี่ลินธ์มาตลอดเลยนะ ไม่ว่าพี่ลินธ์จะทำอะไรก็ออกมาดีไปซะทุกอย่าง พี่ลินธ์คือความภูมิใจของเอื้อนเลยนะคะ ตอนเด็กๆ เวลามีงานที่โรงเรียนทีไรพี่ลินธ์จะได้รับเลือกให้ทำนู้นทำนี่อยู่ตลอดเลยครูที่โรงเรียนก็ชื่นชมในความเรียบร้อยของพี่ลินธ์กันทุกคน จำได้ว่าเวลาเอื้อนกระโดดโลดเต้นแล้วทำซุ่มซ่ามซิสเตอร์จะชอบดุเอื้อนว่า ‘ทำไมไม่เรียบร้อยเหมือนพี่สาวเลยล่ะเอื้อนดาว’ ก็แหม...ใครจะไปเรียบร้อยเหมือนคนที่ได้รางวัลมารยาทดีเด่นอย่างพี่ลินธ์ล่ะเนอะ เอื้อนน่ะปลื้มที่สุดเวลาบอกใครๆ ว่าเป็นน้องพี่ลินธ์ ตอนเย็นๆ ระหว่างที่รอลุงพรมารับกลับบ้านจะมีหนุ่มๆ โรงเรียนชายล้วนข้างๆ มาดักรอดูพี่ลินธ์กัน คนอะไร้ป๊อปปูล่าร์ที่สุด เท่านั้นยังไม่พอพี่ลินธ์ยังเก่งจนสอบเอ็นทรานซ์เข้า มหาวิทยาลัยด้วยคะแนนสูงลิ่วเป็นอันดับหนึ่ง มีชื่อลงหนังสือพิมพ์ด้วยคุณยายกับคุณแม่ตัดข่าวเก็บไว้กันใหญ่ แถมพอเข้าไปก็ยังได้เป็นดาวคณะ พอเรียนจบก็ได้เกียรตินิยมอีก พี่ลินธ์รู้ตัวมั้ยคะว่าพี่ลินธ์น่ะไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นดาวที่จรัสแสงอยู่เสมอ ถ้าเอื้อนเป็นได้สักครึ่งของพี่ลินธ์ก็คงดี”

เอื้อนดาวเอ่ยในตอนท้ายอย่างไม่จริงจังนัก ถึงเธอจะไม่มีอะไรเทียบเท่ากับพี่ลินธ์แต่เธอก็ภาคภูมิใจที่มีพี่สาวที่แสนดีอย่างนี้ พี่ลินธ์ไม่เคยดุไม่เคยว่าเธอเลยสักครั้ง เวลามีปัญหาอะไรพี่ลินธ์ก็จะคอยช่วยเหลือเสมอ พี่ลินธ์มีน้ำใจและเสียสละให้เธออยู่บ่อยๆ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธอรักพี่สาวคนนี้ได้อย่างไรกัน...

“เอื้อนพูดเกินไปแล้ว พี่ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก พี่เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” วิมาลินธ์บอกน้องสาว ดวงหน้างามหม่นลงทันทีเมื่อหวนนึกไปถึงวันวานอันแสนหวาน วันวานที่เธอเคยพราวแสงดั่ง ‘ดาว’

“นั่นมันแค่อดีต ตอนนี้พี่ไม่ได้เป็นดาวที่จรัสแสงอีกต่อไปแล้ว ถ้าจะเป็นก็คงเป็นได้แค่ดาวที่ค่อยๆ ดับแสงแล้วก็หลุดออกจากวงโคจรของระบบจักรวาลไปในที่สุด...”

“ไม่จริงหรอกค่ะ...” เอื้อนดาวแย้ง“สำหรับเอื้อน...พี่ลินธ์ไม่เคยดับแสงพี่ลินธ์ยังเป็นดาวอยู่วันยังค่ำ ความเป็นดาวยังสว่างไสวอยู่ในตัวพี่ลินธ์ตลอดเวลา ถ้าจะดับแสงก็เพราะมีคนตาบอดมองไม่เห็นแสงในตัวพี่ลินธ์เองเท่านั่นแหละค่ะ”

เอื้อนดาวบอกพลางกุมมือพี่สาวไว้ด้วยความมั่นใจ ถึงแม้วันนี้จะมีอะไรบางอย่างทำให้แสงสว่างของ ‘ดาว’ ดวงนี้ริบหรี่ลง แต่มันก็ไม่เคยมอดดับ รอเพียงเวลาที่จะกลับมาสุกสกาวอยู่บนผืนฟ้าอีกครั้งเท่านั้นเอง...






พุดจีบ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2555, 23:33:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2555, 23:33:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1439





<< บทที่ 2   บทที่ 3 >>
Auuuu 8 ม.ค. 2555, 23:45:46 น.
สงสารลินธ์จังเลย :(


anOO 9 ม.ค. 2555, 14:35:52 น.
ลินธ์กำลังพยายามจะเข้มแข็งอยู่ สู้ๆ นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account