กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 11

ตอนที่ ๑๑

“อ้าว! ลงมาทำไมล่ะกันเนี่ย” กระแสเสียงเนือยๆของนางบัวศรีร้องทักทันทีที่เห็นวริณสิตาเยี่ยมหน้าเข้ามายังห้องครัวที่อยู่ตรงตึกเล็กหลังคฤหาสน์ สีหน้าของนางมุ่ยนิดๆเมื่อเห็นวริณสิตาเดินเข้ามาใกล้ๆเคาน์เตอร์ทำครัวที่ยืนอยู่ จะว่ารู้สึกเกะกะก็มิใช่ แต่ก็มิได้ไม่เชิงนักเพราะตอนนี้ครัวนี้เกือบจะนับเป็นสถานที่ส่วนตัวของนางบัวศรีไปเสียแล้ว เนื่องจากนานหลายเดือน ที่ไม่มีอาคันตุกะคนใดย่างกรายเข้ามานอกจากนายก้านอดีตคนขับรถเท่านั้น ก็ตั้งแต่ที่คุณอังกาบเสียแล้วพวกเด็กรับใช้คนอื่นๆก็ทยอยลาออกกันไปหมด

“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วเรอะ?” นางบัวศรีเอ่ยถาม คนถูกถามพยักหน้า

“จ้ะ ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วล่ะ”

แต่แม่บ้านวัยหกสิบห้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ นางจึงยุติมือที่สาละวนอยู่กับการปอกเปลือกกระเทียมลงชั่วครู่ ก่อนจะยื่นหลังมือมาอังหน้าผากตรวจดู แต่ไข้ของวริณสิตาลดลงแล้วจริงๆ เพราะหลังจากกลับมา นางบัวศรีก็จัดการให้เธอกินข้าวกินยา แล้ววริณสิตาก็หลับเป็นตายไปครึ่งค่อนวัน มาตื่นอีกทีก็เย็นย่ำ ห้าโมงกว่าเกือบหกโมงนี่

นางบัวศรีละมือจากหน้าผากของเธอ

“แล้วลงมาจะเอาอะไรหรือเปล่าล่ะ หรือว่าหิวแล้วหึ?”
“เปล่านะจ๊ะเปล่า” วริณสิตารีบพูดเพราะเกรงว่าคนสูงวัยกว่าจะเข้าใจผิด “จิ๊บไม่ได้อยากได้อะไรจ้ะ เพียงแต่...” สาวน้อยก้มหน้าลงมองพื้น อึดใจเต็มๆก่อนจะเงยขึ้นมา เอ่ยถามตามตรงว่า

“ป้าจ๋า ป้ามีงานอะไรให้จิ๊บช่วยทำบ้างไหมจ๊ะ?”

“โอย! ไม่มีละ” นางบัวศรีตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด โบกมือให้หยอยๆก่อนหันไปยุ่งกับการปอกกระเทียมต่อ วริณสิตาเลยจ๋อยลงไปถนัดใจ

“ไม่มีเลยหรือจ๊ะ” สาวน้อยถามเสียงอ่อย “ทำกับข้าว ล้างผัก ล้างจาน หรืออะไรก็ได้ จิ๊บทำได้ รับรองไม่ทำอะไรเสียหายหรือเกะกะเลยจ้ะ จริงๆนะจ๊ะ” วริณสิตายืนยัน อย่างไรเสียก็อยากจะทำงาน เพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองน่ะช่างไร้ประโยชน์

นางบัวศรีถอนหายใจออกมาหนักๆ

“เฮ้อ! จะมาช่วยทงช่วยทำอะไร” คนสูงวัยกว่าพูด ไม่ได้ละสายตาจากงานที่ทำตรงหน้าสักนิด “ไม่สบายอยู่ ไม่ต้องช่วยหรอก เดี๋ยวคุณพีเธอจะมาว่าเอา”
“ไม่หรอกมั้งจ๊ะ” วริณสิตาค้านเบาๆทันที “จิ๊บช่วยทำงานนะ คุณพี...เขาจะมาว่าทำไมกันล่ะ”

และเมื่อหนนี้มีชื่อชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าของบ้านอยู่ด้วยนางบัวศรีจึงละสายตามองหน้าเด็กสาว แววตาบนใบหน้าน้อยๆนั้นฉายแววจริงจังตั้งใจอย่างเด่นชัด

“นะจ๊ะ ให้จิ๊บช่วยป้าเถอะ ล้างผักพวกนี้ก็ได้” ว่าแล้วสาวน้อยก็ถือวิสาสะหยิบต้นหอม ผักชีและแง่งขิงที่นางบัวศรีเตรียมไว้ มาล้างทำความสะอาดทันที ที่จริงส่วนประกอบพวกนี้นางก็เตรียมไว้สำหรับทำข้าวต้มให้คนป่วยนั่นแหละ

“เอ้อ! เจ้านี่ประหลาด อยู่เฉยๆสบายๆไม่ชอบหรือไงหือ?” นางบัวศรีว่า เด็กสาวส่ายหน้า รอยยิ้มน้อยๆฉาบขึ้นมาทันทีที่ได้หยิบจับงานขึ้นมาทำ

“ไม่หรอกจ้ะ ยายบอกว่าคนเรา ถ้าไม่ทำงานก็เหมือนกับคนไร้ค่า”

เออ! จริงสินะ นางบัวศรีก็เพิ่งตระหนักได้ ตลอดเวลาที่ทำงานเป็นข้าด้วยกันมา แม่สายใจแกเป็นคนขยันขันแข็งที่สุดคนหนึ่งเช่นกันนี่นา มิน่าเล่าแก้วตาดวงใจของแกก็ดูท่าจะขยันขันแข็งไม่ต่างกัน คนสูงวัยกว่าทอดสายตามองเด็กสาวที่ล้างผักเสร็จแล้วและเดินเข้ามาหานางอย่างนึกเอ็นดู

“ต้นหอมผักชีพวกนี้ป้าจะเอาไปทำอะไรต่อหรือจ๊ะ หั่นแบบซอยหรือเปล่าจิ๊บจะได้ช่วย”
“เอ้อ ซอยนั่นละ” นางตอบขณะหันกลับไปปอกกระเทียมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “ป้าว่าจะทำข้าวต้ม ผักชีกับขิงนั่นซอยให้เยอะหน่อยแล้วกัน มันแก้ไข้ดี”

วริณสิตาเบิกตาขึ้นน้อยๆทันที

“นี่ป้าทำข้าวต้มให้จิ๊บเฉพาะงั้นหรือจ๊ะ?” สาวน้อยถามเร็วปรื๋อด้วยสีหน้าตื่นๆ ส่งผลให้นางบัวศรีต้องเหล่มองอีกทีจนได้
“เออ! ก็ใช่น่ะซี เจ้านี่ก็ถามแปลก”
“โอย งั้นไม่ต้องหรอกจ้ะป้า ไม่ต้อง” วริณสิตารีบพูด “จิ๊บน่ะกินอะไรก็ได้ ป้าไม่ต้องลำบากทำให้จิ๊บแบบนี้หรอกนะจ๊ะ”
“โธ่!” นางบัวศรีร้อง ส่ายหน้าน้อยๆกับความเกรงอกเกรงใจไม่เข้าเรื่องของเด็กสาว “ลำบากลำเบิกอะไรที่ไหนเล่าลูกเอ๊ย! กะอีแค่ข้าวต้มหม้อเดียว”
“แต่ว่า...เดี๋ยวป้าก็ต้องทำกับข้าวอย่างอื่นสำหรับคนอื่นๆอีกไม่ใช่หรือจ๊ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรพิเศษให้จิ๊บหรอก จิ๊บเกรงใจ”

ฟังแล้วนางบัวศรีก็ได้ส่ายหน้าขำๆเมื่อคิดว่า เด็กคนนี้พูดเหมือนนางยังเหลืองานต้องทำกับข้าวเลี้ยงทหารอีกประมาณหนึ่งกองทัพ ซึ่งถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆละก็ นางว่าก็คงจะดีเสียด้วยซ้ำ! เพราะทุกวันนี้ วันๆแม่บ้านอย่างนางแทบไม่ได้ทำอาหารให้ใครได้ทานเลยนอกจากตัวเองกับนายก้าน

“มันไม่ได้เหนื่อยเหน่ยอะไรขนาดนั้นหรอกน่า ที่ทำเนี่ยเดี๋ยวก็กินหม้อเดียวกันนี่แหละไม่ต้องเพิ่มหรอก ตาก้านมันก็ไม่ใช่คนเรื่องมากยุ่งยากอะไร” นางบัวศรีว่า แต่คนฟังนั้นทำหน้าสงสัย

“กินหม้อเดียวกัน? อ้าว...แล้วคุณ...”

“หึๆ อะไร คุณพีน่ะรึ” คนสูงวัยกว่าพูด “แกน่ะไม่ค่อยจะกลับมากินข้าวที่นี่หรอก” นางบัวศรีบอก ทำเอาสาวน้อยต้องถามทันที

“ทำไมล่ะจ๊ะ ก็ที่นี่เป็นบ้านของคุณพีเขาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงไม่ค่อยจะกลับมาล่ะจ๊ะ”
“เป็นของเขาน่ะใช่ แต่เพิ่งเป็นได้ไม่นานน่ะซี"

เกือบชั่วนาทีที่นางบัวศรีหยุดนิ่งไป แม่บ้านวัยหกสิบห้านึกไตร่ตรองบางอย่างในใจก่อนเอ่ยคำถามกับเด็กสาวไปตรงๆว่า

“แล้วเจ้าน่ะตามคุณพีเขามา รู้เรื่องเขามากน้อยแค่ไหนล่ะ?”

สาวน้อยได้แต่กะพริบตาและค่อยๆส่ายหน้า
“ไม่เลยจ้ะ” วริณสิตาตอบเสียงค่อย “จิ๊บรู้แค่ว่า...คุณพีเขาเป็นหลานชายของคุณอังกาบเท่านั้น”

คนสูงวัยกว่าผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“นั่นแหละ คุณพีน่ะเธอเป็นหลาน หลานคนเดียว แต่คุณอังเธอก็มีลูกชายนะ ชื่อคุณดนัยวัฒน์ แต่โชคร้าย คุณวัฒน์เธอมาถูกลักพาตัวหายสาบสูญไป”

“อะไรนะจ๊ะ!” วริณสิตาร้อง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณอังกาบที่สาวน้อยเพิ่งมีโอกาสได้รู้ และแน่ละ มันเป็นเรื่องน่าตกใจ

“ก็ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายอะไรนั่นแหละ” คนเล่าเอ่ยต่อไป “คุณวัฒน์น่ะเธอเป็นนักข่าว ก็ทำข่าวต่างประท่งต่างประเทศอะไรของเธอไป แต่ไม่รู้อะไรดลใจ จู่ๆเธอก็ขอไปไอ้...อะไรนะ ไอ้แถบๆตะวันออกกลางน่ะ ไม่ถึงปีก็เกิดเรื่องขึ้นมา คุณอังเธอก็เลยตรอมใจนักหนา ตั้งสองปีจนเธอมาเสียไปนั่นละ คุณพีเธอถึงต้องเข้ามาดูแลทุกอย่าง”

“โธ่!” วริณสิตาได้แต่ร้องคราง ได้ทราบอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะจ่อมจมกับความรู้สึกสงสาร แต่ก่อนนี้สาวน้อยเคยนึกว่าสภาพความเป็นอยู่ของเธอกับยายที่ยากจนขัดสน จนทำให้ยายซึ่งอายุมากแล้วต้องตากตรำทำงานหนัก นั่นเป็นเรื่องน่าสงสารที่สุดแล้ว แต่นาทีนี้เมื่อมานึกดู งานหนักที่เธอกับยายต้องทำอาจเทียบไม่ได้กับสิ่งที่คุณอังกาบเจอ เพราะงานหนักนั้นก็ให้แค่ความลำบากกาย แต่นี่ลูกทั้งคนมาถูกโจรผู้ก่อการร้ายลักพาตัวไป!

นี่ละนะความจริงของโลก มนุษย์เรา ทุกผู้ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ก็ล้วนแต่มีปัญหาหรือเรื่องทุกข์ใจให้ต้องเผชิญทั้งนั้น

วริณสิตาหลุดออกมาจากห้วงคิดตนเองได้เมื่อเสียงเนิบนาบดังขึ้นอีกครั้ง

“เฮ้อ! แต่ก็อย่างที่เล่านั่นแหละ คุณพีน่ะเธอเป็นแค่หลาน ไม่ได้อยู่บ้านนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะอย่างนั้นเธอก็คงจะไม่คุ้น ถึงได้ไม่ค่อยจะเข้ามา”

“งั้นหรือจ๊ะ” วริณสิตารับรู้เสียงเบาๆ เสี้ยวหนึ่งในใจนึกอยากถามคนเล่าเหลือใจว่า ถ้าไม่อยู่นี่แล้วคุณพีเขาไปอยู่ที่ไหน แต่สาวน้อยรู้ดีว่าคงไม่เหมาะไม่ควร

“ใช่ เมื่อก่อนตอนคุณอังคุณวัฒน์เธอยังอยู่น่ะนะ บ้านนี้มีคนเยอะแยะไปหมด เด็กๆรับใช้ก็ปาเข้าไปตั้งแปดคนนั่นแน่ะ แต่พอคุณวัฒน์เธอมาหายตัวไป ทุกอย่างก็เริ่มแย่ จนคุณอังเธอมาเสีย ไอ้พวกเด็กๆก็เลยทยอยออกไปกันหมด จะเหลือก็แต่ไอ้คนเก่าๆแก่ๆอย่างป้ากับตาก้านนี่แหละที่ไม่รู้จะไปไหน ไอ้เรามันอยู่รับใช้คุณอังเธอมาตั้งกะโน้นนี่นะ สมัยสาวๆ” พูดจบ นางบัวศรีก็เหมือนจะนึกได้ ไม่แน่ใจตัวเองจะร่ายเพลินเกินไปหรือเปล่านางจึงหยุดปากลงและรอดูปฏิกิริยา แต่ว่าวริณสิตาก็ไม่รู้จะพูดอะไร สาวน้อยจึงได้แต่เงียบ จู่ๆคนสูงวัยกว่าเลยเอ่ยขึ้นมา

“เออนี่! ป้าขอถามอะไรหน่อยเถอะนะ ไอ้เมื่อคืนน่ะ ทำไมเจ้าถึงลงมานอนบนพื้นเสียล่ะ เตียงนุ่มๆสวยๆก็มี”

“จ๊ะ?” วริณสิตาได้แต่กะพริบตา เหตุผลที่เธอลงมานอนบนพื้นน่ะหรือ
“เอ่อ...คือ...” สาวน้อยก้มหน้า “คือ...เตียงมันสวยเกินไปน่ะจ้ะ”
“อะไรนะ?” นางบัวศรีย้อนถามเสียงสูง วริณสิตารู้ ว่าเหตุผลนี้มันฟังดูบ้าๆ แต่สาวน้อยน่ะคิดอย่างนั้นจริงๆ
“คือ...คือจิ๊บไม่เคยนอนแบบนั้นมาก่อนเลยจ้ะ แล้ว...แล้วเตียงมันก็ทั้งใหญ่ทั้งสวยแล้วก็สะอาดมากด้วย จิ๊บก็กลัวว่าถ้าจิ๊บนอน จะทำให้เตียงสวยๆยับ แล้ว...แล้วเดี๋ยวคุณพีเขาจะว่าเอา”

“ไฮ้! พิลึกน่า” นางบัวศรีร้องเสียงหลง แถมพูดประโยคเดียวกับที่วริณสิตาพูดเมื่อกี้ไม่มีผิด “คุณพีเขาจะมาว่าทำไมในเมื่อเขาสั่งให้เจ้าอยู่ห้องนั้น”

“แต่ว่า...” วริณสิตาได้แต่พูดอุบอิบ คิดในใจว่าก็เธอไม่รู้นี่ ที่ตามเขามาก็มีแต่ความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง มิหนำซ้ำเมื่อมาแล้ว เขาก็ปล่อยเธอไว้คนเดียวอย่างนั้น ความรู้สึกเลยไม่ต่างจากการถูกทิ้งอยู่โดดเดี่ยวในที่ไม่คุ้นเคย แล้วจะให้เธอทำอย่างไร? คิดแล้วก็ได้แต่ก้มหน้า

“ป้าจ๋า” วริณสิตาเรียกเบาๆ “ตอนกลางคืน ป้าพักอยู่ที่ไหนหรือจ๊ะ?”
นางบัวศรีลอบมองหน้าสาวน้อยอยู่นิด ก่อนตอบ
“ก็อยู่นี่แหละ”
“อยู่นี่?”
“ใช่ ก็ตึกนี้คุณอังเธอสร้างไว้เป็นเรือนให้พวกลูกจ้างคนใช้อย่างเราอยู่กัน ห้องป้าก็ถัดจากครัวนี่ไปแค่นั้น ถามทำไมล่ะ”
“เอ่อ...”
แม้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพูด แต่ด้วยความที่ยังไม่สนิทคุ้นเคยก็ทำให้วริณสิตาอึกอักอยู่บ้าง “เอ่อ...คือ...คือถ้าอย่างนั้น จิ๊บ...ขอย้ายจากห้องข้างบนนั้น มาอยู่กับป้าที่ตึกนี้ได้ไหมจ๊ะ ป้าบอกว่าคุณอังท่านเคยมีคนอยู่ตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีที่ให้จิ๊บพออาศัยได้บ้างใช่ไหม”

แต่ทว่า...

“ไฮ้! ไม่ได้ๆ” นางบัวศรีร้องทันที “ไอ้ตึกนี้พูดให้ตรงมันก็เรือนคนใช้นั่นแหละ แล้วเจ้าจะมาอยู่ได้ยังไง”
“แล้ว...ทำไมถึงไม่ได้ล่ะจ๊ะ” วริณสิตาย้อนถาม ความไม่เข้าใจเจือชัดในกระแสเสียง “ทำไม...จิ๊บถึงจะลงมาอยู่เรือนคนใช้กับป้าไม่ได้ ในเมื่อ...จิ๊บก็อยู่ในฐานะคนใช้เหมือนกัน”

ฟังคำแล้วนางบัวศรีก็ได้แต่ถอนใจ

“คุณพีเขาบอกอย่างนั้นรึ?”

วริณสิตาเงยหน้าขึ้นมา สบตาคนถามชั่วอึดใจ ก่อนจะต้องส่ายหน้าตอบไปตามความจริงอีก

“เปล่าจ้ะ คุณพี...เขาไม่ได้บอกอะไรเลย”
“นั่นยังไง!” นางบัวศรีว่า “คนช้งคนใช้อะไรไม่ใช่หรอก เพราะไอ้วันที่คุณพีเขาไปรับเจ้ามาน่ะ เขาเป็นคนโทร.มาสั่งเองว่าให้จัดห้องเล็กตรงปีกซ้ายไว้ให้ เพราะงั้นคุณพีเขาคงไม่ได้ให้เจ้ามาทำงานคนใช้หรอก” นางบัวศรีสรุปง่ายๆอีกครั้ง แต่นั่นไม่ง่ายเลยกับความรู้สึกของสาวน้อย

ถ้าไม่ได้แลกด้วยแรงงาน แล้วเธอ...ต้องแลกกับการอยู่ที่นี่ด้วยอะไร? วริณสิตารู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผาก

“ถ้าอย่างนั้น...คุณพี...เขาให้ต้องการจิ๊บอยู่ในฐานะอะไรล่ะจ๊ะ” สาวน้อยตัดสินใจถาม ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นคำถามที่คนถูกถามไม่รู้จะตอบยังไงด้วย

“เอ่อ...”
“ก่อนหน้าจะมา” วริณสิตาเอ่ยขึ้นมาอีกเสียงแผ่วๆ “คุณพีเขาเคยบอกว่ามาอยู่นี่ จิ๊บก็ต้องทำงานอะไรตอบแทนเขาบ้าง ถ้า...ไม่ใช่งานคนรับใช้ แล้วมันจะเป็นงานอะไรล่ะจ๊ะ”

ยิ่งโดนรุกไล่ นางบัวศรีก็ยิ่งตอบไม่ถูก มิหนำซ้ำ ยังกลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออกอีกด้วย

“เอ่อ...”

ยิ่งเห็นท่าทีแบบนั้น วริณริสิตาก็ยิ่งหวั่น

“มัน...คงไม่ใช่...”
“โธ่! จิ๊บเอ๊ย!”

แล้วคนสูงวัยกว่าร้องออกมาเสียงยาว ด้วยความที่อาบน้ำร้อนมาก่อนร่วมสี่รอบทำให้นางบัวศรีรู้ดีว่าคำต่อไปในประโยค ‘คงไม่ใช่...’ คือคำว่าอะไรและหมายความว่าอย่างไร! แต่แน่ล่ะ นางบัวศรีให้คำตอบไม่ได้ ใจหนึ่งก็อยากจะบอกไปตามตรงว่านางเองไม่รู้ แต่ไอ้ที่ดูๆ เห็นๆอยู่เมื่อเช้ามันก็ไม่แน่!

ไหนจะไอ้หน้าตาเคร่งเครียดถมึงทึงตอนที่คิดว่าวริณสิตาหายตัวไป ไหนจะไอ้เหตุการณ์ที่เขาเข้าอุ้มลิ่วๆพาไปโรงหมอด้วยสีหน้าเป็นห่วงนั่นอีก มันห้ามไม่ให้คิดอะไรได้เสียเมื่อไหร่!

นางบัวศรีผ่อนลมหายใจออกมาอย่างคนหนักอก

“เฮ้อ! ป้าเองก็คงได้แต่บอกเจ้าตามตรงนั่นแหละว่าไม่รู้ ถ้าคนอุปการะเจ้าเป็นคุณวัฒน์น่ะ ป้าก็พอจะบอกได้หรอกว่าเธอจะเอ็นดูเจ้าในฐานะไหน เพราะรายนั้นป้าเห็นและรู้จักเธอมาตั้งแต่เล็กๆ แต่คุณพีนี่...ป้าไม่รู้จักเขาจริงๆลูกเอ๋ย”

คำตอบนั้นก็ยังไม่ต่างอะไรไปกับ...บ่วง...ที่รัดรึงวริณสิตาไว้กับความว้าวุ่นและไม่แน่ใจในชะตาชีวิตของตัวเองเลย
........................



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 14:42:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 14:42:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 3536





<< ตอนที่ 10   ตอนที่ 12 >>
ปาริน 18 เม.ย. 2554, 14:45:27 น.
มาแล้วค่ะ ภาคบ่ายตามที่บอกไว้เนาะ

คุณ Pat ที่บล็อกแก๊งคืออันนี้น่ะค่ะ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=purine
เป็นเวอร์ชั่นที่ยังไม่ได้เกา เอ๊ย เกลาค่ะ


สะเรนี 18 เม.ย. 2554, 15:32:39 น.
มาอ่านต่อค่ะ

เดี๋ยวตามไปอ่านในบล็อกแกงค์ด้วย


panon 18 เม.ย. 2554, 16:29:19 น.
ตามๆๆๆค่ะ


lovemuay 18 เม.ย. 2554, 16:30:37 น.
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ สนุกมากเลยค่ะ
อัพเร็วดีจัง ^^


ปั้นฝัน 18 เม.ย. 2554, 20:05:17 น.
รอตอนต่อไปจร้า..


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account