กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 12
ตอนที่ ๑๒
วริณสิตาหยุดตัวเองอยู่ตรงหน้าภาพถ่ายขนาดใหญ่ในกรอบหลุยส์ที่แขวนอยู่บนผนังของโถงใหญ่ในคฤหาสน์ สาวน้อยจ้องมองภาพถ่ายของสตรีวัยห้าสิบกว่าในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินสวยสง่าซึ่งกำลังมอบยิ้มพิมพ์ใจให้กับใครก็ตามที่มองภาพของท่านเสมอ
...ท่านสตรีเจ้าของบ้าน...คุณอังกาบ สุริยะธาดา...
แม้วริณสิตาจะไม่เคยมีโอกาสได้พบท่านในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เลย แต่ดวงหน้ารูปไข่ในภาพนั้นก็แสดงให้เห็นเด่นชัดถึงความงามของท่าน อีกทั้งแววตาแบบผู้ใหญ่ใจดีเฉกเช่นที่เธอเคยได้ยินคนสองคนเอ่ยถึงไว้ไม่มีผิด
‘คุณอังกาบท่านเป็นคนใจดีและเคยเมตตาต่อเรายายหลานนักหนา ในวันที่เจ้าไม่มียายแล้ว คุณอังกาบ...ท่านจะช่วยดูแลเจ้าได้นะลูกนะ’
‘เธอเองก็ได้อ่านจดหมายของยายเธอแล้วนี่ ที่มาวันนี้ฉันก็มาในฐานะตัวแทนป้าอัง ซึ่งฉันรู้ว่าถ้าเป็นป้าของฉันล่ะก็ ท่านคงพร้อมจะอุปการะเธอแน่ๆ’
วริณสิตากะพริบตาช้าๆ ในภาพถ่ายภาพนั้นมิได้มีแต่ท่านสตรีเจ้าของบ้านเพียงลำพัง แต่ข้างๆยังมีชายหนุ่มอีกคน กำลังยืนโอบท่านด้วยสีหน้ารักใคร่ หน้าตาชายหนุ่มที่อ่อนวัย หล่อเหลาและอ่อนโยน นี่กระมัง...ลูกชายของท่าน คุณดนัยวัฒน์ สุริยะธาดา
วริณสิตายืนมองภาพนั้นนานจนอึดใจ คำบอกเล่าของป้าบัวศรีดังอยู่ในมโนสำนึก
‘แต่คุณอังเธอก็มีลูกชายนะ ชื่อคุณดนัยวัฒน์ แต่โชคร้าย คุณวัฒน์เธอมาถูกลักพาตัวหายสาบสูญไป’
สาวน้อยได้แต่ผ่อนลมหายใจ ยิ่งเห็นรูปของคุณอังกาบกับลูกชายก็ยิ่งทำให้สะท้านในใจ ทำไมคนใจดีมีเมตตาอย่างคุณอังกาบถึงต้องมาเจอเรื่องร้ายๆเช่นนั้นด้วย วริณสิตาได้แต่กระพุ่มมือขึ้นไหว้ภาพเหมือนของสตรีผู้ล่วงลับด้วยความเคารพและสงสารสุดหัวใจ
นานเกือบห้านาทีที่วริณสิตายืนนิ่งๆอยู่ในความสงบเงียบของโถงคฤหาสน์ ก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง สาวน้อยยังคงทำได้แต่กวาดตามอง อาณาจักรบนชั้นสองนี้ก็โอ่โถงและสวยงามเฉกเช่นทุกส่วนของบ้านนี้
แต่แน่นอน มันเงียบเหงานัก
ตัวคฤหาสน์จัดแบ่งเป็นสองปีกตามอย่างที่นางบัวศรีเล่าให้ฟังตอนนั่งทานข้าวด้วยกันในครัวเมื่อครู่
‘ปีกทางขวานั่นเป็นห้องเก่าของคุณอังคุณวัฒน์ ส่วนนั้นคุณอังเธอก็จัดไว้เป็นส่วนตัว มีห้องพระกับห้องทำงานของท่านนั่นแหละ’
วริณสิตาค่อยๆทอดสายตามองไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดสู่ห้องด้านปีกขวา พื้นที่ส่วนนั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านเจ้าบ้าน แม้ปัจจุบันท่านจะไม่ได้อยู่แล้วก็ตาม แต่สาวน้อยก็ตระหนักดีว่าไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม
‘ส่วนปีกซ้ายนั่น ปกติคุณอังเธอไว้สำหรับรับรองแขก’
‘งั้นหรือจ๊ะ’ วริณสิตาจำได้ว่าตัวเองเอ่ยออกไปเช่นนั้น มันเป็นประโยคคำถามเพราะนั่นเป็นฝั่งเดียวกับที่เธออาศัย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้
‘ใช่ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้มีหรอก แขกท่านน่ะ ก็เห็นมีแต่คุณพีเท่านั้น’
‘อะไรนะจ๊ะ คุณพีน่ะหรือ?’
อีกหนึ่งอย่างที่วริณสิตาเพิ่งได้รู้ก็คือ พีรพัฒน์ให้ความเคารพรักทั้งคุณอังกาบและดนัยวัฒน์มาก แม้ทั้งคู่จะจากไปแล้ว แต่เขาไม่เคยเข้าไปวุ่นวายหรือจัดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับห้องของทั้งสอง และถ้าหากจำเป็นต้องพักที่คฤหาสน์หลังนี้ละก็ ห้องของคุณพีก็คือห้องใหญ่ที่สุดของส่วนรับรองแขกในปีกซ้ายซึ่งก็เป็นห้องที่อยู่ถัดจากห้องเธอไปเพียงหนึ่งห้องเท่านั้น
วริณสิตาหันซ้ายแล้วออกเดินตรงไปตามระเบียงทางเดินกว้างกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสลักลายเถาองุ่น สาวน้อยเอื้อมมือจับลูกบิด ทว่า...ก็อดใจไม่ได้ ต้องผินหน้ามองเลยต่อไปยังสุดปลายของระเบียงทางเดิน ซึ่งแน่นอน...สุดปลายสายตานั้นก็คือบานประตูของห้องใหญ่สุดทางปีกซ้าย
‘แต่ก็นั่นแหละ’ เสียงของคนเล่ากลับมาก้องอีกครั้งในความคิด ‘นานน้าน...คุณพีเธอถึงจะมาสักที นี่ก็ยังดี ที่เธอไม่ได้คิดจะขายคฤหาสน์หลังนี้ทิ้ง ไม่งั้นป้าก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหนทำมาหากินอะไร ไอ้เรามันก็แก่แล้ว ญาติมิตรอะไรที่ไหนก็ไม่มี ก็ได้แต่ฝากผีฝากไข้ไว้ที่นี่ คุณพีเธอก็ดี เธอเข้าใจเรื่องนี้ เข้าใจหัวอกคนแก่ไร้ญาติอย่างป้ากับตาก้าน’
ใช่...และตอนนี้ คุณพีเขาก็รับเด็กอย่างเธอเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เพิ่มอีกคนแล้ว แต่ที่ไม่เข้าใจเลยสักนิดก็คือทำไมคุณพีถึงต้องให้เธอขึ้นมาอยู่บนคฤหาสน์นี้ด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
บ้านหลังใหญ่ แต่เงียบเหงาไร้ความสุข...มันเป็นเช่นนี้เอง
นานเป็นชั่วโมงๆที่วริณสิตานั่งเจ่าอยู่บนพื้นหน้าเตียงในห้องใหม่แสนสวย เสียงเข็มนาฬิกาบนฝาผนังเดินดังชัดเหลือเกินในความรู้สึกเมื่อมีความเงียบอยู่เป็นเพื่อน สาวน้อยชันเข่าขึ้นมากอด ที่จริงใช่ว่าวริณสิตาจะไม่เคยเผชิญหน้ากับความเงียบแบบนี้ เพราะช่วงที่ยายเพิ่งเสีย เธอก็ต้องอยู่คนเดียวเงียบๆแบบเหมือนกัน แต่นั่นสภาพการณ์มันแตกต่าง
อย่างน้อยตอนนั้นเธอก็ยังได้อยู่ในบ้าน บ้านที่ตัวเองคุ้นเคยมาตลอดชีวิต
แล้วในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป สาวน้อยตัดสินใจ คืนนี้เธอจะลงไปอยู่กับนางบัวศรี แม้เขาจะห้ามหรือย้ำหนักแน่นว่ามันเป็นเรือนคนใช้ แต่วริณสิตาไม่สนใจ เพราะต่อให้มันเป็นแค่ที่ซุกหัวนอนใต้สะพาน สาวน้อยก็แน่ใจว่าตัวเองจะรู้สึกเป็นสุขมากกว่าแน่ๆ
วริณสิตาดันตัวลุกขึ้นจากพื้นทันที สาวน้อยตรงดิ่งไปปิดสวิตช์ไฟเมื่อตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลงไปหานางบัวศรี แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูแล้วออกไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้านเสียก่อน เด็กสาวชะงักทันที
...คุณพี...
‘แต่ก็นั่นแหละ นานน้าน...คุณพีเธอถึงจะมาสักที’ คำบอกเล่าที่กลับมาดังในหัวอีกครั้งทำให้วริณสิตาต้องหมุนตัวกลับมาอย่างชั่งใจ สาวน้อยมองไปที่บานหน้าต่าง จากห้องนี้ที่อยู่ทางฝั่งซ้าย เมื่อมองลงไปก็จะเห็นได้ถึงหน้าโรงรถเลยทีเดียว
พีรพัฒน์เผลอตัวผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อสุดท้ายเขาก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดอยู่หน้าโรงรถในคฤหาสน์ของคุณอังกาบจนได้ มันค่อนข้างจะ...ไม่ค่อยชิน...
ใช่! ไม่ค่อยชินในความรู้สึกของเขานี่แหละ เพราะปกติแล้วถ้าค่ำมืดพีรพัฒน์ก็ไม่ค่อยจะกลับเข้ามาที่นี่ ยิ่งมาพัก ก็ยิ่งไม่เคย แต่วันนี้มันแตกต่าง
ชายหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง รถสปอร์ตสีดำที่แล่นเข้ามาจอดขนาบข้างทำให้เขาไม่มีเวลาให้กับความคิดตัวเองมากนัก พีรพัฒน์เปิดประตูและก้าวลงมาจากรถทันทีที่ดับเครื่องสนิท แต่นั่นยังช้ากว่าอาคันตุกะที่ตามมาครั้งนี้
สาวสวยในชุดทำงานแบบสูทสตรีสีน้ำตาลอ่อนเปิดและปิดประตูรถตนเองลงอย่างไว ก่อนก้าวยาวๆมาหาเขาด้วยความมาดมั่น ใบหน้าสวยนั้นแม้มิได้บึ้งตึงแต่ก็ไร้รอยยิ้ม
อึดใจก่อนที่ร่างประเปรียวสวยสง่าจะก้าวมาถึงตัว พีรพัฒน์เหลือบตาขึ้นไปยังหน้าต่างห้องบนชั้นสอง แม้หน้าต่างบานนั้นจะมืดสนิท แต่เขาก็ยังทันได้เห็นม่านสีหวานที่สั่นไหวเพราะถูกใครบางคนดึงปิดอย่างไวๆ
หทัยรักก้าวยาวๆมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆส่งให้ แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ยิ้ม ตลอดครึ่งวันบ่ายมานี้หทัยรักแสดงทีท่าบึ้งตึงใส่เขาอย่างเปิดเผย พีรพัฒน์เข้าใจดี เจ้าหล่อนมีเหตุผลสมควรที่จะโกรธ
“ไหนล่ะคะ เด็กที่มาขอความอุปการะจากคุณป้าอัง” หทัยรักถาม
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อต้องพบหน้า พรีพัฒน์จึงอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาประชุมบอร์ดไม่ได้ในตอนเช้าให้หญิงสาวฟัง อธิบายเช่นเดียวกับที่เล่าให้สมศักดิ์ฟังทุกอย่าง แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้หทัยรักเรียกร้องที่จะตามเขามาที่นี่ให้ได้ พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วๆ
“ผมว่าเด็กคนนั้นคงเข้านอนไปแล้วล่ะ เขาไม่ค่อยสบาย”
“อะไรกันล่ะคะ” สาวสวยแสดงทีท่าไม่พอใจ “จะเข้านอนได้ยังไง นี่ยังไม่สามทุ่มกว่าเสียด้วยซ้ำ รักไม่เชื่อหรอกค่ะ” ก็แน่ละ หทัยรักได้แต่เข่นเคี่ยวในใจว่าใครจะไปข่มอารมณ์ไว้ได้ ยิ่งเมื่อรู้เหตุผลบ้าๆที่ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเบี้ยวการประชุมเสียหน้าตาเฉย เธอไม่ปรี๊ดจนเอพีกรุ๊ปแตกก็นับว่าควบคุมอารมณ์ได้ดีสุดๆแล้ว
เฮอะ! เด็กในอุปการะอย่างนั้นเรอะ! เธอต้องขอดูหน้ายายเด็กนั่นให้ได้!
“รัก” พีรพัฒน์เอ่ยเรียกสาวสวยอารมณ์ร้อนอย่างใจเย็น “เด็กคนนั้นไม่ค่อยสบายนะ เขาอาจจะทานข้าว ทานยา แล้วก็นอนหลับไปแล้วก็ได้ มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา”
“อะไรนะคะ” หทัยรักยังคงย้อนกลับเสียงสูง “นี่พีคิดว่าไอ้การที่เป็นต้นเหตุทำให้นัดประชุมผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ต้องล่มเนี่ย มันเป็นเรื่องปกติธรรมดางั้นหรือคะ?!”
“รัก ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างใจเย็น เขารู้ว่าหทัยรักขุ่นเคืองกับเรื่องนี้มาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดวริณสิตา มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เด็กคนนั้นไม่สบาย และแน่นอน พีรพัฒน์ก็แสดงเจตจำนงแล้วว่ากรรมการของเอพีกรุ๊ปสามารถเริ่มประชุมได้โดยไม่มีเขา แต่ถ้าหทัยรักยังคงต้องการคนผิด เขาก็จะรับเอง
“ผมขอโทษที่เป็นคนทำให้การประชุมวันนี้ต้องล่ม แต่สำหรับเรื่องเด็กคนนั้น ขอให้เป็นวันหลังเถอะนะ รักได้พบเขาแน่ เพราะผมก็คงมีเรื่องเกี่ยวกับเด็กคนนั้นที่ต้องรบกวนให้รักช่วยดูแลจัดการให้ผมด้วย”
“ช่วยเหลือจัดการ?” หทัยรักขมวดคิ้วมุ่น “หมายความว่าไงคะ?”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมา
“ผมต้องขอโทษรักอีกครั้งนะที่ต้องขอรบกวนคุณตรงๆอย่างนี้ แต่เพราะผมไม่รู้จักใครและก็ไม่มีเพื่อนผู้หญิงคนไหนที่สนิทด้วยเท่ากับคุณ ผมเลยต้องรบกวนคุณให้ช่วยดูแลเด็กคนนั้นด้วย”
“ขะ...คะ?” ในที่สุดหทัยรักก็หลุดยิ้มออกมา เมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่ว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาจะสนิทด้วยเท่ากับตัวเอง
“แหม...” หญิงลากเสียงยาว จังหวะนั้นถือโอกาสยื่นลำแขนเรียวๆมาคล้องไว้กับแขนของพีรพัฒน์ “จะรบกวนอะไรกันล่ะคะ เราก็สนิทกันขนาดนี้แล้ว จริงไหมคะ” แล้วสาวสวยก็ปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มแสนหวานผิดกับเมื่อนาทีที่แล้วจนพีรพัฒน์ต้องยิ้มเฝื่อน แม้จะใช้คำว่าสนิทในคำพูดเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มคิดว่า คำนี้ความหมายในพจนานุกรมของเขากับของหทัยรักคงจะต่างกันอยู่สักหน่อยเป็นแน่ แต่เขาก็มิได้หักหาญเยื่อใยไมตรี พีรพัฒน์เพียงยิ้มบางๆเมื่อวางมือใหญ่หนาของตนเองบนลำแขนเรียวบางของหทัยรัก ก่อนค่อยๆปลดอย่างแผ่วเบาและสุภาพ
“จวนจะสามทุ่มแล้ว ผมว่ายังไงรักกลับบ้านก่อนจะดีไหม”
อ๊าย! ไอ้ผู้ชายบ้า!
หทัยรักหน้าหักลงอีกครั้ง ตวัดมือที่อุตส่าห์ยื่นไปคล้องแขนพีรพัฒน์ออกไปทันทีด้วยความหงุดหงิดในอารมณ์ แต่แน่แหละ หทัยรักรู้ดีว่าไม่ควรจะตีหน้ายักษ์ ด้วยไอ้การจะเป็นสาวสวยน่ารักมันต้องมีจริตจะก้าน เพราะงั้นก็ได้แต่ทนทำแค่กระเง้ากระงอดพองาม แม้ใจจริงนั้นอยากจะกรี๊ดใส่หน้าผู้ชายบ้าตาถั่วคนนี้ให้แก้วหูแตก!
“แหม!” หทัยรักแสร้งทำเสียงตัดพ้อ “พอหาคนใช้งานได้แล้ว ก็ไล่กันเลยหรือคะ พีน่ะไร้หัวใจเกินไปแล้วนะ”
“รัก มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ” พีรพัฒน์ปฏิเสธ “ผมกลัวว่าคุณขับรถตอนดึกๆ มันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แค่นั้นเอง”
งั้นก็ไปส่งฉันสิยะ ง่ายจะตาย!
แต่อะไรที่หทัยรักคิดว่ามันง่าย ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำให้ถูกใจเธอได้สักหน เฮอะ! ไม่รู้เลยว่าโง่หรือบ้า!
ท้ายสุดแล้วสาวสวยก็ต้องทนข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ ท่องอยู่ข้างในว่ารอไว้สักวัน สักวันที่เขาจะต้องมาสยบอยู่ต่อหน้าเธอ!
“ก็ได้ค่ะ รักกลับก็ได้ เห็นกับที่พีอุตส่าห์เป็นห่วงหรอกนะ!”
พีรพัฒน์ยิ้มละไม ขณะที่อีกฝ่ายต้องซ่อนความหงุดหงิดหัวใจเก็บไว้เป็นที่สุดเลยทีเดียว
วริณสิตาหมุนตัวกลับมาจากหน้าต่าง ในความมืดสลัว หัวใจสาวน้อยเต้นถี่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่านาทีที่คนที่อยู่หน้าบ้านมองขึ้นมาเขาจะเห็นหรือไม่ว่าเธอแอบดูอยู่ คงไม่หรอกมั้ง ก็ห้องปิดไฟออกมืด คงไม่ทันจะเห็นหรอก
เมื่อชั่งใจและบอกตัวเองเช่นนั้นวริณสิตาจึงค่อยๆหมุนองศากลับมา หนนี้มือน้อยค่อยแหวกม่านอย่างระวัง ดวงตากลมโตคอยจับจ้องคนที่อยู่หน้าบ้านอีกครั้ง สิ่งที่เห็นต่อจากนั้นคือหญิงสาวที่ก้าวยาวๆเข้าไปหาชายหนุ่ม อึดใจแรกดูอาการกระฟัดกระเฟียดขัดใจ ก่อนร่างสูงใหญ่คงจะเอ่ยอะไรสักอย่างที่ทำให้ท่าทีนั้นเปลี่ยนไป จากโกรธขึ้งขัดใจกลายเป็นยิ้มสดใสพร้อมขยับเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนม เมื่อนั้นสาวน้อยจึงค่อยๆละม่านลงแผ่วเบา
แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ก็เห็นได้ว่าเจ้าของร่างบางสมส่วนนั้นสวยเพียงไหน
นี่กระมัง...หญิงสาวคนสำคัญ...
ประหลาดแท้ที่หัวใจเกิดหวิวไหว สาวน้อยปล่อยตัวอยู่กับความเงียบกระทั่งได้ยินเสียงรถแล่นออกไปเมื่อนั้นจึงตระหนักได้
วริณสิตาเงยหน้าขึ้นมา ใช่! เธอตั้งใจว่าจะลงไปนอนกับป้าบัวศรีนี่ แล้วจะมายืนนิ่งซึมกระทืออย่างนี้ทำไม สาวน้อยตัดสินใจก้าวถี่ๆไปที่ประตู คว้าลูกบิดเปิดแล้วแทรกกายเบียดออกไปอย่างว่องไว
วริณสิตาผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อกลั้นใจปิดประตูลงให้เบาเสียงได้ที่สุด แต่ทว่า...
“จะไปไหนรึ วริณสิตา?”
………………………….
วริณสิตาหยุดตัวเองอยู่ตรงหน้าภาพถ่ายขนาดใหญ่ในกรอบหลุยส์ที่แขวนอยู่บนผนังของโถงใหญ่ในคฤหาสน์ สาวน้อยจ้องมองภาพถ่ายของสตรีวัยห้าสิบกว่าในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินสวยสง่าซึ่งกำลังมอบยิ้มพิมพ์ใจให้กับใครก็ตามที่มองภาพของท่านเสมอ
...ท่านสตรีเจ้าของบ้าน...คุณอังกาบ สุริยะธาดา...
แม้วริณสิตาจะไม่เคยมีโอกาสได้พบท่านในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เลย แต่ดวงหน้ารูปไข่ในภาพนั้นก็แสดงให้เห็นเด่นชัดถึงความงามของท่าน อีกทั้งแววตาแบบผู้ใหญ่ใจดีเฉกเช่นที่เธอเคยได้ยินคนสองคนเอ่ยถึงไว้ไม่มีผิด
‘คุณอังกาบท่านเป็นคนใจดีและเคยเมตตาต่อเรายายหลานนักหนา ในวันที่เจ้าไม่มียายแล้ว คุณอังกาบ...ท่านจะช่วยดูแลเจ้าได้นะลูกนะ’
‘เธอเองก็ได้อ่านจดหมายของยายเธอแล้วนี่ ที่มาวันนี้ฉันก็มาในฐานะตัวแทนป้าอัง ซึ่งฉันรู้ว่าถ้าเป็นป้าของฉันล่ะก็ ท่านคงพร้อมจะอุปการะเธอแน่ๆ’
วริณสิตากะพริบตาช้าๆ ในภาพถ่ายภาพนั้นมิได้มีแต่ท่านสตรีเจ้าของบ้านเพียงลำพัง แต่ข้างๆยังมีชายหนุ่มอีกคน กำลังยืนโอบท่านด้วยสีหน้ารักใคร่ หน้าตาชายหนุ่มที่อ่อนวัย หล่อเหลาและอ่อนโยน นี่กระมัง...ลูกชายของท่าน คุณดนัยวัฒน์ สุริยะธาดา
วริณสิตายืนมองภาพนั้นนานจนอึดใจ คำบอกเล่าของป้าบัวศรีดังอยู่ในมโนสำนึก
‘แต่คุณอังเธอก็มีลูกชายนะ ชื่อคุณดนัยวัฒน์ แต่โชคร้าย คุณวัฒน์เธอมาถูกลักพาตัวหายสาบสูญไป’
สาวน้อยได้แต่ผ่อนลมหายใจ ยิ่งเห็นรูปของคุณอังกาบกับลูกชายก็ยิ่งทำให้สะท้านในใจ ทำไมคนใจดีมีเมตตาอย่างคุณอังกาบถึงต้องมาเจอเรื่องร้ายๆเช่นนั้นด้วย วริณสิตาได้แต่กระพุ่มมือขึ้นไหว้ภาพเหมือนของสตรีผู้ล่วงลับด้วยความเคารพและสงสารสุดหัวใจ
นานเกือบห้านาทีที่วริณสิตายืนนิ่งๆอยู่ในความสงบเงียบของโถงคฤหาสน์ ก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง สาวน้อยยังคงทำได้แต่กวาดตามอง อาณาจักรบนชั้นสองนี้ก็โอ่โถงและสวยงามเฉกเช่นทุกส่วนของบ้านนี้
แต่แน่นอน มันเงียบเหงานัก
ตัวคฤหาสน์จัดแบ่งเป็นสองปีกตามอย่างที่นางบัวศรีเล่าให้ฟังตอนนั่งทานข้าวด้วยกันในครัวเมื่อครู่
‘ปีกทางขวานั่นเป็นห้องเก่าของคุณอังคุณวัฒน์ ส่วนนั้นคุณอังเธอก็จัดไว้เป็นส่วนตัว มีห้องพระกับห้องทำงานของท่านนั่นแหละ’
วริณสิตาค่อยๆทอดสายตามองไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดสู่ห้องด้านปีกขวา พื้นที่ส่วนนั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านเจ้าบ้าน แม้ปัจจุบันท่านจะไม่ได้อยู่แล้วก็ตาม แต่สาวน้อยก็ตระหนักดีว่าไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม
‘ส่วนปีกซ้ายนั่น ปกติคุณอังเธอไว้สำหรับรับรองแขก’
‘งั้นหรือจ๊ะ’ วริณสิตาจำได้ว่าตัวเองเอ่ยออกไปเช่นนั้น มันเป็นประโยคคำถามเพราะนั่นเป็นฝั่งเดียวกับที่เธออาศัย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้
‘ใช่ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้มีหรอก แขกท่านน่ะ ก็เห็นมีแต่คุณพีเท่านั้น’
‘อะไรนะจ๊ะ คุณพีน่ะหรือ?’
อีกหนึ่งอย่างที่วริณสิตาเพิ่งได้รู้ก็คือ พีรพัฒน์ให้ความเคารพรักทั้งคุณอังกาบและดนัยวัฒน์มาก แม้ทั้งคู่จะจากไปแล้ว แต่เขาไม่เคยเข้าไปวุ่นวายหรือจัดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับห้องของทั้งสอง และถ้าหากจำเป็นต้องพักที่คฤหาสน์หลังนี้ละก็ ห้องของคุณพีก็คือห้องใหญ่ที่สุดของส่วนรับรองแขกในปีกซ้ายซึ่งก็เป็นห้องที่อยู่ถัดจากห้องเธอไปเพียงหนึ่งห้องเท่านั้น
วริณสิตาหันซ้ายแล้วออกเดินตรงไปตามระเบียงทางเดินกว้างกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสลักลายเถาองุ่น สาวน้อยเอื้อมมือจับลูกบิด ทว่า...ก็อดใจไม่ได้ ต้องผินหน้ามองเลยต่อไปยังสุดปลายของระเบียงทางเดิน ซึ่งแน่นอน...สุดปลายสายตานั้นก็คือบานประตูของห้องใหญ่สุดทางปีกซ้าย
‘แต่ก็นั่นแหละ’ เสียงของคนเล่ากลับมาก้องอีกครั้งในความคิด ‘นานน้าน...คุณพีเธอถึงจะมาสักที นี่ก็ยังดี ที่เธอไม่ได้คิดจะขายคฤหาสน์หลังนี้ทิ้ง ไม่งั้นป้าก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหนทำมาหากินอะไร ไอ้เรามันก็แก่แล้ว ญาติมิตรอะไรที่ไหนก็ไม่มี ก็ได้แต่ฝากผีฝากไข้ไว้ที่นี่ คุณพีเธอก็ดี เธอเข้าใจเรื่องนี้ เข้าใจหัวอกคนแก่ไร้ญาติอย่างป้ากับตาก้าน’
ใช่...และตอนนี้ คุณพีเขาก็รับเด็กอย่างเธอเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เพิ่มอีกคนแล้ว แต่ที่ไม่เข้าใจเลยสักนิดก็คือทำไมคุณพีถึงต้องให้เธอขึ้นมาอยู่บนคฤหาสน์นี้ด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
บ้านหลังใหญ่ แต่เงียบเหงาไร้ความสุข...มันเป็นเช่นนี้เอง
นานเป็นชั่วโมงๆที่วริณสิตานั่งเจ่าอยู่บนพื้นหน้าเตียงในห้องใหม่แสนสวย เสียงเข็มนาฬิกาบนฝาผนังเดินดังชัดเหลือเกินในความรู้สึกเมื่อมีความเงียบอยู่เป็นเพื่อน สาวน้อยชันเข่าขึ้นมากอด ที่จริงใช่ว่าวริณสิตาจะไม่เคยเผชิญหน้ากับความเงียบแบบนี้ เพราะช่วงที่ยายเพิ่งเสีย เธอก็ต้องอยู่คนเดียวเงียบๆแบบเหมือนกัน แต่นั่นสภาพการณ์มันแตกต่าง
อย่างน้อยตอนนั้นเธอก็ยังได้อยู่ในบ้าน บ้านที่ตัวเองคุ้นเคยมาตลอดชีวิต
แล้วในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป สาวน้อยตัดสินใจ คืนนี้เธอจะลงไปอยู่กับนางบัวศรี แม้เขาจะห้ามหรือย้ำหนักแน่นว่ามันเป็นเรือนคนใช้ แต่วริณสิตาไม่สนใจ เพราะต่อให้มันเป็นแค่ที่ซุกหัวนอนใต้สะพาน สาวน้อยก็แน่ใจว่าตัวเองจะรู้สึกเป็นสุขมากกว่าแน่ๆ
วริณสิตาดันตัวลุกขึ้นจากพื้นทันที สาวน้อยตรงดิ่งไปปิดสวิตช์ไฟเมื่อตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลงไปหานางบัวศรี แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูแล้วออกไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้านเสียก่อน เด็กสาวชะงักทันที
...คุณพี...
‘แต่ก็นั่นแหละ นานน้าน...คุณพีเธอถึงจะมาสักที’ คำบอกเล่าที่กลับมาดังในหัวอีกครั้งทำให้วริณสิตาต้องหมุนตัวกลับมาอย่างชั่งใจ สาวน้อยมองไปที่บานหน้าต่าง จากห้องนี้ที่อยู่ทางฝั่งซ้าย เมื่อมองลงไปก็จะเห็นได้ถึงหน้าโรงรถเลยทีเดียว
พีรพัฒน์เผลอตัวผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อสุดท้ายเขาก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดอยู่หน้าโรงรถในคฤหาสน์ของคุณอังกาบจนได้ มันค่อนข้างจะ...ไม่ค่อยชิน...
ใช่! ไม่ค่อยชินในความรู้สึกของเขานี่แหละ เพราะปกติแล้วถ้าค่ำมืดพีรพัฒน์ก็ไม่ค่อยจะกลับเข้ามาที่นี่ ยิ่งมาพัก ก็ยิ่งไม่เคย แต่วันนี้มันแตกต่าง
ชายหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง รถสปอร์ตสีดำที่แล่นเข้ามาจอดขนาบข้างทำให้เขาไม่มีเวลาให้กับความคิดตัวเองมากนัก พีรพัฒน์เปิดประตูและก้าวลงมาจากรถทันทีที่ดับเครื่องสนิท แต่นั่นยังช้ากว่าอาคันตุกะที่ตามมาครั้งนี้
สาวสวยในชุดทำงานแบบสูทสตรีสีน้ำตาลอ่อนเปิดและปิดประตูรถตนเองลงอย่างไว ก่อนก้าวยาวๆมาหาเขาด้วยความมาดมั่น ใบหน้าสวยนั้นแม้มิได้บึ้งตึงแต่ก็ไร้รอยยิ้ม
อึดใจก่อนที่ร่างประเปรียวสวยสง่าจะก้าวมาถึงตัว พีรพัฒน์เหลือบตาขึ้นไปยังหน้าต่างห้องบนชั้นสอง แม้หน้าต่างบานนั้นจะมืดสนิท แต่เขาก็ยังทันได้เห็นม่านสีหวานที่สั่นไหวเพราะถูกใครบางคนดึงปิดอย่างไวๆ
หทัยรักก้าวยาวๆมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆส่งให้ แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ยิ้ม ตลอดครึ่งวันบ่ายมานี้หทัยรักแสดงทีท่าบึ้งตึงใส่เขาอย่างเปิดเผย พีรพัฒน์เข้าใจดี เจ้าหล่อนมีเหตุผลสมควรที่จะโกรธ
“ไหนล่ะคะ เด็กที่มาขอความอุปการะจากคุณป้าอัง” หทัยรักถาม
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อต้องพบหน้า พรีพัฒน์จึงอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาประชุมบอร์ดไม่ได้ในตอนเช้าให้หญิงสาวฟัง อธิบายเช่นเดียวกับที่เล่าให้สมศักดิ์ฟังทุกอย่าง แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้หทัยรักเรียกร้องที่จะตามเขามาที่นี่ให้ได้ พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วๆ
“ผมว่าเด็กคนนั้นคงเข้านอนไปแล้วล่ะ เขาไม่ค่อยสบาย”
“อะไรกันล่ะคะ” สาวสวยแสดงทีท่าไม่พอใจ “จะเข้านอนได้ยังไง นี่ยังไม่สามทุ่มกว่าเสียด้วยซ้ำ รักไม่เชื่อหรอกค่ะ” ก็แน่ละ หทัยรักได้แต่เข่นเคี่ยวในใจว่าใครจะไปข่มอารมณ์ไว้ได้ ยิ่งเมื่อรู้เหตุผลบ้าๆที่ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเบี้ยวการประชุมเสียหน้าตาเฉย เธอไม่ปรี๊ดจนเอพีกรุ๊ปแตกก็นับว่าควบคุมอารมณ์ได้ดีสุดๆแล้ว
เฮอะ! เด็กในอุปการะอย่างนั้นเรอะ! เธอต้องขอดูหน้ายายเด็กนั่นให้ได้!
“รัก” พีรพัฒน์เอ่ยเรียกสาวสวยอารมณ์ร้อนอย่างใจเย็น “เด็กคนนั้นไม่ค่อยสบายนะ เขาอาจจะทานข้าว ทานยา แล้วก็นอนหลับไปแล้วก็ได้ มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา”
“อะไรนะคะ” หทัยรักยังคงย้อนกลับเสียงสูง “นี่พีคิดว่าไอ้การที่เป็นต้นเหตุทำให้นัดประชุมผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ต้องล่มเนี่ย มันเป็นเรื่องปกติธรรมดางั้นหรือคะ?!”
“รัก ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างใจเย็น เขารู้ว่าหทัยรักขุ่นเคืองกับเรื่องนี้มาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดวริณสิตา มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เด็กคนนั้นไม่สบาย และแน่นอน พีรพัฒน์ก็แสดงเจตจำนงแล้วว่ากรรมการของเอพีกรุ๊ปสามารถเริ่มประชุมได้โดยไม่มีเขา แต่ถ้าหทัยรักยังคงต้องการคนผิด เขาก็จะรับเอง
“ผมขอโทษที่เป็นคนทำให้การประชุมวันนี้ต้องล่ม แต่สำหรับเรื่องเด็กคนนั้น ขอให้เป็นวันหลังเถอะนะ รักได้พบเขาแน่ เพราะผมก็คงมีเรื่องเกี่ยวกับเด็กคนนั้นที่ต้องรบกวนให้รักช่วยดูแลจัดการให้ผมด้วย”
“ช่วยเหลือจัดการ?” หทัยรักขมวดคิ้วมุ่น “หมายความว่าไงคะ?”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมา
“ผมต้องขอโทษรักอีกครั้งนะที่ต้องขอรบกวนคุณตรงๆอย่างนี้ แต่เพราะผมไม่รู้จักใครและก็ไม่มีเพื่อนผู้หญิงคนไหนที่สนิทด้วยเท่ากับคุณ ผมเลยต้องรบกวนคุณให้ช่วยดูแลเด็กคนนั้นด้วย”
“ขะ...คะ?” ในที่สุดหทัยรักก็หลุดยิ้มออกมา เมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่ว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาจะสนิทด้วยเท่ากับตัวเอง
“แหม...” หญิงลากเสียงยาว จังหวะนั้นถือโอกาสยื่นลำแขนเรียวๆมาคล้องไว้กับแขนของพีรพัฒน์ “จะรบกวนอะไรกันล่ะคะ เราก็สนิทกันขนาดนี้แล้ว จริงไหมคะ” แล้วสาวสวยก็ปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มแสนหวานผิดกับเมื่อนาทีที่แล้วจนพีรพัฒน์ต้องยิ้มเฝื่อน แม้จะใช้คำว่าสนิทในคำพูดเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มคิดว่า คำนี้ความหมายในพจนานุกรมของเขากับของหทัยรักคงจะต่างกันอยู่สักหน่อยเป็นแน่ แต่เขาก็มิได้หักหาญเยื่อใยไมตรี พีรพัฒน์เพียงยิ้มบางๆเมื่อวางมือใหญ่หนาของตนเองบนลำแขนเรียวบางของหทัยรัก ก่อนค่อยๆปลดอย่างแผ่วเบาและสุภาพ
“จวนจะสามทุ่มแล้ว ผมว่ายังไงรักกลับบ้านก่อนจะดีไหม”
อ๊าย! ไอ้ผู้ชายบ้า!
หทัยรักหน้าหักลงอีกครั้ง ตวัดมือที่อุตส่าห์ยื่นไปคล้องแขนพีรพัฒน์ออกไปทันทีด้วยความหงุดหงิดในอารมณ์ แต่แน่แหละ หทัยรักรู้ดีว่าไม่ควรจะตีหน้ายักษ์ ด้วยไอ้การจะเป็นสาวสวยน่ารักมันต้องมีจริตจะก้าน เพราะงั้นก็ได้แต่ทนทำแค่กระเง้ากระงอดพองาม แม้ใจจริงนั้นอยากจะกรี๊ดใส่หน้าผู้ชายบ้าตาถั่วคนนี้ให้แก้วหูแตก!
“แหม!” หทัยรักแสร้งทำเสียงตัดพ้อ “พอหาคนใช้งานได้แล้ว ก็ไล่กันเลยหรือคะ พีน่ะไร้หัวใจเกินไปแล้วนะ”
“รัก มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ” พีรพัฒน์ปฏิเสธ “ผมกลัวว่าคุณขับรถตอนดึกๆ มันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แค่นั้นเอง”
งั้นก็ไปส่งฉันสิยะ ง่ายจะตาย!
แต่อะไรที่หทัยรักคิดว่ามันง่าย ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำให้ถูกใจเธอได้สักหน เฮอะ! ไม่รู้เลยว่าโง่หรือบ้า!
ท้ายสุดแล้วสาวสวยก็ต้องทนข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ ท่องอยู่ข้างในว่ารอไว้สักวัน สักวันที่เขาจะต้องมาสยบอยู่ต่อหน้าเธอ!
“ก็ได้ค่ะ รักกลับก็ได้ เห็นกับที่พีอุตส่าห์เป็นห่วงหรอกนะ!”
พีรพัฒน์ยิ้มละไม ขณะที่อีกฝ่ายต้องซ่อนความหงุดหงิดหัวใจเก็บไว้เป็นที่สุดเลยทีเดียว
วริณสิตาหมุนตัวกลับมาจากหน้าต่าง ในความมืดสลัว หัวใจสาวน้อยเต้นถี่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่านาทีที่คนที่อยู่หน้าบ้านมองขึ้นมาเขาจะเห็นหรือไม่ว่าเธอแอบดูอยู่ คงไม่หรอกมั้ง ก็ห้องปิดไฟออกมืด คงไม่ทันจะเห็นหรอก
เมื่อชั่งใจและบอกตัวเองเช่นนั้นวริณสิตาจึงค่อยๆหมุนองศากลับมา หนนี้มือน้อยค่อยแหวกม่านอย่างระวัง ดวงตากลมโตคอยจับจ้องคนที่อยู่หน้าบ้านอีกครั้ง สิ่งที่เห็นต่อจากนั้นคือหญิงสาวที่ก้าวยาวๆเข้าไปหาชายหนุ่ม อึดใจแรกดูอาการกระฟัดกระเฟียดขัดใจ ก่อนร่างสูงใหญ่คงจะเอ่ยอะไรสักอย่างที่ทำให้ท่าทีนั้นเปลี่ยนไป จากโกรธขึ้งขัดใจกลายเป็นยิ้มสดใสพร้อมขยับเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนม เมื่อนั้นสาวน้อยจึงค่อยๆละม่านลงแผ่วเบา
แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ก็เห็นได้ว่าเจ้าของร่างบางสมส่วนนั้นสวยเพียงไหน
นี่กระมัง...หญิงสาวคนสำคัญ...
ประหลาดแท้ที่หัวใจเกิดหวิวไหว สาวน้อยปล่อยตัวอยู่กับความเงียบกระทั่งได้ยินเสียงรถแล่นออกไปเมื่อนั้นจึงตระหนักได้
วริณสิตาเงยหน้าขึ้นมา ใช่! เธอตั้งใจว่าจะลงไปนอนกับป้าบัวศรีนี่ แล้วจะมายืนนิ่งซึมกระทืออย่างนี้ทำไม สาวน้อยตัดสินใจก้าวถี่ๆไปที่ประตู คว้าลูกบิดเปิดแล้วแทรกกายเบียดออกไปอย่างว่องไว
วริณสิตาผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อกลั้นใจปิดประตูลงให้เบาเสียงได้ที่สุด แต่ทว่า...
“จะไปไหนรึ วริณสิตา?”
………………………….
ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2554, 13:12:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2554, 16:09:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 3252
<< ตอนที่ 11 | ตอนที่ 13 >> |
ปาริน 19 เม.ย. 2554, 13:13:48 น.
วันนี้ไม่ค่อยมีเวลา ขออภัยที่ไม่ได้จัดหน้านะคะ ถ้าว่างเมื่อใดจะมาแก้ไขให้ค่ะ -_-!
วันนี้ไม่ค่อยมีเวลา ขออภัยที่ไม่ได้จัดหน้านะคะ ถ้าว่างเมื่อใดจะมาแก้ไขให้ค่ะ -_-!