กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....
Tags: โรแมนติก..
ตอน: 14.ผมชอบเขาครับพี่ อยู่ใกล้ ๆ แล้วมีความสุขจัง
14.
“อ้าว พี่แสงยังไม่นอนอีกเหรอครับ” สูรย์ร้องทักพี่สาวขณะที่ผลักประตูบ้านเขามาโดยในมือนั้นก็มีของพะรุงพะรังแต่ว่าคนที่นั่งอยู่ก็หาได้คิดจะเข้ามาช่วย
“รอเรานะสิ”
“ถ้าผมไม่กลับ ไม่ต้องรอถึงเช้าหรือ”
“รู้ว่าอย่างไรก็ต้องกลับมาบ้าน”
“ครับ มีอะไรหรือครับ” สูรย์วางของที่ซื้อมาทั้งหมดลงบนโต๊ะมุกที่ตั้งอยู่กลางบ้าน แสงจันทร์อยู่ในชุดนอนกรุยกรายสีชมพูลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
“พี่นารทนอนแล้วเหรอครับ” เขาหมายถึงพี่เขยที่เป็นตำรวจ ซึ่งเขาเองไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่นัก เพราะว่ามีอคติกับคนในอาชีพนี้อยู่แล้ว แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานฤนารทก็ทำให้เขาคลายความไม่ชอบลงได้แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อยากข้องเกี่ยว และอีกอย่างงานของเขาโปรงใสไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนมีสีพวกนี้
“เข้าเวร”
“พี่ก็เลยมาอยู่เฝ้าผมได้ พ่อแม่ละครับ เป็นไงมั่ง”
“นอนกันหมดแล้ว ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย ไปไหนมา”
“ผมนึกว่าพี่รู้แล้วซะอีก” ว่าพลางเขาก็ดึงขนมนมเนยออกมาจากถุงและเขาก็จะต้องเป็นคนนำไปเก็บไว้ในครัว เพราะดึก ๆ อย่างนี้เขาไม่เคยใช้อำนาจรบกวนลูกจ้าง ไม่เคยกดคนเหล่านั้นให้กลายเป็นผู้รับใช้ เพราะพ่อกับแม่สอนเขาเสมอว่า อย่าทำให้เขารู้สึกว่าเขาด้อยค่า ไม่มีความหมาย ให้ทุกคนที่มาอยู่กับเรารู้สึกเป็นญาติพี่น้องที่ต้องช่วยดูแลกัน เขาจึงกลายเป็นคนใจดีของคนในร้านเก่าและร้านใหม่
ในร้านเก่านั้น ก่อนที่จะมีลูกจ้างเต็มร้านอย่างทุกวันนี้ สมัยเด็ก ๆ เขากับพี่แสงจันทร์ต้องช่วยแม่ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ไปซื้อของ ดูแลล้างผัก ล้างเนื้อสัตว์ งานหน้าเขียง งานหน้าเตา จนกระทั่งทำอาหารออกไปรับหน้าลูกค้า
นอกจากนั้นที่หน้าร้าน สองพี่น้องก็จะเก่งเรื่องปฏิสันถารซึ่งเป็นหัวใจของร้าน เพราะถ้าแขกเข้ามาแล้วยิ้มแย้มแจ่มใสให้การเป็นกันเอง ก็จะพากันมาซ้ำหรือแนะนำต่อไป ถ้ามีเรื่องลำบากใจ เขากับพี่สาวมักจะเก็บไว้ในใจได้ดีทีเดียว และอาการมาอ่านนิตยสารนั่งรอแบบนี้และค่อย ๆ ตะล่อม ๆ แบบนี้
เขาคาดว่าอรพิมคงจะต้องรายงานเข้ามาแล้วแน่ ๆ
“ก็พอรู้อยู่บ้างแต่อยากรู้จากปากเรามากกว่า”
“รู้แค่ไหนละครับ”
“ไปเที่ยวทะเลกับเด็กในร้านสองวันทีเดียว” สูรย์นั้นจะไม่ได้กลับบ้านทุกวันเพราะมีห้องนอนที่ด้านหลังร้านซึ่งเชื่อมอยู่กับห้องทำงานของเขาและพอไม่ได้กลับ เขาก็โทรมาบอกบ้างไม่บอกบ้าง จนเป็นรู้กันว่า ถ้าเห็นรถก็คืออยู่บ้าน หรือมีถ้าอะไรพิเศษ ๆ ในครอบครัวก็ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าจะได้เคลียร์งานอื่นให้เสร็จสิ้นไป
และสูรย์ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง งานวันเกิดพ่อแม่พี่สาวหลาน ๆ ครบรอบแต่งงานของพ่อแม่ ครบรอบแต่งานพี่สาว หรือแม้แต่งานฉลองเกรดของหลานเขาก็จะมาร่วมงาน
และเรื่องรักครอบครัวนี้เขาก็เผื่อแผ่ไปถึงครอบครัวของวรรณพรที่มีฐานะด้อยกว่า สูรย์มักจะส่งของกินใส่ปิ่นไปที่บ้านวรรณพรในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่พ่อแม่ของหญิงสาวที่เป็นข้าราชการหยุดทำงาน และพร้อมหน้าพร้อมตากัน และถ้ามีเวลาเขาก็จะไปด้วยตนเอง ไปร่วมโต๊ะด้วย หลังจากนั้นก็จะพาวรรณพรออกไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด และไปไหนมาไหน เขาจะต้องมีของฝากไม่เคยขาดมือ..
“ผมไปกับไอ้ซ้งมันพี่”
“เด็กคนนั้นละ ไปได้อย่างไร”
“เขาไปกับเพื่อน ๆ บังเอิญไปเจอกันที่นั่น ก็เท่านั้นเอง”
“แค่นี้นะเหรอ” ว่าแล้วแสงจันทร์พี่สาวเพียงคนเดียวก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาพอเห็นภาพเขากับกุสุมาที่พระราชวังหัวคิ้วของสูรย์ก็ขมวดเข้าหากัน เพราะนึกไม่ออกว่าใครเป็นถ่าย และภาพหลุดมาถึงมือพี่สาวเขาได้อย่างไร แต่อีกใจเขาก็ยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงตอนที่แอบฉวยโอกาสกับไอ้ม่าของไอ้พวกทโมนโดยที่มันไม่รู้ตัว แต่ว่าไป มันรู้แต่ว่าเวลานั้นมันไม่ได้น่าเกลียด เขาก็ไม่ได้อะไรมากเพียงแต่ว่าขยับเข้าไปประชิดเพื่อให้กลิ่นของกายสาวทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยบ้าง และที่สำคัญอักษรอธิบายภาพก็ตัวเล็กจึงต้องช่วยกันอ่าน ไม่งั้นก็ไม่เข้าใจความเป็นมาของพระราชวังแห่งนั้น
“ยิ้มอะไร”
“เปล่า..”
“ลูกเต้าเหล่าใคร ประวัติเป็นไง” ด้วยลองยิ้มอย่างนี้แสดงว่าลึกซึ้งกันแน่นอน ดังนั้น แสงจันทร์จึงต้องรีบรวบรัดเพราะตนเองก็ง่วงนอนเหมือนกัน
“เอาแบบละเอียดเลยป่ะ เอางี้ดีกว่า พี่รู้มาแค่ไหนดีกว่า แล้วก็พี่ได้ภาพนี้มาจากไหน ผมจะได้ประเมินถูกว่า เขาจะเล่าเรื่องให้พี่ฟังประมาณไหน”
“ความลับ พี่สัญญากับเขาว่าห้ามบอกแหล่งข่าว”
“เรื่องนี้ถึงพ่อกับแม่หรือยัง”
“ยัง รอถามเราก่อน”
พอพี่สาวพูดอย่างนี้เขาก็ยิ้มพลางเอียงคอมองหน้าพี่สาว แสงจันทร์ยิ้มนิด ๆ ทำหน้าฉงนก่อนจะรับโทรศัพท์ของตนคืนมา แต่หลังจากนั้นสูรย์ก็ส่งโทรศัพท์ของเขาที่เปิดโปรแกรมดูภาพไว้แล้วมาให้
พอเห็นใบหน้าขาวในกรอบผมสั้นสีดำ ดวงนั้นนั้นใสแวววาว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนร่าเริง ส่วนคิ้วนั้นเล่าก็เข้มหนาไร้การกันแต่ง แต่ว่าก็ได้รูปรับกับดวงตา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสีชมพู รวมรูปหน้าทั้งหมดแล้วแสงจันทร์ยอมรับว่าเด็กในรูปน่ารัก
แต่ว่าอรพิมบอกกับเธอว่า อีนังเด็กคนนี้จริง ๆ เป็นผู้หญิงแต่ว่าดูเรื่องคอฟฟี้ปริ้น ซีรีย์ดังจากเกาหลีแล้วอิน ก็เลยปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่ว่าปลอมได้ไม่แนบเนียนก็เลยกลายเป็นทอม
และการปลอมตัวมาในครั้งนี้ก็เพื่อจงใจจับสูรย์ซึ่งมีคาแรกเตอร์เหมือนกับพระเอกซีรีย์เรื่องนั้นโดยการรู้เห็นเป็นใจจากทรงฤทธิ์ และเข้ามาทำงานเพียงสัปดาห์เดียวก็สามารถใช้มารยาทำสูรย์ตกหลุมรักได้ แน่นอนว่าร้ายไปกว่านั้นเป็นเพราะสูรย์รวยจึงหวังจับถ่ายเทเงินไปล้างผลาญยกระดับบ้านตัวเองที่อยู่ในสลัมย่านรามอินทรา
แต่พอได้เห็นหน้าตาชัด ๆ แล้ว ความรู้สึกติดลบที่มีต่อเด็กหญิงคนนั้นก็จางลง ยิ่งเห็นใบหน้าของน้องชายที่เคยอมทุกข์เพราะรัก กลับมามีสีชมพูระเรื่อ ดวงตามีแววรื่นรมย์อิ่มสุข แสงจันทร์ก็มั่นใจว่าน้องชายที่แสนดีของตัวเอง คงดูคนเป็น และคงทันคน อย่างแน่นอน ส่วนสตอรี่ของอรพิมนั้น ครุ่นคิดไปมาก็คล้าย ๆ กับนิยายที่อ่านอยู่ในเว็บแห่งหนึ่งซึ่งกำลังจะเปลี่ยนระบบเพื่อให้การใช้งานหน้าเว็บคล่องตัวขึ้น
ZZZZ คุ้น ๆ กันไหม? ZZZZZZZZZZZZZ
“เขาชื่อกุสุมาครับ มีชื่อเล่นว่าไอ้ม่า”
“พอแล้ว..รูปเต็มเครื่องขนาดนี้ พี่พอเดาอะไรออก” ขณะนั้นแสงจันทร์ก็เลื่อนดูรูปอื่น ๆ ไปด้วย และที่ขำก็คือตอนที่หญิงสาวนั่งพับเพียงถ่ายรูปหน้าองค์พระ ท่าทางมันดูประดักประเดิดแต่สูรย์คงบังคับถึงได้มีรูปนี้ติดมาด้วย
“ผมชอบเขาครับพี่ อยู่ใกล้ ๆ แล้วมีความสุขจัง” ตอนนั้นดวงตาของสูรย์ลอย ๆ แสงจันทร์เองก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แต่ว่าก็พลอยเขินไปด้วย
“ผมมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่กับวรรณพรอีกนะครับ แล้วเขาก็ไม่เคยมีแฟนด้วย เพื่อน ๆ เขาพากันยืนยันนั่งยืนนอนยันว่าเขาไม่เคยมีใคร ประคองตัวเป็นสาวมาได้โดยเอาความเป็นผู้ชายช่วยไว้”
ตอนที่กุสุมายังหลับไม่ตื่น เขาเห็นสาว ๆ ตื่นมาเตรียมตั้งเตาหุงข้าว ส่วนผู้ชายกลุ่มหนึ่งก็วิ่งตามกันไปเล่นน้ำทะเล เขาก็เลยเดินเข้าไปชวนคุย ปะเหลาะถามว่า ที่มานี่มีใครเป็นแฟนกุสุมาหรือเปล่า เพราะเมื่อวานเห็นพวกเพื่อน ๆ ล้อเขา เขาก็กลัวว่าจะทำให้กุสุมากับแฟนของเขามีปัญหาตอนที่กลับไป สามสาวที่สวมใส่เสื้อผ้าประหยัดน้ำกับผงซักฟอก ต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไอ้ม่าไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความรัก ไปไหนฮาเฮกันพอได้เวลามันก็กลับบ้าน และก็ไม่เคยไปต่างจังหวัดกับเพื่อนผู้ชายเพียงลำพัง
“แล้วไปถึงไหนกันแล้ว” ไปถึงไหน ในคำถามของแสงจันทร์คือ ล่วงเกินทางเพศกันไปหรือยัง แต่สูรย์ก็ตอบไปอีกทาง
“อีกไม่กี่วันเขาก็จะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียครับ..ไปอยู่กับน้าเขา อาจจะหลังสงกรานต์นี้แหละครับ” เสียงละห้อยละเหี่ยของสูรย์ทำให้ใจของแสงจันทร์ห่อเหี่ยวทันที
“แบบนี้ น้องพี่ก็เลยปลงใจด้วยไม่ได้”
“มีความสุขแค่วันที่เหลืออยู่ก็ยังดีครับ ไม่อยากผูกมัดเขาไว้กับคนแก่ไร้อนาคต”
“ไม่คิดจะให้โอกาสอรพิมเลยเหรอ เขารักสูรย์มากนะ”
“ผมเห็นเขามาตั้งแต่เป็นสาวรุ่น จนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นน้องสาว ผมคิดอะไรกับเขาลึกซึ้งไม่ได้ เห็นหน้าเขาผมก็ยังแสลงใจ บอกตรง ๆ ว่า ใจผมไม่เปิดสำหรับเขาเลยครับ ถ้าต้องแต่งกับเขาเพราะเหงา เพราะเกรงใจพ่อกับแม่ของวรรณพร สู้รอไอ้ม่ากลับมาจากเมืองนอกเสียดีกว่า”
“สรุปว่า ไม่ได้แค่ชอบ แต่เป็นรักแล้วใช่ป่ะ”
สูรย์ไม่ตอบแต่เกาหัวตัวเองพลางครุ่นคิดว่าเขาง่วงนอนหรือเขาอาลัยอาวรณ์ไอ้คนที่เพิ่งลงรถไปกันแน่
“ตื่นมาทำไมแต่เช้าละม่า” แม่บังเอิญที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังจะลงมาเปิดร้านขายของต้องแปลกใจเมื่อเห็นลูกสาวที่กลับมาถึงบ้านเกือบสามทุ่มพร้อมของฝากพะรุงพะรัง ง่วนอยู่ในครัว
“แม่ วันนี้ม่าจะทำข้าวต้มให้กินนะ”
“อะไรนะ” คนเป็นแม่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“จะทำข้าวต้มให้กิน อยากให้ลองชิมประเดิมฝีมือม่าหน่อย” อันที่จริงกุสุมาอยากทำข้าวต้มทะเลแต่ว่าไม่มีกุ้งและปลาหมึก ครั้นจะเล่นมุกใส่แต่เกลือสมุทรพ่อกับแม่คงไม่สนุกด้วย
“แน่ใจนะว่าทำได้”
“สบายมากแม่”
“แล้วทำข้าวต้มอะไร” ผู้เป็นแม่คิดว่าลูกสาวคงทำข้าวต้มกุ้ยเพราะว่าเมื่อวานกุสุมามีปลาหมึกกับกุ้งแห้งติด หอยดองมือมาด้วยพอคุณสูรย์กับทรงฤทธิ์กลับไปแล้วจึงได้รู้ว่า ของฝากทั้งหมดสูรย์เป็นคนซื้อให้
“แม่ไปขายของเถอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วม่าจะเรียกมาชิม” กุสุมาไม่ยอมบอกว่าทำข้าวต้มอะไร และไม่คิดจะปรึกษาแม่ด้วย พอผู้เป็นแม่ลับตาไปแล้ว กุสุมาก็ยืนคนหม้อข้าวที่กำลังเดือดพล่าน พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานไปด้วย
ตอนนั้นข้าวกำลังเดือดสูรย์ก็ยืนคน หลังจากจี๋เอวไปแล้ว กุสุมาก็หันซ้ายหันขวา พอเห็นว่าไม่มีเพื่อน ๆ อยู่ในบริเวณนั้นจริง ๆ ก็เลยขยับไปประชิดจนกระทั่งได้กลิ่นครีมอาบน้ำของเขา กลิ่นก็พอทน แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือไออุ่นที่แผ่รังสีออกมาดึงร่างของเธอให้เข้าประชิดยิ่งขึ้นและเขาเองก็ยืนนิ่ง ๆ อย่างนั้น
แต่เธอแอบสังเกตว่าขนที่แขนของเขาลุกขึ้นมา ตอนนั้นใจมันคิดไปถึงขนตรงที่อื่นให้ใจกิ่วกิ้วไปด้วย แต่ว่าประสบการณ์สานสัมพันธ์กับผู้ชายก็ไม่เคยมี แถมไม่ค่อยได้ดูละครก่อนข่าวหลังข่าวจึงไม่สามารถหามารยาหญิงที่เขาว่ากันว่ามีห้าร้อยเล่มเกวียนมาปลุกอารมณ์เขาได้ แต่ที่ทำ ๆ ไปแล้ว ก็เป็นด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ
ดังนั้นจึงต้องชวนเขาคุยจนกระทั่งเขาเสนอว่า ข้าวต้มหมอนั้นจะเป็นหลักสูตรแรกของโปรแกรมการเรียนรู้การเป็นเชฟมือทอง และอาจารย์กุ๊กสุดหล่อหุ่นน่ากอดให้แน่น ๆ ก็อธิบายด้วยเสียงสั่น ๆ ไปว่า ปกติแล้ว ควรจะเป็นมีน้ำซุปที่ทำจากกระดูกหมู แต่ว่าเมื่อมันหาไม่ได้ ก็ใช้ซุปก้อนที่มีวางขายอยู่ทุกหัวระแหง จนกระทั่งมาตรฐานอาหารไทยอยู่ในซองปรุงสำเร็จทั้งหมด
และข้าวต้มหม้อเมื่อวานก็ต้องพึ่งจับซุปก้อนพวกนั้น หลังจากที่ข้าวสุกแล้ว ก็ตามด้วยสารปรุงรสแบบผงมีอยู่กว่าร้อยยี่ห้อ ตามด้วยน้ำปลา ใกล้ ๆ จะยกหม้อลงหรือปิดไฟก็ใส่กุ้งกับปลาหมึก เพราะอาหารทะเลจะสุกง่าย หลังจากนั้นเขาก็เจียวกระเทียวจนหอมใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยผักชีต้นหอมที่หั่นฝอย แล้วก็ตามด้วยเครื่องปรุงที่แล้วแต่ใครจะชอบ อันได้แก่พริกน้ำส้มสายชู เกี้ยมฉ่าย กระเทียมเจียวที่แบ่งไว้ น้ำตาล พริกป่น และที่สำคัญของข้าวต้มคือต้องมีพริกไทยป่น เคียงอยู่ด้วย
เมื่อวานเวลาเขาหยิบจับอะไรรอบ ๆ ตัวเหมือนจะง่ายแต่วันนี้พอทำเองเข้าจริง ๆ กุสุมารู้สึกว่ามันยุ่งยาก.
และเมื่อมันยุ่งยากเธอก็ต้องหาผู้ช่วย ซึ่งวิธีนี้มันน่าจะดูแนบเนียนจนทำให้เขาไม่รู้สึกว่า เธอก็มีมารยาทอยู่เป็นพะเรอเกวียน
“ตื่นหรือยังเจ้านาย..”
“โทรมาทำไมแต่เช้า”
“วันนี้ ม่าทำข้าวต้มให้แม่กับพ่อลองกินดูอ่ะ ม่าบอกว่าม่าได้ครูดีสอนมา แต่ว่าพอทำจริง ๆ ม่าลืมเมื่อวานหมดเลยอ่ะ ทำอย่างไรดี” ปากพูดไปมือก็ลดความแรงของแก๊สเพราะกลัวข้าวจะเละเสียก่อนที่จะอ้อนคุณครูเสร็จ และเหมือนปลายสายจะเริ่มติดกับดักหัวใจของเธอเข้าแล้ว กุสุมาได้ยินเสียงเขาขยับตัว แต่ก็เดาไม่ออกว่าปลายสายกำลังทำอะไรอยู่
“ม่ารบกวนหรือเปล่าเนี่ย ทำอะไรอยู่”
“นิดหนึ่ง..แต่มีอะไรว่ามา ติดขัดตรงไหน ทำอะไรอยู่รึ” น้ำเสียงของเขาแจ่มชัดขึ้น
“ม่าจะทำข้าวต้มหมู แต่ไม่มีกระดูกหมูกระดูกไก่อะไรหรอก ตอนนี้ต้มข้าวไปแล้ว แต่ม่ามีหมูสับนะ เอาออกมาจากตู้เย็นแล้ว วางอยู่ตรงหน้านี่เอง”
“ข้าวใกล้สุกหรือยัง”
“จะและแล้ว..”
“ใส่หมูลงไป ขยุ้มให้เป็นก้อน ๆเหมือนลูกชิ้น แต่ไม่ต้องเอาจนแน่นหรอก มันจะได้เป็นน้ำซุบไปในตัว”
“ขยุ้ม ๆ ๆ ๆ แล้วโยนใส่ไปเลยใช่ป่ะ..อุ้ย ร้อน ๆ ๆ แสบ”
“กระเด็นมาถูกแขนสิท่า เบาแก๊สหน่อย แล้วนี่ใส่ข้าวไปเยอะไหม อันที่จริงใช้ข้าวเย็นทำก็ได้นะ เมื่อวานไม่มีข้าวเย็นมีข้าวสารก็เลยต้องเคี่ยวนานหน่อย..”
“สามแก้ว”
“ฮะ สามแก้ว ..กินกันกี่คน”
“สามคนครับ”
“หม้อเบอร์อะไร”
“ตอนนี้มันแน่นหม้อแล้วอ่ะ ใส่หมูลงไปก็จะล้นแล้ว”
“รีบเปลี่ยนหม้อข้าวเลย แล้วนี่ใช้โทรศัพท์แบบไหน ใช้หูฟังหรือเปล่า”
“ใช้”
“งั้นปิดแก๊สก่อนเลย หาหม้อเบอร์ใหญ่มา เปลี่ยนหม้อเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่รู้หรือไงว่าข้าวต้มกับข้าวสวยมันใช้ข้าวปริมาณไม่เท่ากัน”
“ก็ม่าไม่รู้นี่ เคยทำอะไรเสียที่ไหนละ..”
“แล้วนึกอย่างไรตื่นมาทำ..”
“ก็..ไหน ๆ วันนี้ก็จะเริ่มทำอาหารให้คนอื่นกินแล้ว ก็น่าจะเริ่มต้นที่พ่อกับแม่ที่บ้านก่อนก็แค่นั้นเอง”
จริง ๆ มันก็ทำ ต้ม ผัด แกง ทอด ยำ พอกล้อมแกล้มไปได้ เสียแต่ว่าขี้เกียจและแม่ก็ไม่ค่อยได้ใช้ มันก็เลยไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่พอเขายิงคำถามมาแบบนี้ก็เลยต้อง ทำเหมือนไร้เดียงสาสักหน่อย และเขาก็บ่น ๆ สอน ๆ อะไรต่อมิอะไรอีกหลายขั้นตอน กุสุมาก็ได้แต่ฮะ ๆ รับทราบครับ ปฏิบัติครับ จนกระทั่งข้าวต้มหม้อนั้นถูกตั้งชื่อใจไว้ในใจของกุสุมาว่า
‘ข้าวต้มสื่อรักซ่อนมารยา’
“คุยกับใครนะโทรศัพท์ติดหูเลย” ธัญรัตน์ที่กำลังดูสินค้าของตัวเองในช็อปเอ่ยปากถามตุ๊ดซี่เมื่อเห็นสูรย์เดินชมสวนข้าง ๆ ร้านโดยที่มีโทรศัพท์แนบหูอยู่ด้วย และที่ทำให้ธัญรัตน์รู้สึกหมั่นไส้ก็คือใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยสีแห่งความสุขของเขา บ่งบอกให้รู้ว่า ปลายสายจะต้องเป็นคนสำคัญแน่ ๆ
“จะไปรู้หรือฮะก็ยืนอยู่ด้วยกัน..จ๊าย” พูดไม่ทันขาดคำ ธัญรัตน์บิดเนื้อแม่ผู้หญิงพิเศษเข้าให้
“ไม่ได้ไม่ดีก็มาระบายที่ตุ๊ดซี่นี่แหละ..”
“อีม่ามันมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ แต่ได้ยินมาว่า มันไม่ต้องเป็นเด็กเสิร์ฟแล้ว วันนี้มันจะมาเริ่มงานในครัว”
“ปกติในครัวเขาเริ่มงานกันแต่เช้า แล้วทำไมมันยังไม่มาอีก”
“จะไปรู้มันเหรอคะ...จ๊าย เจ็บ นะ..เนื้อเขียวหมดแล้ว”
“สำบัดสำนวนเหลือเกิน เดี๋ยวก็ให้กลับไปอยู่ที่ร้านเสียนี่”
“แล้วใครจะสืบเรื่องให้เจ๊”
“แล้วได้เรื่องมั่งไหมละ อีม่ามันจะคาบไปกินแล้ว”
“ฮึ ..เจ๊เคยได้ยินไหม สำนวนที่ว่า สร้างความร้าวฉานคืองานของเรา..ตราบใดที่เขายังไม่ได้แต่งงานกัน ตราบนั้นอนาคตก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง”
“หล่อนจะทำอย่างไร”
อันที่จริงตุ๊ดซี่จะต้องหันซ้ายหันขวาแล้วก็กระซิบที่หูของธัญรัตน์แล้วก็พยักหน้ารับรู้กันแค่สองคนแต่ว่าครั้งนี้ตุ๊ดซี่ก็พูดสั้น ๆ ว่า “ยังไม่รู้เลย”
“โธ่..อารมณ์เสีย”
“ยี่หระอะไร ปล่อย ๆ เขาไปเถอะ” หนทางนี้น่าจะดีสำหรับคนที่เขาไม่รักและตุ๊ดซี่เองก็ไม่ต้องมาเหนื่อยกับงานที่ไม่ได้เงินนั้นด้วย
“ก็อยากจะปล่อยอยู่ แต่ว่า ยังไม่มีคนใหม่” ธัญรัตน์กล้าที่จะพูดอะไรลึก ๆ กับตุ๊ดซี่เท่านั้น หากกิ๊บซี่อยู่ด้วย ก็จะทำตัวห่างเหินกับลูกน้องแบ่งแยกนิดหนึ่ง แต่กับตุ๊ดซี่ธัญรัตน์รู้สึกไว้วางใจพอที่จะพูดทีเล่นทีจริงได้
“ไม่มีคนใหม่หรือยังเช็คประวัติไม่ละเอียดกันแน่ สายตุ๊ดซี่รายงานมาว่า มีหนุ่มใหญ่มาเฝ้าที่ร้านอีกคนหนึ่งแล้ว ใครเหรอคะ”
“ถ้าแกรู้ขนาดนี้ แกคงรู้เท่าที่ฉันรู้แล้วแหละ ถามได้”
“ศุภกฤช อัศวโพธิสมบัติ รูปงามก็งามนามก็เพราะ แถมเป็นเจ้าของร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า”
“รู้ละเอียดดีนี่..”
“แต่เป้าไม่เลิศเท่าคุณซ้ง”
“อีบ้า พูดมาได้ ฉันเป็นสาวนะยะ”
“เดี๋ยวจะติดต่อคุณซ้งให้นังกิ๊บซี่มันแล้ว ไม่อยากให้มันดักดานอยู่กับวิชาญ ไหน ๆ เจ๊ก็ไม่เอาแน่นอนแล้ว อีกอย่างนังกิ๊บซี่มันก็เห็นเป้าตุงเค้ามาแล้วด้วย” ตุ๊ดซี่พูดลอย ๆ ทำเหมือนพึมพำคนเดียว
“วัน ๆ คิดแต่จะจับคู่ให้คนอื่น ถึงว่ายอดขายขนมตกฮวบ ไม่ไปเชียร์ลูกค้าให้ฉันเลยสิ”
เชียร์ก็คือเมื่อเห็นว่าโต๊ะไหนใกล้จะรับประทานอาหารคาวหมดตุ๊ดซี่ก็จะเดินไปพร้อมกับเมนูของหวาน กล่าวสวัสดีหลังจากวางเมนูลงไปแล้วเจ้าหล่อนก็จะยืนวางท่าสาวงามผู้เข้าประกวดรอการประกาศผล จากนั้นก็แนะนำตัวเอง แนะนำTanya bakery shop แล้วก็แนะนำสินค้าแสนอร่อยลิ้น..และอาศัยช่วงที่ลูกค้าตกตะลึงกับความงามผสมกับวาทศิลป์ เจ้าหล่อนก็ปิดการขายโดยการขออนุญาตเขียนบิลแล้วรีบเดินกลับไปนำขนมมาบริการ และการบริการพิเศษของตุ๊ดซี่ก็เรียกทิปมาได้ระดับหนึ่ง
ดังนั้นทุก ๆ วันกิ๊บซี่กับตุ๊ดซี่ก็จะได้หารทิปรวมเหมือนเช่นพนักงานเสิร์ฟซึ่งเป็นคนงานโดยตรงของร้านด้วย
“ปรักปรำแล้ว ..ตกที่ไหน ฝีมือเจ๊นั่นแหละตกหรือเปล่า ขนมไม่อร่อยก็มาโทษเรา..จ๊าย เจ็บนะเดี๊ยะ!!”
“ไหนคุณสูรย์ว่าวันนี้ไอ้ม่าจะเข้ามาอยู่ในครัวแล้ว ไม่เห็นมันสักที” กั๊กเอ่ยปากถามเพื่อนร่วมงานนับสิบคนขึ้นมาลอย ๆ และก็คำตอบจากคนที่กำลังเตรียมของหน้าเตาว่า
“ยังไม่ตื่นเลยมั้ง”
“ได้ข่าวเมื่อมันไปทะเลกับคุณสูรย์” คนกำลังหั่นแล่เนื้อหมูร่วมสนทนาด้วย
“ข่าวจากไหน” กั๊กยังข้องใจ
“ตุ๊ดซี่”
“หารสองหารสี่นะอีนี่ปากเป็น” กั๊กนั้นก็เป็นผู้ชายปากจัดคนหนึ่ง ถ้าออกไปหน้าร้านเป็นต้องมีเรื่องต่อล้อต่อเถียงกับตุ๊ดซี่ และตุ๊ดซี่ก็ชอบเอากั๊กคนที่เมียเพิ่งหนีไปชายชู้ว่า
‘เก่งแต่ในครัวละซิ บนเตียงไม่ได้เรื่อง เมียก็เลยหนี’ กั๊กก็เลยไม่ชอบตุ๊ดซี่และถ้ามีใครเอ่ยถึง เขาจะต้องพูดขัดให้เสียเรื่องอย่างนี้ตลอดเวลา
“แต่ข่าวนี้เชื่อได้ไหมละ คุณสูรย์ไปทะเล แล้วไอ้ม่ามันก็หายไปด้วย” สูรย์ไปทะเลเพราะมีของกินติดมือมาวางไว้ตรงกองกลางสำหรับพนักงานด้วย และของแห้งประดามีที่เพิ่งเก็บเข้าสโตร์ไปก็ฟ้องอยู่
ถ้าไม่ติดว่า ป้าส้มลิ้มอยู่ในครัวด้วย ต่างก็คงจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กันได้สนุกปากกว่านี้ แต่ถึงกระนั้น ไม่กี่ประโยคป้าส้มลิ้มก็มีเสลดติดคอเสียแล้ว วงสนทนายามเช้าจึงเป็นเรื่องข่าวโทรทัศน์ที่ติดไว้บนผนังให้พนักงานในครัวได้มีเรื่องอื่นคิดและพูดถึงกันแทนเรื่องเจ้าของร้าน
ส้มลิ้มนั้นยืนนิ่ง ครุ่นคิดว่า เขาจะจัดการอย่างไรกับนังเด็กคนนั้น แรกทีเดียวก็รู้สึกชื่นชอบมัน แต่ฟังจากอรพิมแล้วมันก็ร้ายใช่เล่น ยิ่งเมื่อวานตอนเย็นอรพิมเข้ามาอีกรอบพร้อมกับรูปถ่ายยืนยันว่ามันใกล้ชิดกับสูรย์ถึงขนาดนั้น
ส้มลิ้มก็นึกอยากจะโทรไปคุยกับทองสุขและสรรเสริญแม่กับพ่อของสูรย์เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ว่าเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ น่าจะช่วยตัดไฟเสียแต่ตรงนี้ และเวลาไม่กี่วันนี้ นางน่าจะทำให้อีนังเด็กผู้มากมารยาสาไถนั่นได้รับรู้ว่า ตัวเองหาได้มีค่าคู่ควรกับคุณสูรย์มีจิตใจดีงามแหละหล่อเหลาราวเทพบุตร
“อ้าว พี่แสงยังไม่นอนอีกเหรอครับ” สูรย์ร้องทักพี่สาวขณะที่ผลักประตูบ้านเขามาโดยในมือนั้นก็มีของพะรุงพะรังแต่ว่าคนที่นั่งอยู่ก็หาได้คิดจะเข้ามาช่วย
“รอเรานะสิ”
“ถ้าผมไม่กลับ ไม่ต้องรอถึงเช้าหรือ”
“รู้ว่าอย่างไรก็ต้องกลับมาบ้าน”
“ครับ มีอะไรหรือครับ” สูรย์วางของที่ซื้อมาทั้งหมดลงบนโต๊ะมุกที่ตั้งอยู่กลางบ้าน แสงจันทร์อยู่ในชุดนอนกรุยกรายสีชมพูลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
“พี่นารทนอนแล้วเหรอครับ” เขาหมายถึงพี่เขยที่เป็นตำรวจ ซึ่งเขาเองไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่นัก เพราะว่ามีอคติกับคนในอาชีพนี้อยู่แล้ว แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานฤนารทก็ทำให้เขาคลายความไม่ชอบลงได้แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อยากข้องเกี่ยว และอีกอย่างงานของเขาโปรงใสไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนมีสีพวกนี้
“เข้าเวร”
“พี่ก็เลยมาอยู่เฝ้าผมได้ พ่อแม่ละครับ เป็นไงมั่ง”
“นอนกันหมดแล้ว ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย ไปไหนมา”
“ผมนึกว่าพี่รู้แล้วซะอีก” ว่าพลางเขาก็ดึงขนมนมเนยออกมาจากถุงและเขาก็จะต้องเป็นคนนำไปเก็บไว้ในครัว เพราะดึก ๆ อย่างนี้เขาไม่เคยใช้อำนาจรบกวนลูกจ้าง ไม่เคยกดคนเหล่านั้นให้กลายเป็นผู้รับใช้ เพราะพ่อกับแม่สอนเขาเสมอว่า อย่าทำให้เขารู้สึกว่าเขาด้อยค่า ไม่มีความหมาย ให้ทุกคนที่มาอยู่กับเรารู้สึกเป็นญาติพี่น้องที่ต้องช่วยดูแลกัน เขาจึงกลายเป็นคนใจดีของคนในร้านเก่าและร้านใหม่
ในร้านเก่านั้น ก่อนที่จะมีลูกจ้างเต็มร้านอย่างทุกวันนี้ สมัยเด็ก ๆ เขากับพี่แสงจันทร์ต้องช่วยแม่ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ไปซื้อของ ดูแลล้างผัก ล้างเนื้อสัตว์ งานหน้าเขียง งานหน้าเตา จนกระทั่งทำอาหารออกไปรับหน้าลูกค้า
นอกจากนั้นที่หน้าร้าน สองพี่น้องก็จะเก่งเรื่องปฏิสันถารซึ่งเป็นหัวใจของร้าน เพราะถ้าแขกเข้ามาแล้วยิ้มแย้มแจ่มใสให้การเป็นกันเอง ก็จะพากันมาซ้ำหรือแนะนำต่อไป ถ้ามีเรื่องลำบากใจ เขากับพี่สาวมักจะเก็บไว้ในใจได้ดีทีเดียว และอาการมาอ่านนิตยสารนั่งรอแบบนี้และค่อย ๆ ตะล่อม ๆ แบบนี้
เขาคาดว่าอรพิมคงจะต้องรายงานเข้ามาแล้วแน่ ๆ
“ก็พอรู้อยู่บ้างแต่อยากรู้จากปากเรามากกว่า”
“รู้แค่ไหนละครับ”
“ไปเที่ยวทะเลกับเด็กในร้านสองวันทีเดียว” สูรย์นั้นจะไม่ได้กลับบ้านทุกวันเพราะมีห้องนอนที่ด้านหลังร้านซึ่งเชื่อมอยู่กับห้องทำงานของเขาและพอไม่ได้กลับ เขาก็โทรมาบอกบ้างไม่บอกบ้าง จนเป็นรู้กันว่า ถ้าเห็นรถก็คืออยู่บ้าน หรือมีถ้าอะไรพิเศษ ๆ ในครอบครัวก็ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าจะได้เคลียร์งานอื่นให้เสร็จสิ้นไป
และสูรย์ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง งานวันเกิดพ่อแม่พี่สาวหลาน ๆ ครบรอบแต่งงานของพ่อแม่ ครบรอบแต่งานพี่สาว หรือแม้แต่งานฉลองเกรดของหลานเขาก็จะมาร่วมงาน
และเรื่องรักครอบครัวนี้เขาก็เผื่อแผ่ไปถึงครอบครัวของวรรณพรที่มีฐานะด้อยกว่า สูรย์มักจะส่งของกินใส่ปิ่นไปที่บ้านวรรณพรในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่พ่อแม่ของหญิงสาวที่เป็นข้าราชการหยุดทำงาน และพร้อมหน้าพร้อมตากัน และถ้ามีเวลาเขาก็จะไปด้วยตนเอง ไปร่วมโต๊ะด้วย หลังจากนั้นก็จะพาวรรณพรออกไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด และไปไหนมาไหน เขาจะต้องมีของฝากไม่เคยขาดมือ..
“ผมไปกับไอ้ซ้งมันพี่”
“เด็กคนนั้นละ ไปได้อย่างไร”
“เขาไปกับเพื่อน ๆ บังเอิญไปเจอกันที่นั่น ก็เท่านั้นเอง”
“แค่นี้นะเหรอ” ว่าแล้วแสงจันทร์พี่สาวเพียงคนเดียวก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาพอเห็นภาพเขากับกุสุมาที่พระราชวังหัวคิ้วของสูรย์ก็ขมวดเข้าหากัน เพราะนึกไม่ออกว่าใครเป็นถ่าย และภาพหลุดมาถึงมือพี่สาวเขาได้อย่างไร แต่อีกใจเขาก็ยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงตอนที่แอบฉวยโอกาสกับไอ้ม่าของไอ้พวกทโมนโดยที่มันไม่รู้ตัว แต่ว่าไป มันรู้แต่ว่าเวลานั้นมันไม่ได้น่าเกลียด เขาก็ไม่ได้อะไรมากเพียงแต่ว่าขยับเข้าไปประชิดเพื่อให้กลิ่นของกายสาวทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยบ้าง และที่สำคัญอักษรอธิบายภาพก็ตัวเล็กจึงต้องช่วยกันอ่าน ไม่งั้นก็ไม่เข้าใจความเป็นมาของพระราชวังแห่งนั้น
“ยิ้มอะไร”
“เปล่า..”
“ลูกเต้าเหล่าใคร ประวัติเป็นไง” ด้วยลองยิ้มอย่างนี้แสดงว่าลึกซึ้งกันแน่นอน ดังนั้น แสงจันทร์จึงต้องรีบรวบรัดเพราะตนเองก็ง่วงนอนเหมือนกัน
“เอาแบบละเอียดเลยป่ะ เอางี้ดีกว่า พี่รู้มาแค่ไหนดีกว่า แล้วก็พี่ได้ภาพนี้มาจากไหน ผมจะได้ประเมินถูกว่า เขาจะเล่าเรื่องให้พี่ฟังประมาณไหน”
“ความลับ พี่สัญญากับเขาว่าห้ามบอกแหล่งข่าว”
“เรื่องนี้ถึงพ่อกับแม่หรือยัง”
“ยัง รอถามเราก่อน”
พอพี่สาวพูดอย่างนี้เขาก็ยิ้มพลางเอียงคอมองหน้าพี่สาว แสงจันทร์ยิ้มนิด ๆ ทำหน้าฉงนก่อนจะรับโทรศัพท์ของตนคืนมา แต่หลังจากนั้นสูรย์ก็ส่งโทรศัพท์ของเขาที่เปิดโปรแกรมดูภาพไว้แล้วมาให้
พอเห็นใบหน้าขาวในกรอบผมสั้นสีดำ ดวงนั้นนั้นใสแวววาว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนร่าเริง ส่วนคิ้วนั้นเล่าก็เข้มหนาไร้การกันแต่ง แต่ว่าก็ได้รูปรับกับดวงตา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสีชมพู รวมรูปหน้าทั้งหมดแล้วแสงจันทร์ยอมรับว่าเด็กในรูปน่ารัก
แต่ว่าอรพิมบอกกับเธอว่า อีนังเด็กคนนี้จริง ๆ เป็นผู้หญิงแต่ว่าดูเรื่องคอฟฟี้ปริ้น ซีรีย์ดังจากเกาหลีแล้วอิน ก็เลยปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่ว่าปลอมได้ไม่แนบเนียนก็เลยกลายเป็นทอม
และการปลอมตัวมาในครั้งนี้ก็เพื่อจงใจจับสูรย์ซึ่งมีคาแรกเตอร์เหมือนกับพระเอกซีรีย์เรื่องนั้นโดยการรู้เห็นเป็นใจจากทรงฤทธิ์ และเข้ามาทำงานเพียงสัปดาห์เดียวก็สามารถใช้มารยาทำสูรย์ตกหลุมรักได้ แน่นอนว่าร้ายไปกว่านั้นเป็นเพราะสูรย์รวยจึงหวังจับถ่ายเทเงินไปล้างผลาญยกระดับบ้านตัวเองที่อยู่ในสลัมย่านรามอินทรา
แต่พอได้เห็นหน้าตาชัด ๆ แล้ว ความรู้สึกติดลบที่มีต่อเด็กหญิงคนนั้นก็จางลง ยิ่งเห็นใบหน้าของน้องชายที่เคยอมทุกข์เพราะรัก กลับมามีสีชมพูระเรื่อ ดวงตามีแววรื่นรมย์อิ่มสุข แสงจันทร์ก็มั่นใจว่าน้องชายที่แสนดีของตัวเอง คงดูคนเป็น และคงทันคน อย่างแน่นอน ส่วนสตอรี่ของอรพิมนั้น ครุ่นคิดไปมาก็คล้าย ๆ กับนิยายที่อ่านอยู่ในเว็บแห่งหนึ่งซึ่งกำลังจะเปลี่ยนระบบเพื่อให้การใช้งานหน้าเว็บคล่องตัวขึ้น
ZZZZ คุ้น ๆ กันไหม? ZZZZZZZZZZZZZ
“เขาชื่อกุสุมาครับ มีชื่อเล่นว่าไอ้ม่า”
“พอแล้ว..รูปเต็มเครื่องขนาดนี้ พี่พอเดาอะไรออก” ขณะนั้นแสงจันทร์ก็เลื่อนดูรูปอื่น ๆ ไปด้วย และที่ขำก็คือตอนที่หญิงสาวนั่งพับเพียงถ่ายรูปหน้าองค์พระ ท่าทางมันดูประดักประเดิดแต่สูรย์คงบังคับถึงได้มีรูปนี้ติดมาด้วย
“ผมชอบเขาครับพี่ อยู่ใกล้ ๆ แล้วมีความสุขจัง” ตอนนั้นดวงตาของสูรย์ลอย ๆ แสงจันทร์เองก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แต่ว่าก็พลอยเขินไปด้วย
“ผมมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่กับวรรณพรอีกนะครับ แล้วเขาก็ไม่เคยมีแฟนด้วย เพื่อน ๆ เขาพากันยืนยันนั่งยืนนอนยันว่าเขาไม่เคยมีใคร ประคองตัวเป็นสาวมาได้โดยเอาความเป็นผู้ชายช่วยไว้”
ตอนที่กุสุมายังหลับไม่ตื่น เขาเห็นสาว ๆ ตื่นมาเตรียมตั้งเตาหุงข้าว ส่วนผู้ชายกลุ่มหนึ่งก็วิ่งตามกันไปเล่นน้ำทะเล เขาก็เลยเดินเข้าไปชวนคุย ปะเหลาะถามว่า ที่มานี่มีใครเป็นแฟนกุสุมาหรือเปล่า เพราะเมื่อวานเห็นพวกเพื่อน ๆ ล้อเขา เขาก็กลัวว่าจะทำให้กุสุมากับแฟนของเขามีปัญหาตอนที่กลับไป สามสาวที่สวมใส่เสื้อผ้าประหยัดน้ำกับผงซักฟอก ต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไอ้ม่าไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความรัก ไปไหนฮาเฮกันพอได้เวลามันก็กลับบ้าน และก็ไม่เคยไปต่างจังหวัดกับเพื่อนผู้ชายเพียงลำพัง
“แล้วไปถึงไหนกันแล้ว” ไปถึงไหน ในคำถามของแสงจันทร์คือ ล่วงเกินทางเพศกันไปหรือยัง แต่สูรย์ก็ตอบไปอีกทาง
“อีกไม่กี่วันเขาก็จะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียครับ..ไปอยู่กับน้าเขา อาจจะหลังสงกรานต์นี้แหละครับ” เสียงละห้อยละเหี่ยของสูรย์ทำให้ใจของแสงจันทร์ห่อเหี่ยวทันที
“แบบนี้ น้องพี่ก็เลยปลงใจด้วยไม่ได้”
“มีความสุขแค่วันที่เหลืออยู่ก็ยังดีครับ ไม่อยากผูกมัดเขาไว้กับคนแก่ไร้อนาคต”
“ไม่คิดจะให้โอกาสอรพิมเลยเหรอ เขารักสูรย์มากนะ”
“ผมเห็นเขามาตั้งแต่เป็นสาวรุ่น จนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นน้องสาว ผมคิดอะไรกับเขาลึกซึ้งไม่ได้ เห็นหน้าเขาผมก็ยังแสลงใจ บอกตรง ๆ ว่า ใจผมไม่เปิดสำหรับเขาเลยครับ ถ้าต้องแต่งกับเขาเพราะเหงา เพราะเกรงใจพ่อกับแม่ของวรรณพร สู้รอไอ้ม่ากลับมาจากเมืองนอกเสียดีกว่า”
“สรุปว่า ไม่ได้แค่ชอบ แต่เป็นรักแล้วใช่ป่ะ”
สูรย์ไม่ตอบแต่เกาหัวตัวเองพลางครุ่นคิดว่าเขาง่วงนอนหรือเขาอาลัยอาวรณ์ไอ้คนที่เพิ่งลงรถไปกันแน่
“ตื่นมาทำไมแต่เช้าละม่า” แม่บังเอิญที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังจะลงมาเปิดร้านขายของต้องแปลกใจเมื่อเห็นลูกสาวที่กลับมาถึงบ้านเกือบสามทุ่มพร้อมของฝากพะรุงพะรัง ง่วนอยู่ในครัว
“แม่ วันนี้ม่าจะทำข้าวต้มให้กินนะ”
“อะไรนะ” คนเป็นแม่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“จะทำข้าวต้มให้กิน อยากให้ลองชิมประเดิมฝีมือม่าหน่อย” อันที่จริงกุสุมาอยากทำข้าวต้มทะเลแต่ว่าไม่มีกุ้งและปลาหมึก ครั้นจะเล่นมุกใส่แต่เกลือสมุทรพ่อกับแม่คงไม่สนุกด้วย
“แน่ใจนะว่าทำได้”
“สบายมากแม่”
“แล้วทำข้าวต้มอะไร” ผู้เป็นแม่คิดว่าลูกสาวคงทำข้าวต้มกุ้ยเพราะว่าเมื่อวานกุสุมามีปลาหมึกกับกุ้งแห้งติด หอยดองมือมาด้วยพอคุณสูรย์กับทรงฤทธิ์กลับไปแล้วจึงได้รู้ว่า ของฝากทั้งหมดสูรย์เป็นคนซื้อให้
“แม่ไปขายของเถอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วม่าจะเรียกมาชิม” กุสุมาไม่ยอมบอกว่าทำข้าวต้มอะไร และไม่คิดจะปรึกษาแม่ด้วย พอผู้เป็นแม่ลับตาไปแล้ว กุสุมาก็ยืนคนหม้อข้าวที่กำลังเดือดพล่าน พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานไปด้วย
ตอนนั้นข้าวกำลังเดือดสูรย์ก็ยืนคน หลังจากจี๋เอวไปแล้ว กุสุมาก็หันซ้ายหันขวา พอเห็นว่าไม่มีเพื่อน ๆ อยู่ในบริเวณนั้นจริง ๆ ก็เลยขยับไปประชิดจนกระทั่งได้กลิ่นครีมอาบน้ำของเขา กลิ่นก็พอทน แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือไออุ่นที่แผ่รังสีออกมาดึงร่างของเธอให้เข้าประชิดยิ่งขึ้นและเขาเองก็ยืนนิ่ง ๆ อย่างนั้น
แต่เธอแอบสังเกตว่าขนที่แขนของเขาลุกขึ้นมา ตอนนั้นใจมันคิดไปถึงขนตรงที่อื่นให้ใจกิ่วกิ้วไปด้วย แต่ว่าประสบการณ์สานสัมพันธ์กับผู้ชายก็ไม่เคยมี แถมไม่ค่อยได้ดูละครก่อนข่าวหลังข่าวจึงไม่สามารถหามารยาหญิงที่เขาว่ากันว่ามีห้าร้อยเล่มเกวียนมาปลุกอารมณ์เขาได้ แต่ที่ทำ ๆ ไปแล้ว ก็เป็นด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ
ดังนั้นจึงต้องชวนเขาคุยจนกระทั่งเขาเสนอว่า ข้าวต้มหมอนั้นจะเป็นหลักสูตรแรกของโปรแกรมการเรียนรู้การเป็นเชฟมือทอง และอาจารย์กุ๊กสุดหล่อหุ่นน่ากอดให้แน่น ๆ ก็อธิบายด้วยเสียงสั่น ๆ ไปว่า ปกติแล้ว ควรจะเป็นมีน้ำซุปที่ทำจากกระดูกหมู แต่ว่าเมื่อมันหาไม่ได้ ก็ใช้ซุปก้อนที่มีวางขายอยู่ทุกหัวระแหง จนกระทั่งมาตรฐานอาหารไทยอยู่ในซองปรุงสำเร็จทั้งหมด
และข้าวต้มหม้อเมื่อวานก็ต้องพึ่งจับซุปก้อนพวกนั้น หลังจากที่ข้าวสุกแล้ว ก็ตามด้วยสารปรุงรสแบบผงมีอยู่กว่าร้อยยี่ห้อ ตามด้วยน้ำปลา ใกล้ ๆ จะยกหม้อลงหรือปิดไฟก็ใส่กุ้งกับปลาหมึก เพราะอาหารทะเลจะสุกง่าย หลังจากนั้นเขาก็เจียวกระเทียวจนหอมใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยผักชีต้นหอมที่หั่นฝอย แล้วก็ตามด้วยเครื่องปรุงที่แล้วแต่ใครจะชอบ อันได้แก่พริกน้ำส้มสายชู เกี้ยมฉ่าย กระเทียมเจียวที่แบ่งไว้ น้ำตาล พริกป่น และที่สำคัญของข้าวต้มคือต้องมีพริกไทยป่น เคียงอยู่ด้วย
เมื่อวานเวลาเขาหยิบจับอะไรรอบ ๆ ตัวเหมือนจะง่ายแต่วันนี้พอทำเองเข้าจริง ๆ กุสุมารู้สึกว่ามันยุ่งยาก.
และเมื่อมันยุ่งยากเธอก็ต้องหาผู้ช่วย ซึ่งวิธีนี้มันน่าจะดูแนบเนียนจนทำให้เขาไม่รู้สึกว่า เธอก็มีมารยาทอยู่เป็นพะเรอเกวียน
“ตื่นหรือยังเจ้านาย..”
“โทรมาทำไมแต่เช้า”
“วันนี้ ม่าทำข้าวต้มให้แม่กับพ่อลองกินดูอ่ะ ม่าบอกว่าม่าได้ครูดีสอนมา แต่ว่าพอทำจริง ๆ ม่าลืมเมื่อวานหมดเลยอ่ะ ทำอย่างไรดี” ปากพูดไปมือก็ลดความแรงของแก๊สเพราะกลัวข้าวจะเละเสียก่อนที่จะอ้อนคุณครูเสร็จ และเหมือนปลายสายจะเริ่มติดกับดักหัวใจของเธอเข้าแล้ว กุสุมาได้ยินเสียงเขาขยับตัว แต่ก็เดาไม่ออกว่าปลายสายกำลังทำอะไรอยู่
“ม่ารบกวนหรือเปล่าเนี่ย ทำอะไรอยู่”
“นิดหนึ่ง..แต่มีอะไรว่ามา ติดขัดตรงไหน ทำอะไรอยู่รึ” น้ำเสียงของเขาแจ่มชัดขึ้น
“ม่าจะทำข้าวต้มหมู แต่ไม่มีกระดูกหมูกระดูกไก่อะไรหรอก ตอนนี้ต้มข้าวไปแล้ว แต่ม่ามีหมูสับนะ เอาออกมาจากตู้เย็นแล้ว วางอยู่ตรงหน้านี่เอง”
“ข้าวใกล้สุกหรือยัง”
“จะและแล้ว..”
“ใส่หมูลงไป ขยุ้มให้เป็นก้อน ๆเหมือนลูกชิ้น แต่ไม่ต้องเอาจนแน่นหรอก มันจะได้เป็นน้ำซุบไปในตัว”
“ขยุ้ม ๆ ๆ ๆ แล้วโยนใส่ไปเลยใช่ป่ะ..อุ้ย ร้อน ๆ ๆ แสบ”
“กระเด็นมาถูกแขนสิท่า เบาแก๊สหน่อย แล้วนี่ใส่ข้าวไปเยอะไหม อันที่จริงใช้ข้าวเย็นทำก็ได้นะ เมื่อวานไม่มีข้าวเย็นมีข้าวสารก็เลยต้องเคี่ยวนานหน่อย..”
“สามแก้ว”
“ฮะ สามแก้ว ..กินกันกี่คน”
“สามคนครับ”
“หม้อเบอร์อะไร”
“ตอนนี้มันแน่นหม้อแล้วอ่ะ ใส่หมูลงไปก็จะล้นแล้ว”
“รีบเปลี่ยนหม้อข้าวเลย แล้วนี่ใช้โทรศัพท์แบบไหน ใช้หูฟังหรือเปล่า”
“ใช้”
“งั้นปิดแก๊สก่อนเลย หาหม้อเบอร์ใหญ่มา เปลี่ยนหม้อเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่รู้หรือไงว่าข้าวต้มกับข้าวสวยมันใช้ข้าวปริมาณไม่เท่ากัน”
“ก็ม่าไม่รู้นี่ เคยทำอะไรเสียที่ไหนละ..”
“แล้วนึกอย่างไรตื่นมาทำ..”
“ก็..ไหน ๆ วันนี้ก็จะเริ่มทำอาหารให้คนอื่นกินแล้ว ก็น่าจะเริ่มต้นที่พ่อกับแม่ที่บ้านก่อนก็แค่นั้นเอง”
จริง ๆ มันก็ทำ ต้ม ผัด แกง ทอด ยำ พอกล้อมแกล้มไปได้ เสียแต่ว่าขี้เกียจและแม่ก็ไม่ค่อยได้ใช้ มันก็เลยไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่พอเขายิงคำถามมาแบบนี้ก็เลยต้อง ทำเหมือนไร้เดียงสาสักหน่อย และเขาก็บ่น ๆ สอน ๆ อะไรต่อมิอะไรอีกหลายขั้นตอน กุสุมาก็ได้แต่ฮะ ๆ รับทราบครับ ปฏิบัติครับ จนกระทั่งข้าวต้มหม้อนั้นถูกตั้งชื่อใจไว้ในใจของกุสุมาว่า
‘ข้าวต้มสื่อรักซ่อนมารยา’
“คุยกับใครนะโทรศัพท์ติดหูเลย” ธัญรัตน์ที่กำลังดูสินค้าของตัวเองในช็อปเอ่ยปากถามตุ๊ดซี่เมื่อเห็นสูรย์เดินชมสวนข้าง ๆ ร้านโดยที่มีโทรศัพท์แนบหูอยู่ด้วย และที่ทำให้ธัญรัตน์รู้สึกหมั่นไส้ก็คือใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยสีแห่งความสุขของเขา บ่งบอกให้รู้ว่า ปลายสายจะต้องเป็นคนสำคัญแน่ ๆ
“จะไปรู้หรือฮะก็ยืนอยู่ด้วยกัน..จ๊าย” พูดไม่ทันขาดคำ ธัญรัตน์บิดเนื้อแม่ผู้หญิงพิเศษเข้าให้
“ไม่ได้ไม่ดีก็มาระบายที่ตุ๊ดซี่นี่แหละ..”
“อีม่ามันมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ แต่ได้ยินมาว่า มันไม่ต้องเป็นเด็กเสิร์ฟแล้ว วันนี้มันจะมาเริ่มงานในครัว”
“ปกติในครัวเขาเริ่มงานกันแต่เช้า แล้วทำไมมันยังไม่มาอีก”
“จะไปรู้มันเหรอคะ...จ๊าย เจ็บ นะ..เนื้อเขียวหมดแล้ว”
“สำบัดสำนวนเหลือเกิน เดี๋ยวก็ให้กลับไปอยู่ที่ร้านเสียนี่”
“แล้วใครจะสืบเรื่องให้เจ๊”
“แล้วได้เรื่องมั่งไหมละ อีม่ามันจะคาบไปกินแล้ว”
“ฮึ ..เจ๊เคยได้ยินไหม สำนวนที่ว่า สร้างความร้าวฉานคืองานของเรา..ตราบใดที่เขายังไม่ได้แต่งงานกัน ตราบนั้นอนาคตก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง”
“หล่อนจะทำอย่างไร”
อันที่จริงตุ๊ดซี่จะต้องหันซ้ายหันขวาแล้วก็กระซิบที่หูของธัญรัตน์แล้วก็พยักหน้ารับรู้กันแค่สองคนแต่ว่าครั้งนี้ตุ๊ดซี่ก็พูดสั้น ๆ ว่า “ยังไม่รู้เลย”
“โธ่..อารมณ์เสีย”
“ยี่หระอะไร ปล่อย ๆ เขาไปเถอะ” หนทางนี้น่าจะดีสำหรับคนที่เขาไม่รักและตุ๊ดซี่เองก็ไม่ต้องมาเหนื่อยกับงานที่ไม่ได้เงินนั้นด้วย
“ก็อยากจะปล่อยอยู่ แต่ว่า ยังไม่มีคนใหม่” ธัญรัตน์กล้าที่จะพูดอะไรลึก ๆ กับตุ๊ดซี่เท่านั้น หากกิ๊บซี่อยู่ด้วย ก็จะทำตัวห่างเหินกับลูกน้องแบ่งแยกนิดหนึ่ง แต่กับตุ๊ดซี่ธัญรัตน์รู้สึกไว้วางใจพอที่จะพูดทีเล่นทีจริงได้
“ไม่มีคนใหม่หรือยังเช็คประวัติไม่ละเอียดกันแน่ สายตุ๊ดซี่รายงานมาว่า มีหนุ่มใหญ่มาเฝ้าที่ร้านอีกคนหนึ่งแล้ว ใครเหรอคะ”
“ถ้าแกรู้ขนาดนี้ แกคงรู้เท่าที่ฉันรู้แล้วแหละ ถามได้”
“ศุภกฤช อัศวโพธิสมบัติ รูปงามก็งามนามก็เพราะ แถมเป็นเจ้าของร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า”
“รู้ละเอียดดีนี่..”
“แต่เป้าไม่เลิศเท่าคุณซ้ง”
“อีบ้า พูดมาได้ ฉันเป็นสาวนะยะ”
“เดี๋ยวจะติดต่อคุณซ้งให้นังกิ๊บซี่มันแล้ว ไม่อยากให้มันดักดานอยู่กับวิชาญ ไหน ๆ เจ๊ก็ไม่เอาแน่นอนแล้ว อีกอย่างนังกิ๊บซี่มันก็เห็นเป้าตุงเค้ามาแล้วด้วย” ตุ๊ดซี่พูดลอย ๆ ทำเหมือนพึมพำคนเดียว
“วัน ๆ คิดแต่จะจับคู่ให้คนอื่น ถึงว่ายอดขายขนมตกฮวบ ไม่ไปเชียร์ลูกค้าให้ฉันเลยสิ”
เชียร์ก็คือเมื่อเห็นว่าโต๊ะไหนใกล้จะรับประทานอาหารคาวหมดตุ๊ดซี่ก็จะเดินไปพร้อมกับเมนูของหวาน กล่าวสวัสดีหลังจากวางเมนูลงไปแล้วเจ้าหล่อนก็จะยืนวางท่าสาวงามผู้เข้าประกวดรอการประกาศผล จากนั้นก็แนะนำตัวเอง แนะนำTanya bakery shop แล้วก็แนะนำสินค้าแสนอร่อยลิ้น..และอาศัยช่วงที่ลูกค้าตกตะลึงกับความงามผสมกับวาทศิลป์ เจ้าหล่อนก็ปิดการขายโดยการขออนุญาตเขียนบิลแล้วรีบเดินกลับไปนำขนมมาบริการ และการบริการพิเศษของตุ๊ดซี่ก็เรียกทิปมาได้ระดับหนึ่ง
ดังนั้นทุก ๆ วันกิ๊บซี่กับตุ๊ดซี่ก็จะได้หารทิปรวมเหมือนเช่นพนักงานเสิร์ฟซึ่งเป็นคนงานโดยตรงของร้านด้วย
“ปรักปรำแล้ว ..ตกที่ไหน ฝีมือเจ๊นั่นแหละตกหรือเปล่า ขนมไม่อร่อยก็มาโทษเรา..จ๊าย เจ็บนะเดี๊ยะ!!”
“ไหนคุณสูรย์ว่าวันนี้ไอ้ม่าจะเข้ามาอยู่ในครัวแล้ว ไม่เห็นมันสักที” กั๊กเอ่ยปากถามเพื่อนร่วมงานนับสิบคนขึ้นมาลอย ๆ และก็คำตอบจากคนที่กำลังเตรียมของหน้าเตาว่า
“ยังไม่ตื่นเลยมั้ง”
“ได้ข่าวเมื่อมันไปทะเลกับคุณสูรย์” คนกำลังหั่นแล่เนื้อหมูร่วมสนทนาด้วย
“ข่าวจากไหน” กั๊กยังข้องใจ
“ตุ๊ดซี่”
“หารสองหารสี่นะอีนี่ปากเป็น” กั๊กนั้นก็เป็นผู้ชายปากจัดคนหนึ่ง ถ้าออกไปหน้าร้านเป็นต้องมีเรื่องต่อล้อต่อเถียงกับตุ๊ดซี่ และตุ๊ดซี่ก็ชอบเอากั๊กคนที่เมียเพิ่งหนีไปชายชู้ว่า
‘เก่งแต่ในครัวละซิ บนเตียงไม่ได้เรื่อง เมียก็เลยหนี’ กั๊กก็เลยไม่ชอบตุ๊ดซี่และถ้ามีใครเอ่ยถึง เขาจะต้องพูดขัดให้เสียเรื่องอย่างนี้ตลอดเวลา
“แต่ข่าวนี้เชื่อได้ไหมละ คุณสูรย์ไปทะเล แล้วไอ้ม่ามันก็หายไปด้วย” สูรย์ไปทะเลเพราะมีของกินติดมือมาวางไว้ตรงกองกลางสำหรับพนักงานด้วย และของแห้งประดามีที่เพิ่งเก็บเข้าสโตร์ไปก็ฟ้องอยู่
ถ้าไม่ติดว่า ป้าส้มลิ้มอยู่ในครัวด้วย ต่างก็คงจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กันได้สนุกปากกว่านี้ แต่ถึงกระนั้น ไม่กี่ประโยคป้าส้มลิ้มก็มีเสลดติดคอเสียแล้ว วงสนทนายามเช้าจึงเป็นเรื่องข่าวโทรทัศน์ที่ติดไว้บนผนังให้พนักงานในครัวได้มีเรื่องอื่นคิดและพูดถึงกันแทนเรื่องเจ้าของร้าน
ส้มลิ้มนั้นยืนนิ่ง ครุ่นคิดว่า เขาจะจัดการอย่างไรกับนังเด็กคนนั้น แรกทีเดียวก็รู้สึกชื่นชอบมัน แต่ฟังจากอรพิมแล้วมันก็ร้ายใช่เล่น ยิ่งเมื่อวานตอนเย็นอรพิมเข้ามาอีกรอบพร้อมกับรูปถ่ายยืนยันว่ามันใกล้ชิดกับสูรย์ถึงขนาดนั้น
ส้มลิ้มก็นึกอยากจะโทรไปคุยกับทองสุขและสรรเสริญแม่กับพ่อของสูรย์เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ว่าเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ น่าจะช่วยตัดไฟเสียแต่ตรงนี้ และเวลาไม่กี่วันนี้ นางน่าจะทำให้อีนังเด็กผู้มากมารยาสาไถนั่นได้รับรู้ว่า ตัวเองหาได้มีค่าคู่ควรกับคุณสูรย์มีจิตใจดีงามแหละหล่อเหลาราวเทพบุตร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 21:54:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 22:11:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 3035
<< 13 หยุดบรรยายได้แล้ว ขอหลักฐานหน่อย | 15 ป้าส้มลิ้ม.. >> |

จุฬามณีเฟื่องนคร 18 เม.ย. 2554, 21:57:15 น.
คนเดียว สามเรื่องสี่เรื่อง มากไปไหมเนี่ย..เอาเป็นว่าเจอะกันวันจันทร์หน้านะครับ..
อีกครั้งครับ สำหรับเพื่อนที่เม้นท์ให้กำลังใจผมไ้ว้ ตั้งแต่ตอนที่ 12-20 ผมจะจับฉลากแจกหนังสือ(เรื่องนี้)หนึ่งเล่มนะครับ กติกาก็คือ ถ้าเม้นท์ทั้ง 8 ตอน ก็ได้ 8 สิทธิ์ครับ...
คนเดียว สามเรื่องสี่เรื่อง มากไปไหมเนี่ย..เอาเป็นว่าเจอะกันวันจันทร์หน้านะครับ..
อีกครั้งครับ สำหรับเพื่อนที่เม้นท์ให้กำลังใจผมไ้ว้ ตั้งแต่ตอนที่ 12-20 ผมจะจับฉลากแจกหนังสือ(เรื่องนี้)หนึ่งเล่มนะครับ กติกาก็คือ ถ้าเม้นท์ทั้ง 8 ตอน ก็ได้ 8 สิทธิ์ครับ...

มะดัน 18 เม.ย. 2554, 22:05:28 น.
ไม่มากไปหรอกค่ะ ตามอ่านอยู่แม้จะไม่ได้กด like ทุกครั้ง ฮ่าฮ่า
ไม่มากไปหรอกค่ะ ตามอ่านอยู่แม้จะไม่ได้กด like ทุกครั้ง ฮ่าฮ่า

real 18 เม.ย. 2554, 22:23:24 น.
จันทร์หน้านี่ หมายถึงเรื่องนี้ใช่ไหม ฮิฮิ
ปล อยากอ่านอรุณสวัสดิ์ฯ ด้วยนี่ >.<
จันทร์หน้านี่ หมายถึงเรื่องนี้ใช่ไหม ฮิฮิ
ปล อยากอ่านอรุณสวัสดิ์ฯ ด้วยนี่ >.<

จุฬามณีเฟื่องนคร 18 เม.ย. 2554, 22:50:15 น.
อรุณสวัสดิ์ กับ อยากให้พระอาทิตย์ฯ จะโพสต์พรุ่งนี้อีกอย่างละสองตอนครับ พอดีอังคารถึงอาทิตย์ไม่อยู่ครับ ไป ปทพบ.((ประเทศเพื่อนบ้าน))..กลับมาอีกทีวันจันทร์ครับ..เผื่อจะได้เรื่องแปลก ๆ มาเขียนมั่งครับ..
อรุณสวัสดิ์สั่งซื้อหรือยังครับ ไม่มีตามแผงหนังสือชั้นนำนะครับ.. 5555555555555
อรุณสวัสดิ์ กับ อยากให้พระอาทิตย์ฯ จะโพสต์พรุ่งนี้อีกอย่างละสองตอนครับ พอดีอังคารถึงอาทิตย์ไม่อยู่ครับ ไป ปทพบ.((ประเทศเพื่อนบ้าน))..กลับมาอีกทีวันจันทร์ครับ..เผื่อจะได้เรื่องแปลก ๆ มาเขียนมั่งครับ..
อรุณสวัสดิ์สั่งซื้อหรือยังครับ ไม่มีตามแผงหนังสือชั้นนำนะครับ.. 5555555555555


เจ้าชายน้อย 18 เม.ย. 2554, 23:26:05 น.
คุ้นจริงๆ นะเว็บนิยายอันนั้นน่ะ 555
มาเร็วดีค่ะ กำลังเครียดๆ อยู่เลย
เปิดมาได้เจอมารยาของไอ้ม่าตลกดี
คุ้นจริงๆ นะเว็บนิยายอันนั้นน่ะ 555
มาเร็วดีค่ะ กำลังเครียดๆ อยู่เลย
เปิดมาได้เจอมารยาของไอ้ม่าตลกดี

ธารณ์ 19 เม.ย. 2554, 01:19:19 น.
น่ารักนะม่าเนี่ยทำข้าวต้มสื่อรักซะด้วย ^^
น่ารักนะม่าเนี่ยทำข้าวต้มสื่อรักซะด้วย ^^


จิ๋วจ้า 19 เม.ย. 2554, 05:55:37 น.
ชอบมาม่า มารยาน่าร๊ากกกกกกก
ชอบมาม่า มารยาน่าร๊ากกกกกกก

Pat 19 เม.ย. 2554, 06:37:15 น.
มารยาไม่ถึง5ร้อยแต่ก็ได้หลายเกวียนอยู'นะม่า อิอิ
มารยาไม่ถึง5ร้อยแต่ก็ได้หลายเกวียนอยู'นะม่า อิอิ

mottanoy 19 เม.ย. 2554, 07:00:42 น.
ชอบจังฟอร์มไม่เยอะกันดี
ชอบจังฟอร์มไม่เยอะกันดี

pretty 19 เม.ย. 2554, 07:30:05 น.
ชอบค่ะ สนุกจัง
ชอบค่ะ สนุกจัง

หมูบิน 19 เม.ย. 2554, 08:13:29 น.
อย่างนี้ก็ได้สิทธิ์มาทั้งหมดเกือบสิบสี่ครั้งแล้วอ่ะดิ >,< อ่ะ สู้ๆ นะค่ะ รีบๆ เขียนให้จบจะได้เอามาอ่านเป็นเล่มซะทีค่ะ
อย่างนี้ก็ได้สิทธิ์มาทั้งหมดเกือบสิบสี่ครั้งแล้วอ่ะดิ >,< อ่ะ สู้ๆ นะค่ะ รีบๆ เขียนให้จบจะได้เอามาอ่านเป็นเล่มซะทีค่ะ

loveleklek 19 เม.ย. 2554, 08:37:31 น.
เฟื่องไปเที่ยวอีกแล้ว
เฟื่องไปเที่ยวอีกแล้ว

nutcha 19 เม.ย. 2554, 10:57:34 น.
ไอ้ม่าก็มีมารยาหญิงเหมือนกันนะเนี้ย
ไอ้ม่าก็มีมารยาหญิงเหมือนกันนะเนี้ย

nutcha 19 เม.ย. 2554, 10:57:41 น.
ไอ้ม่าก็มีมารยาหญิงเหมือนกันนะเนี้ย
ไอ้ม่าก็มีมารยาหญิงเหมือนกันนะเนี้ย

nutcha 19 เม.ย. 2554, 10:57:52 น.
ไอ้ม่าก็มีมารยาหญิงเหมือนกันนะเนี้ย
ไอ้ม่าก็มีมารยาหญิงเหมือนกันนะเนี้ย

namzuza 19 เม.ย. 2554, 20:18:24 น.
ข้าวต้มสื่อรักซ่อนมารยา ๕๕๕๕ อ่านไปก็ยิ้มไป
ข้าวต้มสื่อรักซ่อนมารยา ๕๕๕๕ อ่านไปก็ยิ้มไป

real 19 เม.ย. 2554, 21:10:16 น.
คุณเฟื่องฯ อรุณฯ สั่งแล้ว โอนแล้ว เมล์แจ้งแล้วด้วย คุณเฟื่องฯ เห็นเมล์หรือยัง ไม่เห็นตอบกลับ
ปล กลัวไม่เห็นจ้า
คุณเฟื่องฯ อรุณฯ สั่งแล้ว โอนแล้ว เมล์แจ้งแล้วด้วย คุณเฟื่องฯ เห็นเมล์หรือยัง ไม่เห็นตอบกลับ
ปล กลัวไม่เห็นจ้า

จุฬามณีเฟื่องนคร 19 เม.ย. 2554, 21:34:11 น.
เอ่อโทษที ผมเช็คแล้วครับ ว่าจะตอบกลับแล้วก็ลืมครับ..รั่วเอง 55555555""ขอบคุณครับ..
เอ่อโทษที ผมเช็คแล้วครับ ว่าจะตอบกลับแล้วก็ลืมครับ..รั่วเอง 55555555""ขอบคุณครับ..

มะดัน 19 เม.ย. 2554, 22:07:33 น.
โอ้ย ม่าน่าร้าก
โอ้ย ม่าน่าร้าก

niny 19 เม.ย. 2554, 23:02:26 น.
ถ้าม่าไปออสเตรเลีย...คงคิดถึงมากๆ เลย ต้องบินตามไปมั้ยเนี่ย
ถ้าม่าไปออสเตรเลีย...คงคิดถึงมากๆ เลย ต้องบินตามไปมั้ยเนี่ย


ณิณ 23 เม.ย. 2554, 19:03:03 น.
กลับมาแล้วค่า เพิ่งสอบเสร็จ!!! ตามอ่านรวดเดียวเลยยยย ^^
กลับมาแล้วค่า เพิ่งสอบเสร็จ!!! ตามอ่านรวดเดียวเลยยยย ^^

ปิลันธน์ 19 มี.ค. 2555, 20:39:01 น.
ชักเป็นห่วง ไอ้ม่า ซะแล้ว....
ชักเป็นห่วง ไอ้ม่า ซะแล้ว....