น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: บทที่ ๐๐๗

07





อินทุอรหมกตัวอยู่ในห้องตั้งแต่เช้าจดเย็น ปล่อยตนเองให้เงียบเหงาเซาซบ อยู่กับความรู้สึกที่เหมือนถูกกักขัง ติดตรึงอยู่กับอดีตอันแสนเจ็บปวด ซึ่งเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ไม่ให้ก้าวเดิน หรือหันเหไปทางไหน

เมื่อคืน... คือคืนสุดท้ายที่จะได้ตัดใจ ตัดให้ขาดจากเยื่อใยที่หลงเหลือ จะได้ทำใจให้เชื่อจริงๆ เสียที ว่าผู้ชายคนนั้นคือภาพฝันอันแสนหวาน ที่เพียงแผ่วผ่านคล้ายลมรำเพยกระทบผิว

ผ่านมาแตะต้อง... สัมผัสผิวกายให้ได้ชื่น... แล้วก็ผ่านเลยไป

...ลับหายไปกับอากาศเปล่า จนหมดหนทาง จะไขว่คว้าให้กลับคืน

แต่แล้ว...

ในคืนสุดท้าย... ที่จะทำให้เหตุการณ์อันเหมือนฝันร้าย ได้หยุดฝัน

ได้หยุดคะนึงหา หยุดเพ้อ หยุดรำพัน...

เขาก็กลับปรากฏกาย

แล้วจะให้เธอผ่านเข้าไปสู่ประตูวิวาห์ได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่รู้ว่าตัวเองสมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์ผุดผ่อง หรือสมควรจะคู่ชีวิตกับเขาจริงๆ ไม่ว่าจะทางใจหรือทางกาย

ครั้นจะเก็บงำ เก็บกักความชอกช้ำอันนั้นเอาไว้ ยอมเข้าพิธีแต่งงานกับปริยัติไป ก็คงต้องใช้เวลาอีกทั้งชีวิตนั่นหรอก เพื่อจะทำใจให้ลืม

ระหว่างนั้นเล่า...

หากเธอครองคู่กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่หัวใจกลับเฝ้าแต่พะวงไถ่ถามถึงผู้ชายอีกคน คงไม่ใช่ใครแค่คนใดคนหนึ่งหรอกที่จะต้องทนทรมาน มันต้องทั้งคู่นั่นละ ทั้งตัวเธอเอง ทั้งปริยัติ ที่จะต้องมาถูกกักขังให้ติดกับอยู่ในพันธนาการของประเพณีพิธีกรรม

อินทุอรคิดว่าอาจจะรักปริยัติได้ง่ายดายกว่านี้ หากไม่มีเรื่องราวคืนนั้นติดค้างในหัวใจ และคงจะตัดสินใจเรื่องการแต่งงานได้ง่ายดายกว่านี้ หาเขาคนนั้นไม่โผล่มาในจังหวะที่ไม่สมควรที่สุด

จะโผล่มาอีกทำไมกัน ทำไมไม่หายสาบสูญไปเสียเลย

ชีวิตของเธอจะได้ก้าวหน้าต่อไปได้เสียที

แล้วก็ดูเถิด... กลับมาทำไม หากจะมาเพื่อทำร้ายหัวใจให้ยิ่งชอกช้ำ...

เวลานี้อินทุอรรู้สึกเหมือนกับว่า รอยแผลเก่าที่ถูกซ่อนให้อยู่ในซอกหนึ่งของหัวใจ ถูกกรีดซ้ำด้วยสายตาคม สายตาที่ไร้ความปรานี สายตาที่แลมาเพื่อประหัตประหารวันเวลาที่เธอเฝ้ารอ

“เห็นไหม เมื่อวานลากลับมาตั้งแต่ครึ่งวัน ตกค่ำยังอุตส่าห์หาเรื่องออกไป แล้วเป็นอย่างไร ก็ต้องมานอนซมอยู่อย่างนี้น่ะซี”

คุณสาวิกา แม่บ้านวัยชราที่เลี้ยงดูฟูกฟักบุตรสาวคนโตของบ้านมาตั้งแต่เล็กๆ อดไม่ได้ที่จะต้องรำพึงรำพันให้ได้รู้ว่า ที่เธอทำลงไปนั่น ไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น

“ตัวรุมๆ ด้วยสิเนี่ย รับยาอะไรไปบ้างหรือยังล่ะคะ”

นั่นเป็นตอนกลางวัน ที่คุณแม่บ้านขึ้นมาเคาะเรียกให้ลงไปรับประทานอาหาร และทั้งที่คุณสาบอกว่าบ้านเงียบเชียบ คุณท่านไปออกรอบตีกอล์ฟตั้งแต่รุ่งเช้า ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่กลับ อินทุอรก็ยังขออยู่บนห้อง

จนหญิงชรากลับลงไปนำอาหารอ่อนๆ ขึ้นมาเป็นมื้อกลางวัน พร้อมยัดเยียดยาแก้ปวดลดไข้ให้สองเม็ด ซึ่งหญิงสาวไม่มีทางเลี่ยงที่จะต้องกลืนลงไป นั่นแล้วคุณสาจึงได้ยอมล่าถอย ปล่อยให้เธออยู่ในห้องต่อไปจนใกล้ค่ำ

“คุณพ่อกลับมาแล้วนะคะ จะลงไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนท่านไหมคะ”

คุณแม่บ้านกลับขึ้นมาเคาะเรียกอีกครั้ง ตอนเกือบทุ่ม

“ยังไม่มีใครกลับมาเลยหรือคะคุณสา”

“ค่ะ... คุณท่านเรียกมื้อเย็นให้ขึ้นโต๊ะแล้ว จะดีมากหากคุณหนูอินทุ์ลงไปด้วย”

“ขอเวลาอินทุ์สิบนาทีค่ะคุณสา”

อินทุอรตัดสินใจลงไปรับประทานอาหารเป็นเพื่อนบิดา หลังจากชั่งใจแล้วว่า ไม่ควรจะทำอะไรให้ผิดปกติ ไปจากตารางเวลาในชีวิตประจำวัน อีกทั้งวันนี้โต๊ะอาหารคงเงียบเชียบ คุณพ่อคงเงียบเหงาหากต้องนั่งอยู่คนเดียว และเธอก็น่าจะรู้สึกดีขึ้น เมื่อได้พูดจาใกล้ชิดกับบิดาตามลำพัง

แต่สิบนาทีนั้นคงยาวนานเกินไป...

ทั้งที่อินทุอรลงมาก่อนเวลานัดนั่นด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นคุณโสภาพรรณผู้เป็นมารดาเลี้ยง นั่งร่วมโต๊ะ พูดคุยกับบิดาอยู่ก่อนแล้ว

หล่อนค้อนขวับ ตอนเธอค้อมตัวให้นิดๆ ก่อนจะลงนั่งประจำที่

“ถึงกับต้องให้ผู้ใหญ่มานั่งรอเลยหรือยะ คุณอินทุอร”

แล้วพอนั่งลงปุ๊บ คนที่เพิ่งมาไม่เกินสิบนาทีนี้เอง ก็คายพิษได้ทันที

อินทุอรแทบจะลุกหนี หากคุณพ่อไม่ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ยังไม่มีฤกษ์เลยลูก อาจต้องรอไปก่อน”

เหมือนเสียงสวรรค์ หรือไม่ก็เทพเจ้าสักองค์ เสกส่งน้ำทิพย์มาชโลมให้ชุ่มตัว

จนอินทุอรเผลอระบายลมหายใจยาวออกมา

“ทำไมยะ โล่งอกมากเลยหรือไง ไม่รู้บ้างหรือว่า เราน่ะต้องทำให้คนอื่นมาลำบากลำบนขนาดไหน”

คนถูกกล่าวหาอยากจะตอบไปเหลือเกิน ว่าตนไม่ใช่เป็นฝ่ายนำเสนอเรื่องนี้เลยสักนิด

“พระคุณเจ้าท่านว่า ไม่ใช่คู่กันด้วยซ้ำนะคะ...”

คุณโสภาพรรณหันไปพูดเรื่องที่ยังคุยค้างไว้กับสามี

“ก็ดีแล้วนี่ ถ้างั้นก็จะได้ดูกันดีๆ ให้รอบคอบอีกสักหน่อย”

นายอิศราตอบเรียบๆ ขณะลอบสบตากับลูกสาว ยกคิ้วให้นิดๆ และยิ้มให้ด้วยมุมปาก ส่งสัญญาณให้รู้ว่า เรื่องจะบังคับขืนใจให้แต่งงานกันนี้ คงจะต้องยืดเยื้อออกไปอีกนาน

“ไว้โสภาจะไปหาหมออื่นให้ดูฤกษ์ยามให้แน่ๆ อีกหรอกค่ะ ที่ไปหาพระท่านก็ไม่รู้จดวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากอะไรของแม่คนนี้ไปถูกต้องหรือเปล่า”

“ก็ไหนบอกว่าพระท่านแม่นยำนักหนาในเรื่องฤกษ์ยาม”

“ท่านน่ะคงแม่นหรอกค่ะ ถึงบอกไงคะ ว่าโสภาเองต่างหากที่ไม่มั่นใจ”

ระหว่างนี้ อินทุอรค่อยบรรจงตักข้าว ราวกับจะต้องนับเมล็ด สองตาจับอยู่ที่ขอบจาน และไม่ปรารถนาจะเอ่ยถ้อยคำใดๆ

“แต่ท่านว่าเนื้อคู่ของหนูพิมพิ์มาแล้วนะคะ โสภานึกแล้วไม่มีผิด ก็ต้องตาภาควัต ลูกชายของคุณแวววิไลกับคุณภากรนั่นละค่ะ”

“ใครนะ... ใครเป็นเนื้อคู่กับใคร”

นายอิศราถามซ้ำ ทำทีเป็นได้ยินไม่ถนัด มากกว่าจะทำเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

“ก็หนูพิมพิ์ของเรากับลูกชายของคุณภากรไงคะ คู่นี้น่ะโสภารับรองได้เลย ว่าเหมาะสมกับอย่างกับกิ่งทองใบหยก ถ้าได้แต่งกันจริงๆ ก็มีหวังทั้งเราทั้งเขา ก็จะได้เจริญรุ่งเรืองไปตามๆ กัน”

พอเรื่องราวของบุตรสาวในไส้ของตนเอง ได้รับความสนใจจากสามีมากกว่า เรื่องของลูกสาวเมียเก่า คุณโสภาพรรณก็สามารถทำเป็นลืมว่า มีอินทุอรนั่งร่วมอยู่ในมื้ออาหารเย็นนี้ได้ทันที

“ไหนคุณโทร.ไปฟ้องว่า หนูพิมพิ์แกเบี้ยวนัด ไม่ยอมไปดูหน้าดูตากัน”

“ก็นั่นละค่ะ คงจะตามประสาพ่อแง่:-)อน หนุ่มๆ สาวๆ ก็อย่างนี้ โสภาถึงต้องเอาดวงไปลองผูกกันเสียก่อน”

“แสดงว่าฝ่ายผู้ชายก็เต็มใจ ให้เราเอาดวงเขามาให้ดู”

นายอิศรายังซักไซ้ จนคนเล่าต้องค้อนให้เหมือนกัน ก่อนจะอ้อมแอ้มกล่าวต่อไป

“ก็... ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ โสภาแค่เอาดวงของหนูพิมพิ์ให้ท่านดู แล้วท่านก็ทัก ว่าเนื้อคู่ของหนูพิมพิ์น่ะ มีมาตั้งนานแล้ว”

“แต่คุณโสภาเพิ่งรู้จักกับนายภาควัตอะไรนั่นเมื่อวานนี้เองไม่ใช่หรือ”

เพราะคำนี้ของบิดา ที่ทำให้อินทุอรถึงกับต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มพึงพอใจ

“เขาอาจเคยๆ เจอกันมาก่อนแล้วก็ได้ค่ะ หรืออาจจะเป็นเพื่อนเก่ากันด้วยซ้ำหรอกมังคะ เมื่อเช้าหนูพิมพิ์เลยหาเรื่องหลบหน้า คงไม่คิดว่าแม่จะตาดี ไปควานหาแหวนเพชรเม็ดละสิบกะรัต มาให้เธอสวมได้แล้ว”

คุณโสภาพรรณยังไม่ลดละ พยายามจะเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ ให้แลดูสมเหตุสมผลมากที่สุด

“หรือหนูพิมพิ์แกจะแอบคบหาอยู่กับใคร”

อินทุอรแทบสำลัก แอบพยักหน้าเห็นด้วยให้กับคำพูดนี้ของนายอิศรา

“จริงๆ นะคุณโสภา พักหลังมานี้ ผมแลดูลูกสาวเรามีน้ำมีนวลแปลกๆ บางทีก็หายวันหายคืนไปเลย จำไม่ได้หรือ มีอยู่ครั้งสองครั้ง เราโทร.ไปที่คอนโดฯ แต่ลูกสาวคุณไม่ยอมรับสาย”

“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ หนูพิมพิ์คนนี้ โสภาเลี้ยงมากับมือ ไม่มีทางนอกลู่นอกทางไปได้หรอก... วุ้ย! ไม่เอาละ คุณพี่ก็มาชวนคุยแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ว่าแต่เรื่องยัยลูกอินทุ์ของคุณพี่นี่ละค่ะ หรือเราจะปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้”

พอทำท่าจะจนแต้มจากการถูกสามีซักไซ้ไล่เรียง คุณโสภาพรรณก็เปลี่ยนเรื่อง วกกลับมาที่ลูกเลี้ยงได้อย่างง่ายดาย

“ว่าไงคะคุณอินทุอร พอรู้ว่ายังไม่มีฤกษ์ไม่มียาม จะดีใจหรือเสียใจกันล่ะ”

“อินทุ์คิดว่าควรจะต้องดีใจนะคะ จะได้มีเวลาดูกันไปอีกนานๆ”

อินทุอรตอบเรียบๆ เก็บงำปัญหาสำคัญในความรู้สึกของตนเองไว้อย่างมิดชิด

“เธอหมายความว่าจะเกาะอยู่กับที่นี่ไปอีกนานๆ อย่างงั้นสิ”

“ไม่เอาน่าคุณโสภา ลูกอินทุ์เขาอยู่กับผมก็ดีแล้ว ลูกๆ คนอื่นก็ไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านเหมือนอย่างคนนี้ ดูอย่างวันนี้ ถ้าคุณกลับมาไม่ทัน ผมก็ต้องนั่งเหงาอยู่กับลูกอินทุ์”

พอคุณโสภาพรรณตั้งท่าจะหาเรื่องกับลูกเลี้ยงของตนอีกครั้ง นายอิศราจึงต้องปราม พร้อมกับหาเรื่องอื่นมาเบนความสนใจ

“เพราะคุณพี่สั่งให้ตั้งโต๊ะเร็วกว่าปกติหรอกค่ะ เคยมีหรือคะ ที่โสภาจะไม่อยู่กินข้าวเป็นเพื่อน”

คนพูดจึงต้องรีบแก้ตัว โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่แยกจากกันตั้งแต่เสร็จเวลาฉันเพล แล้วตัวเองหายไปไหน จนกลับมาถึงตอนค่ำมืดอย่างนี้

“ไม่รู้ละค่ะ หากคุณพี่คิดว่าถ้าทางฝั่งเรา จัดการหาฤกษ์หายามไปให้ จะแลดูเป็นการยัดเยียดลูกสาวให้เขาเกินไป ไว้พรุ่งนี้โสภาจะไปพบคุณปรางทองเธอนิดก็ได้ จะถามไถ่ ว่าทางนั้นเขาดูฤกษ์ดูยามไว้บ้างหรือยัง”

คุณปรางทองที่เอ่ยถึง คือไฮโซชื่อดัง มารดาของปริยัติ ชายหนุ่มผู้เป็นคู่หมั้นของอินทุอรนั่นเอง

“มันจะน่าเกลียดไปไหม”

“ไม่หรอกค่ะ เรื่องอย่างนี้จะมานั่งถือนั่นถือนี่อะไรกันนักหนา”

“ถ้าทางคุณน้าปรางทองบอกว่าไม่มีฤกษ์เหมือนกันนี่ คุณน้าโสภายอมจะพักเรื่องงานแต่งของอินทุ์ เอาไว้ก่อนหรือเปล่าคะ”

อินทุอรต้องถามไป ด้วยอาการถนอมเสียงอย่างที่สุด

“ทำไมล่ะ นี่เธอกล่าวหาว่าชั้นแส่หรือยังไง”

“อินทุ์ไม่บังอาจหรอกค่ะคุณน้า เพียงแต่จะถามให้แน่ใจ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้บ้าง”

คำตอบนี้ ผู้เป็นบิดาจับได้ว่ามีวี่แววประชดประชัน จึงต้องหันมาปรามบุตรสาวด้วยสายตา และพอหันกลับไปทางภรรยา ก็เห็นคุณโสภาพรรณจ้องอินทุอรเขม็งอยู่

“งั้นก็เชิญเขามากินข้าวเย็นกับเราพรุ่งนี้ เชิญทั้งแม่ทั้งลูกนั่นละ ถ้าคุณปราโมทย์ว่างก็เชิญมาด้วยเลย อ้อ... แล้วหนูปิ่น น้องสาวปริยัติเขาน่ะ เชิญมาด้วยเลยสิ”

นายอิศราต้องเปลี่ยนเรื่องไปอีก เพื่อหล่อเลี้ยงบรรยากาศของมื้ออาหาร ไม่ให้ลุกไหม้ด้วยไฟแห่งถ้อยคำและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นของใครทั้งสิ้น

“อุ๊ย!... จริงสิคะ โสภาก็มัวแต่ห่วงลูกสาว ลืมไปเลยว่าหนูปิ่นเขาก็มีท่าทางสนใจตาพันธ์ของเราไม่น้อยอยู่เหมือนกัน”

พอคุณโสภาพรรณนึกขึ้นได้ก็วี้ดว้าย ใส่จริตจะก้านได้อย่างมีความสุขขึ้นมาอีก ด้วยกำลังนึกเพลิดเพลินอยู่กับกองเงินกองทอง ไม่ว่าจะมองไปทางตระกูลไหน หากเกี่ยวข้องนับญาติกันได้ มันก็จะมีแต่ได้กับได้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เย็นพรุ่งนี้อินทุ์มีนัดต้องไปหน้างานค่ะคุณพ่อ”

“เห็นคุณสาบอกว่าป่วยอยู่ไม่ใช่หรือลูก โทร.ไปลาเขาเสียสิ หรือจะให้พ่อโทร.ไปก็ได้นะ”

ที่นายอิศราว่ามาดังนี้ ก็แสดงว่าบิดาต้องการให้เธออยู่ร่วมโต๊ะด้วยในมื้อค่ำวันพรุ่งนี้ อินทุอรจึงได้แต่นิ่ง แม้ไม่อยากตอบรับ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ

“ถ้าทางฝั่งเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็จะดีนะคุณ ถือเป็นการให้เกียรติทางโน้นเขาด้วย”

นายอิศราพูดต่อไป พร้อมกวาดตามอง ทั้งกับอินทุอรและคุณโสภาพรรณ แล้วก็คงอารมณ์ดีจนกล้าหยอดหยอกต่อไป

“หรือจะนัดคุณภากรกับครอบครัวเขาด้วยล่ะ จะได้รู้จักคบหากันไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ดีไหมคุณ”

ที่จริงคุณโสภาพรรณน่าจะรีบเห็นด้วย แต่หล่อนกลับนิ่งไปเสียเฉยๆ

“หรือว่าจะไม่เหมาะ”

จนผู้เป็นสามีต้องย้ำถาม จึงได้เห็นว่าสีหน้าของภรรยาไม่สู้จะดีเท่าไร เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ไว้ให้มันค่อยเป็นค่อยไป จะไม่ดีกว่าหรือคะคุณพี่”

เสียงตอบเบาลงอย่างผิดสังเกต จนนายอิศราค่อนข้างแน่ใจว่า ต้องเกิดเหตุขัดข้องขึ้น กับภรรยาและนายภาควัตบุตรชายของคุณภากร เป็นแน่แท้




“ลมอะไรหอบมาถึงนี่วะภาค”

ชยุตตะโกนทักเพื่อนเกลอ ขณะใกล้จะมึนได้ที่

เพราะตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า คนที่เริ่มตั้งวงร่ำสุรากับตนเองเพียงลำพัง มาตั้งแต่พลบค่ำ จึงควบคุมเสียงที่เอ่ยออกมาได้ค่อนข้างยากเย็น

“ไหนว่าล้างมือจากยุทธจักร ตั้งแต่ได้ข่าวว่ากลับมาจากนอก ยังไม่เห็นโผล่หัวมาทักทายเพื่อนฝูง”

“เพื่อนน่ะคือเอ็ง แต่ว่าไหนล่ะฝูง”

ภาควัตทำเป็นรื่นเริง ทั้งที่ดั้นด้นมานี้ ก็เพราะอยากมีใครสักคนช่วยปรับทุกข์

“คนอย่างข้าน่ะบินเดี่ยวเว้ย”

เสียงตอบยังหลงๆ เหมือนกับตอนที่เอ่ยทักนั่นละ

“บินเดี่ยวหรือไม่มีใครเค้าอยากจะมาบินด้วยวะ”

“อ๊ะๆ ไอ้นี่ วอนหาที่ตายซะแล้วไหมล่ะ ลืมไปแล้วเรอะ ว่าข้าน่ะมีฉายาว่ายังไง”

แล้วคนข่มขู่ก็เป็นฝ่ายหัวเราะก๊าก เมื่อเท้าความถึงความหลังครั้ง เมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน พร้อมกับที่เขาลุกจากเก้าอี้ เข้ามาตบหลังตบไหล่เชื้อเชิญเพื่อนเก่าเพื่อนเกลอ ที่ไม่เจอหน้ากันนานร่วมปี ให้ลงนั่งร่วมโต๊ะ

“ใครจะลืม ฉายาปัญญาอ่อน ชยุตร้อยศพ อะไรของเอ็งนั่นน่ะ”

“แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครคิดทาบรัศมี ทำลายสถิตินะเว้ย”

“ใครเขาจะไปบ้ากะเอ็ง นั่งตบยุงแล้วยังสะเออะเอาซากมานับ แถมยังกล้าแต่งตั้งฉายาตัวเอง มันก็ไอ้แค่ ฉะ-ยุง-ร้อย-ตัว เท่านั้นละว้า”

แล้วสองหนุ่มก็หัวเราะให้กันอีกครั้ง ก่อนที่จะได้พูดคุยเรื่องอื่นต่อไป “ชยุตร้อยศพ” ก็ตะโกนสั่งเบียร์มาเพิ่มอีกสามขวด

“ตั้งแต่กลับมา ข้าติดต่อเอ็งไม่ได้เลยยุต”

“เปลี่ยนเบอร์น่ะ ขี้เกียจรำคาญ”

คนพูดกระดกเบียร์อีกหลายอึก จนหมดแก้วนั่นแล้วจึงรินให้ทั้งตัวเองและเพื่อน

“ว่าแต่เอ็งเถอะ รู้ก็รู้ว่าข้าสิงอยู่แต่ที่นี่ ทำไมไม่แวะมาหาบ้างล่ะ”

คนรินเหล้าส่งให้ เปลี่ยนเรื่องได้แนบเนียน แม้หางเสียงจะสลดลงนิดหน่อย แต่ความที่คนมาสู่หา ก็มีเรื่องหนักใจอยู่ไม่น้อย เลยไม่ทันสังเกตความผิดปกติอันนั้น

“กลับมาก็มัวแต่ยุ่งๆ”

ภาควัตตอบไม่เต็มเสียง และยังหาทางพูดเข้าสู่เรื่องของตัวเองได้ไม่ถนัดนัก

“คิดจะกลับเนื้อกลับตัว เอาการเอางานว่างั้น ทำไม จะเก็บเงินแต่งเมียหรือไง”

“แฟนยังไม่มี จะหาใครที่ไหนมาทำเมียได้ล่ะ”

พอเห็นช่อง เขาจึงพยายามสานต่อบทสนทนานี้ทันที

“เออสิ ลืมไป คนหยั่งเองมันไอ้พวกสันหลังหวะ ต่อให้ไปชุบตัวมาเป็นปีๆ ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาจะยอมมาเป็นเมีย”

แล้วชยุตก็ยื่นแก้วเข้าชน อวยพรเอาฤกษ์เอาชัยกันเสียตั้งแต่แก้วแรก ก่อนที่จะลืม เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ตึงได้ที่ ซึ่งน่าจะในเวลาอันใกล้นี้เอง เพราะภาควัตก็ดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว แล้วก็รินแก้วใหม่ อัดตามเข้าไปอีกตั้งค่อน

“เฮ้ยๆ เบาๆ หน่อยเว้ย ทำยังกะจะมาเลี้ยงฉลองการกลับมา ถ้าเอ็งแดกจนกลิ้ง หรือคิดจะดริ๊งค์แบบแก้วต่อแก้วแล้วจ่าย จะไม่ว่าเลย”

“เป็นไรไปล่ะ มื้อนี้ข้าเลี้ยงก็ได้”

“ไม่ด้าย... ไม่ได้เด็ดขาด เพื่อนกลับมาทั้งที มีหรือจะปล่อยให้มันเลี้ยง มื้อนี้แค่จิ๊บๆ หรอกน่ะ เอาไว้มื้อหน้า เปิดแชมเปญสักเจ็ดขวด เอ็งค่อยจ่าย”

“งั้นสั่งเบียร์มาเพิ่มอีก”

“จะรีบเมาให้ทันกันหรือไงวะ มีอะไรก็ว่าไปเหอะเพื่อน ไม่ต้องเศือกมาเมาย้อมใจ เผื่อข้าจะอาศัยรถกลับด้วย”

ถึงจะมึนเมา แต่สติของชยุตยังปลอดโปร่ง ที่ใครเขาว่า เมาแล้วไม่มีสตินั้น เป็นเฉพาะกับบางคนนั่นหรอก ไม่ใช่กับทุกคน โดยเฉพาะกับคนที่ดื่มเหล้าเป็น รู้จักว่าประมาณไหนถึงจะแตะขีดสุขสนุกครื้นเครง แล้วเลยขีดไหนถึงจะกลายเป็นทุกข์ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง

ภาควัตจึงต้องกระดกจนหมดอีกแก้ว แล้วระบายลมหายใจยาว ทำใจให้พร้อมที่จะเล่า เรื่องราวที่จัดว่าเสียเหลี่ยมไปไม่ใช่น้อยๆ

“เอ็งจำคืนนั้นที่เรานัดเลี้ยงส่งกันได้หรือเปล่า คืนก่อนที่ข้าจะบินน่ะ”

“ใครจะจำไม่ได้ เล่นหลอกให้พวกข้าสั่งเหล้าสั่งกับรอซะโต๊ะเบ้อเริ่ม แต่เจ้าภาพกลับหายต๋อม รู้ไหมว่าข้าน่ะเดือดร้อนที่สุดในคืนนั้น”

เสียงของชยุต แสดงว่าจำได้จริงจัง แถมคำท้ายยังคล้ายจะต่อว่า

“เบียร์เป็นลังละมั้ง ที่ข้าต้องเหมาแด๊กส์อยู่คนเดียว”

แต่พอถึงประโยคท้ายนี้ น้ำเสียงของเขาก็กลับกลาย แล้วก็ถึงกับกล้าหัวเราะเยาะ สีหน้าจริงจังของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“เออ สรุปว่าเอ็งเดือดร้อน แต่ที่เดือดร้อนที่สุดน่ะ ข้าเอง”

“ทำไมล่ะ มื้อนั้นเอ็งไม่ได้จ่ายด้วยซ้ำ ข้าส่งบิลไปให้พ่อแม่เอ็งจ่ายถึงที่บ้าน”

ชยุตยังลอยหน้า ไม่รู้ว่าเมาจริงหรือเมาเล่น จึงสรวลเสเฮฮาได้ออกรสออกชาติถึงขนาดนี้

“ช่างเหอะเรื่องนั้นน่ะ ที่พูดถึงนี่ เพราะผู้หญิงคนนึง”

พอจบคำ คนฟังก็หูผึ่ง ท่าทางที่ทำเป็นมึนๆ กวนๆ ก็กลับเป็นจริงจังขึ้นทันที

“ทำไม ไปพลาดท่า ทำใครเขาท้องได้ล่ะ”

“ไม่ใช่... ที่จริง... ข้า... ไม่ได้ทำอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ”

ภาควัตอึกๆ อักๆ เพราะเรื่องอย่างนี้ หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่มีทางที่ใครจะพูดให้ใครฟัง ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันที่สุดก็ตาม เพราะไม่เช่นนั้น วันดีคืนดี ไอ้เพื่อนผู้ได้รับการไว้วางใจที่สุดนั่นละ จะคายสิ่งที่บอกไว้ว่าจะเก็บเป็นความลับ ออกมาจดหมดเปลือก

“เอาแล้วไง กรรมตามทันแล้วสิเอ็ง ยังไงล่ะ ผู้หญิงคนไหนที่มาบังคับให้เอ็งรับเป็นพ่อของลูกเค้า”

“ไอ้ยุต! หยุดพูดเองเออเองได้แล้ว เรื่องนี้ข้าจริงจัง”

จนภาควัตต้องขึ้นเสียงนั่นละ คนที่ทำท่าจะเมาล่วงหน้าไปก่อน จะพอสงบปากสงบคำขึ้นได้บ้าง

แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อไป สาวๆ กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา ชยุตชะเง้อชะแง้จับจ้องจนตาแทบถลน ซ้ำยังพยักพเยิดให้เพื่อนมองตาม

“นั่นไงล่ะ น้องแพรวพิศุทธิ์ ขวัญใจของข้า”

“นั่นมันนักศึกษา”

“ก็แค่แต่งชุดนักศึกษาเท่านั้นหรอกวะ ไม่เชื่อเอ็งลองเข้าไปดูเข็มกลัดใกล้ๆ สิ สถาบันไหนเค้าจะบอกปีที่ก่อตั้งเป็น ร.ค.”

คราวนี้ภาควัตทำหน้าไม่เชื่อ เพราะ ร.ค. กับ พ.ศ. นั่นช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

“ร.ศ. หรือเปล่า เอ็งมันตาถั่วแหงมๆ”

“ร.ศ. บ้านโคตรคุณพ่อเอ็งสิครับ ร.ศ. สามพันสองร้อยนั่นน่ะ”

“รอศออะไรของเอ็งวะ ตั้งสามพันสองร้อย”

คนฟังชักงง ลืมไปแล้วว่าตนเองกำลังตั้งอกตั้งใจจะพูดเรื่องอะไร

“อ๊ะไอ้นี่ ก็บอกว่า รอคอๆ ไม่ใช่ รอศอ... รอคอ มันย่อมาจาก ราคาเว้ย ราคาสามพันสอง ไอ้สองร้อยน่ะ เค้าตั้งไว้เผื่อใครจะต่อ... หรือจะแปลไอ้รอจุดคอจุดว่า เป็นรอ... ก็ตามใจ”

“แล้วไปรู้จักรายละเอียดเขาได้ยังไง”

“เอ้า! เอ็งนี่โง่ไม่มีที่สิ้นสุด ข้าก็ต้องเคยไปต่อให้เหลือแค่สามพันน่ะสิวะ”

“แล้ว...”

“เด็ด”

ชยุตพูดได้คำเดียว ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดที่ริมฝีปาก

“เค้าเด็ดอะไรของเอ็งไปหรือไง”

“ถ้าจะเด็ดอะไรของข้าไปได้ ก็หัวใจนี่ละโว้ย ที่ข้าฝากฝังไว้ในใจเขา”

คนฟังถอนใจเฮือก พ่นลมออกมาทางปากเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างเพลียๆ หัวใจ

“ดูละครมากไปหรือเปล่า เอ็งน่ะ”

“ก็เศือกถามทำไมว่าเด็ดอะไรไป สะเด็ด... เข้าใจไหม แบบสะเด็ดสะเด่าเขย่าหอกน่ะ เอ็งไม่เคยโดนละสิท่า”

มาถึงตอนนี้ ชยุตคงเมาได้ที่ เพราะเริ่มทำท่าทางประกอบได้อย่างไม่เกรงใจใคร จนคนนั่งด้วยต้องยกมือขึ้นปราม ขณะที่สายตายังทอดมองไปยังกลุ่มสาวๆ ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะพ้นวัยเรียน

พวกหล่อนสั่งคอกเทลสีสวยคนละแก้ว แล้วก็เริ่มกวาดสายตาไปทั่วร้าน ดีว่าตรงมุมนี้ ยังมีต้นเสาบังเอาไว้ ภาควัตจึงรอดจากรอยยิ้มที่พวกหล่อนโปรยหว่านไปพร้อมกันนั้น

“ถ้าชอบอย่างนี้ ข้าว่าเอ็งไปเล่นนัดบอดที่ร้านสุดทางรักไม่ดีกว่าหรือวะ”

เขาหันกลับมาเตือนเพื่อนตรงๆ พร้อมกับยิ่งรู้สึกไม่ดีกับผู้หญิงกลางคืน ที่แต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อพรางจริตมารยาความช่ำชอง เพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

“ที่ซอยปรารถนานั่นน่ะเรอะ เข็ดว่ะ หลังๆ มานี้มีแต่พวกจ้องจะจับเอาเราทำผัว พอบอกว่าแค่สนุกๆ ก็แบมือขอค่าทำขวัญ สู้น้องๆ พวกนี้ไม่ได้”

ยิ่งได้ยินคำพูดของชยุต ภาควัตก็ยิ่งแน่ใจ เธอคนนั้นอาจเป็นหนึ่งในผู้หญิงพวกที่เพื่อนเขากำลังกล่าวถึงอยู่ก็ได้

“ข้ายังเล่าไม่จบ...”

เขาเอ่ยขึ้นเมื่อหมดความสนใจ ต่อนักศึกษาที่การันตีว่าสถาบันตนจะก่อตั้งใน รอคอ สามพันสองร้อย หันมารินเบียร์ให้เพื่อนและตัวเอง ด้วยใจที่คงไม่เป็นสุขนัก เพราะมือยังเขยื้อนจนพรายฟองขาวละมุน ล้นทะลักขึ้นมาทั้งสองแก้ว

“ก็ว่าไปสิ จะมาคุยทับหรือไง ว่าไม่เคยพลาดพลั้งกะผู้หญิงคนไหน”

“เขา... เธอคนนั้น ยังไม่... เป็นเอ็งก็ต้องดูรู้ละวะ ว่าผู้หญิงคนไหน ผ่านอะไรมาบ้างแล้ว”

คราวนี้ชยุตทำเป็นตาลุก แล้วก็ต้องโพล่งออกมาเมื่อนึกขึ้นได้

“แล้วก็ปล่อยให้เนื้อสดๆ ที่ขึ้นไปนอนรอบนเขียงอยู่แล้ว หลุดรอดมีดบังตอของเอ็งไปได้งั้นเรอะ”

ท่าทางประกอบคำถามของชยุต ยังเชือดเฉือนอยู่ในอากาศ ตอนที่ภาควัตตอบกลับไปด้วยนัยน์ตาขวางๆ

“เออ... นั่นแหละ แล้วยังไงต่อ”

พอเจอสายตาคมๆ ของเพื่อนจ้องเขม็งกลับมามา ท่าทางคึกคักของชยุตจึงค่อยได้ห่อเหี่ยวลง

“ตั้งแต่คืนนั้น ก็เลยนึกสงสารผู้หญิงที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรพรรค์อย่างนี้ บอกตามตรงว่า ข้าไม่ได้ยุ่งกับใครมาเป็นปีแล้ว”

คำนี้ทำให้ชยุตตาลุกอีกครั้ง คราวนี้ถึงกับชี้หน้ากันตรงๆ

“น้ำหน้าอย่างมืงเนี่ยนะ...”

ซ้ำยังตามด้วยคำสบถเรียกหาสัตว์เลื้อยคลายตัวลายพร้อย

“ทำไม คนอย่างข้า จะนึกถึงหัวอกลูกผู้หญิงบ้างไม่ได้เชียวเรอะ”

ภาควัตต้องทำเสียงแข็ง และจ้องหน้าเพื่อนเก่าแก่เขม็ง คนตรงข้ามจึงพอจะสงบท่าทางลงไปได้อีกวาระ

ทว่าชยุตก็ยังไม่วายอ้อมแอ้มพึมพำ

“อย่างเอ็ง หัวอกลูกผู้หญิงน่ะเคยมองเห็นที่ไหน เห็นแต่ละที ก็จ้องแต่หน้าอกๆ”

“ยุต ข้าไม่เคยรู้สึกผิดบาปอะไรขนาดนั้นมาก่อนเลยนะ”

“แล้วไง หรือเอ็งคิดจะมาลาบวช”

ชยุตยังไม่วายยวน ทั้งที่ก็เริ่มจับอารมณ์ของเพื่อนได้แล้วว่า ครั้งนี้ภาควัตพูดจาจริงจังกว่าที่เคย

“แล้วปล่อยเขาไปยังไง ทิ้งเขาไว้ที่ไหน ตอนที่หายหัวไปเป็นปี”

“เพราะเขาเมาหรอก คืนนั้นน่ะ ถึงยอมไปด้วยกันกะข้า”

“เอ็งก็กะจะฟันซะให้ราบเรียบ เป็นการสั่งลาก่อนไปเมืองนอก”

“ข้าออกมาก่อน ตอนนั้นเขายังไม่ตื่นด้วยซ้ำ”

“ไอ้เวร... นี่ละที่จะด่าได้เต็มปากเต็มคำ มีแต่ผู้ชายหมาๆ เท่านั้นหรอกวะ ที่พาผู้หญิงเข้าโรงแรมแล้วตัวเองเศือกหนีออกมาก่อน”

ชยุตทำท่าเอื้อมมือมาจะตบศีรษะเพื่อนด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเขาไม่หลบเลี่ยงหรือปัดป้อง ก็ได้แต่ชักมือกลับ

“เอ้า! สรุปซะทีซิ ว่าตกลงเรื่องของเอ็งนี้ มันจะลงเอยยังไง”

แล้วชยุตก็ระบายลมหายใจยาวๆ ออกมาอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะดื่มเบียร์อีกอึก แล้วค่อยตั้งท่า ตั้งใจฟังอย่างเอาการเอางานจริงๆ เสียที

“ข้าเจอเขาเมื่อคืน เปลี่ยนไปจนกลายเป็นคนละคน”

“ยังไง”

“เขาแต่งเนื้อแต่งตัวเชี่ยวน่าดู ไม่เหลือส่วนไหนให้พอจะเดาได้เลย ว่ายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง”

ชยุตนิ่งอยู่อีกอึดใจใหญ่ มองหน้าคนเล่าก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบที่สุด

“ผู้หญิงนะไอ้ภาค ถูกผู้ชายจับแก้ผ้าแล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น ไม่ฆ่าตัวตาย ก็แสดงว่าเข้มแข็งมากนักแล้ว ทำไมไม่คิดบ้างว่า เขาอาจจะกำลังตามหาเอ็งอยู่ก็ได้”




***********************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 22:30:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 22:30:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1630





<< บทที่ ๐๐๖   บทที่ ๐๐๘ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account