น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: บทที่ ๐๐๘

08


อินทุอรลงมาใช้ศาลาริมสวนนี้เป็นที่ผ่อนพัก หลังจากค่อยคิดหักใจได้ว่า หากจะทำตัวเงียบเหงาเซื่องซึมอยู่ต่อไปก็เปล่าประโยชน์ การได้ลงมานั่งทอดสายตาทอดอารมณ์ในที่ที่เธอคุ้นเคยและรู้สึกอบอุ่นอยู่ทุกคราวอย่างนี้ ย่อมน่าจะดีกว่าการมัวหมกตัวอยู่แต่ข้างบน

อย่างน้อยการได้เปลี่ยนบรรยากาศ จากภาพจำเจของเตียงนอนที่นอน มาเป็นแมกไม้เขียวขจี ก็น่าจะทำให้เธอเปลี่ยนมุมมองได้บ้าง ถึงจะเพียงแค่สักแต่ว่าเปลี่ยนสิ่งที่สายตาเห็น โดยไม่ได้ซึมลึกเข้าไปเปลี่ยนความคิดอ่านที่วกเวียนอยู่ในขณะนี้ก็เถอะ

ก็ยังถือว่าให้สายตาได้ปรับเปลี่ยน จากโต๊ะตู้เตียง ในห้องที่คล้ายๆ กับที่ได้ตื่นมาพบเจอในวันนั้น

อินทุอรมักใช้ศาลาริมสวนนี้เป็นที่พักใจ ยามใดที่รู้สึกอ่อนล้า ไม่ว่าจะเป็นการต้องทนรองรับอารมณ์ของคุณโสภาพรรณ หรือเรื่องราวอื่นใด เธอก็จะมาใช้มุมสงบตรงนี้ เป็นที่เพาะบ่ม เรียกกำลังใจกำลังกายให้กลับคืน

แม้ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนขึ้นใกล้กลางฟ้า แต่ศาลาริมสวนในยามสายจัดอย่างนี้ ยังมีร่มไม้ใบบัง ให้ร่มเงาและความชื่นตา อีกทั้งความชอุ่มชุ่มชื้นจากในสวน ยังแผ่ผ่านมาให้ได้สัมผัส

เขตสวนด้านนี้ ปลูกไม้ผลยืนต้น ที่แต่ละต้นยืนยงสูงใหญ่ ล่วงเลยวัยผลิดอกออกผลมานานนักแล้ว แต่บิดาก็ยังปล่อยให้เป็นร่มเงาอยู่ต่อไป ไม่ยอมตัดฟันปลูกใหม่ตามคำของคุณโสภาพรรณ เพราะทั้งศาลานี้และหมู่ไม้ในสวน ล้วนคือเครื่องเตือนความทรงจำ เมื่อครั้งที่บิดาลงแรงร่วมใจกับมารดา ปลูกไม้แต่ละต้น ด้วยสองแรงกายและแรงใจร่วมกัน

อินทุอรจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่า ที่ตรงนี้คือเครื่องบันทึกเรื่องราว ความรักความหลังของชีวิตคู่หนึ่ง ที่ว่าหากมารดาไม่มาด่วนจากไปเสียก่อน ครอบครัวของเธอคงเป็นสุขได้เต็มสุข ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่นี้ไม่รู้กี่หมื่นแสนเท่า

“เห็นคุณพ่อบอกว่าไม่สบาย แล้วลงมาตากแดดทำไมล่ะอินทุ์”

พันธกานต์เอ่ยทักน้องสาวตั้งแต่ยังเดินไม่ถึงใต้ร่มศาลา

เขาตามเธอลงมา หลังถามหาจากคุณสาวิกาผู้เป็นแม่บ้าน รายนั้นยังฝากให้ชักชวนกันกลับเข้าไปในบ้าน เพราะเกรงว่าความป่วยไข้ของหญิงสาวจะกลับมาสุมรุม

“ออกมานั่งตากลมเย็นๆ ก็สบายใจดีค่ะพี่พันธ์”

อินทุอรตอบเรื่อยๆ โดยยังไม่ได้หันไปมองพี่ชายร่วมบ้านอย่างเต็มตา จึงยังมองไม่เห็นว่า แววตาที่ทอดมองมานั่น อาทรห่วงหาสักเพียงไหน

เมื่อพันธกานต์เข้ามาถึง ก็นั่งลงใกล้กับเธอ ผู้เป็นน้องสาวที่ไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขเกี่ยวข้องกัน แต่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันมากว่ายี่สิบปี

“แต่คุณสาบอกว่าไข้จะกลับ”

“อินทุ์แค่เครียดๆ นิดหน่อยเท่านั้นหรอกค่ะ”

“ไหน ดูซิ”

แม้หญิงสาวจะปฏิเสธ แต่เขาก็ยังไม่วายเลื่อนหลังมือไปแตะหน้าผากของเธอ แล้วมาแตะเทียบกับผิวเนื้อของตนเอง

“ไงคะ ของพี่พันธ์จะร้อนกว่าน่ะไม่ว่า เพิ่งเดินฝ่าแดดร้อนๆ”

อินทุอรไม่ได้รู้สึกผิดแปลกกับการกระทำดังนั้นของชายหนุ่ม เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ในบ้าน ตั้งแต่ครั้งเป็นพี่ชายของน้องสาวตัวเล็กๆ เขาก็เฝ้าดูแลเธอยามป่วยไข้หรือไม่สบายใจมาโดยตลอด

“งั้นก็เป็นไข้ใจละซี”

คราวนี้พันธกานต์ถามแกมหยอก แต่หญิงสาวถึงกับน้ำตารื้น ก่อนที่เธอจะรีบปาดมันทิ้งเสียทันที

“มันทรมานมากนะคะพี่พันธ์ ถ้าความรู้สึกที่อินทุ์กำลังเป็นอยู่นี้ เรียกว่าไข้ใจ”

“แต่ไข้ใจ รักษาได้โดยการไม่เก็บเรื่องที่มันอัดอยู่ในใจ ไม่ให้มันค้างคาเป็นพิษภัยแก่ตัว แก่ใจ แก่ความรู้สึกนะอินทุ์”

พันธกานต์ปลอบประโลม ด้วยน้ำคำอันเปี่ยมไปด้วยความรักความทะนุถนอม เขาเลื่อนมือมากุมมือน้องสาวเอาไว้ โดยที่เธอก็ยังปล่อยให้เขาเกาะกุมเอาไว้อย่างนั้น อยู่อีกเป็นนาน

“เรื่องของปริยัตินั่นทำให้อินทุ์ต้องคิดมากขนาดนี้เลยหรือ”

“ค่ะ... เพราะตอนนั้นไม่ได้คิดมาก ตอนนี้เลยคิดไม่ตก”

“พี่นึกว่าสองคน จะตกลงกันได้แล้วเสียอีก คิดว่าที่เคยไปไหนด้วยกัน ก็เพราะต่างฝ่ายจะได้ตัดความรำคาญ กับเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย”

“ทำไมพี่คิดอย่างนั้นล่ะคะ”

“ก็... พี่ไม่เคยเห็นน้องอินทุ์สวมแหวนหมั้น ตั้งแต่วันหมั้นนั่นแล้วด้วยซ้ำ”

คำนี้พอจะทำให้อินทุอรยิ้มออกมาได้บ้าง

“พี่พันธ์นี่ช่างสังเกต”

“น้องสาวของพี่ทั้งคน ก็ต้องรักต้องห่วงเป็นธรรมดา”

“แต่เรื่องนี้คงยากนะคะ ที่จริงอินทุ์ก็อยากจะปรึกษาพี่พันธ์ แต่ก็...”

แม้ว่าอินทุอรจะหมายความไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง แต่พันธกานต์ก็ยังเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เธอไม่เต็มใจจะแต่งงานกับปริยัติ เขาจึงเสนอตัวในการแก้ไขเรื่องนี้

“หรือน้องอินทุ์จะให้พี่ไปคุยกับปริยัติ ให้เขาเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นดีไหมล่ะ คุณแม่พี่จะได้ไม่ว่ากระไรมากนัก”

“คุณน้าโสภาเพิ่งจะออกไปพบคุณปรางทองนะคะพี่พันธ์”

อินทุอรเพิ่งจะมองหน้าพันธกานต์ตรงๆ ก็ตอนนี้ เธอยิ้มใส ส่งสื่อความขอบคุณในน้ำใจให้เขาเห็นได้แจ่มแจ้งจากแววตา

“ปัญหาทุกอย่างมันต้องแก้ไขได้สิอินทุ์”

“ปัญหาทุกอย่างมันก็แก้ไขได้ทั้งนั้นละค่ะ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะหาปมปัญหาเจอหรือเปล่า ถ้าเรายังหาปม หาต้นตอของปัญหาไม่เจอ เราก็ไม่รู้จะเริ่มแก้ไขมันยังไง จริงไหมคะ”

“แล้วปมปัญหาของอินทุ์จริงๆ คืออะไร จะเล่าให้พี่ฟัง ให้พี่ช่วยแก้เหมือนอย่างที่เคยไม่ได้เลยหรือ”

มือใหญ่แน่นเนื้อที่กุมมือเธออยู่นั้น ยิ่งกุมกระชับให้รู้ว่าเขาพร้อมจะรับฟังปัญหาของเธอได้ทุกเรื่องจริงๆ

แต่อินทุอรเพียงแค่ระบายลมหายใจยาว สำหรับพันธกานต์เธอจะปรึกษาอะไรก็ได้ทุกเรื่องนั่นละ... ยกเว้น... เรื่องนี้

“ไว้ให้อินทุ์จนแต้มจริงก่อนนะคะ รับรองว่าจะร้องไห้ขี้มูกโป่งมาฟ้องพี่พันธ์เป็นคนแรก”

“สัญญานะ”

“ค่ะ กลัวแต่ว่าพอถึงวันนั้น พี่พันธ์จะซ้ำเติมน้องน่ะสิ”

“พี่เคยทำอย่างนั้นเมื่อไหร่กัน”

“ไม่เคยทำ ก็ใช่ว่าจะไม่ทำนี่คะ”

ตอนนี้อินทุอรเริ่มรู้สึกว่า มือใหญ่ที่กุมมือเธออยู่นั้น ชักจะแนบนิ่งอยู่นานไปแล้ว จึงค่อยปลดมือตนเองออกอย่างสุภาพ ขยับมายืนมองน้ำในร่องสวนอีกด้านหนึ่ง

ฝูงจิงโจ้น้ำยงโย่อยู่เหนือแผ่นน้ำใสเย็น พวกมันทอคลื่นวงเล็กละเอียดสานต่อกันได้อย่างน่าชม จอกแหนใบนุ่มแลคล้ายผืนกำมะหยี่สีนวลตอง ลอยน้ำนิ่งอยู่อย่างสบายใจ ใต้ผืนน้ำมีลูกคลอกสีสด พรูว่ายวนเวียน เหมือนมีเม็ดพลอยสีส้มอมแดง กลิ้งไปมาอยู่ภายใต้ผืนแก้วแผ่นบาง

อึดใจต่อมา แม่คลอกนั้นก็ฮุบเหยื่อ ฮวบเอาตรงฝูงจิงโจ้น้ำนั่นเอง จนทั้งฝูงแตกกระจัดพลัดพราย ดอกจอกผืนแหน ก็พลอยกระเซ็นกระสาน กระเจิงออกจากความนิ่งสงบ

อินทุอรใจหาย แม้จะรู้ดีว่าทุกชีวิตมีวงจร มีวัฏจักรชีวิตเป็นของตนเอง แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ไยโลกนี้จึงช่างสานต่อให้แต่ละชีวิตมาเกี่ยวพัน ในแบบที่ต้องมอบความทุกข์ยากให้แก่กันเช่นนี้

ภาพอันน่ามองกลับไม่น่าชม แม้ในครู่ถัดมา พื้นน้ำจะกลับสู่ความเป็นปกติ จอกแหนกลับมาแผ่ผืน จิงโจ้น้ำเคลื่อนกลับมารวมหมู่ และลูกคลอกนั้นว่ายเวียนพลิกฝูงซ้ายขวาขึ้นลงต่อไป หัวใจของอินทุอรก็แห้งแล้งเสียเกินกว่าจะเห็นว่ามันเป็นภาพอันชวนรื่นรมย์ได้อีกแล้ว

“อินทุ์...”

เสียงแผ่วกระซิบเรียก มือหนึ่งแตะลงเบาๆ ที่หัวไหล่ของเธอ

หญิงสาวหันกลับมาตามเสียง แล้วก็ต้องถอยไปนิดหน่อย เพราะพันธกานต์ตามมายืนอยู่ในระยะประชิดเหลือเกิน

“พี่มีบางอย่างจะคืนให้อินทุ์ นั่งลงก่อนสิ...”

“อะไรหรือคะ”

เธอนั่งลงอย่างว่าง่าย พยายามมองหาความนัยที่ซ่อนไว้หลังนัยน์ตาคมซึ้งชวนฝันนั่น

เขาตามลงนั่งเคียง สีหน้านั้นเหมือนลำบากใจพอสมควร ก่อนจะล้วงแหวนเล็กๆ วงหนึ่งออกมาให้เห็น

“อะไรกันคะพี่พันธ์”

อินทุอรต้องตกใจ ไม่คิดว่าคนที่ตนนับถือประหนึ่งพี่ชายแท้ๆ จะทำเช่นนี้”

“อย่าเข้าใจผิดนะอินทุ์”

“ก็... แหวน...”

“มันเป็นของอินทุ์”

“ไม่ค่ะ อินทุ์ไม่เคยมีแหวนอย่างนี้”

พร้อมกับการเอ่ยปาก เธอก็ขยับถอยไปจนชิดมุมเสา

“พี่พันธ์ทำอย่างนี้มันก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นหรอกค่ะ อินทุ์จะยิ่งลำบากใจมากขึ้นด้วยซ้ำ”

“ฟังพี่ก่อนนะอินทุ์”

พันธกานต์ขยับตาม พร้อมกับยื่นแหวนให้อินทุอรเห็นได้ชัดๆ

เพชรรูปหยดน้ำ ล้อมด้วยเพชรซีก บนเรือนแหวนทองคำสีคร่ำ พอพิจารณาให้ดีจึงเห็นว่าเป็นของเก่าแก่ แต่น้ำเพชรนั่นก็ยังวาววับสุกใส จนเธออดจะมองซ้ำไม่ได้

“ของเก่าหรือคะ...”

“ของเก่า... น่าจะเป็นของคุณแม่อินทุ์”

พอพันธ์กานต์เริ่มเท้าความ ภาพในวันเยาว์ก็เริ่มคลับคล้าย แม้จะไกลแสนไกล แต่ความทรงจำที่หมุนย้อน ก็พอจะทำให้อินทุอรทบทวนภาพของวันวานอันไกลโพ้นนั้นได้ไม่ยากเย็น

“แหวนของคุณแม่ อินทุ์จำได้ว่าท่านสวมติดนิ้วอยู่เสมอ”

“พี่ขอมาคืนให้อินทุ์”

“จากคุณน้าโสภาน่ะหรือคะ”

“ใช่... พี่คิดว่ามันน่าจะมีค่ามากกว่าเมื่ออยู่กับอินทุ์”

ท่าทางของพันธกานต์ ที่ยื่นมือมาดึงมือของเธอ ทำให้หญิงสาวนึกตะขิดตะขวงใจ จนต้องใช้อีกมือรีบฉวยแหวนนั้นมาเพ่งพิศ เป็นทีว่าสนอกสนใจอยู่มากนัก

แล้วพันธกานต์ก็ถอนหายใจ เหมือนผิดหวังอะไรบางอย่าง แต่เขาก็เคลือบคลุมมันไว้เสียด้วยน้ำเสียงแห่งน้ำใสใจจริง

“รับไว้เถอะอินทุ์ มันควรจะอยู่กับอินทุ์มากกว่าใครอื่น”

“คุณน้าโสภาจะยอมหรือคะ”

อินทุอรยังไม่แน่ใจ

“คุณแม่ให้มาด้วยความยินดี ที่จริงท่านก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรนักหรอก”

พันธกานต์ยืนยันอย่างยิ้มๆ ไม่ได้บอกหรอกว่า ที่ยินดีนั้น คือมารดาของตนยินดีที่จะมอบให้ ตราบใดที่เขาจะช่วยปกปิดเรื่องที่หล่อนนำเครื่องประดับบางชิ้นไปเปลี่ยนเป็นเงิน สำหรับหมุนเวียนเพื่อการสำเริงอารมณ์ภายในบ่อนการพนัน

“รอคุณน้าให้อินทุ์เองกับมือไม่ดีกว่าหรือคะ พี่พันธ์มาให้อินทุ์อย่างนี้ เดี๋ยวคุณพ่อเห็นเข้า จะเอ็ดเอาหรือเปล่าคะ”

“อินทุ์ก็บอกคุณพ่อว่า แม่พี่ให้ไว้ เพราะเห็นว่าเป็นสมบัติเดิมของแม่น้องอินทุ์”

“งั้นก็รอให้คุณพ่อยกให้”

“อินทุ์ พี่ว่าคุณแม่พี่คงคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อตั้งนานแล้วละมั้ง พี่เป็นคนอาสาคุณแม่เองว่าจะเอามาให้อินทุ์ ก็... นานแล้วเหมือนกัน”

“นานแล้ว...”

อินทุอรต้องทวนคำ ไม่แน่ใจว่าที่นานแล้วนั้น นานขนาดไหน

“เอาเถอะน่ะ สรุปว่ามันเป็นแหวนของอินทุ์ แหวนของคุณแม่อินทุ์ เป็นสมบัติของอินทุ์โดยชอบธรรม ที่เราทุกคนต่างก็รู้ว่าอินทุ์มีสิทธิ์เต็มที่กับแหวนวงนี้”

แม้อินทุอรยังลำบากใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไล่ปลายนิ้วไปตามเรือนแหวน ในใจสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่มารดาเคยโอบกอด ราวกับแหวนวงนี้ฝังรอยความผูกพันอบอุ่นรอไว้ให้เธอจริงๆ

นิ้วนางข้างขวานั้นคับแน่นเกินไป ครั้งลองกับนิ้วก้อยก็กลับหลวม เธอจึงต้องย้ายมาลองสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย มันสวมลงได้พอดีอย่างสบาย และมั่นใจว่าจะไม่เลือนหลุด อินทุอรยกมือไหว้ขอบคุณพันธกานต์ ขณะที่ภายในก็บอกกับตัวเองว่า จะไม่ถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วเป็นอันขาด

ความอบอุ่นแผ่ซ่านสู่กลางใจ หัวใจที่แห้งแล้งคล้ายได้รับการชโลมรดจากหยาดฝนอันชุ่มฉ่ำ เธอใช้อีกมือกุมมือของตนเองแนบไว้กับอก เป็นสุขจนเผลอจุมพิตลงกับแหวน ก่อนจะส่งยิ้มชื่น พร้อมคำถามไปให้คนที่พลอยอมยิ้มตามไปด้วย

“แล้วแหวนของพี่พันธ์เองล่ะคะ เคยหาไปสวมให้สาวคนไหนบ้างแล้วหรือยัง”




“คืนนี้จะออกไปไหนหรือเปล่าภาค”

คุณแวววิไลก็ถามบุตรชายขึ้นลอยๆ ระหว่างใกล้จะจบมื้ออาหารเย็น

“เปล่าครับ พรุ่งนี้มีประชุม ว่าจะรีบเข้านอน”

ภาควัตตอบเรียบๆ ก่อนจะเอื้อมมาจิ้มส้มโอกลีบอวบใหญ่เข้าปาก แต่เมื่อเห็นมารดายังนั่งมองนิ่งอยู่ จึงต้องเป็นฝ่ายถามกลับไป

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่านี่...” คุณแวววิไลปฏิเสธบ้าง “...เพียงแต่หมู่นี้เห็นภาคใจลอยๆ ชอบกล”

“คงอย่างนั้นละครับ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

ชายหนุ่มพยายามปรับน้ำเสียง ไม่ให้ดูจริงจังเกินไปนัก

“แสดงว่ายังคิดไม่ตก... ถ้าจะให้แม่เดา...”

“อย่าเดาเลยครับ เดี๋ยวเอาถูก ผมขี้เกียจจะต้องมานั่งเท้าความ”

ท้ายคำ ภาควัตเติมเสียงหัวเราะเพิ่มให้อีกด้วยซ้ำ เพื่อแสดงว่ายังขำได้กับเรื่องที่คิดไม่ตกอันนี้

“แต่ก็ยังคิดไม่ตก”

ทว่ามารดายังย้ำ

“...ครับ”

บุตรชายจึงต้องรับคำเบาๆ

“แม่จะบอกให้นะภาค บางอย่างถ้าเรากำมันไว้จนแน่น กุมเอาไว้จนมิด บางทีเราก็มองไม่เห็นเหมือนกันนะว่า เรากุม เรากำอะไรเอาไว้ สู้แบมือออกมา แล้วพิจารณาดูมันดีๆ ไม่ได้”

คุณแวววิไลไม่ถามหรอกว่า เรื่องที่ภาควัตยังคิดไม่ตกนั้นคือสิ่งไร โดยข้ามไปแนะนำหนทาง หรือวิธีหาทางออกเสียเลย

“หรือบางที หากว่าแบมือออกมาแล้ว ก็ยังดูไม่ออกว่าไอ้สิ่งที่กำที่บีบอยู่นั่นคืออะไร ก็อาจต้องใช้สายตาคนอื่นช่วยพิจารณา”

ขณะนี้ ในโต๊ะอาหารไม่ได้มีเพียงภาควัตกับมารดา แต่ยังมีนายภากร นั่งร่วมอยู่ด้วย เพียงแต่ผู้เป็นบิดามักจะปล่อยให้คุณแวววิไล เป็นฝ่ายพูดจากับบุตรชายเป็นส่วนมาก

“แม่คิดว่า ถ้าผู้ชายเขาคิดจะแต่งงาน ครองคู่ชีวิตกับผู้หญิงสักคนนี่ ผู้หญิงคนนั้นต้องมีคุณสมบัติยังไงบ้าง”

คุณแวววิไลทำท่าเหมือนได้ยินไม่ถนัด เมื่ออยู่ๆ บุตรชายก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา

“เอ่อ...” พอไม่ได้เตรียมตัว ก็ไม่รู้จะตอบให้ไปทางไหน

“พ่อล่ะครับ ทำไมถึงเลือกแม่”

คราวนี้บุตรชายหันไปถามบิดา ซึ่งขะมักเขม้นอยู่กับการแก้ปริศนาอักษรไขว้

“ก็แม่เขาสวย รวยเสน่ห์ เป็นคนดีสมบูรณ์พร้อม”

จบคำของสามี ผู้ที่ยังไม่ละสายตาจากตารางสี่เหลี่ยม คุณแวววิไลก็ตีเผียะเข้าที่ต้นแขน ค้อนให้อีกหลายขวับ เพราะคำที่เอ่ยออกมา เหมือนสักแต่ว่าให้มันแล้วๆ ไปเท่านั้น

“คุณละก็... เงยหน้าขึ้นมาดูลูกหน่อยก็ได้ค่ะ”

นั่นละ นายภากรจึงค่อยทำตามคำของภรรยา

“ทำไมหรือภาค เลือกไม่ถูกหรือยังไง”

แล้วบิดาก็ถามเลยไปอีกไกลโข ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงตามเดิม

“ยังไม่มีใครมาให้เลือกหรอกครับ เพียงแต่ผมไม่แน่ใจ...”

“หนูพิมพิ์ไงล่ะ ที่แม่เขาบรรจงจัดใส่พานมาให้นั่นน่ะ”

“อย่าล้อผมเล่นเลยครับ ใครก็ไม่รู้ ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันด้วยซ้ำ”

ภาควัตรีบปฏิเสธ รู้สึกละเหี่ยใจไม่น้อย กับอาการยัดเยียดของคุณโสภาพรรณที่ทำราวกับว่า กลัวลูกสาวจะขายไม่ออก

และพอพูดกันมาถึงตรงนี้ นายภากรก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ท่าทางเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

“แย่ละๆ ลืมไปเลยว่าคุณอิศราเขาเชิญเราไปกินข้าวเย็น”

“เมื่อไหร่คะ”

“สองชั่วโมงที่แล้ว...”

แต่สีหน้าอย่างนั้น มีหรือที่คุณแวววิไลจะตามไม่ทัน

“ลืมจริงๆ หรือตั้งใจจะลืมกันแน่คะคุณ”

“ก็... จริงๆ ก็ตั้งใจจะลืมนั่นละ... แต่ยังไม่ได้รับปากอะไร เขาก็ตัดสายไปก่อน ผมว่าเขาออกจะเร่งรัดมากเกินไปหน่อย”

“ไม่หน่อยหรอกค่ะ มีอย่างที่ไหน พอแววบ่ายเบี่ยงเข้านิด ก็สายตรงไปทางคุณ ดีอยู่ว่าเมื่อวานลูกสาวเขาแสดงอิทธิฤทธิ์ ไม่ยอมให้ถูกจับคลุมถุงชน นี่นึกว่าจะยอมถอยไปตั้งหลักสักเดือนสองเดือน แต่กลับโทร.มานัดอีกแล้วหรือคะ”

คุณแวววิไลก็นึกเอือมทางโน้นเหมือนกัน เพราะรู้จักกันยังไม่ทันไรก็ทำราวกับว่าสนิทสนมกันมายาวนาน

“หรือว่าจะให้เด็กๆ มันได้เจอกันเป็นเรื่องเป็นราว ทางแม่เขาจะได้เลิกยุ่ง ดีไหมภาค”

บิดาหันมาถามบุตรชาย ที่กำลังเพลิดเพลินกันรสชาติหวานชื่นของผลไม้ชนิดที่ตนโปรดปราน

ด้วยว่าของกินยังเต็มปาก ภาควัตจึงได้แต่ส่ายหน้า

“ก็ให้พวกลูกๆ ไปตกลงกันเอง ไม่ใช่ ไม่ชอบ ก็บอกกันไปตรงๆ พวกหนุ่มสาวสมัยนี้เค้าชัดถ้อยชัดคำกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“งั้นก็บอกไปเลยสิครับ ว่าผมยังไม่พร้อมจะมองใคร”

เคี้ยวจนหมดปากนั่นแล้ว เขาจึงได้ตอบคำ

“ทางโน้นจะไม่มองว่าแกเป็นพวกโฮโมไปหรอกเรอะ”

คำนี้ของบิดา ยังกลั้วหัวเราะเสียด้วยซ้ำ

“ธ่อ~! พ่อ... ที่ผมต้องระเห็จไปอยู่โน่นตั้งนาน มันเพราะเรื่องอะไรล่ะครับ”

ภาควัติถึงกับคราง เพราะทุกคนในโต๊ะอาหารต่างก็รู้ดี ว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีทางจะเบี่ยงเบนแน่ๆ แต่ผู้เป็นมารดายังไม่วายตั้งข้อสังเกตต่อไป

“หรือภาคอาจจะเบื่อผู้หญิง”

“คุณนายแวววิไลขอรับ อย่ามาลุ้นเสียให้ยากเลยว่าผมจะเบื่อผู้หญิงได้ง่ายๆ ถ้าจะเบื่อ... ก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้นละ”

ว่าพลางเขาก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้บิดา จนสตรีผู้เดียวในโต๊ะชักร้อนตัว

“ทำไม หาว่าแม่จู้จี้น่าเบื่องั้นรึ”

“เปล๊า!... เปล่าเลยนะครับ ถ้าโลกนี้มีผู้หญิงสาวๆ ที่สวยๆ อย่างแม่อีกสักคน ผมจะรีบขอเธอแต่งงานเลยทีเดียวเชียว”

ภาควัตทำเสียงล้อๆ รู้สึกว่าอารมณ์ผ่อนคลายไปได้ไม่น้อย แม้ในใจจะวนเวียนอยู่กับคำถามแรกที่ยังไม่ได้รับตอบนั่นก็ตาม

“แล้วผู้หญิงคนไหนล่ะที่บอกว่าเบื่อ ใช่คนที่ได้ข่าวว่าควงๆ กันอยู่นี่หรือเปล่า”

คุณแวววิไลรีบคว้าจังหวะ ทันทีที่เห็นว่าเขาน่าจะพลอยนึกสนุกในการตอบคำ

“สายสืบของแม่นี่หูตาไวดีจริงๆ”

“แสดงว่าจริง ลูกเต้าเหล่าใครกันอีกล่ะ”

“อย่าใช้คำว่า อีก สิครับ ชีวิตนี้ผมยังไม่เคยคบหากับใครจริงๆ จังๆ สักหน่อย”

“นั่นคือปัญหาของแกละภาค”

คำนี้เป็นของนายภากร ที่เป็นอันว่าต้องเลิกเล่นปริศนาอักษรไขว้ไปโดยปริยาย

“ผมคิดว่าจะหยุดแล้วละครับ และที่จริง... ผมก็หยุดมาตั้งนานแล้ว”

“สรุปว่าสาวคนนั้นเป็นใคร คนที่ภาคกำลังควงอยู่น่ะ”

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำท่าจะพูดอ้อมโลกหลบหลีกคำถามสำคัญไปได้ คุณแวววิไลก็ต้องรีบรั้งกลับมา

“ผมว่าคุณแม่รู้แล้ว...”

เขาหรี่ตามองมารดา มองเห็นเลศนัยในรอยอมยิ้มนั้นได้ชัดเจน

“มีคนอื่นอีกไหมภาค”

น้ำเสียงในคำถามของมารดาแสดงความห่วงใยอย่างชัดแจ้ง

“ไม่รู้สิครับ”

“แสดงว่ามี”

“ก็... อาจจะ...”

“เลยคิดไม่ตกละสิว่าจะเลือกใคร”

ในที่สุดมารดาก็เรียบเรียงสาเหตุแห่งอาการใจลอยของบุตรชายได้ชัดเจน

“คุณละก็ มาตะล่อมถามอยู่ได้เป็นนานสองนาน ภาคมันก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่ากำลังมีปัญหาหัวใจ”

นายภากรแกล้งถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ทำท่าจะเปลี่ยนไปเล่นเกมค่ายกลตัวเลขแทน แต่ชำเลืองไปเห็นแววตาขุ่นๆ ของภรรยาเสียก่อน จึงต้องกลับมาตั้งท่าเป็นการเป็นงาน แล้วพูดกับบุตรชายอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น

“เมื่อกี้ ถามว่าอะไรนะ”

“การที่ผู้ชายสักคนจะเลือกผู้หญิงมาเป็นคู่ชีวิต เขาเลือกกันด้วยอะไรครับ”

“ภาคอยากได้แค่เมีย หรืออยากได้แม่ของลูกล่ะ”

“ยังไงครับ”

“ถ้าจะหาแค่เมีย ใช้แค่ความรักอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าจะหาแม่ของลูก ต้องดูความเหมาะสมอื่นๆ ด้วย นิสัยใจคอ การบ้านการเรือนอะไรต่างๆ ก็...”

ผู้พูดเว้นระยะเพื่อหันไปยิ้มกับภรรยา เลื่อนมือไปกุมมือคู่ชีวิตเอาไว้

“อย่างคุณนายแวววิไลคนนี้ พ่อเลือกเพราะอยากจะให้ลูกของพ่อมีแม่ที่ดี แล้วแม่เขาก็เป็นแม่ที่ดีจริงๆ เขาก็คงรู้ตัว เลยพยายามจะเป็นแม่ของพ่ออีกคน...”

นั่นละ สาเหตุที่นายภากรต้องยึดมือของคุณแวววิไลเอาไว้เสียก่อน

แล้วทั้งพ่อแม่ลูกก็หัวเราะหัวใคร่กันได้อีกคำรบหนึ่ง

“พ่อจะบอกอะไรให้นะภาค ถามใจตัวเองให้ได้เสียก่อน ว่าจะทนอยู่กันไปจนวันตายได้หรือเปล่า”

ภาควัตอดพิจารณากิริยาอาการของคู่ชีวิตตรงหน้าไม่ได้ บ่อยครั้งที่เขาแปลกใจ ว่าทำไมบิดาที่ทำท่าเกรงอกเกรงใจภรรยาเสียเหลือเกิน กลับสามารถบอกให้เธอทำนั่นทำนี่ได้ทั้งนั้น ขณะที่มารดาที่มีมักแสดงอาการ “ข่มๆ” สามีอยู่ในที ยอมทำเรื่องเหล่านั้นได้อย่างว่าง่าย

“ต้องถามคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตกับเราด้วยหรือเปล่าครับ ว่าพร้อมไหม”

แทนคำตอบ นายภากรก็หันไปถามเอากับภรรยา

“ผมเคยถามคุณไหม”

“จำไม่ได้หรือคะ”

“ที่ถามกลับนี่ หรือคุณเองที่จำไม่ได้”

“จำได้ซิคะ คุณนั่นละที่ลืม อย่ามาแกล้งถามกันหน่อยเลย”

“ผมก็จำได้”

“จำได้ ก็บอกลูกไปซี”

ภาควัตอดยิ้มให้กับภาพตรงหน้า นึกเลยไปถึงอนาคตของตนเอง ว่าจะมีโอกาสพบคู่ชีวิต ที่เหมือนมีชีวิตเป็นของกันและกันอย่างนี้ ได้บ้างไหม

“พ่อเคยถามแม่เขาแค่ครั้งเดียว...”

แววตาของนายภากรพราวขึ้นมาอย่างเปี่ยมสุข สายตาจับนิ่งอยู่กับดวงตาของคุณแวววิไล ที่ตอนนี้ก็ซาบซึ้งเสียจน น้ำตาคลอๆ ออกมาเหมือนกัน

“...พ่อ... ถามแม่เขาว่า... จะแต่งงานกับผมได้ไหมครับ”

แล้วนายภากรก็โน้มหน้าไปหอมแก้มภรรยาดังฟอดใหญ่

“แล้วแม่ว่ายังไงมั่งครับ”

“ก็... เสร็จพ่อ”

นายภากรยิ่งยิ้มกว้างตอนตอบคำ

“ไม่ใช่อย่างนั้นสิพ่อ เอาตอนที่พ่อขอแม่แต่งงาน”

“แม่เขาไม่ได้ตอบอะไรสักคำ”

คราวนี้คุณแวววิไลพยักหน้าหงึกหงักเป็นการยืนยัน

“อ้าว...”

“ก็บอกแล้วไง ว่าสำมะเหร็จ”

“ก็แม่ไม่ตอบ...”

“แม่ไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่เขาพนักหน้าหงึกๆ จนคอแทบหลุดละมั้ง ก่อนที่จะกอดแล้วหอมพ่อทั้งซ้ายทั้งขวา”

ถึงตรงนี้ ผู้เป็นมารดาคงเขินจัด จึงทั้งหยิกทั้งทึ้งคนพูดอย่างไม่ปรานี

“แล้ว... เกี่ยวอะไรกับคำถามเรื่องพร้อมจะทนเป็นคู่ชีวิตกันได้ล่ะครับ”

“ก็ที่แม่เขาตอบรับไง ที่พ่อขอเขาแต่งงานนี่ละ แสดงว่าแม่เขาก็พร้อมแล้วที่จะร่วมชีวิตกับคนอย่างพ่อ”

อาหารมื้อนี้รื่นรมย์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันทำให้ภาควัตมองโลกได้สดใสขึ้นอีกมากมาย แล้วเขาก็นึกตัดสินใจบางอย่างได้ทันที

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องถามให้รู้เรื่องบ้างแล้วละ”

เขาเอ่ยออกมาท่ามกลางอวลไอแห่งความสุข ที่ล่องลอยอยู่รอบตัว

“คืนนี้ผมขอออกไปข้างนอกหน่อยนะครับ”

อาจเรียกได้ว่าภาควัตใช้จังหวะชุลมุนในการขออนุญาตคราวนี้

“ไปเถอะภาค บางอย่างน่ะ ยิ่งชัดเจนเร็วเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีแก่ทุกฝ่ายเร็วขึ้นเท่านั้น”

คุณแวววิไลเป็นคนเอ่ยปากอนุญาต ขณะที่ยังพยายามแกะอ้อมกอดของสามีอยู่เป็นพัลวัน จนไม่ทันได้เห็นว่า บุตรชายยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ตอนไหน ได้ยินเพียงแต่เสียงที่เขาถามออกไปว่า

“หลิว... คืนนี้ว่างหรือเปล่า ออกมาพบกันหน่อยได้ไหมครับ”


****************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 22:31:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 22:31:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1636





<< บทที่ ๐๐๗   009 >>
Edelweiss 22 เม.ย. 2555, 22:39:27 น.
สรุปภาคกะอินทุ์ก็ยังไม่เจอกัน...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account