14ปีฤารักนี้คือนิรันดร์
พรไพลิน หญิงสาวนัตย์ตาหวานอมเศร้าซึ่งเคยมองโลกในแง่ดีนั้น กลับต้องกลายเป็นคนที่หม่นหมองเพราะสูญเสียคนที่ตนรักไปในอุบัติเหตุถึงสองคน แต่เธอก็ยังมีกำลังใจเพราะยังมีผู้ชายที่ตนเองรักและผูกพันตั้งแต่วัยเด็กอย่างเตชินท์ คนที่เธอเปรียบเขาเหมือนกับเทพบุตรที่อยู่บนฟากฟ้า
ทว่าวันหนึ่งชะตากลับเล่นตลกกับคนทั้งคู่ เมื่อเตชินท์ไปเรียนต่อเมืองนอกจนจบปริญญาโท และกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง แต่สาวน้อยคนที่รักและบูชาเขาอยู่เสมอ สาวน้อยที่เขาบอกตัวเองว่าต้องคอยปกป้องเธอ กลับหนีไปอยู่ข้างๆ พี่ชายต่างมารดาของตนเองแทน
14 ปีแห่งความรักของคนทั้งคู่จึงดูเหมือนใกล้จะอับปางลง ทว่าอุปสรรคก็คือบทพิสูจน์รักแท้ เพราะในที่สุดเตชินท์ก็พบว่าการที่น้ำรินต้องมาอยู่ข้างๆ พี่ชายของเขาในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะเรื่องราวที่มีเงื่อนงำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ชายหนุ่มจึงทำทุกวิถีทางที่จะได้เธอคืนมา!
***อ่านเรื่องย่อคลิ๊กที่รูปค่ะ สั่งซื้อติดแพรพริมาทางจดหมายน้อยด้ายซ้ายมือนะคะ
ทว่าวันหนึ่งชะตากลับเล่นตลกกับคนทั้งคู่ เมื่อเตชินท์ไปเรียนต่อเมืองนอกจนจบปริญญาโท และกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง แต่สาวน้อยคนที่รักและบูชาเขาอยู่เสมอ สาวน้อยที่เขาบอกตัวเองว่าต้องคอยปกป้องเธอ กลับหนีไปอยู่ข้างๆ พี่ชายต่างมารดาของตนเองแทน
14 ปีแห่งความรักของคนทั้งคู่จึงดูเหมือนใกล้จะอับปางลง ทว่าอุปสรรคก็คือบทพิสูจน์รักแท้ เพราะในที่สุดเตชินท์ก็พบว่าการที่น้ำรินต้องมาอยู่ข้างๆ พี่ชายของเขาในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะเรื่องราวที่มีเงื่อนงำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ชายหนุ่มจึงทำทุกวิถีทางที่จะได้เธอคืนมา!
***อ่านเรื่องย่อคลิ๊กที่รูปค่ะ สั่งซื้อติดแพรพริมาทางจดหมายน้อยด้ายซ้ายมือนะคะ
Tags: โรแมนติกเข้มข้น ความรัก ความผูกพัน
ตอน: 4. คนที่ถูกลืม
ตอนที่ 4...แค่เอื้อมมือคว้า
เตชินท์เดินออกมาจากห้องวีไอพีของร้านอาหารลอยแก้วพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่โดนลากมาเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาของตนเอง แต่คนร่วมโต๊ะนั้นกลับมีแต่เพื่อนๆ ของนุสราและมณิสรซึ่งตั้งอกตั้งใจเม้าท์และนินทาคนโน้นทีคนนี้ทีตามประสาหญิง
“กลับ”
ชายหนุ่มตั้งใจไว้อย่างนั้นจริงๆ จึงเดินออกไปทางหน้าร้านแต่เผอิญเห็นพี่สาวต่างมารดากำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งทางมุมสุดของทางเดินซึ่งสามารถเลี้ยวออกไปด้านหน้าได้ ร่างบางที่เขาเห็นจากด้านข้างนั้นนำให้ชายหนุ่มต้องหรี่ตาอย่างไม่แน่ใจ ทว่าพอเห็นเธอคนนั้นเอี้ยวตัวให้นุสราเดินผ่าน หัวใจของเตชินท์ก็กระตุกวูบทันที
“น้ำริน” เขาพึมพำก่อนเร่งเดินเข้าไปหาเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่เขาจะจำผู้หญิงที่มีนัยน์ตาแสนเสวยคนนั้นไม่ได้และเขาเองก็มีหลายสิ่งเหลือเกินที่อยากจะได้ยินจากปากของเธอ ทว่าก่อนที่จะตามทันกลับโดนพี่สาวดักไว้เสียก่อน
“จะไปไหนชิน”
“ผม...เมื่อกี้นี้ พี่คุยกับ...” เตชินท์กำลังรู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าไม่แน่ใจหรือไม่ควรจะแน่ใจกันแน่!
“อ้อ” นุสราร้องและคว้าแขนน้องชายต่างมารดาก่อนทำท่าซุบซิบแบบอยากเล่าเต็มที่ “ก็นี่แหละเด็กพี่เชนทร์ไง ทำไมเห็นแล้วตะลึงเหรอ เหอะ! พี่ล่ะไม่เข้าใจเลยทำไมผู้ชายชอบผู้หญิงแบบนี้กันนัก ไอ้ตาเศร้าๆ ท่าทางเงียบๆ หงิมๆ แบบนี้ล่ะ หลงกันหัวปักหัวปำ”
“อะไรนะครับ ผู้หญิงคนนั้นเป็นเด็กพี่เชนทร์หรือครับ ผิดคนหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามออกไปอย่างนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าที่ผิดน่ะเขาหรือพี่สาวต่างมารดากันแน่ นุสราจึงขมวดคิ้วใส่
“จะผิดได้ยังไง ก็เมื่อกี้พี่คุยกับน้ำรินอยู่ นั่นน่ะพรไพลินหรือว่าน้ำริน เด็กที่พี่เชนทร์เลี้ยงมาเกือบสี่ปีที่พี่เคยบอกเธอตอนอยู่สนามบินนั่นไง”
“น้ำริน! เธอคนนั้นชื่อน้ำริน!” เตชินท์พูดชื่อนั้นซ้ำๆ รู้สึกราวตนเองกำลังโดนไฟช๊อต คำบอกเล่าจากปากยลรดานั้นยังไม่ทำร้ายจิตใจเขาเท่ากับการมารับรู้ด้วยตนเองแบบนี้เลย
พรไพลินกลับมาเอาดอกไม้ที่ร้านโดยการนั่งแท็กซี่ เธอหยิบดอกลิลลี่หลายๆ สีห่อด้วยกระดาษอย่างเร่งรีบเพราะเกรงจะไม่ทันและอีกอย่างก็คือตนให้รถบริการคันนั้นรออยู่หน้าร้าน แต่ด้วยความยังมึนๆ ด้วยฤทธิ์แองกอฮอล์เลยทำของในมือหล่นเสียหลายรอบจนล่าช้า
“เสร็จล่ะ”
ทว่าสุดท้ายก็สำเร็จจนได้ หญิงสาวจึงหอบห่อดอกไม้กำโตไปหน้าร้านแต่ว่าที่นั่นกลับไม่มีแท็กซี่คันนั้นแล้ว พรไพลินหายใจเข้าอย่างเหน็ดเหนื่อยมือทั้งสองของหญิงสาวนั้นทั้งหอบและถือถุงดอกไม้ทำให้มองเบื้องหน้าไม่ค่อยชัดนัก ซึ่งจู่ๆ ก็มีเสียงเรียกขึ้นเบาๆ
“น้ำริน...”
“คะ” พรไพลินขานรับด้วยความเคยชิน และรู้สึกว่าเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ทว่าจะหันไปมองก็ไม่ถนัดเพราะดอกไม้กำโตที่หอบอยู่นั้นเป็นอุปสรรคไม่น้อยกระทั่งมันถูกดึงออกไปโดยใครคนหนึ่ง
“คุณ....” หญิงสาวมองชายตรงหน้าอย่างตกตะลึง ดวงตาของเธอโตขึ้นและแวววับพอๆ กับหัวใจ ด้วยเหตุว่าบุรุษหนุ่มร่างสูงใบหน้าคมที่กำลังถือหอบดอกไม้อยู่นั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก
“พี่ชิน!”
เตชินท์ยืนนิ่งจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าเพื่อให้ตนเองแน่ใจว่าเธอคือสาวน้อยที่เขาเคยเจอเมื่อหลายปีก่อน เวลาที่ผ่านไปนั้นทำให้พรไพลินโตขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ทั้งสรีระและหน้าตา ทว่าดวงตาหวานอมเศร้านั้นแม้จะยังสวยน่ามองอยู่เหมือนเดิมแต่ก็มีแววแกร่งขึ้นไม่ได้ใสซื่อเช่นที่เขาเคยเห็นมาก่อน
“น้ำริน!” คำเรียกนั้นไม่ได้หลุดออกมาจากปากเตชินท์แต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นผู้ชายอีกคนที่เพิ่งล๊อครถและก้าวตามมาต่างหาก
“น้ำริน...น้ำริน!” คเชนทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาต้องเรียกอีกฝ่ายซ้ำๆ อยู่เช่นนี้
“คะ” ในที่สุดพรไพลินก็รู้สึกตัวและตอบรับ แต่ก็ยังจ้องมองเตชินท์ซึ่งหันหน้าหนีและหอบดอกไม้เดินไปที่รถเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และอีกสิ่งที่หญิงสาวไม่เห็นก็คือดวงตาที่แสนเจ็บปวดของชายหนุ่ม
“พี่มารับ” คเชนทร์มองตามสายตาของหญิงสาวเล็กน้อยก่อนเดินเข้ามาถึงตัวของเธอและรับถุงดอกไม้อีกถุงพลางบ่น “นุสรานี่แย่จริงๆ แทนที่จะขับรถมาให้หรือให้ใครขับมากลับให้รินนั่งแท็กซี่มา นี่ขนาดบอกให้รีบนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” พรไพลินตอบแกนๆ เพราะสายตายังมองตามผู้ชายอีกคนอยู่ คเชนทร์จึงทำเป็นไม่สนใจและพูดต่อ “รีบไปเถอะ นี่พี่ล่วงหน้ามาก่อน นึกอยู่แล้วเชียวว่าถ้าไม่มาดูด้วยตัวเองจะต้องไม่เรียบร้อย เมื่อไหร่รินถึงจะยอมให้พี่ซื้อมือถือให้ซะทีนะ แบบนี้ตามตัวลำบากที่สุดเลยรู้ไหม”
“เบอร์ที่ร้านก็มีนี่คะ รินไม่เคยไปไหนไกลอยู่แล้ว” พรไพลินตอบพร้อมเข้าไปนั่งตอนหน้าของรถตามที่คเชนทร์เปิดประตูให้ เตชินท์จึงนั่งประจำที่ด้านหลัง และหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวไปมองเขาอีกครั้งแต่ก็พบว่าชายหนุ่มไม่ได้มองตอบเธอ
“อ้อ! นี่เตชินท์” คเชนทร์ทำท่าเหมือนพึ่งนึกได้ทั้งๆ ที่เขาเองเป็นคนชวนน้องชายให้นั่งรถมาด้วยกัน “นี่น้ำรินนะเตชินท์ เธออยู่ที่นี่...กับฉันมาสี่ปีแล้ว พอๆ กับเวลาที่นายไปเมืองนอกนั่นแหละ”
“ครับ” เตชินท์รับคำสั้นๆ พร้อมมองผู้หญิงซึ่งหันมามองตนอีกครั้งก่อนพูดเรียบๆ “ยินดีที่ได้รู้จัก”
“คะ..ค่ะ” พรไพลินขมวดคิ้วพูดไม่ออก เธอบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกอย่างไร เธออยากจะถามใครก็ได้ว่าเตชินท์เป็นอะไรกับคเชนทร์ ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ อยู่ใกล้เธอแค่เอื้อมแต่ตนเองกลับไม่เคยรู้เลย คนขับรถเห็นหญิงสาวทำหน้าแบบนั้นจึงอธิบายแม้จะไม่ตรงจุดประสงค์ที่เธออยากรู้นัก
“เตชินท์เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมื่อบ่ายนี้เอง ความจริงวันนี้พี่ก็ชวนรินไปรับเขาแล้วนะแต่คลาดกัน แล้วก็...พอดีเมื่อกี้พี่แวะที่ลอยแก้วเลยชวนเขามานั่งรถเล่น”
ซึ่งคนที่โดนแนะนำก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายังคงนั่งอยู่เงียบๆ ไปตลอดทางฟังสิ่งที่คเชนทร์คุยกับพรไพลินและท่าทางสนิทสนมของคนทั้งคู่ไปอย่างปวดใจ
พอถึงร้านลอยแก้วเตชินท์ก็แยกตัวไปทันที พรไพลินซึ่งเดินตามคเชนทร์เข้าไปในร้านโดยมีเด็กเสริฟมาช่วยถือดอกไม้ล่วงหน้าไปให้ก่อนจึงส่งเสียงถามทันที
“พี่เชนทร์คะ พี่เชนทร์เคยบอกรินว่าไม่รู้จักคนที่ชื่อเตชินท์!”
“ตอนนั้นพี่กำลังตกใจ” คเชนทร์เมินหน้าหนีแม้จะรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวันหนึ่ง และเขาเองก็เป็นคนชวนเตชินท์ไปนั่งรถเล่นเพื่อจงใจให้อีกฝ่ายเห็นพรไพลิน แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับ
“ตกใจ!” พรไพลินได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้ว “ตั้งสี่ปีเชียวนะคะ พี่ไม่เคยบอกรินเลยว่าจริงๆ แล้วพี่รู้จักเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้น”
“ถ้ารินรู้ความจริงรินจะไม่สงสัยหรอกว่าทำไมพี่ถึงไม่คุ้นกับคนที่ชื่อเตชินท์ รินจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากแม้กระทั่งพูดชื่อหรือเห็นหน้าเขา!” คเชนทร์บอกอีกฝ่ายเสียงเข้ม
“ความจริงอะไรอีกล่ะคะ” พรไพลินอยากจะร้องไห้นัก พี่ชินของเธออยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านี้แต่เธอไม่เคยรู้เลย เมื่อสี่ปีที่แล้วนั้นมีเรื่องที่ทำให้ตนเองติดต่อขอความช่วยเหลือจากเตชินท์ทว่าไม่สามารถติดต่อต่อ แต่เธอก็ไม่ละความพยายามและเพียรโทรอยู่หลายครั้งจนกระทั่งมันติด แต่คนที่รับกลับเป็นคเชนทร์…
“ความจริงที่พี่โกหกรินมาตลอดสี่ปีน่ะหรือคะ” หญิงสาวทอดเสียงอย่างเจ็บปวด
“อย่าเพิ่งถาม...อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้” คเชนทร์หันมาหาพรไพลินเมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องวีไอพี “ตอนนี้พี่อยากให้รินจำไว้แค่ว่าคนที่ช่วยรินออกมาจากที่นั่นคือพี่ รินลองนึกสิว่าถ้าไม่มีพี่รินจะเป็นยังไง”
เอ่ยจบคเชทร์ก็จ้องหญิงสาวเขม็ง ซึ่งนั่นสายตาข่มขู่คุกคามแบบนั้นทำให้พรไพลินถึงกับปากคอสั่น มือของเธอยกขึ้นกอดอกตัวเองไว้ก่อนส่ายหน้าและร้อง
“รินไม่อยากคิดถึงมัน รินไม่อยากคิดถึงมันอีก!”
คเชนทร์เห็นอาการแบบนั้นก็รวบกอดร่างบางไว้พลางปลอบ “พี่ขอโทษ ขอโทษที่พูดถึงมันอีก รินไม่ต้องกลัวอีกแล้วนะ รินมีพี่ รับรองว่าพี่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายรินอีกแน่ๆ”
แกร๊ก!
ฉับพลันบานประตูห้องวีไอพีก็ถูกเปิดออก นุสรา มณิสร และเตชินท์ซึ่งกำลังก้าวเข้ามาจึงชะงัก ก่อนน้องสาวของคเชนทร์จะค่อนแคะ
“แหม! แสดงบทรักกันโต้งๆ แบบนี้ ไม่อายเด็กเสริฟบ้างเลยหรือคะพี่เชนทร์”
พรไพลินได้ยินจึงรู้สึกตัวและถอยออกห่างจากร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีดำกลมโตมองหน้าเตชินท์อย่างไม่สบายใจ ส่วนคเชนทร์นั้นถึงกับขมวดคิ้วดุน้องสาว
“ถ้าเด็กเสริฟจะเข้ามาก็คงต้องเคาะประตูก่อน”
“เอ๊ะพี่เชนทร์ พี่จะหาว่านุสไม่มีมารยาทเหรอ นี่มันจะมากไปแล้วนะคะ” นุสราแหวขึ้นมาทันทีแต่พอเจอสายตาดุๆ ของพี่ชายก็ต้องเก็บอาการและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดเรื่องอื่น
“ทีจริงนุสก็ไม่อยากเข้ามาหรอก แต่มิ้นท์เขาอยากมาดูฝีมือจัดดอกไม้ของ...คุณน้ำริน” คนพูดเน้นเสียงประชด “ใครจะรู้ว่ามัวทำอย่างอื่นอยู่เลยยังไม่ได้จัด”
“แหม ไม่เป็นไรหรอกมั๊ง กำลังจะจัดใช่ไหมล่ะ มิ้นท์รอได้ ดีสิจะได้ดูไปด้วย” มณิสรเห็นบรรยากาศเคร่งเครียดเลยทำเสียงสบายๆ
“งั้นผมขอตัวก่อน” แต่อีกคนที่เคร่งเครียดไม่แพ้กันก็คือเตชินท์ ภาพพรไพลินในอ้อมกอดของคเชนทร์นั้นช่างตอกย้ำและทำร้ายเขาเหลือเกิน
“อ้าว!” คราวนี้มณิสรไม่ทำเสียงสบายๆ เสียแล้ว เธอทำหน้าตกใจและร้องขึ้นเมื่อชายที่หมายปองมาชิ่งหนีเอาดื้อๆ แต่เตชินท์ก็ไม่ฟังใครอีกเขาก้าวท้าวออกจากห้องวีไอพีนั้นโดยเร็ว ชายหนุ่มอยากจะทุบหัวใจของตนเองนักเพราะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันต้องเจ็บร้าวแบบนั้นด้วย
หลังจากคืนนั้นพรไพลินก็มีจิตใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก เพราะหัวใจของเธอพลอยคิดถึงแต่เรื่องอดีตเก่าๆ ซึ่งบางเรื่องก็เจ็บปวดจนหญิงสาวต้องกัดริมฝีปากจนแน่น
“มีคนโทรมาสั่งดอกไม้ด้วยนะน้องริน แบบว่าจะให้แฟน เอาหวานๆ เลยนะจ๊ะ”
วุ้นเส้น สาวประเภทสองวัยยี่สิบหกซึ่งคเชนทร์จ้างให้มาช่วยพรไพลินดูแลร้านส่งเสียงบอกพร้อมเดินกรีดกรายเข้ามาหาพรไพลินซึ่งนั่งเคร่งเครียดอยู่ที่โต๊ะสีขาว หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายจึงนึกได้และถามขึ้น
“พี่วุ้นเส้นคะ พี่วุ้นเส้นรู้จักคุณเตชินท์ไหม”
“คุณเตชินท์?”
วุ้นเส้นทำหน้าตาครุ่นคิดก่อนร้องอ๋อ เนื่องจากเธอเป็นหลานของคนรับใช้ในบ้านนิวัฒน์กุลจึงอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่รุ่นๆ ด้วยเหตุนี้เรื่องราวเมื่อหลายปีที่แล้วจึงพร่างพรูออกจากปากสาวประเภทสองและตบท้าย
“ไม่ค่อยมีคนพูดถึงหรือคิดถึงเรื่องนี้หร๊อก อย่างว่าแหละนะน้องริน คนมีตังค์น่ะมักไม่ค่อยยอมรับหรอกว่าสามีน่ะหมดรักตัวเองจนมีเมียน้อยเพราะต้องรักษาหน้าไว้ให้ถึงที่สุด พอเจ้านายทำแบบนั้นหลายๆ คนก็เลยต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย แต่เรื่องทุกอย่างก็ต้องกลายเป็นขี้ปากและเปิดเผยแบบโต้งๆ ก็ตอนแม่คุณเตชินท์เสียแล้วนั่นแหละ เพราะคุณคำนวณรับลูกเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน ว่าแต่ว่าคุณเตชินท์น่ะเธอก็อยู่ที่บ้านนิวัฒน์กุลนับวันได้เลยนะ มาไม่เท่าไหร่ก็ไปเมืองนอกเลย เห็นมีแต่คุณนุสรากับคุณมิ้นท์แหละที่บินไปหาที่อังกฤษอยู่หลายหน นี่กลับมาจากเมืองนอกแล้วใช่ไหม พูดแล้วก็น่าลุ้นนะน้องรินว่าคุณเตชินท์จะอยู่ตรงไหนของนิวัฒน์กุลกัน”
วุ้นเส้นเล่ายาวแทบไม่หายใจ ส่วนพรไพลินนั้นเมื่อได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ จึงกระจ่างใจว่าที่เตชินท์หายไป 3 ปีก่อนที่จะไปหาเธอที่ดอยดอกไม้นั้นคงเป็นเพราะมารดาของเขาเสียชีวิตนั่นเอง และสาเหตุที่คเชนทร์ท์บอกว่าถ้าเธอรู้ความจริงแล้วจะไม่สงสัยว่าทำไมเขาถึงบอกว่าไม่รู้จักเตชินท์คงเป็นเพราะเหตุนี้
“แล้วแม่ของพี่เชนทร์ดีกับพี่...เอ่อ...คุณเตชินท์หรือเปล่าคะ”
“ไม่รู้สิ” วุ้นเส้นยักไหล่ “ที่รู้ๆ คือไม่มีใครเคยพูดถึงคุณเตชินท์เลยตลอดเวลาเกือบเจ็ดปีที่เธออยู่เมืองนอก ถ้าจำไม่ผิดนะ พี่เคยเห็นเธอกลับมาแค่ครั้งเดียวเองมั๊ง”
“เมื่อสี่ปีที่แล้ว” พรไพลินรำพึง
“เออ ใช่ๆ” วุ้นเส้นบอกก่อนทำท่าตกใจ “อ้าว แล้วรินรู้ได้ยังไง”
“เดาน่ะค่ะ” พรไพลินถอนหายใจก่อนหยิบดอกกุหลาบขึ้นมาริดหนามออกอย่างใจลอยเพราะไม่ว่าสี่ปีที่ผ่านมานี้จะมีอะไรเกิดขึ้นแต่เธอก็ไม่เคยลบเตชินท์ออกไปจากหัวใจได้เลย
*******************************************************
เตชินท์เดินออกมาจากห้องวีไอพีของร้านอาหารลอยแก้วพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่โดนลากมาเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาของตนเอง แต่คนร่วมโต๊ะนั้นกลับมีแต่เพื่อนๆ ของนุสราและมณิสรซึ่งตั้งอกตั้งใจเม้าท์และนินทาคนโน้นทีคนนี้ทีตามประสาหญิง
“กลับ”
ชายหนุ่มตั้งใจไว้อย่างนั้นจริงๆ จึงเดินออกไปทางหน้าร้านแต่เผอิญเห็นพี่สาวต่างมารดากำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งทางมุมสุดของทางเดินซึ่งสามารถเลี้ยวออกไปด้านหน้าได้ ร่างบางที่เขาเห็นจากด้านข้างนั้นนำให้ชายหนุ่มต้องหรี่ตาอย่างไม่แน่ใจ ทว่าพอเห็นเธอคนนั้นเอี้ยวตัวให้นุสราเดินผ่าน หัวใจของเตชินท์ก็กระตุกวูบทันที
“น้ำริน” เขาพึมพำก่อนเร่งเดินเข้าไปหาเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่เขาจะจำผู้หญิงที่มีนัยน์ตาแสนเสวยคนนั้นไม่ได้และเขาเองก็มีหลายสิ่งเหลือเกินที่อยากจะได้ยินจากปากของเธอ ทว่าก่อนที่จะตามทันกลับโดนพี่สาวดักไว้เสียก่อน
“จะไปไหนชิน”
“ผม...เมื่อกี้นี้ พี่คุยกับ...” เตชินท์กำลังรู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าไม่แน่ใจหรือไม่ควรจะแน่ใจกันแน่!
“อ้อ” นุสราร้องและคว้าแขนน้องชายต่างมารดาก่อนทำท่าซุบซิบแบบอยากเล่าเต็มที่ “ก็นี่แหละเด็กพี่เชนทร์ไง ทำไมเห็นแล้วตะลึงเหรอ เหอะ! พี่ล่ะไม่เข้าใจเลยทำไมผู้ชายชอบผู้หญิงแบบนี้กันนัก ไอ้ตาเศร้าๆ ท่าทางเงียบๆ หงิมๆ แบบนี้ล่ะ หลงกันหัวปักหัวปำ”
“อะไรนะครับ ผู้หญิงคนนั้นเป็นเด็กพี่เชนทร์หรือครับ ผิดคนหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามออกไปอย่างนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าที่ผิดน่ะเขาหรือพี่สาวต่างมารดากันแน่ นุสราจึงขมวดคิ้วใส่
“จะผิดได้ยังไง ก็เมื่อกี้พี่คุยกับน้ำรินอยู่ นั่นน่ะพรไพลินหรือว่าน้ำริน เด็กที่พี่เชนทร์เลี้ยงมาเกือบสี่ปีที่พี่เคยบอกเธอตอนอยู่สนามบินนั่นไง”
“น้ำริน! เธอคนนั้นชื่อน้ำริน!” เตชินท์พูดชื่อนั้นซ้ำๆ รู้สึกราวตนเองกำลังโดนไฟช๊อต คำบอกเล่าจากปากยลรดานั้นยังไม่ทำร้ายจิตใจเขาเท่ากับการมารับรู้ด้วยตนเองแบบนี้เลย
พรไพลินกลับมาเอาดอกไม้ที่ร้านโดยการนั่งแท็กซี่ เธอหยิบดอกลิลลี่หลายๆ สีห่อด้วยกระดาษอย่างเร่งรีบเพราะเกรงจะไม่ทันและอีกอย่างก็คือตนให้รถบริการคันนั้นรออยู่หน้าร้าน แต่ด้วยความยังมึนๆ ด้วยฤทธิ์แองกอฮอล์เลยทำของในมือหล่นเสียหลายรอบจนล่าช้า
“เสร็จล่ะ”
ทว่าสุดท้ายก็สำเร็จจนได้ หญิงสาวจึงหอบห่อดอกไม้กำโตไปหน้าร้านแต่ว่าที่นั่นกลับไม่มีแท็กซี่คันนั้นแล้ว พรไพลินหายใจเข้าอย่างเหน็ดเหนื่อยมือทั้งสองของหญิงสาวนั้นทั้งหอบและถือถุงดอกไม้ทำให้มองเบื้องหน้าไม่ค่อยชัดนัก ซึ่งจู่ๆ ก็มีเสียงเรียกขึ้นเบาๆ
“น้ำริน...”
“คะ” พรไพลินขานรับด้วยความเคยชิน และรู้สึกว่าเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ทว่าจะหันไปมองก็ไม่ถนัดเพราะดอกไม้กำโตที่หอบอยู่นั้นเป็นอุปสรรคไม่น้อยกระทั่งมันถูกดึงออกไปโดยใครคนหนึ่ง
“คุณ....” หญิงสาวมองชายตรงหน้าอย่างตกตะลึง ดวงตาของเธอโตขึ้นและแวววับพอๆ กับหัวใจ ด้วยเหตุว่าบุรุษหนุ่มร่างสูงใบหน้าคมที่กำลังถือหอบดอกไม้อยู่นั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก
“พี่ชิน!”
เตชินท์ยืนนิ่งจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าเพื่อให้ตนเองแน่ใจว่าเธอคือสาวน้อยที่เขาเคยเจอเมื่อหลายปีก่อน เวลาที่ผ่านไปนั้นทำให้พรไพลินโตขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ทั้งสรีระและหน้าตา ทว่าดวงตาหวานอมเศร้านั้นแม้จะยังสวยน่ามองอยู่เหมือนเดิมแต่ก็มีแววแกร่งขึ้นไม่ได้ใสซื่อเช่นที่เขาเคยเห็นมาก่อน
“น้ำริน!” คำเรียกนั้นไม่ได้หลุดออกมาจากปากเตชินท์แต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นผู้ชายอีกคนที่เพิ่งล๊อครถและก้าวตามมาต่างหาก
“น้ำริน...น้ำริน!” คเชนทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาต้องเรียกอีกฝ่ายซ้ำๆ อยู่เช่นนี้
“คะ” ในที่สุดพรไพลินก็รู้สึกตัวและตอบรับ แต่ก็ยังจ้องมองเตชินท์ซึ่งหันหน้าหนีและหอบดอกไม้เดินไปที่รถเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และอีกสิ่งที่หญิงสาวไม่เห็นก็คือดวงตาที่แสนเจ็บปวดของชายหนุ่ม
“พี่มารับ” คเชนทร์มองตามสายตาของหญิงสาวเล็กน้อยก่อนเดินเข้ามาถึงตัวของเธอและรับถุงดอกไม้อีกถุงพลางบ่น “นุสรานี่แย่จริงๆ แทนที่จะขับรถมาให้หรือให้ใครขับมากลับให้รินนั่งแท็กซี่มา นี่ขนาดบอกให้รีบนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” พรไพลินตอบแกนๆ เพราะสายตายังมองตามผู้ชายอีกคนอยู่ คเชนทร์จึงทำเป็นไม่สนใจและพูดต่อ “รีบไปเถอะ นี่พี่ล่วงหน้ามาก่อน นึกอยู่แล้วเชียวว่าถ้าไม่มาดูด้วยตัวเองจะต้องไม่เรียบร้อย เมื่อไหร่รินถึงจะยอมให้พี่ซื้อมือถือให้ซะทีนะ แบบนี้ตามตัวลำบากที่สุดเลยรู้ไหม”
“เบอร์ที่ร้านก็มีนี่คะ รินไม่เคยไปไหนไกลอยู่แล้ว” พรไพลินตอบพร้อมเข้าไปนั่งตอนหน้าของรถตามที่คเชนทร์เปิดประตูให้ เตชินท์จึงนั่งประจำที่ด้านหลัง และหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวไปมองเขาอีกครั้งแต่ก็พบว่าชายหนุ่มไม่ได้มองตอบเธอ
“อ้อ! นี่เตชินท์” คเชนทร์ทำท่าเหมือนพึ่งนึกได้ทั้งๆ ที่เขาเองเป็นคนชวนน้องชายให้นั่งรถมาด้วยกัน “นี่น้ำรินนะเตชินท์ เธออยู่ที่นี่...กับฉันมาสี่ปีแล้ว พอๆ กับเวลาที่นายไปเมืองนอกนั่นแหละ”
“ครับ” เตชินท์รับคำสั้นๆ พร้อมมองผู้หญิงซึ่งหันมามองตนอีกครั้งก่อนพูดเรียบๆ “ยินดีที่ได้รู้จัก”
“คะ..ค่ะ” พรไพลินขมวดคิ้วพูดไม่ออก เธอบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกอย่างไร เธออยากจะถามใครก็ได้ว่าเตชินท์เป็นอะไรกับคเชนทร์ ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ อยู่ใกล้เธอแค่เอื้อมแต่ตนเองกลับไม่เคยรู้เลย คนขับรถเห็นหญิงสาวทำหน้าแบบนั้นจึงอธิบายแม้จะไม่ตรงจุดประสงค์ที่เธออยากรู้นัก
“เตชินท์เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมื่อบ่ายนี้เอง ความจริงวันนี้พี่ก็ชวนรินไปรับเขาแล้วนะแต่คลาดกัน แล้วก็...พอดีเมื่อกี้พี่แวะที่ลอยแก้วเลยชวนเขามานั่งรถเล่น”
ซึ่งคนที่โดนแนะนำก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายังคงนั่งอยู่เงียบๆ ไปตลอดทางฟังสิ่งที่คเชนทร์คุยกับพรไพลินและท่าทางสนิทสนมของคนทั้งคู่ไปอย่างปวดใจ
พอถึงร้านลอยแก้วเตชินท์ก็แยกตัวไปทันที พรไพลินซึ่งเดินตามคเชนทร์เข้าไปในร้านโดยมีเด็กเสริฟมาช่วยถือดอกไม้ล่วงหน้าไปให้ก่อนจึงส่งเสียงถามทันที
“พี่เชนทร์คะ พี่เชนทร์เคยบอกรินว่าไม่รู้จักคนที่ชื่อเตชินท์!”
“ตอนนั้นพี่กำลังตกใจ” คเชนทร์เมินหน้าหนีแม้จะรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวันหนึ่ง และเขาเองก็เป็นคนชวนเตชินท์ไปนั่งรถเล่นเพื่อจงใจให้อีกฝ่ายเห็นพรไพลิน แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับ
“ตกใจ!” พรไพลินได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้ว “ตั้งสี่ปีเชียวนะคะ พี่ไม่เคยบอกรินเลยว่าจริงๆ แล้วพี่รู้จักเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้น”
“ถ้ารินรู้ความจริงรินจะไม่สงสัยหรอกว่าทำไมพี่ถึงไม่คุ้นกับคนที่ชื่อเตชินท์ รินจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากแม้กระทั่งพูดชื่อหรือเห็นหน้าเขา!” คเชนทร์บอกอีกฝ่ายเสียงเข้ม
“ความจริงอะไรอีกล่ะคะ” พรไพลินอยากจะร้องไห้นัก พี่ชินของเธออยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านี้แต่เธอไม่เคยรู้เลย เมื่อสี่ปีที่แล้วนั้นมีเรื่องที่ทำให้ตนเองติดต่อขอความช่วยเหลือจากเตชินท์ทว่าไม่สามารถติดต่อต่อ แต่เธอก็ไม่ละความพยายามและเพียรโทรอยู่หลายครั้งจนกระทั่งมันติด แต่คนที่รับกลับเป็นคเชนทร์…
“ความจริงที่พี่โกหกรินมาตลอดสี่ปีน่ะหรือคะ” หญิงสาวทอดเสียงอย่างเจ็บปวด
“อย่าเพิ่งถาม...อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้” คเชนทร์หันมาหาพรไพลินเมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องวีไอพี “ตอนนี้พี่อยากให้รินจำไว้แค่ว่าคนที่ช่วยรินออกมาจากที่นั่นคือพี่ รินลองนึกสิว่าถ้าไม่มีพี่รินจะเป็นยังไง”
เอ่ยจบคเชทร์ก็จ้องหญิงสาวเขม็ง ซึ่งนั่นสายตาข่มขู่คุกคามแบบนั้นทำให้พรไพลินถึงกับปากคอสั่น มือของเธอยกขึ้นกอดอกตัวเองไว้ก่อนส่ายหน้าและร้อง
“รินไม่อยากคิดถึงมัน รินไม่อยากคิดถึงมันอีก!”
คเชนทร์เห็นอาการแบบนั้นก็รวบกอดร่างบางไว้พลางปลอบ “พี่ขอโทษ ขอโทษที่พูดถึงมันอีก รินไม่ต้องกลัวอีกแล้วนะ รินมีพี่ รับรองว่าพี่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายรินอีกแน่ๆ”
แกร๊ก!
ฉับพลันบานประตูห้องวีไอพีก็ถูกเปิดออก นุสรา มณิสร และเตชินท์ซึ่งกำลังก้าวเข้ามาจึงชะงัก ก่อนน้องสาวของคเชนทร์จะค่อนแคะ
“แหม! แสดงบทรักกันโต้งๆ แบบนี้ ไม่อายเด็กเสริฟบ้างเลยหรือคะพี่เชนทร์”
พรไพลินได้ยินจึงรู้สึกตัวและถอยออกห่างจากร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีดำกลมโตมองหน้าเตชินท์อย่างไม่สบายใจ ส่วนคเชนทร์นั้นถึงกับขมวดคิ้วดุน้องสาว
“ถ้าเด็กเสริฟจะเข้ามาก็คงต้องเคาะประตูก่อน”
“เอ๊ะพี่เชนทร์ พี่จะหาว่านุสไม่มีมารยาทเหรอ นี่มันจะมากไปแล้วนะคะ” นุสราแหวขึ้นมาทันทีแต่พอเจอสายตาดุๆ ของพี่ชายก็ต้องเก็บอาการและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดเรื่องอื่น
“ทีจริงนุสก็ไม่อยากเข้ามาหรอก แต่มิ้นท์เขาอยากมาดูฝีมือจัดดอกไม้ของ...คุณน้ำริน” คนพูดเน้นเสียงประชด “ใครจะรู้ว่ามัวทำอย่างอื่นอยู่เลยยังไม่ได้จัด”
“แหม ไม่เป็นไรหรอกมั๊ง กำลังจะจัดใช่ไหมล่ะ มิ้นท์รอได้ ดีสิจะได้ดูไปด้วย” มณิสรเห็นบรรยากาศเคร่งเครียดเลยทำเสียงสบายๆ
“งั้นผมขอตัวก่อน” แต่อีกคนที่เคร่งเครียดไม่แพ้กันก็คือเตชินท์ ภาพพรไพลินในอ้อมกอดของคเชนทร์นั้นช่างตอกย้ำและทำร้ายเขาเหลือเกิน
“อ้าว!” คราวนี้มณิสรไม่ทำเสียงสบายๆ เสียแล้ว เธอทำหน้าตกใจและร้องขึ้นเมื่อชายที่หมายปองมาชิ่งหนีเอาดื้อๆ แต่เตชินท์ก็ไม่ฟังใครอีกเขาก้าวท้าวออกจากห้องวีไอพีนั้นโดยเร็ว ชายหนุ่มอยากจะทุบหัวใจของตนเองนักเพราะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันต้องเจ็บร้าวแบบนั้นด้วย
หลังจากคืนนั้นพรไพลินก็มีจิตใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก เพราะหัวใจของเธอพลอยคิดถึงแต่เรื่องอดีตเก่าๆ ซึ่งบางเรื่องก็เจ็บปวดจนหญิงสาวต้องกัดริมฝีปากจนแน่น
“มีคนโทรมาสั่งดอกไม้ด้วยนะน้องริน แบบว่าจะให้แฟน เอาหวานๆ เลยนะจ๊ะ”
วุ้นเส้น สาวประเภทสองวัยยี่สิบหกซึ่งคเชนทร์จ้างให้มาช่วยพรไพลินดูแลร้านส่งเสียงบอกพร้อมเดินกรีดกรายเข้ามาหาพรไพลินซึ่งนั่งเคร่งเครียดอยู่ที่โต๊ะสีขาว หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายจึงนึกได้และถามขึ้น
“พี่วุ้นเส้นคะ พี่วุ้นเส้นรู้จักคุณเตชินท์ไหม”
“คุณเตชินท์?”
วุ้นเส้นทำหน้าตาครุ่นคิดก่อนร้องอ๋อ เนื่องจากเธอเป็นหลานของคนรับใช้ในบ้านนิวัฒน์กุลจึงอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่รุ่นๆ ด้วยเหตุนี้เรื่องราวเมื่อหลายปีที่แล้วจึงพร่างพรูออกจากปากสาวประเภทสองและตบท้าย
“ไม่ค่อยมีคนพูดถึงหรือคิดถึงเรื่องนี้หร๊อก อย่างว่าแหละนะน้องริน คนมีตังค์น่ะมักไม่ค่อยยอมรับหรอกว่าสามีน่ะหมดรักตัวเองจนมีเมียน้อยเพราะต้องรักษาหน้าไว้ให้ถึงที่สุด พอเจ้านายทำแบบนั้นหลายๆ คนก็เลยต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย แต่เรื่องทุกอย่างก็ต้องกลายเป็นขี้ปากและเปิดเผยแบบโต้งๆ ก็ตอนแม่คุณเตชินท์เสียแล้วนั่นแหละ เพราะคุณคำนวณรับลูกเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน ว่าแต่ว่าคุณเตชินท์น่ะเธอก็อยู่ที่บ้านนิวัฒน์กุลนับวันได้เลยนะ มาไม่เท่าไหร่ก็ไปเมืองนอกเลย เห็นมีแต่คุณนุสรากับคุณมิ้นท์แหละที่บินไปหาที่อังกฤษอยู่หลายหน นี่กลับมาจากเมืองนอกแล้วใช่ไหม พูดแล้วก็น่าลุ้นนะน้องรินว่าคุณเตชินท์จะอยู่ตรงไหนของนิวัฒน์กุลกัน”
วุ้นเส้นเล่ายาวแทบไม่หายใจ ส่วนพรไพลินนั้นเมื่อได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ จึงกระจ่างใจว่าที่เตชินท์หายไป 3 ปีก่อนที่จะไปหาเธอที่ดอยดอกไม้นั้นคงเป็นเพราะมารดาของเขาเสียชีวิตนั่นเอง และสาเหตุที่คเชนทร์ท์บอกว่าถ้าเธอรู้ความจริงแล้วจะไม่สงสัยว่าทำไมเขาถึงบอกว่าไม่รู้จักเตชินท์คงเป็นเพราะเหตุนี้
“แล้วแม่ของพี่เชนทร์ดีกับพี่...เอ่อ...คุณเตชินท์หรือเปล่าคะ”
“ไม่รู้สิ” วุ้นเส้นยักไหล่ “ที่รู้ๆ คือไม่มีใครเคยพูดถึงคุณเตชินท์เลยตลอดเวลาเกือบเจ็ดปีที่เธออยู่เมืองนอก ถ้าจำไม่ผิดนะ พี่เคยเห็นเธอกลับมาแค่ครั้งเดียวเองมั๊ง”
“เมื่อสี่ปีที่แล้ว” พรไพลินรำพึง
“เออ ใช่ๆ” วุ้นเส้นบอกก่อนทำท่าตกใจ “อ้าว แล้วรินรู้ได้ยังไง”
“เดาน่ะค่ะ” พรไพลินถอนหายใจก่อนหยิบดอกกุหลาบขึ้นมาริดหนามออกอย่างใจลอยเพราะไม่ว่าสี่ปีที่ผ่านมานี้จะมีอะไรเกิดขึ้นแต่เธอก็ไม่เคยลบเตชินท์ออกไปจากหัวใจได้เลย
*******************************************************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2555, 10:17:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2555, 11:38:44 น.
จำนวนการเข้าชม : 2092
<< 3. | 5. ดีขึ้นหรือแย่ลง >> |

Siang 13 ม.ค. 2555, 10:24:50 น.
สงสารน้ำรินกับเตชินทร์ ขอให้เตชินทร์รู้ความจริงเร็วๆนะคะ
สงสารน้ำรินกับเตชินทร์ ขอให้เตชินทร์รู้ความจริงเร็วๆนะคะ

มุกมาดา 13 ม.ค. 2555, 11:22:02 น.
อยากได้ดอกไม้จากเตชินทร์สักช่อ อิ อิ เริ่มส่อแววความรักที่น่าสงสาร
อยากได้ดอกไม้จากเตชินทร์สักช่อ อิ อิ เริ่มส่อแววความรักที่น่าสงสาร

nunoi 13 ม.ค. 2555, 11:26:44 น.
น่าสงสารทั้งคู่เลย
น่าสงสารทั้งคู่เลย

Zephyr 13 ม.ค. 2555, 13:23:20 น.
ส่อแววรักสามเศร้านะเนี่ย แต่รู้สึกจะเกินสามด้วย น่าจะฝ่าอุปสรรคอีกนานนะคะกว่าจะสมหวัง
ส่อแววรักสามเศร้านะเนี่ย แต่รู้สึกจะเกินสามด้วย น่าจะฝ่าอุปสรรคอีกนานนะคะกว่าจะสมหวัง

หมูอ้วน 13 ม.ค. 2555, 13:44:20 น.
ฮือ...ยังเศร้าได้อีก
ฮือ...ยังเศร้าได้อีก

แว่นใส 13 ม.ค. 2555, 13:51:38 น.
น่าสงสารทุกคนแหละ
น่าสงสารทุกคนแหละ

ของขวัญ 13 ม.ค. 2555, 14:14:36 น.
เรื่องนี้ท่าทางจะเศร้าน่าดู
เรื่องนี้ท่าทางจะเศร้าน่าดู

แพม 13 ม.ค. 2555, 16:48:02 น.
เศร้า
เศร้า

วนัน 29 ก.พ. 2555, 15:27:43 น.
เศร้าเลยคะ
เศร้าเลยคะ