ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์

ตอน: 5. "มาย เนม อิส กิสสะนะ"

ม่านพรหม
5.

“ก่อนหน้านั้นชื่อร้านนางฟ้า..แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นนางยักษ์แล้ว..ร้านนี้ไม่ต้อนรับนาย” วิจิตรศราเสียงแข็งและชัดถ้อยชัดคำแต่ว่ากฤษณะไหวไหล่พลางยืนอ่านเมนูที่ติดไว้บนผนังหัองอย่างไม่ได้สนใจว่าเจ้าของร้านเต็มใจจะขายหรือไม่..

“ขอกาแฟเย็นแก้วหนึ่งแล้วกัน คาปูชิโนเย็น แพงเหมือนกันนะ กินก๋วยเตี๋ยวได้ชามหนึ่งเลย..”

“ไม่มี หมด”

“งั้นเป็น ฮาเซลนัทวนิลาชิพ...ไม่เคยกินเลยนะเนี่ย..ครั้งแรกในชีวิต รสชาติมันเป็นอย่างไรนะ”

“หมดเหมือนกัน..”

“ขนมปังทาเนย อันนี้เคยกิน..แต่หน้าตาของที่นี่น่ากินอยู่ไม่หยอก”

“เนยหมด”

“แล้วมีอะไรจะขายให้ผมบ้าง” กฤษณะจงใจต่อปากต่อคำกับวิจิตรศราแต่ว่าสายตาของเขานั้นไพล่มองไปหาเมขลาที่ยืนกอดอกจ้องหน้าเขาอยู่..เขายิ้มให้แต่ว่าเมขลายังคงจ้องหน้าเขานิ่ง ๆ ดังนั้นเขาจึงกอดอกแล้วจ้องตาเมขลาบ้าง..

“ไม่มี..ร้านนี้ไม่ต้อนรับนาย..ดูปากฉัน ร้านนี้ไม่ต้อนรับนาย”..วิจิตรศราละมือมาเท้าเอวทั้งสองข้าง

“ดอกกุหลาบของผมกลิ่นหอมชื่นใจดีไหมครับ คุณ..เมขลา”

“อ้อ ขอน้ำร้อนเจ๊แก้วหนึ่ง..”

“มันมากไปมั้งเจ๊..เอาแค่น้ำเย็นนี่ก็พอแล้ว”

“ใจร้ายกันจัง” ว่าแล้วเขาก็เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ลูกค้าโต๊ะนั้นเพิ่งลุกไป พอทรุดตัวลงนั่งแล้วเขาก็พูดว่า “ขอนมร้อนผมแก้วหนึ่งแล้วกันครับ..ขนมปังไม่ต้องแล้ว..ยังเหลืออีกครึ่งจาน..ยังไม่กินกันเลย..” ว่าแล้วเขาก็จิ้มขนมปังทาเนยที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าปาก..วิจิตรศรากับเมขลามองหน้ากัน..

“โทรตามตำรวจ” เมขลาพูดเสียงดังเพื่อขู่เขา..แต่เขาก็ถามเสียงดังกลับมาว่า

“แจ้งจับผมในข้อหาอะไรมิทราบคุณเมขลา”

“บุกรุก สร้างความลำบากใจให้ฉันด้วย” วิจิตรศรานึกข้อกล่าวหาไม่ได้เพราะไม่ได้สนใจเรื่องกฏหมายจึง
พูดไปมั่ว ๆ

“ก็ลองโทรแจ้งความดู เผื่อท่านผู้กำกับการจะส่งลูกน้องมาไล่จับผม..” เขานั่งจิ้มขนมปังเข้าปากอย่างสบายใจ วิจิตรศรากับเมขลาจึงได้แต่มองตากันด้วยความเหนื่อยใจ ดอกอ้อเองก็แอบอมยิ้ม ส่วนอุสานั้นไม่ค่อยอยากจะเอาเรื่องเอาราวอะไรกับใครหญิงสาวจึงเก็บอุปกรณ์ไปล้างเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน....ส่วนลูกค้าคนอื่น ๆ ต่างพากันมองหาเขา..หันกลับไปคุยกัน แล้วก็ขอตัวเช็คบิล..กระทั่งในร้านเหลือแต่วิจิตรศรา เมขลากับลูกน้องอีกสองคน..

“นมร้อนของผมละครับ...ขนมปังจะหมดแล้วเนี่ย ทำไมให้ลูกค้ารอนานจังเลย..”
เมขาลากับวิจิตรศราตัดสินใจพากันออกจากหลังเคาน์เตอร์มาหยุดตรงเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่..

“ขอร้องหละ อย่ามาก่อกวนกันเลยนะ..ต่างคนต่างอยู่..”

“พูดเรื่องอะไรครับ”

“นี่..” เมขลาเริ่มฉุนแทนวิจิตรศรา..หญิงสาวถกแขนเสื้อแขนยาวที่คลุมเสื้อกั๊กคอลูกไม้สีขาวไว้บ่งบอกให้เขารู้ว่า วันนี้เธอพร้อมเอาเรื่องเขาแน่นอน..

“โอว..จะวางมวยหรือครับคุณหนูนา”

“นายชื่ออะไร”

“กฤษณะ สิริสุข ทำงานอยู่การรถไฟแห่งประเทศไทยในตำแหน่งช่างเครื่องครับ แฟนผมเคยมีแต่ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ ตอนนี้ผมทำงานเพียงสัปดาห์ละห้าวัน วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ส่วนวันเสาร์วันอาทิตย์ผมไม่ว่างครับ เพราะผมสอบชิงทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีหรืออีกแค่ปีเดียวผมก็เรียนจบแล้ว พอเรียนจบผมก็อาจทำงานมากขึ้นแต่ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำให้คุณเมขลาต้องเหงาและคิดถึงผมอย่างแน่นอน”

“ไอ้บ้า!!.” วิจิตรศราทะลุกลางปล้องขึ้นมาซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับดอกอ้อและเมขลาได้ทันทีเหมือนกัน....

“โอเค พูดถูกผมไม่ว่า..ถ้าไม่บ้าก็มาถึงที่นี่ไม่ได้หรอก..แล้วคุณเมขลามีอะไรที่สงสัยเกี่ยวกับตัวผมอีกไหมครับ”

“ฉันไม่ได้อยากรู้จักนายสักนิดเลยนะ”

“ตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากรู้จักคุณหรอกครับแต่ว่า..มาคิด ๆ ดูแล้ว..ผมว่าผมรู้จักคุณไว้ก็ไม่เสียหลายเพราะคุณน่ารักมาก..น่ารักกว่าเพื่อนคุณเยอะเลย..”

“หนูนา..วิว่า ยิ่งคุยกับนายนี่..”

“กฤษณะครับ มาย เนม อิส กิสสะนะ”

“เราก็จะยิ่งเปลืองตัว..ไป เธอขึ้นไปข้างบนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง..”

“เอาอย่างนั้นนะ”

“อืม..ถ้าสามทุ่มมันไม่ลุก ฉันจะโทรตามตำรวจ...ไป ๆ ขึ้นข้างบนไป..” เมขลาพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านชั้นหนังสือขึ้นบันไปยังชั้นลอยซึ่งก็เป็นชั้นหนังสือนิยายทั้งชั้นอีกเช่นกัน..ห้องของเมขลากับห้องของวิจิตรศรานั้นอยู่ชั้นสาม..มีห้องน้ำตรงกลางที่ใช้ร่วมกัน และพอเข้าห้องนอนของตนที่เป็นห้องเล็กแล้วเมขลาก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงพลางถามใจตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับ ‘ไอ้บ้านั่น’ และคำตอบที่ได้ก็คือ หากไม่รู้ว่าเขาทำงานอยู่การรถไฟแห่งประเทศไทย เขาก็คงน่ากลัวสำหรับเธอกับวิจิตรศราแน่ แต่นี่ที่เขากล้าตื้อถึงขนาดนี้ ก็คงจะคิดมาขายขนมจีบ..

เขามาจีบเธออย่างนั้นหรือ เมขลาเหยียมริมฝีปากอย่างดูถูกในรูปลักษณ์และพฤติกรรมของเขา...โดยหารู้ไม่ว่า เขาคือคนที่พระพรหมได้ลิขิตให้มาเป็นคู่ชีวิตของเธอ..




“ว๊าย..” ขณะที่ดอกอ้อกับอุสากำลังล้างอุปกรณ์เครื่องใช้อยู่ในครัวไฟฟ้าก็ดับพรึ่บ วิจิตรศราที่นั่งทำบัญชีโดยไม่ได้สนใจว่า นายกฤษณะนั้นจะนั่งเฝ้ารอทำอะไรก็ดีดตัวลุกขึ้น แต่ว่าพอมองออกไปด้านนอกก็เห็นว่า ไฟฟ้าข้างนอกนั้นยังสว่างไสว..ป้าเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่ใช้ไฟพ่วงจากร้านของเธอรีบเดินหน้าตาตื่นเข้ามา..

“เมื่อกี้ น้ำมันโดนปลั๊กไฟน่ะหนูวิ..”

“เซฟทีคัทมันคงตัดนะป้า..ป้าถอดปลั๊กตัวนั้นก่อน..” ขณะนั้นดอกอ้อกับอุสาเดินเกาะกันออกมาจากในครัวด้วยใบหน้าหน้าตื่นตระหนก..

“อย่าเว่อร์นักเลย แค่ไฟดับ..” วิจิตรศราหันไปดุ

“มีอะไรให้ผมช่วยบอกผมนะครับ...ผมยินดี..”

“ช่วยกลับไปเสียที..”

“แล้วใครจะซ่อมไฟให้..”

วิจิตรศราทำปากขมุบขมิบพอดีกับที่เมขลาเดินถือไฟฉายลงมาจากข้างบน และสุดท้ายวิจิตรศราก็ต้องพึ่งพาเขาให้ไปช่วยดูตรงแผงควบคุมวงจรไฟฟ้า...

หลังจากที่วงจรไฟฟ้าภายในบ้านทำงานเขายื่นไฟฉายส่งให้เมขลาที่ยืนรอเขาอยู่พร้อมกับอุสาและดอกอ้อ..และเมื่อไฟฉายกระบอกนั้นเข้าไปอยู่ในมือของเมขลาแล้ว เขายิ้มให้เมขลาแล้วก็บอกว่า “งั้นผมกลับแล้วนะ” เขาหมุนตัวลงจากชั้นลอย เดินลากรองเท้าผ่านหน้าวิจิตรศราที่เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านั้นวิจิตรศราคิดว่าเขาจะเอาการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นข้ออ้างในการผูกมิตรหรือทวงบุญคุณ แต่เมื่อเขาเดินออกไปพ้นจากหน้าร้านโดยไม่ได้ทักทาย หรือเย้าแหย่เธอ วิจิตรศราจึงรีบลุกขึ้นวิ่งตามไปดูว่า เขาใช้รถอะไร กระทั่งเห็นว่าเขาสวมหมวกกันน็อคสต๊าทรถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไปวิจิตร ศราก็พ่นลมหายใจออกมา..

หลังจากดอกอ้อกับอุสากับบ้านกันไปแล้ว วิจิตรศรากับเมขลาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกันต่างก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“นายนั่นมันตั้งใจมาจีบเธอ”

“แล้วไง” เมขลาผินหน้าไปมองผนัง..แล้วก็ปรายตากลับมาสบตาของวิจิตรศรา..และวิจิตรศราเองก็กลอกตาไปมา..ก่อนจะพูดว่า “หวังว่าเธอคงไม่ใจอ่อน”

“ไม่ใช่สเป็คฉันเลยนะ..แต่งตัวอย่างกับจิ๊กโก๋..ถ้าบอกว่าเป็นนักเลงก็น่าจะเชื่อมากกว่า..”

“แต่ว่าไปหน้าตามันก็ ไม่ได้ขี้เหร่ มากมายเลยนะ..อ้วนกว่านี้สักนิด..ก็พอกล้อมแกล้ม ๆไปได้” วิจิตรศราจงใจหยอกเย้าเพื่อนมากกว่าที่จะให้เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเมขลานั้นสั่นหัวดิก..

“เมยังไม่อยากคิดเรื่องความรักตอนนี้หรอก..เพิ่งจะยี่สิบสองเอง...อยู่คนเดียวแบบนี้ดีกว่า”

“แต่ถ้ามัน..เอ้ย เขาตื้อไม่เลิกล่ะ เมจะทำอย่างไร..”

“ทำอย่างไร..ตบมือข้างเดียวมันดังเสียที่ไหนล่ะ..”

“แต่เมก็ดูไม่ได้รังเกียจอะไรเขาเลยนะ”

“ก็..ก็เค้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่...คนเข้ามาดี เราก็คุยกับเขาดี ๆ ถ้าเขาเห็นว่าเราไม่เล่นกับเขา เดี๋ยวเขาก็ไปเอง..ไป ๆ ขึ้นนอนเหอะ..พรุ่งนี้เมต้องตื่นแต่เช้า..” ว่าแล้วเมขลาก็ลุกขึ้นพร้อมกับไฟฉายที่ยังรู้สึกว่ามันอุ่นกว่าตอนที่จับครั้งแรก..วิจิตรศราลุกขึ้นตามเดินไปที่สวิชท์ไฟกดตัดกระแสไฟในส่วนที่เป็นร้านค้าก่อนจะก้าวเดินตามเมขลาขึ้นไปยังชั้นบน..

“ถ้าพรุ่งนี้เขาไปดักรอที่สถานีหัวลำโพงอีกล่ะ”

“พรุ่งนี้เมจะขึ้นรถเมล์ไป”

“ทำไมล่ะ..”

“ไม่มีเหตุผลหรอก..”

“มันต้องมี..จะเล่นเกมส์กับเค้าใช่ไหม” วิจิตรศราเดินตามเมขลาขึ้นบันไดพลางคุยกันไปจนกระทั่งทั้งคู่ไปหยุดที่โถงกลางของห้องพักส่วนตัวของทั้งคู่..พลันโทรศัพท์มือถือของเมขลาที่วางอยู่ในห้องก็ดังขึ้น..

“ฉันเดาว่า ไอ้โรคจิตคนนั้น ก็คือนายกฤษณะ สิริสุข..”

เมขลาชักสีหน้าประหลาดใจและก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เขารู้เบอร์โทร ชื่อเธอ และรู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่..ซึ่งมันก็ตรงกับข้อสงสัยของวิจิตรศรา.. “แต่ว่ามันรู้เบอร์ ชื่อแล้วมันรู้ได้ไงว่าเธออยู่ที่นี่..น่าสงสัยนัก..”

“หรือเค้ารู้จักใครแถว ๆ นี้..ก็เลย”..

“อย่าบอกนะว่า..มีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้เขา..”

“ไม่รู้..คิดไม่ออก”

โทรศัพท์ยังคงแผดเสียงเรียกเจ้าของให้ไปกดรับสาย..วิจิตรศราจึงต้องตัดบท

“รีบไปรับสิ..จะได้รู้ว่าใช่หรือเปล่า..”

เมขลาเปิดประตูห้อง เดินเนือย ๆ ไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง วิวิตรศราเดินตามมาเกาะวงกบประตู..แต่พอเมขลาเห็นชื่อที่หน้าจอหญิงสาวก็รีบกดรับทันที..

“พี่ต้นกล้วย”

พอเห็นว่าเป็นพี่ชายคนรองของเมขลาที่รักน้องสาวเป็นอย่างมาก วิจิตรศราก็โบกมือก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง..


แม้ว่าห้องจะอยู่ติดกันแต่กฤษณะก็เลือกที่จะโทรหาอาวุธแทนการเดินไปเคาะประตูออกมาคุย เพราะว่าทั้งคู่ใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ระบบเดียวกัน ค่าโทรออกจึงอยู่ที่ครั้งละหนึ่งบาทซึ่งจะสามารถคุยกันได้ถึงหนึ่งชั่วโมง..

“พรุ่งนี้มึงจะทำอย่างไรต่อ”

“หยุดหนึ่งวัน เปิดช่องว่างให้เขาคิดถึงกูบ้าง”

“เยี่ยมไปเลย..จีบให้ติดนะโว้ย”

“ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกว่ะ..หาเรื่องแก้เซ็งทำไปอย่างนั้น”

“ปอดใช่ไหมว่ะ กลัวพลาดแล้วจะเสียหน้า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น..กู..กู..ก็” จริง ๆ เขายังลืมมัทนาไม่ได้นั่นเอง..

“เออ กูเข้าใจ”

“เข้าใจว่า”

“ก็ มึงยังรักอีหมวยอยู่มาก แต่มึงก็ต้องไม่ลืมว่า มึงกับอีหมวยมันขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงไปแล้วชีวิตที่เหลืออยู่เป็นของมึง มึงมีสิทธิ์ที่จะให้โอกาสตัวเอง แล้วโอกาสมันก็มาถึงแล้ว..มึงลุยไปถึงขนาดนี้แล้วมึงถอยไม่ได้นะโว้ย..มึงต้องทำให้เขารักมึงให้ได้”

“เขารักกูแล้วถ้ากูยังไม่รักเขาล่ะ..”

“เรื่องที่มึงจะไม่รักเขานี่เปอร์เซ็นต์มันน้อยมาก”

“แล้วถ้ากูไปหลงรักเขาหัวปักหัวปำแล้วเขาไม่รักกูล่ะ”

“มึงก็นอนเกาขาไปแล้วกัน..เอ่อ ๆ แค่นี้นะ กูจะนอนแล้ว..”

“เก็บแรงไว้พรุ่งนี้ซินะ” คืนวันศุกร์ คืนวันเสาร์ คืนวันอาทิตย์ อุมารินทร์จะมาค้างกับอาวุธ..พอนึกถึงความสุขสดชื่นของเพื่อนกับแฟนสาวความหดหู่ใจก็แล่นเข้ามาเยือนใจของกฤษณะอีกครั้ง..

วางสายจากอาวุธแล้วกฤษณะหยิบหนังสือเรียนที่วางอยู่บนหัวเตียงมาพลิก ๆ ดู..แล้วความคิดของเขาก็แล่นขึ้นมา..พรุ่งนี้วันศุกร์เขาจะไม่ไปป้วนเปี้ยนให้เมขลาให้เห็นทั้งที่หัวลำโพง ที่ร้าน แต่วันเสาร์หลังเลิกเรียนเขาจะหอบหนังสือไปที่นั่น อ่านหนังสือจิบกาแฟกวนอารมณ์เจ้าของร้านกับเพื่อน..ซึ่งวันนี้เขาก็ประเมินไว้ในใจว่าการที่เขากลับออกมาง่าย ๆ โดยไม่ได้รอคำขอบคุณนั้นมันก็น่าจะเป็นข้ออ้างให้เขาได้หาเรื่องไปคุยกับพวกเจ้าหล่อนในวันเสาร์...

“พี่น้า พี่น้า”..เสียงเคาะประตูห้องพร้อมเสียงเรียกจากเสียงที่คุ้นหู..ทำให้กฤษณะกระเด้งขึ้นนั่ง..

“อีจอย..”..จอย นั้นเป็นลูกของพี่พนักงาน หญิงสาวอายุเพียงสิบแปดปีแต่ทำตัวหวือหวาเป็นที่น่ากริ่ง
เกรงยิ่งนัก..กฤษณะรีบไปคว้าเสื้อยืดสีขาวที่พาดไว้บนเก้าอี้สวมแล้วก็เดินไปยังประตูห้อง..เขาไม่อยากรุ่มร่ามกับจอย เพราะกลัวต้องรับผิดชอบผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนดอกไม้ริมทางแบบนี้

“มีอะไร..”


“พี่นอนหรือยัง”

“ทำไม..มีอะไร”

“เปิดประตูให้จอยหน่อยสิ”

“ไม่สะดวก..”

“มีอะไรถึงไม่สะดวก”

“โป๊อยู่..”

“จอยไม่ถือ..เปิดเหอะ นะ นะ นะพี่น้า..”

“มีอะไร” เขาถามเสียงห้วน ๆ ห่าม ๆ ตามความเคยชินกลับไป

“ซื้อขนมมาฝาก..ขนมปัง ตอนเช้าพี่จะได้เอาไว้กินกับกาแฟ” จอย ยังทำคงทำเสียงออดอ้อน เพราะ
อยากเอาชนะนั่นเอง

“วางไว้หน้าห้องนั่นแหละ เดี๋ยวพี่เปิดประตูไปเอาเอง”

“พี่น้า”..เสียงของจอยแหลมเข้ามาบาดหู..

“จะเสียงดังไปถึงไหนวะ” เขาตะคอกกลับไป..

“ใจร้าย”

“เออ ขอบใจ...ไป ๆ แล้ววันหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากอีกนะ”

“ทำไมล่ะ”

“หาซื้อกินเองได้..มีตังค์”

“น้ำใจน่ะ รู้จักไหม น้ำใจ..อยู่แฟลตเดียวกันก็ต้องแบ่งปันกัน”

“แบ่งให้คนอื่นเหอะ พี่ไม่ต้องการ..แค่นี้นะ..”

“ก็เปิดประตูมาเอาขนมก่อนสิ”

“เอ็งก็ไปก่อนซิ”..

“ไปก็ได้..” แล้วกฤษณะก็ได้ยินเสียงจอยลากรองเท้าเดินจากไป แต่เขาก็ไม่เปิดประตูไปเอาขนมปังในทันที....




แรกทีเดียวเมขลาตั้งใจเดินทางโดยรถเมล์แต่มาคิดอีกทีหากเธอทำอย่างนั้นเขาก็จะหาว่าเธอกลัวเขา ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องนั่งไฟเหมือนเดิม จนกระทั่งถึงหัวลำโพง ลงจากรถไฟแล้ว เมขลาเดินช้าลง สายตาที่เคยมุ่งตรงไปข้างหนานั้นปรายมองไปทางซ้ายและขวา..แต่ว่าก็หาได้เห็นเงาของเขา และวันนี้ทั้งวันตลอดถึงเมื่อคืน โทรศัพท์หรือข้อความจากนายคะน้าที่เธอคิดว่าเป็นเขา ก็หายไปด้วย เมขลายอมรับกับตัวเองว่า นายกฤษณะทำให้จิตใจของเธอไม่สงบสุขดังเดิม จนกระทั่งหญิงสาวนั่งรถไฟกลับบ้านในตอนเย็น จากที่ไม่เคยสนใจว่าใครเป็นใคร ใครทำหน้าที่อะไร แต่วันนี้เมขลาอยากรู้ว่า ตำแหน่ง ‘ช่างเครื่อง’ นั้นมีหน้าที่ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร..แต่ครั้นจะเอ่ยปากถามพนักงานของการรถไฟฯ เมขลาก็รู้สึกกระดากอาย..

จนกระทั่งถึงบ้าน..เมขลาก็ขอตัวขึ้นห้องพักโดยอ้างกับวิจิตรศราว่าวันนี้รู้สึกปวดหัว..

“เป็นอะไรของเขาปวดหัวได้ทุกวัน” วิจิตรศราเปรย ๆ ตามหลัง และพอเมขลาขึ้นไปสักพัก ที่หน้าร้านก็
ปรากฏเงาของกฤษณะ..ซึ่งวันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีลายขวางขาวดำ กางเกงขาเดฟเหมือนเดิมรองเท้าที่นั้นก็เป็นคอนเวิร์สหัวเรียวสีขาวสะอาดตา..

สาระรูปของเขาดูดีกว่าวันก่อน ๆ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังดูเหมือนจิ๊กโก๋สำหรับวิจิตรศราอยู่ดี..

“ขอมักกะโรนีหนึ่งจานแล้วก็โค้กหนึ่งขวด” เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ วิจิตรศราหันไปหาอุสาสั่งงานเบา ๆ แล้วก็เลี่ยงขึ้นชั้นบนไป..

กฤษณะมองตามไปและมั่นใจว่า วิจิตรศราต้องไปบอกกับเมขลาที่กลับมาถึงบ้านก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามา ว่าเขามาที่ร้านนี้อีกครั้ง และครั้งนี้ กฤษณะก็รู้สึกถึงมิตรภาพที่ดีกว่าเมื่อวาน..อาจจะเป็นเพราะเขาช่วยซ่อมไฟฟ้า..หรืออาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาแต่งตัวดูดีกว่าวันก่อน ๆ..แต่ที่นี่แน่ ๆ วันนี้เขาหอบหนังสือเรียนมาด้วย..หากเขาจะนั่งอยู่นาน แล้วถูกไล่กลับ เขาจะได้อ้างว่า ร้านนี้ ส่งเสริมให้คนอ่านหนังสือไม่ใช่เหรอ..หนังสือเรียนนี่เป็นอนาคตของเขาทีเดียว..

เมื่อมั่นใจว่ามีข้ออ้างสำหรับความคิดถึงที่จู่ ๆ ก็แทรกเข้ามาในระหว่างวันจนกระทั่งทำให้เขาเสีย
ความตั้งใจที่ว่าจะมาร้านนี้ในวันเสาร์ตอนเย็น..กฤษณะก็ละเลียดเส้นมักกะโรนีเข้าปาก..ซึ่งไอ้เส้นยาว ๆ ในจานนี้หากอยู่ที่บ้านตามลำพังหรืออยู่กับเพื่อน ๆ ที่ตะกละตะกลามเหมือน ๆ กัน เขาก็คงจะกวาดลงท้องภายในครึ่งนาทีได้ แต่ด้วยอยู่ในร้านที่มีบรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขกับมีเป้าหมายป่วนหัวใจสาวเจ้า เขาจึงค่อย ๆ เล็มทีละน้อย ๆ ตานั้นก็มองไปยังบันไดขึ้นลง แต่ว่าก็ไร้วี่แววว่าสองสาวจะลงมาต้อนรับแขก..


“น้อง..วันนี้เงียบ ๆ ไปไหนกันหมด..” เขาจำต้องชวนอุสาคุย..

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

“เจ้านายน้องเขาขึ้นไปทำอะไรกัน เงียบไปเลย”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

“แล้ว น้องอีกคนหนึ่งล่ะ..เมื่อวานเห็นมีอีกคน” อันที่จริงเขารู้จักดอกอ้อตั้งแต่วันที่มาช่วยอาวุธขนของ แล้ววันนั้นเขาก็ได้ข้อมูลของสองสาวจากดอกอ้อนั่นเองแต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักและก็กำชับดอกอ้อด้วยว่าอย่าบอกกับสองสาวเด็ดขาดว่ารู้จักกับเขา

“อ้อ..มันปวดหัวลากลับไปเมื่อกี้นี้เอง ป่วยการเมืองซะมั้ง..”

“แล้ว..นี่สองคนเขาจะลงกันมาอีกไหม”

“ไม่รู้ค่ะ เอาแน่ไม่ได้..แต่คงลง..ยังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย”

“แล้ว”..ขณะที่กฤษณะจะเอ่ยปากซักต่อพอดีที่หน้าร้านก็ปรากฏร่างของสาววัยสามสิบต้น ๆ สามคน..และพอเดินเข้ามาในร้าน หญิงสาวที่สวมเสื้อสีแดงก็เอ่ยถามอุสาว่า..

“วันนี้คุณวิจิตรศราอยู่ไหม”

“อยู่ค่ะ..”

“แล้วหมอเมขลาล่ะ”..พอได้ยินว่าทางนั้นเรียกเมขลาว่าหมอเมขลา กฤษณะก็ถึงกับสำลักน้ำ..เพราะดอกอ้อไม่ได้บอกกับเขาเลยว่า เมขลาเรียนจบทางการแพทย์...

“อยู่ค่ะ อยู่ทั้งคู่..แต่อยู่ข้างบน”

“ตามให้ฉันหน่อยได้ไหม มีเรื่องร้อน ๆ จะปรึกษาหน่อย”..

อุสาพยักหน้าเกาหัวก่อนจะเดินไปยังโทรศัพท์ภายในแล้วกดหมายเลขห้องของวิจิตรศรา ไม่มีใครรับสาย วิจิตรศราอาจจะอยู่ห้องเมขลา แต่อุสาก็ไม่กดไปห้องนั้น..เพราะรู้ว่าวางสายแล้ว ต้องมีสายต่อกลับมาแน่นอน และมันก็เป็นไปตามคาด

“คุณวิจิรศราคะมีคนมาขอพบ..มีธุระด่วนค่ะ”..

อุสาวางสายลง..แล้วหูของกฤษณะก็ได้ยินหนึ่งในสามสาวพูดว่า “หมอเมขลาดูดวงได้แม่นจริง ๆ วันนั้นพี่ถามเรื่องงานใหม่ของพี่ เค้าบอกว่าดวงไม่ได้เปลี่ยนงาน ต้องอยู่ที่เก่า แล้วจะดีเอง ปรากฏกว่า วันนี้พี่ได้เปลี่ยนตำแหน่ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นร่อนรีซูเม่ไปทั่วหวังว่าจะได้แต่กลับปิ๋วหมดเลย..”

“แล้วไอ้เรื่องที่คุณวิโม้..เอ้ย..พูดให้ฟังวันนั้นนะ..พี่สืบมาแล้ว ยัยน้องคนที่ทำงานหน้าฟร้อนน่ะ มันไปกับฝรั่งจริง ๆ ทิ้งไอ้หนุ่มรถไฟให้น้ำตาตกเลยนะเธอ..พี่ละไม่อยากจะเชื่อเลย..แม่นอะไรปานนั้น” คนเสื้อเขียวช่วยเสริม

“แม่นอย่างไง” น้องเสื้อสีชมพูอ่อน ๆ จึงต้องซักเอาความเชื่อมั่น

“ก็..น้องหมวย..ใช่ ๆ ชื่อน้องหมวย..น้องหมวยเค้ามีฝรั่งมาติดพันอยู่ แล้วเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะไปกับฝรั่งหรืออยู่กับแฟนคนไทย..แต่พอมาหาหมอเมขลา..หมอเมขลาฟันธงไปว่า..ฝรั่งชัวร์ที่สุด..น้องเค้าก็เลย ตัดสินใจได้ ตอนนี้บินไปอิตาลีเรียบร้อยไปแล้ว วันนั้นคุณวิเล่าให้ฟัง พี่ก็คล้าย ๆ จะได้ยินเรื่องนี้ที่ไหนเลยไปสืบดู..คนที่ทำงานเดียวกันนี่เองแต่คนละแผนก”..

กฤษณะที่ฟังอยู่กำหมัดขบกรามจนแน่น และด้วยระงับความโกรธความเจ็บช้ำไว้ไม่ไหว มือข้างซ้ายที่ก็กำแล้วทุบเปรี้ยงลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังลั่น....

“ว๊ายๆ” สามสาวรวมถึงอุสาตกใจอย่างพร้อมเพียงกัน และจังหวะนั้นวิจิตรศราก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี..

“หมอเมขลาอยู่ไหมค่ะ คือ วันนี้ อยากขอเป็นกรณีพิเศษนะคะ ขอลัดคิวหน่อย พอดีน้องสาวพี่เค้ามีเรื่องที่ยังตัดสินใจไม่ได้..” คนที่มุ่งประโยชน์ของตนเองรีบดำเนินการเรื่องของตนทั้งที่ก็ยังหวาด ๆ กับพฤติกรรมของคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้านั้น

“อยู่ค่ะแต่วันนี้เค้า อยากพักค่ะ”

“ดูให้น้องสาวดิฉันหน่อยได้ไหม มีเรื่องด่วนเลย..นะคะขอลัดคิว”

“เรื่องอะไรคะ”

“คือ น้องเค้ามี มีคนเข้ามาในชีวิตพร้อมกันสองคน แล้วตัดสินใจไม่ได้ว่า จะไปทางไหน บังเอิญมาขอแต่งงานทั้งคู่อีก..แปลกมาก ๆ..”

“แล้วทำไมไม่ถามใจตัวเอง” กฤษณะสอดเข้ามาอย่างเหลืออด..แขกของวิจิตรศราหันไปมองเขา แล้วหันกลับมามองหน้าวิจิตรศราที่เริ่มมีอารมณ์กับเขา..เพราะการที่เธอขึ้นไปข้างบนนั้นก็เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำ..แต่นี่..เขากำลังป่วนกิจการของเธอ..แต่วิจิตรศราก็พยายามข่มอารมณ์ไว้ หญิงสาวเดินไปยังโทรศัพท์ภายในกดหาเมขลาบอกเล่ารายละเอียดคร่าว ๆ

..อึดใจเมขลาก็เดินลงมาด้วยใบหน้านิ่ง ๆ มีรอยยิ้มนิด ๆ ให้กับสามสาว..

“ขอร้องหละค่ะ ดูให้น้องเขาหน่อย..น้องเขาไม่อยากลังเลไม่อยากให้เกิดศึกหน้านาง..”

เมขลายิ้มแหย ๆ แล้วคนที่เคยมาดูดวงกับเมขลาก็ดันร่างของน้องคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเองมาตรงหน้าเมขลาที่ยืนนิ่งอยู่..เวลานั้นกฤษณะที่นั่งหันหลังให้สามสาวผินหน้าขึ้นมอง เมขลาปลายตาไปมองหน้าของเขาเห็นดวงตาของเขานั้นแดงก่ำลมหายใจของเขานั้นกระชั้น ใจที่คิดว่าน่าจะสงบนิ่งได้กลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ว่าพี่เสื้อแดงที่เคยมาดูดวงกับเธอก็รีบฉวยมือขวาของเธอไปจับกับมือน้องเสื้อสีชมพูที่อยากรู้อนาคตของตัวเอง..เมขลาใช้มือข้างซ้ายตามประกบหลังจากนั้นก็หลับตา..แต่ว่ายังไม่ทันจะรู้สึกอะไร..

กฤษณะก็ลุกขึ้นมาแล้วจับมือของทั้งสองแยกออกจากกัน..



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ม.ค. 2555, 11:00:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ม.ค. 2555, 11:00:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 2468





<< 4.ศุภนิมิตร   6.“ทำไมคุณไม่ตัดสินใจเลือกใครสักคนด้วยความรู้สึกของตัวคุณเอง " >>
มุกมาดา 16 ม.ค. 2555, 11:32:47 น.
พ่อกฤษณะจะคู่กับเมขลาเหรอคะ...แอบลุ้นคุณวิจิตรฯ ต่อปากต่อคำสนุกดี อิ อิ


อักษรา 16 ม.ค. 2555, 11:37:07 น.
คุณเฟื่องเอาชื่อยาหยีเค้าไปเป็นตัวละครขอลิขสิทธิ์ยางงง อิอิ


Zephyr 16 ม.ค. 2555, 12:04:21 น.
นั่นไง รู้ความจริงจนได้ แต่แบบพอมาเจอยังงี้ สงสารคะน้าอ่ะค่ะ ถึงมันจะเป็นดวงคนจริงหรืออะไรลิขิตมาก็แล้วแต่ อรามคนที่ผิดหวังมาเจอหนึ่งในสาเหตุมันก็ต้องของขึ้นเป็นธรรมดาล่ะค่ะ แต่หนูนากะยายวิจะทำไงนี่สิ ลุ้นตอนต่อไปค่ะ มากๆ


nutcha 16 ม.ค. 2555, 13:55:39 น.
คะน้ารู้เรื่องแล้วจะทำไรหนูนาหรือเปล่า


คิมหันตุ์ 16 ม.ค. 2555, 13:58:38 น.
ท่าทางน้าจะโกรธมาก!!


panon 16 ม.ค. 2555, 14:49:39 น.
คะน้าโกรธมากเลยเหลอเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย


morisa 16 ม.ค. 2555, 15:59:52 น.
ตอนนี้สมกับชื่อตอนจริงๆ "มาย เนม อิส กิสสะนะ"


แว่นใส 16 ม.ค. 2555, 16:57:49 น.
ได้เวลาแก้แค้นแล้ว


wii 16 ม.ค. 2555, 21:17:18 น.
อ้าวซวยเพราะปากลูกค้าเเล้วสิหนูนา โดนเเก้เเค้นเเน่ๆ เเต่ก็ทำให้นายคะน้าหลงจนหัวปักหัวปำไปไหนไม่รอดให้ใด้ก็เเล้วกัน เสร็จเเล้วก็ใช้ให้มาถูพื้นในร้านเเถมให้ล้างถ้วยชามซะให้เข็ด


minafiba 16 ม.ค. 2555, 21:50:10 น.
^_^


loveleklek 16 ม.ค. 2555, 22:26:02 น.
แค้นนี้ต้องชำระ


Pat 16 ม.ค. 2555, 23:01:15 น.
>_< โอ๊ะโอ งานเข้า อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น


pseudolife 17 ม.ค. 2555, 15:33:50 น.
เอาแล้วไง จุดไต้ตำตอ(เผลอๆ จะจุดระเบิด)เข้าอย่างจัง


anOO 18 ม.ค. 2555, 18:03:35 น.
อ้าว อีตาคะน้าจะทำอะไรนี่ งานนี้สงสัยมีแตกหัก


ปิลันธน์ 20 ม.ค. 2555, 21:18:42 น.
>แล้วทำไมไม่ถามใจตัวเอง< คิดแบบนี้เหมือนกัน คงได้แต่คิด เพราะไม่กล้าพูด ^^"
--- กฤษณะนายแน่มาก...---


OPUS 14 มี.ค. 2555, 09:47:05 น.
เรื่องนี้ก็ชอบมากค่ะ ขอบคุณนะค่ะ ที่ทำให้ยิ้มได้ในวันที่ทุกข์ใจ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account