อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 3 รอยพระบาท

3
สองวันผ่านไป อาการของคนเจ็บขา เจ็บหน้า เจ็บแขนดีขึ้นเป็นลำดับ..ช่วงนั้นได้หมอและพยาบาลจำเป็นช่วยกันประคบประหงม ..ข้าวปลาอาหารและขนมหาซื้อมาส่ง เพื่อให้อีกคนได้นอนพักผ่อนเอาแรงเพราะแผนถัดไป คือ ทั้งสามคนจะลักลอบเจ้าหน้าที่ป่าไม้ลัดเลาะไต่เขาขึ้นไปสักการะรอยพระบาทพระบรมศาสดา อย่างที่สุริยาตั้งใจไว้..

และตั้งแต่ขันอาสาว่าจะเป็นคนพาไป สุริยาก็ได้เห็นแม่สาวน้อยแสงทอง ลุกขึ้นมาเก็บของลงกระเป๋าของตนและส่วนหนึ่ง เจ้าหล่อนบอกว่า เอาไว้ให้พี่ทั้งสองคนช่วยกันแบก..เพราะอาจจะต้องค้างอยู่บนเขา หนึ่งหรือสองคืนขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของคนเดินทาง..และสภาพของรุ่งโรจน์ใน
ขณะนี้คงจะทำให้การเดินทางล่าช้าเป็นแน่..

ด้วยเกรงว่าอีกคนจะเป็นตัวถ่วง คำพูดเยาะหยันให้มุ่งมั่นเดินไปด้วยกัน จึงได้ยินเข้าหูของรุ่งโรจน์เป็นระยะ ๆ และมันก็ได้ผล อย่างที่หญิงสาวคาดไว้...

รุ่งโรจน์ พูดว่า เขาจะต้องขึ้นไปกับทั้งสองคนให้ได้..

เมื่อต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน..สุริยาจึงต้องพารุ่งโรจน์ไปหาเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน..

“ผมใช้ของคุณไปก่อนก็ได้ผมไม่ถือหรอก”

“แต่ผมว่าคุณน่าจะมีเพิ่มสักสองชุด รวมถึงชุดชั้นในของคุณด้วย”..

เพราะเห็นว่าอีกคน ละเลยที่จะสวมใส่ ..มันคงไม่ดีกับความรู้สึกเขาเป็นแน่..และด้วยเป็นคนจ่าย สุริยาจึงต้องเอ่ยว่า

“เนื้อผ้า รูปแบบเสื้อผ้าที่นี่ไม่ค่อยดี ไม่ทันสมัยโนเนม คุณใส่ไปก่อนแล้วกัน พอเราแยกทางกันกลับบ้านเดี๋ยวผมเอาไปใช้ต่อ”

รุ่งโรจน์จ้องหน้า..มีคำถาม

“อยู่ด้วยกันมาหลายวันคุณคิดว่าผมเป็นคนอย่างไรรึ”

“คุณเคยใช้ของดีมีราคา...มีแบรนด์ เผื่อบางที ถ้าคุณขนกลับเอาไป มันอาจจะสร้างภาระให้กับคุณก็ได้ และพอดีหุ่นของเราก็ใกล้เคียงกัน ผมซื้อ คุณใส่ ...เราแยกทางผมเอากลับไปใส่ต่อ คุณก็ไม่ต้องใช้เงินคืนผมในส่วนนี้ ก็เท่านั้น..”

และเมื่อเดินดูเสื้อผ้าด้วยกัน ..รุ่งโรจน์จึงตัดสินใจที่จะหยิบเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวผ่าอกปักรูปลายแบบท้องถิ่น สีขาวตัว สีดำตัวและกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อหนาสีกรมท่ารูปทรงแบบกางเกงกุยเฮงมัดเอวอีกสองตัว พร้อมกับกางเกงชั้นในสีขาวสะอาดตาอีกสองตัวกับผ้าขนหนูผืนขนาดกลาง..

เป็นเงินเกือบพันบาทที่สุริยาต้องจ่ายให้..

“เสื้อผ้าพวกนี้ ผมคงจ่ายเอง จริง ๆ ผมก็ชอบมันด้วยล่ะ ใส่แบบฝรั่งที่เข้ามาเมืองไทย..ตามยุคตามถิ่น ไม่แน่นะคุณสุริยา กลับไปคราวนี้ผมอาจจะนึกอยากแบกเป้ไปสำรวจโลกกับคุณบ้างก็ได้..”

สุริยายิ้ม ๆ เมื่อเห็นอีกคนมีความคิดที่คล้อยตาม..

“แต่ผมคงจะไปแบบโลโซ นะครับ นอนถูก กินง่าย เน้นสะอาดสะดวก รวดเร็ว”

พูดจบทั้งคู่ก็มาหยุดที่ร้านขายเนื้อหมูย่างควันฉุย สุริยาสั่งมาสองไม้ พร้อมกับข้าวเหนียวห่อละห้าบาทหนึ่งห่อ..ส่งหมูให้อีกคน และบิข้าวเหนียวสำหรับตัวพร้อมกับส่งที่เหลือไปให้ด้วย..

อยากลองใจว่า คุณหนูรุ่งโรจน์ จะง่าย ๆ อย่างที่บอกไว้หรือไม่...และคุณหนูเหมือนจะรู้ จึงจำต้องกัดกลืนหมูย่างกับข้าวเหนียวลงคอด้วยท่าทีกล้ำกลืน เดินคุยกัน มองดูสารพัดอาหารป่าในตลาดสด รุ่งโรจน์ก็อดที่จะถามโน่นถามนี่ไม่ได้..ด้วยคงไม่เคยเห็น..เห็ดกระด้างหรือใบเมี่ยง ใบไม้ที่ชาวบ้านเก็บมาขาย..

“ความสุขของการได้เที่ยวแบบนี้ก็คือได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่ย้อนยุคไปสักนิด..ได้เห็นวิถีชาวบ้านพึ่งพิงอยู่กับธรรมชาติ ผมชอบ..จริง ๆ ผมก็อยากจะไปเที่ยวแบบไฮโซ ซื้อทัวร์แพง ๆ นะคุณรุ่ง..แต่ว่า..เงินตัวเดียวจำต้องประหยัด”

อีกคนไม่ตอบ จนกระทั่ง เดินมาหยุดที่แผงหนังสือ..

รุ่งโรจน์เลือกที่จะยืนอ่านข่าวพาดหัว ส่วนอีกคน..เลือกที่จะหยิบนิตยสาร หมวดดารา ซุบซิบ ซอกแซก ปาปารัซซี่ ที่กำลังนิยม..

“เปลี่ยนสารถีอีกแย้ว หนูแอนนี่..ลูกชายเจ๊ไฮโซ หายไปไหนไม่เรียกใช้บริการเหมือนเก่า” สุริยาเพ่งดูรูปแม่แอนนี่ ดารานางแบบคลื่นลูกใหม่ที่กำลังฮิตฮอตหน้าชื่นอกตูมอยู่ในขณะนี้ มีภาพแบบแอบถ่ายซึ่งอยู่ในอิริยาบถซึ่งฝ่ายชายกำลังเปิดประตูให้ฝ่ายหญิงขึ้นรถสปอร์ตหรู..

เขาชำเลืองมองไปทาง..ลูกเจ๊ไฮโซ..ในข่าว เห็นว่ากำลังพลิกหน้าในอ่านคอลัมน์

“กลับกันเถอะ” เขาวางหนังสือลง ด้วยอาการกระแทกกระทั้น จนคนขายจ้องหน้า ..ตำหนิ..



“ขอโทษครับ เล่มละแปดบาทใช่ไหม”..

คนขายพยักหน้า ดังนั้นเขาจึงสะกิด..ให้คนต้องจ่าย ควักเงินจ่ายให้..

“คุณออกค่าอะไรต่อมิค่าอะไรให้ผมไป..คุณจดไว้นะ กลับถึงบ้านผมจะเอาไปใช้คืนให้ .. ทุกบาททุกสตางค์..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์บอกให้รู้ว่าซึ้งกับมิตรภาพในครั้งนี้ แต่อีกคนกลับทำเป็นไม่ได้ยิน

เมื่อกลับถึงบ้าน..พบสาวแสงทอง กำลังยืนพิงประตูบ้านมองสองหนุ่มด้วยสายตายิ้ม ๆ โดยเฉพาะ กับคนที่ชื่อสุริยา..

“มาก็ดีแล้ว จะบอกว่าสาย ๆ วันนี้เราจะลัดเลาะทุ่งนาขึ้นเขาทางด้านหลังวัด เพราะทางนั้น เป็นหนทางที่นักแสวงบุญทั้งหลายใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาล เพิ่งจะมาปิดก็ตอนที่ทางราชการประกาศให้เขาปางสุดยอดเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติปางจันทร์ จะขึ้นจะลงจะหาของป่าก็ต้องขออนุญาต..พี่สุริยาพร้อมนะคะ สำหรับ เสื้อผ้าที่จำเป็น และเต็นท์ที่มีอยู่แล้ว..ส่วนคุณรุ่งโรจน์คะ..อย่างไรก็ช่วยพี่เขาแบกขึ้นไปด้วยล่ะ ไม่ใช่ไปตัวเปล่าอ้างแต่ว่าป่วย เห็นอีกคนใจดีก็เอากับเขาใหญ่”

“ถ้าเธอไม่พูด เธอน่ารักมากนะ” คู่กรณีพูดตรง ๆ ก่อนจะแยกเข้าห้อง.. คงจะไปอ่านข่าวคาวเป็นแน่ แต่สาวแสงทองไม่ให้ทำเช่นนั้น หญิงสาว เดินไปแย่งหนังสือพิมพ์จากมืออีกคน ก่อนจะบอกว่า

“ขอหนูอ่านก่อน พี่สองคนไปกินข้าวเถอะ หนูทำอาหารเช้าเผื่อ”

สองวันแล้ว ที่แสงทองปฏิบัติต่อคนทั้งสองฉันท์เพื่อนสนิท..โดยไม่พูดถึงเรื่องกำไรหรือว่าขาดทุน

สุริยา รุ่งโรจน์รู้และซาบซึ้งในน้ำใจ..ด้วยขณะกินข้าวด้วยกัน หญิงสาวพูดว่า..

“หนูอยากมีพี่ชาย อยากมีพี่สาวจะได้คุ้มครองปกป้อง พี่สองคน เป็นพี่ชายหนูนะคะ..”

“ถ้าเธอไม่ดื้อด้านมาก ฉันก็เป็นพี่ชายเธอได้ เพราะฉันไม่มีน้องสาว” รุ่งโรจน์ตอบให้ก่อน..

ส่วนสุริยา..จ้องหน้าคนสวยไม่ตอบว่าอะไร..

วันนี้เป็นอีกวันที่สองหนุ่ม รับประทานอาหารกันเต็มที่ ด้วยสาวแสงทองว่า มื้อถัด ๆ ไปคงเป็นได้เพียงข้าวเหนียวนึ่งกับเนื้อย่างเนื้อทอดที่ตนเตรียมขึ้นไปสำหรับ กิจกรรมในครั้งนี้..

และขณะนั้นแสงทองก็อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเงยหน้าแล้วเอ่ยว่า..

“เบื่อข่าวดาราที่สุด แต่ก็ต้องเปิดอ่านเป็นข่าวแรกทุกทีไม่รู้เป็นไง...ชีวิตคนพวกนี้นะ อยากรู้จริง ๆ ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริงเรื่องเท็จ..หลอกกันไปมา โดยเฉพาะเรื่องความรัก หนูรู้สึกเองนะว่า ประมาณว่าถ้าไร้คู่คงจะไม่ใช่คนในวงการ วัน ๆ คงไม่เป็นอันได้ทำอะไรหรอก มัวแต่ศึกษากันอยู่นั่นเอง..จะผสมพันธุ์กันให้ลูกออกมาดูดีมีชาติตระกูลทำไมมันยุ่งยากนักก็ไม่รู้”

คำพูดนั้นส่งผลให้รุ่งโรจน์อิ่มข้าว และลุกออกไปจากห้องทันที

สุริยาส่งสายตามาปราม ด้วยพอรู้เนื้อหาในข่าวคาวนั่น..

หนุ่มรุ่งโรจน์ ขว้างโทรศัพท์มือถือลงสระน้ำโรงแรมหลังจากที่มีเรื่องไม่เข้าใจกันกับแม่ดาราสาวสวย..เอ็กซ์ อึ๋ม..

“เดี๋ยวเขากลับไป เขาก็คือเขา คือดาว บนฟ้า ส่องประกายให้เราวูบวาบหัวใจเล่นเป็นครั้งคราว พวกเรามันดิน เมื่อดาวมันบังเอิญมาใกล้ดิน ก็แค่อยากให้ดาวได้รับรู้ความรู้สึกของดินบ้าง ก็เท่านั้น”

“แต่บ่อยเกินไปมันก็ไม่ดีนะ แสงทอง”

สาวแสงทองไม่ต่อปากต่อคำ เพียงเดินเลี่ยงไปสั่งงานคนงานซึ่งอยู่ด้านหลังบ้าน..



เมื่อคณะทั้งสามพร้อม สาวแสงทองจึงให้คนงานขับรถมอเตอร์ไซค์ขนเสบียงไปส่งที่ทางขึ้นเขาซึ่งอยู่ด้านหลังวัด พร้อมกับตน ส่วนสองหนุ่ม ค่อย ๆ เดินไป โดยเจ้าหล่อนให้ทำทีเหมือนเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อย ๆ

“ต้องขนาดนั้นเชียว”

“เดี๋ยวป่าไม้รู้ได้ตามไปไล่ลงตั้งแต่ยังขึ้นไม่ถึงนะซิ อีกอย่างหนึ่งนะคะ..หนูไม่อยากให้คนในตลาดรู้ว่าหนูขึ้นเขาไปกับพี่สองคน..”

“กลัวเสียชื่อเสียง มันก็ไม่ต่างกันหรอก..” รุ่งโรจน์เหน็บให้

“หมายความว่าไง”

“คนมันก็เป็นดาว อยู่ในตัวทุกคนล่ะ แสงทอง หากแต่ว่ามันจะส่องประกายให้โลกติฉินนินทามากน้อยกว่ากันแค่ไหน..”

หญิงสาวไม่ตอบรีบเร่งให้คนงานออกรถเสียโดยเร็ว สองหนุ่มมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะ กับการทำตัวมีลับลมคมในอย่างที่หญิงสาวต้องการ

สุริยาอยู่ในชุดกางเกงผ้าร่มสีน้ำเงิน เสื้อยืดแขนยาวสีดำ กระเป๋าย่ามใบเล็กแบบชาวเขาหนึ่งใบ..ในนั้นบรรจุ ยาสามัญประจำตัวนักท่องเที่ยวมืออาชีพ ธูปเทียนไฟแช็ก..กล้องดิจิตอลและเครื่องเล่น MP3 แบบพกพา พร้อมหูฟัง..

ส่วนรุ่งโรจน์อยู่ในชุด เสื้อและกางเกงที่เพิ่งซื้อมา รองเท้าผ้าใบคู่เก่าของตน กับเป้สะพายหลังใบขนาดพอเหมาะบรรจุอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งสาวแสงทองมายัดเยียดบังคับให้เขาต้องแบกไปตั้งแต่บ้าน ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าและเต็นท์ของสุริยานั้น เจ้าหล่อน กุลีกุจอขนเอาไปรอที่ทางขึ้นหลังวัด..

เมื่อเดินฝ่าแดดยามสายไปด้วยกัน..สุริยา จึงนึกถึงหมวกคลุมศีรษะที่ควรจะมีของอีกคน..เขาจึงแวะซื้อหมวกสานปีกใหญ่ให้รุ่งโรจน์ เปลี่ยนของตัวจากหมวกแก๊บ ..รวมถึงซื้อให้สาวแสงทองอีกใบ..

“จะได้ไม่ร้อน และดูเป็นทีมเวิร์ค..”

“ขอบใจมาก” รุ่งโรจน์โยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วคว้าหมวกสานมาสวมศีรษะ คราวนี้ใบหน้าเนียนในกรอบผมทรงหนูแทะชี้โด่ชี้เด่ จึงเปลี่ยนไปเหมือนเด็กชาวเขาแก้มแดง จนสุริยาอดที่จะมองซ้ำ ๆ ในวงหน้าได้รูปงดงามนั้นไม่ได้..

“ฟังเพลงไหม..” สุริยายื่นเครื่องเล่นเพลงไปให้ แต่อีกคนปฏิเสธ

“แล้ววันหนึ่งเธอนั้นก็มา ฉันรู้สึกเธอนั้นคุ้นตา..” สุริยาคลอเพลง ‘คู่แท้’ ของพี่เบิร์ด เบา ๆ ขณะเดินไปเคียงกัน รุ่งโรจน์จึงเอ่ยถามว่า..

“ชอบแสงทองรึ”

คนถูกถามสั่นหัว..ยิ้มอาย ๆ ไม่ตอบ..แต่กลับไปร้องเพลงต่ออีกท่อน..

“เหมือนบางสิ่งฉุดฉันดึงเธอเข้าหา ให้มารักและรู้ใจกัน ...ตั้งแต่เจอะเรานั้นคุ้นเคย..เหมือนรู้จักมาแล้วเนิ่นนาน ถ้าจะบอกเหตุผล เรื่องเธอกับฉัน ก็ไม่เห็นจะมีข้อไหน..บางครั้งฉันคิดเองว่าฟ้าสร้างเรามาอย่างตั้งใจ..ฉันเป็นของ ๆ เธอ คู่แท้ที่หากันเจอ ไม่ว่าครั้งไหน ไม่ว่าชาติไหน...”

“หยุดร้องทำไม” รุ่งโรจน์ถามเมื่อเห็นอีกคนหยุดร้องแล้วชมนกชมไม้..

“ตอนที่ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกนะตอนนั้นผมยังอยู่วัด ....คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม..”

รุ่งโรจน์ทำหน้าไม่เข้าใจ..

“เรื่องเนื้อคู่นี่แหละ..ถ้าเราเป็นคู่กัน อย่างไร เราจะต้องได้พบกัน..ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันสักแค่ไหน”

“ระหว่างการเดินทางคุณก็มองหาคู่แท้ของคุณด้วยงั้นซิ”

“เปล่า...ผมเพียงรู้สึกว่า เราคงมองหากันอยู่ เหมือนคนที่หลงทาง...พรากจากกันไป และถ้าเราได้เจอกันในขณะที่เรารู้สึกว่าเขาใช่ เขาก็รู้สึกว่าเราใช่ มันจะเป็นอย่างไร..ผมอยู่วัดมานาน ผมเข้าใจเรื่องบุญธรรมกรรมแต่ง..พรหมลิขิตก็คือกรรมที่เราทำร่วมกันมาลิขิตให้ต้องมาพบกัน”

“คุณมีแฟนหรือยัง”

สุริยา ยิ้ม ๆ กับประโยคคำถามของอีกคน..

“ถ้าจะบอกว่าไม่มี คุณจะเชื่อไหม” จึงย้อนถามกลับ.. แต่อีกคน กลับทำตาเศร้า ๆ คงจะคิดถึงแม่แอนนี่ดอกฟ้านั่น..

“ถ้าผมมีแฟนแล้วผมจะฟังเพลงคู่แท้รึ..ผมคงชอบเพลง ฝนที่ตกทางโน้นหนาวถึงคนทางนี้ เป็นแน่.และบางที ผมก็เหมือนคนไร้หัวใจด้วยมั้ง ทุก ๆ ครั้งที่เริ่มรู้สึกว่าชอบ ผมจะ...เจียมตัว ว่าจน และเจียมใจว่า..เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ คุณก็รู้นี่ว่าผมบวชอยู่วัดมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องที่จะพบปะพบเจอผู้คน หรือแสดงอารมณ์ทางเพศเต็มที่ ผมไม่เคยทำ มันถูกกดทับด้วยศีลวินัยและหลาย ๆ อย่าง”

ระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองวันก่อนหน้า มีหลายเรื่องทีเดียวที่สุริยาเป็นฝ่ายเล่าให้อีกคนได้รู้..เรื่องครอบครัว พ่อแม่ เรื่องเพลง และอดีตความเป็นมาของตน..

สำหรับสุริยา รุ่งโรจน์ไม่แม้จะปริปากบอกเล่าเรื่องใด ๆ ..

“คุณคงลำบากมากนะตอนอยู่วัด”

“เรื่องที่มันผ่านไปแล้วมันก็เป็นอดีต อดีตมันล้าแต่ก็ลืม แต่มันทำให้เราแกร่งโดยเราไม่รู้ตัว”

คุยกันไปจนสาวเท้าไปถึงหลังวัด..จุดนัดหมาย สาวแสงทองก็นั่งรอหน้าด้วยอาการหน้ามุ่ย..ด้วยคงรำคาญลูกกะตาที่เห็นหนุ่ม ๆ เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนไม่มีเรื่องรีบร้อน..

“ทำไมเดินช้าจัง จะเที่ยงแล้วนะ ยังไปไม่ถึงไหนเลย ระยะทางเป็นสิบกิโลนะคะคุณพี่”

“ขอโทษที่ให้รอนาน เอ้าหมวก” สุริยาส่งหมวกให้ อีกคนไม่ยื่นมือมารับแต่กลับก้มหัวเพื่อให้อีกคนสวมให้โดยตรง.. สุริยาทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ รุ่งโรจน์จึงเป็นคนคว้าหมวกมากดลงไปด้วยอาการหยอกเย้า..

“ฤทธิ์เยอะนัก”

หญิงสาวร้องโอ๊ย..ยย. ด้วยคงตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นใครก็ทำ หน้าตาเอาเรื่องทันที..

“เจ็บนะ”

“ก็ทำให้เจ็บไง..”

“โอเค..เจอดีแน่” ทำหน้าขู่ไว้ ก่อนจะเดินไปที่กองสัมภาระ

“กระเป๋าพี่สุริยาหนึ่งใบ เต็นท์หนึ่งหลัง ของหนู ก็มีกระเป๋าหนึ่งใบ..และเต็นท์..พี่รุ่งหิ้วไปละกัน ส่วนน้ำนี่คนละสามขวดนะ..” หญิงสาวแจกน้ำเพื่อให้แต่ละคนยัดใส่เป้ที่หลังของตน..

“ข้างหลังผมนี่ก็หนักอึ้งแล้ว” รุ่งโรจน์บ่น..

“เอาเถอะ..ถ้าไม่เอาไป ข้างบนก็มีพวกน้ำซับน้ำซึม ตามข้างทางกินได้ไหมล่ะ ถ้ากินได้ ก็ทิ้งไว้ที่นี่”

เมื่อจำนนต่อเหตุผล ขบวนนักเดินทางเพื่อไปสักการะรอยพระพุทธบาทจึงยืนดาหน้ากระดานแล้วมองไปที่ยอดเขา..

“ก่อนจะขึ้น ก็ขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้า และเจ้าป่าเจ้าเขา ช่วยให้เราเดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ อย่าได้มีภยันตรายใด ๆ มาแผ้วพานได้” สุริยาว่าแล้วก็พนมมือหลับตาพึมพำ..สองคนเมื่อเห็นดังนั้นจึงตั้งจิตคิดในสิ่งที่ดีไปด้วย..

“เอ้า..ลุย”..



หนึ่งชั่วโมงผ่านไป แสงทองก็นั่งหอบแฮ่ก ๆ อยู่ตรงโขดหินกลางป่าโป่งแห้งแล้งด้วยเป็นเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีสองหนุ่มนอนแผ่หราอยู่ใกล้ ๆ ด้วยอาการไม่แตกต่างกัน

“โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก” ...รุ่งโรจน์หลุดประโยคว่าท้อแท้ออกมาเป็นคนแรก..

“สมัยเป็นเด็กรุ่น ๆ เคยขึ้นภูกระดึงกับพี่ชายยังไม่เท่านี้เลย..นี่อะไร มันชันมากหายใจแทบไม่ทัน..อากาศมันร้อนด้วย”

“อย่าบอกนะว่ากลับเถอะ มาถึงนี่แล้วขายหน้าแย่ ..ต้องไปต่อ อีกสักกิโลก็เป็นทางราบ ไม่ชันเท่านี้หรอก...เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งรู้ไหม” ว่าไปดูเจ้าหล่อนก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย..

สุริยาลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดน้ำดื่มอัก ๆ ..

“ไหว้รอยพระบาทที่อื่นก็ได้ไม่ใช่รึ..ที่พระพุทธบาทสระบุรีนั่นก็ว่าของแท้” รุ่งโรจน์ถามออกมา..

“ผมขอโทษนะที่ทำให้พวกคุณพลอยลำบากไปด้วย..”

“จริง ๆ หนูเคยขึ้นตั้งแต่สมัยรุ่น ๆ เมื่อก่อนเขายังไม่ประกาศเป็นเขตอุทยาน ประมาณเพ็ญเดือนสาม ทางวัดก็จัดให้มีงานเดินขึ้นมาสักการะรอยพระบาท ตอนนั้นคนมันเยอะ จึงไม่ค่อยเหนื่อย หรือว่าหนูยังเป็นสาววัยกระเตาะด้วยไม่รู้”

“นี่เธอก็ยังเป็นเด็ก...เด็กปัญญาอ่อน”..รุ่งโรจน์แซว ส่งผลให้อีกคนหน้าคว่ำ..หยุดสนทนาด้วยในทันที.

ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งพักใช้หมวกพัด สุริยาก็ชื่นชมกับธรรมชาติรายรอบตัว..จะป่าตรงไหนก็เหมือนกัน ที่ไม่เหมือนก็คือ ไปกับใคร..เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางโดยมีเพื่อนในวัยเดียวกัน..มีการหยอกเย้า คุยในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน..

“ยิ้มอะไรพี่ยา” แสงทองเอ่ยถาม..

“แปลกใจ ที่พวกเรามากันได้อย่างไร โดยเฉพาะเธอ แสงทอง..”

“กรรมของหนูกระมังอยู่ดีไม่ว่าดี เสี่ยงโดนด่าด้วยนะเนี่ย..แล้วพี่รุ่งล่ะ ถามจริง ๆ นะ ไม่ได้เล่น พี่มาที่ปางจันทร์ทำไม?”

คนต้องตอบ ทำเป็นมองนกมองไม้มองก้อนหินก้อนใหญ่..

แสงทองกับสุริยาจึงหันมามองหน้ากันเป็นเชิงให้รู้ว่า เบื่อคนมีความลับ..

“ก็เราเป็นพี่น้องกันแล้วไงเจ้าคะ บอกน้องให้รู้หน่อยได้ป่ะ..” แสงทองใช้ไม้นวม...
“อกหัก อย่างในข่าวที่เธออ่านนั่นแหละ”...ว่าแล้วทำท่าจะควักบุหรี่จากกระเป๋ามาสูบ พอดีกับที่แสงทอง ว้ากออกไป

“มวนที่แล้วเพิ่งจะโยนทิ้งไปเมื่อกี้เอง ถ้าเครียด ถ้าอยากนะพี่..หาอะไรเคี้ยวสิ หมากฝรั่งก็ได้”

พอได้ยินคนห้าม เขาจึงละมือ..ทำท่าบอกให้รู้ว่าเบื่อ..

“เหตุที่ผมเลิกกับแฟนหลาย ๆ คนก็มีเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย”

“มันสมัยใหม่แล้วพี่..ผู้หญิงทุกวันนี้ชอบผู้ชายที่รู้จักตามกระแสนิยม สมัยนี้เขาชอบผู้ชาย..”

“แบบไหน” รุ่งโรจน์ซัก แต่อีกคนหน้าแดง เมื่อมองไปทางหนุ่มสุริยา..

“ผู้ชายที่ขยันทำงาน ทำงานบ้านเป็น พร้อมจะช่วยเหลือกันและกันมั้ง..”

“แล้วเธอล่ะ ชอบผู้ชายแบบไหน”..รุ่งโรจน์ซักอีก ส่งผลให้อีกคนไม่ตอบ แต่กลับลุกขึ้นยกเป้ขึ้นหลัง พร้อมกับเร่งเร้าให้อีกสองคนปฏิบัติตามเพื่อการเดินทางจะได้ไม่เสียเวลา..

“คืนนี้ถ้าจะให้ดี เราควรพักที่ตรงรอยพระบาท เพราะตรงนั้นเป็นส่วนยอด เป็นลานหินที่สูงขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ปลอดภัยต่อพวกสัตว์และยุงในเวลาค่ำคืน”

“ยังไม่ตอบฉันเลยว่าเธอชอบผู้ชายแบบไหน..” รุ่งโรจน์ยังกลับไปที่เรื่องเดิม เมื่อเดินมาได้เคียงกัน..โดยทิ้งให้สุริยาเดินตามหลัง..

“ข้อแรกคือไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าและก็ไม่เจ้าชู้..หลายใจ เข้าใจเรา ยอมเราทุกอย่าง ทุกเรื่อง”

“นั่นมันเทวดาแล้วมั้ง”

“ถ้าหาไม่ได้เช่นนี้แสงทองคนนี้ก็ไม่เอาผัวเจ้าค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างมุ่งมั่น ส่งผลให้รุ่งโรจน์หัวเราะตัวงอ จนกระทั่งสุริยาเดินมาทัน เขาจึงบอกสเป็คของสาวสวยให้รู้..

“คุณทำได้ไหมล่ะ”

“ถ้าผมรักเขา ผมคงทำได้ แต่ถ้าไม่ได้รัก ผมขอเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด” สุริยาตอบไปอีกทาง

คราวนี้รุ่งโรจน์จึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องสนทนา..

“เคยไปภูกระดึงไหม”

“ไม่เคย ครั้งแรกมั้งที่ผมมาไต่เขา..ปกติก็พาลูกทัวร์ไปแต่วัด นี่วันมาฆบูชาก็จะต้องรีบกลับไปจัดไหว้พระ 9 วัดอยุธยามหามงคล”..

“แล้ววันวาเลนไทน์นี่ล่ะจัดไปไหน”

“สิบสี่กุมภา..ตรงกับวันเสาร์..ไหว้พระอยุธยานั่นแหละ สองโปรแกรม ที่เดียวกัน..ผมคงจะเจริญรุ่งเรืองกับทัวร์แนวนี้ ส่วนเรื่องธรรมชาติ คงต้องหาลูกทัวร์อีกกลุ่ม..และที่สำคัญไปไหนไกล ๆ ผมจะต้องออกไปสำรวจ..มันใช้งบประมาณและใช้เวลา ..”

สุริยาระบายลมหายใจออกมาด้วยเหนื่อยกายและใจกับอุปสรรคที่ตัวเองประสบ..ตลอดมา..ความยากจนคำเดียวมันทำให้หลาย ๆ อย่างไม่เป็นอย่างที่ใจคิด..เติบโตมาในรั้ววัด โตมาด้วยข้าวชาวบ้าน ศึกษาหาความรู้ในวิทยาลัยสงฆ์ก็ด้วยเงินชาวบ้าน..จบออกมา ลาสิกขาออกมาก็ต้องการมีชีวิตมีเงินเดือนด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเลี้ยงตัว แต่ก็ติดที่จิตดวงนี้ไม่ปรารถนาที่จะอยู่ในกรอบ และคำสั่งของผู้อื่นตลอดเวลา เขาเคยบอกเล่าเหตุบางอย่างที่ได้หันมาประกอบอาชีพนี้ให้รุ่งโรจน์ได้รับรู้แล้ว ไม่เคยคิดแม้จะปิดบังความเป็นมาเป็นไป...

“กลับไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว คุณอยากไปสำรวจที่ไหนบอกผมนะ ผมยินดีช่วย”


“ขอบคุณครับ แต่คงไม่หรอก ผมไม่อยากรบกวนคุณ และอีกอย่าง การช่วยเหลือเจือจานให้คุณในครั้งนี้คุณอย่าได้คิดเป็นบุญเป็นคุณเลย ผมโตมาด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในหมู่คณะ ในหมู่คนที่มิใช่ญาติ หากแต่ระลึกเสมอมาว่านั่นคือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ..เมตตาต่อกัน ให้กันได้ก็ให้..”

“แต่ผมไม่ใช่คนเช่นนั้น”

“ชีวิตของคุณกับผมมันต่างกันราวฟ้ากับดินเชียวนะคุณรุ่งโรจน์ เมื่อก่อนผมเห็นคอลัมน์ เยี่ยมมุมโปรดหนุ่มในฝัน ผมยังแอบอิจฉา เครื่องเรือนของคุณเลย ..คุณลองไปดูที่ผมซุกหัวนอนซิ..มันทุเรศทุรัง...อย่างกับรังหนู...”

ยังไม่ทันที่รุ่งโรจน์จะตอบว่าอะไร พอดีกับที่แสงทอง ทรุดกายลงกับพื้น..ทำให้สองหนุ่มต้องรีบวิ่งเข้าไปหา..

“เป็นอะไร”

“จุกนะซิ เจ็บในท้อง”

“ก็เธอรีบจ้ำเอา จ้ำเอา อย่างนี้มันจะไม่จุกได้อย่างไร” เสียงรุ่งโรจน์เหมือนจะดุเอา ..แต่อีกคนกลับบอกว่า “ค่อย ๆ ไปก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย ทำใจสบาย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก”

“มา..ช่วยแบกของ” รุ่งโรจน์ รั้งเป้ใบหนักกว่าของตนมาถือไว้..สาวแสงทองจึงกลายเป็นคนตัวเปล่า

“แน่ใจนะว่าจะแบกไปให้..นี่ต้องขึ้นเขาสูงชันอีกช่วงนะ”...

“แบกไม่ไหวก็ลากไปซิ”

“ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นไม่ต้องก็ได้..”

“กินข้าวกันเถอะ บ่ายโมงกว่าแล้ว ที่จุกท้องคงจะหิวด้วยเป็นแน่” สุริยาออกความคิดเห็นด้วยรู้ว่า ที่ทั้งสองคนมาลำบาก ก็เนื่องด้วยเรื่องของตนโดยแท้เชียว..



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2554, 10:20:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2554, 22:44:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1806





<< 2.ปางสุดยอด..   4 งาน y+ ศาสนา (อย่างแรง ๆ)) >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 19 เม.ย. 2554, 10:23:00 น.
งาน y + ธรรมะ

จะมีคนอ่านไหมน้อ..
เรื่องนี้เคยโพสต์ไว้ที่บล้อกครับ ไม่คิดว่าจะมีคนชอบ เอาเป็นว่าผมรีไรท์บ้าง แต่ตอนจบก็ยังเหมือนเดิมครับ เรื่องนี้หลังจากโพสต์จบ จะทำเป็นหนังสือปริ้น ออน ดีมาน คงจะจัดพิมพ์ตามสั่งจริง ๆ ราคาจะแพงหน่อย ถ้าชอบ ก็ติดต่อไว้ได้นะครับ... ขอบคุณสำหรับกำลังใจเป้นอยางยิ่ง ครับ


mottanoy 19 เม.ย. 2554, 12:53:16 น.
มาอ่านค่ะ


manida 19 เม.ย. 2554, 22:10:18 น.
รออ่านตอนต่อไป ชอบค่ะ


หมูบิน 19 เม.ย. 2554, 22:11:55 น.
มาอ่านค่ะ แต่............. ไม่ชอบแนวy อ่าาาา แต่อยากอ่าน ฮ่าๆ มาให้กำลังใจค่ะ


จุฬามณีเฟื่องนคร 19 เม.ย. 2554, 22:19:19 น.
มีคนให้คำนิยามกับเรื่องนี้ไว้ว่า "เกย์มีสกุล" 5555555555


จุฬามณีเฟื่องนคร 19 เม.ย. 2554, 22:21:36 น.
เป็นรักบริสุทธิ์ รักสามเส้า ระหว่างชาย ชาย และ หญิงครับ รักแบบนี้น่าจะเป็นรักที่ทำให้เราคบหากันได้ยืดยาว และอยู่ในใจของกันและกันตลอดไป ..เกิดขึ้นจากความเข้าอกเข้าใจกัน..แล้วเล่าเรื่อง ผ่าน สุริยาคนเดียวครับ..ที่เว็บไทยบอยเขาถามว่าไม่มีความรู้สึกของ รุ่งโรจน์บ้างเหรอ...ผมก็ตอบไปว่า บางที คนที่เข้ามาหาเรา เราก็ไม่รู้หรอกว่า เขาคิดอะไรกับเรา นอกจากการกระทำของเขา และเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่า เขาเป็นคนอย่างไร..ขอบคุณครับที่มีคนชอบ จะพยายามเร่งทำต้นฉบับหนังสือครับ คงขายได้เล่มสองเล่มแน่ ๆ ...((คริคริ)))


อมลลดาOWOอมรรัตน์ 30 พ.ค. 2554, 14:27:22 น.
แวะมากดไลค์แตนรออ่านตอนเป็นเล่มดีกว่า ลุ้น ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account