อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 4 งาน y+ ศาสนา (อย่างแรง ๆ))

4.

ถ้าบอกว่าไม่ได้แกล้ง คงไม่มีใครเชื่อ เพราะอาหารที่แสงทองดึงออกมาจากเป้ที่รุ่งโรจน์เป็นคนแบก มีเพียงข้าวเหนียวห่อใบไม้คนละหนึ่งห่อ กินกับเขียดทอดกรอบ และปลาร้าบองใส่ถุงพลาสติก ซึ่งหญิงสาวบอกว่าซื้อมาจากตลาด..

คนที่โตมาในเมืองและนอกประเทศเช่นรุ่งโรจน์มีหรือจะกล้ำกลืนอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าได้..

แสงทองแนะนำวิธีการกินและกลืน โดยใช้มือบิข้าวเหนียวแล้วจิ้มไปที่ปลาร้าบอง ส่งเข้าปากแล้วก็เคี้ยวแกล้มด้วยเขียดขายาวปากอ้าตัวแบนเสียงดังกรอบ ๆ ..

รุ่งโรจน์ทำท่าพะอืดพะอม..

“ไหนบอกว่ากินง่ายอยู่ง่ายไง นี่แหละพี่สุริยา พี่รุ่งโรจน์ วิถีชีวิตชาวบ้านปางจันทร์ล่ะ ไปไร่ไปนา พวกเขาก็มีกันไปแค่นี้ ..นี่ยังดีนะมีเขียด บางคนมีแต่ปลาร้าบอง มีพริกกะเกลือ ไปหาเก็บผักกระถินบ้างยอดมะกอกบ้างแกล้มเอาข้างหน้า.."

“ไม่มีอย่างอื่นเลยรึ” ชายหนุ่มพยายามจะดึงกระเป๋าเป้ออกมาค้นหาอย่างอื่นที่น่าจะดีกว่านี้..แต่แสงทองรั้งไว้เหมือนจะแกล้ง..

“ก็ไหนเธอบอกว่ามีเนื้อทอดกับพวกปลากระป๋องไง” สุริยาถามบ้าง..ลำพังตัวเขา อาหารที่เห็นไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เขาเคี้ยวและกลืนได้อย่างหญิงสาว แต่นึกสงสารอีกคนอย่างจับใจ ด้วยพออ่านเกมส์ออกว่าแสงทองคงจะแกล้งให้อีกคนสำนึกในความยากจน ด้วยตอนเช้าเขาได้กลิ่นทอดเนื้อมาจากในครัว แล้วทำไมมื้อนี้มันจึงไม่มี..

“กินข้าวเหนียวแล้วก็กินน้ำตามไปแล้วกัน เดี๋ยวได้อืดในท้อง อิ่มเหมือนกัน” แสงทอง ไม่พูดถึงอาหารที่ดีกว่านี้..

เมื่อกินอิ่มหญิงสาวลุกขึ้น ยกเป้ใบที่รุ่งโรจน์แบกมา ขึ้นบ่าตนเอง.. ด้วยไม่ต้องการให้สองหนุ่มรื้อค้นอาหารที่ตนเตรียมมา..

“ถ้าเธอไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ ฉันก็คงไปกับเธอไม่ได้หรอก..” เสียงของรุ่งโรจน์บอกให้รู้ว่าไม่พอใจที่แสงทองทำอย่างนี้..คงหวังที่จะเอาชนะ แต่หญิงสาวก็ใช่จะยอมง่าย ๆ

“แล้วเดินกลับถูกหรือคุณพี่ จะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้นะ กลับตัวก็ไม่ได้ ให้ไปก็คงจะไปไม่ถึงใช่ไหม..งั้นรออยู่ที่นี่แล้วกัน..หรือถ้ากลับเอง ขอบอกว่าหลงอย่างแน่นอน และที่นี่ก็ยังมีสัตว์หน้าขนอยู่เยอะแยะ ถ้าไม่อยากตายอย่างเขียดพวกนี้นะ กินข้าวเหนียว แข็งใจเคี้ยวเขียดแล้วก็ดื่มน้ำสักอึกหนึ่ง แล้วรีบตามหนูมา”

คนที่ต้องจำใจกลืนได้เพียงข้าวเหนียว ส่วนเขียดทอดพยายามแล้วเชียว แต่มันกลืนไม่สำเร็จ สุริยามองอาการเหล่านั้นอดที่จะนึกขำไม่ได้..

“คุณหัวเราะอะไร”

“วันพระไม่ได้มีวันเดียวหรอก สักวันผมรู้ถ้าเรายังคิดคบหากันอยู่ นังหนูแสงทองคงถูกเอาคืนแน่”

“ผมสัญญาเลยว่า เธอจะต้องเจ็บกว่าผมเป็นสิบเท่า”

“เร็ว ๆ อย่ามัววางแผนแก้แค้นอยู่เลย ถ้าถึงบนยอดเขาหลังพระอาทิตย์ตกดิน รับรอง คุณจะได้เจอกับกองทัพยุงเข้าให้อีก ..เร็ว... ๆ ๆ เดี๋ยวหาว่าสวยไม่เตือน”..

ช่วงระยะทางตั้งแต่กิโลเมตรที่สามถึงเจ็ดเป็นทางลาดชันไม่มากนัก ทำให้ง่ายต่อการเดินทาง แม้ถึงกระนั้น รุ่งโรจน์ก็ยังพลาดที่จะเหยียบก้อนอิฐพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่หลายรอบ...ใบหน้าที่สดใสในตอนสาย ในเวลานี้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยฤทธิ์แดดและฤทธิ์ความร้อนในร่างกายของตน..

เหงื่อที่ไหลย้อยจนเข้าตาทำให้ชายหนุ่มดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดอย่างไม่สนใจในความสะอาดของเนื้อผ้า...สุริยาเห็นดังนั้น จึงส่งผ้าเช็ดหน้าของตนให้ซับเหงื่อ รุ่งโรจน์รับมาด้วยรอยยิ้ม ..เขาไม่ปริปากบ่นเรื่องระยะทางอีกเลย ด้วยคงสำนึกว่า จะแพ้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เดินฉับ ๆ ออกหน้านั่นไม่ได้..

และแม่สาวตัวเล็กก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าหล่อนแข็งแรง ..เกินหน้าผู้ชายสองคนที่เดินตามหลัง พอเดินไปได้สักระยะ เจ้าหล่อนก็หยุด พอสองคนมาใกล้เข้ามาเจ้าหล่อนก็เดินต่อไปอีก..จนกระทั่งถึงระยะสุดท้ายที่เจ้าตัวว่า ชันที่สุด..

“พอพ้นช่วงนี้ไปได้..ก็ถึงแล้วยอดภู..ปางสุดยอด..เดินไปอีกนิดก็จะถึงรอยพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์ ทนหน่อยนะคะคุณรุ่งโรจน์ เพราะบางที คุณอาจจะอธิษฐานขอน้องแอนนี่คืนได้สำเร็จ”

คำพูดของหญิงสาวส่งผลให้อีกคนหน้าบอกบุญไม่รับในทันที..

“...คุณไม่ต้องมาสู่รู้เรื่องในใจผมหรอก..” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าโกรธไม่ใช่น้อย..จนหญิงสาวหน้าเจื่อน ด้วยตนเสียมารยาทที่นำเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัวอีกคนมาตอกย้ำ..

“ขอโทษ..ขอโทษเจ้าค่ะ” ประโยคนี้กระมัง ที่ทำให้สุริยา และรุ่งโรจน์คลายความโกรธลงได้ในทันทีเช่นกัน..เจ้าหล่อนชอบตบหัวแล้วลูบหลัง จนรู้สึกคุ้นเคย...

“คืนนี้เราจะนอนบนยอดภู ตอนสาย ๆ จึงจะเดินกลับ..อาหารเย็นกินกันบนนี้ ส่วนเรื่องน้ำอาบไม่มี รึถ้าจะมีคงเดินไปไกลเป็นกิโล คงจะมืดก่อน แต่ถ้าคุณพี่สองคนอยากไปเห็นน้ำตกเล็ก ๆ ทางด้านหลังรอยพระบาท หนูก็จะพาไป แต่ต้องในวันรุ่งขึ้นนะ”

เมื่อรู้กำหนดการคร่าว ๆ ทำให้สองหนุ่มมีกำลังใจที่จะสาวเท้าตามเจ้าตัวเล็ก ที่ป่ายปีนขึ้นเขานำหน้าไป..และระยะสุดท้ายก็มาถึง..โดยเวลาประมาณห้าโมงเย็น ทั้งสามคนก็พาสังขารอันร่วงโรยยืนในจุดที่หมดสภาพพื้นที่ของการป่ายปีน...อีกกิโลเดียวเท่านั้นก็จะถึงจุดหมาย..

รอยพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์บนลานหิน..ที่รายล้อมไปด้วยทิวสนและขุนเขานางนอนน้อยใหญ่สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา

สุริยาถอนหายใจออกมา มองพระอาทิตย์ดวงสีแดง ซึ่งใกล้จะลับเหลี่ยมเขาดั่งวันวาน เขาหยุดและดึงกล้องถ่ายรูปออกมาจากย่ามใบเล็ก..

กดชัดเตอร์ เก็บภาพความประทับใจนี้ไว้..ก่อนจะหันเลนส์ไปทางหนุ่มและสาวซึ่งยืนอยู่ในอิริยาบถที่แตกต่างกัน..แสงทอง สบาย ๆ แต่รุ่งโรจน์เหนื่อยจนหอบ.

“จะถ่ายคู่กันไหม จะกดชัดเตอร์ให้” สุริยาร้องถาม..

“ไม่หรอก ไม่อยากมีภาพกับคนดัง ขี้เกียจเอาไปเบ่ง” แสงทองว่าให้ อีกคนได้แต่พ่นลมหายใจออกมาด้วยคงรำคาญวาจาที่กัดไม่เลิกของหญิงสาว..

“หนูว่าพี่สองคนถ่ายด้วยกันดีกว่า..เห็นกุ๊กกิ๊ก ๆ กันมาตลอดทางเอาไว้เป็นที่ระลึก” แสงทองออกความคิดเห็นพลางเดินไปหาสุริยา..

สุริยาจำต้องเดินไปยืนเคียงกับหนุ่มในฝันของสาว ๆ ในเมืองไทย โดยทั้งคู่ต่างดึงหมวกสานให้คล้อยไปทางด้านหลัง กอดคอจนหัวชนกันยิ้มให้กับกล้องอย่างคนที่สนิทคุ้นเคย..

“ตั้งเวลาถ่ายได้ไหม อยากได้รูปแสงทองด้วย” รุ่งโรจน์ร้องถาม

“ได้” ชายหนุ่มเดินกลับไปที่กล้อง มองหามุมวางกล้องดิจิตอลตัวจิ๋วซึ่งเก็บหอมรอมริบอยู่ตั้งนานกว่าจะได้มาครอบครอง..เมื่อหามุมได้จึงสั่งให้แบบทั้งสองคนไปนั่งเคียงกัน ...โดยมีที่ว่างด้านหลัง..สำหรับตน..และภาพที่ได้นั้นคงเป็นภาพที่ทั้งสามคนคงจะได้เก็บไว้คนละหนึ่งบาน สำหรับระลึกนึกถึงความยากลำบากและมิตรภาพที่ค่อย ๆ เกิดก่อ..



หลังจากถ่ายรูปและพักเหนื่อย ทั้งสามก็เดินมุ่งสู่รอยพระพุทธบาทท่ามกลางพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับเหลี่ยมเขาเต็มที..

“ถ้าตกดินก่อนถึงที่หมาย มีหวังคลำที่กางเต็นท์กันแน่”

“ถ้าพระอาทิตย์ตกดินช้ากว่านี้สักนิดเราคงมีเวลากางเต็นท์และเดินไปทำความสะอาดร่างกายที่น้ำตกเป็นแน่” รุ่งโรจน์เอ่ยขึ้นบ้าง..

“อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่งจัง ตอนนั้นเราคงกินข้าวและเข้านอนพักเอาแรงกันพอดี” สุริยาเอ่ยขึ้นมาสำทับ ทีนี้ส่งผลให้แสงทองต้องทวนคำ

“ถ้าพระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่งจริง ๆ แล้วจะทำได้อย่างที่วางแผนไว้หรือเปล่า”

“ได้ซิ เพราะเวลาอีกตั้งสามชั่วโมงครึ่ง เราคงทำอะไรได้เยอะแยะ”

“แล้วทำไมก่อนสามชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมาแล้ว เราจึงเดินไม่ถึงจุดนี้” แสงทองตั้งคำถามอีกรอบ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่รอคำตอบหรอก..เพราะต้องรีบพากันจ้ำให้ถึงที่หมายจุดกางเต็นท์ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ...



ทันทีที่ถึงจุดกางเต็นท์ พระอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมเขา ทิ้งไว้เพียงประกายแสงสีทองอยู่พักใหญ่ให้ทั้งสามคนได้คลำทางหาเก็บกิ่งไม้แห้ง ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นมากอง สำหรับสุมไฟเพื่อใช้แสงสว่างสำหรับกางเต็นท์ และทำกิจธุระประจำวันให้เสร็จสิ้น...

ทันทีที่เต็นท์สองหลังตั้งเคียงกันได้ แสงสีทองสุดท้ายก็หายไปจากท้องฟ้า ความหนาวเย็นแผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่บนยอดเขาปางสุดยอดจนทั้งสามคนตัวสั่นเทา ด้วยแรงลมโชย ทั้งสามแทบไม่อยากจะลุกหนีไปจากกองไฟที่ใกล้จะมอดไหม้หมดสิ้น..อาหารมื้อเย็นในค่ำวันนี้ดีกว่ามื้อกลางวัน เพราะเป็นข้าวจ้าวคนละหนึ่งถุง มีช้อนสำหรับตักกิน มีปลากระป๋องและเนื้อทอดอย่างที่สุริยาคาดเดาไว้ และมื้อนี้ดูรุ่งโรจน์จะเจริญอาหารจนร้องขอแบ่งข้าวสวยจากแสงทองอย่างไม่เกรงใจ และหญิงสาวเองดูสงบปากคำไม่พูดมากเหมือนเมื่อตอนเดินขึ้นเขา..คงสำนึกผิดที่ทำให้อีกคนมีอาหารติดท้องอยู่นิดเดียว

รอยพระบาทที่ตั้งใจสักการะอยู่ห่างจากที่พัก หลังก้อนหินก้อนใหญ่ที่ช่วยบังลมได้เพียงเล็กน้อย ไปทางชะง่อนผาเพียงร้อยกว่าเมตร...สุริยาคนปรารถนาจะมาสักการะ ตั้งใจว่าในวันนี้จะไม่ย่างกรายไป ตรงจุดนั้น จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ด้วยต้องการฝึกการรู้จักหักห้ามใจตน นับว่าเป็นประโยคเด็ดในวันนั้นที่รุ่งโรจน์และแสงทองคล้อยตามด้วยความงุนงง

“เห็นว่าอยากไปไหว้ แต่พอมาถึงจริง ๆ กลับให้รู้จักหักห้ามใจ รอจนถึงวันพรุ่ง.. ตูละงง”

แสงทองบ่นอุบอิบ

หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องอาหาร แสงทองก็รื้อค้นยาคลายกล้ามเนื้อและยาทาบรรเทาอาการปวดขาออกมาจัดการกับตัวเอง และได้ส่งยาจำนวนนั้นให้กับรุ่งโรจน์ เพราะเห็นว่าชายหนุ่มมีอาการขาตึงและจามอยู่ตลอดเวลา

“กินยาแก้แพ้อากาศสักหน่อยนะคุณชาย ดูแล้วอาการไม่น่าไว้วางใจ”

“ขอบใจ”

“ไม่ต้องขอบหรอก ขี้เกียจหามกลับต่างหาก”

แม้จะพูดอย่างนั้น แต่รุ่งโรจน์รับยามากลืนอย่างว่าง่าย คงไม่อยากเป็นภาระของใครอีก ค่ำคืนนั้น แสงทองรีบดึงเสื้อกันหนาวและกางเกงขายาวออกมาสวมหมดทั้งกระเป๋า หญิงสาวมีถุงมือ ถุงเท้า และหมวกไหมพรมปกปิดมิดชิด..ผ้าแพรผืนบางถูกดึงออกมาคลุมกาย อย่างคนที่พอรู้สถานการณ์ในค่ำคืน

สำหรับสองหนุ่มละล้าละลัง ไม่มีอุปกรณ์บรรเทาอาการหนาวอย่างหญิงสาว มีเพียงชุดที่สวมมา กับในกระเป๋ามีเพียงเสื้อกันหนาวตัวไม่หนาคนละตัว กับผ้าห่มไหมพรมผืนไม่ใหญ่นักเพียงผืนเดียว..

“ผมว่าเราเอาไฟฉายไปหาฟืนมาเตรียมไว้เถอะ อากาศที่นี่ท่าจะไม่ธรรมดา ยิ่งดึกคงจะยิ่งเย็นยะเยือกเพราะลมแรงจัง..” เป็นความคิดของรุ่งโรจน์ แต่แสงทอง กลับส่งเสียงมาห้ามไว้

“อย่าไปเลย ถ้าลงจากจุดนี้ไปมันอันตรายนะ ที่นี่ยังมีสัตว์ป่า ยิ่งเวลาพลบค่ำ พวกมันจะออกมาหากินดินโป่ง และอีกอย่างหนูอยู่คนเดียว หนูกลัว”

“กลัวก็ไปด้วยกัน”

“มันหนาว” เจ้าตัวส่งแต่เสียงไม่ยอมมุดหัวออกมาจากเต็นท์

“ถ้าไม่อยากหนาวมากกว่านี้ก็ออกมาแล้วไปด้วยกัน” เสียงของรุ่งโรจน์ดังเป็นคำสั่งเกือบจะเรียกว่าตวาดด้วยซ้ำ...

อากาศในเวลาประมาณสองทุ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ แม้ดาวจะเกลื่อนท้องฟ้า แต่ทั้งสามคนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะแหงนมองและชื่นชมกับความงดงามนั้น ไม้แห้งที่หล่นจากต้นและพอดีตกลงบนลานหินมีจำนวนไม่มาก เมื่อเดินส่องไฟหาเก็บไปได้สักพัก ทั้งสามคนจำต้องรีบกลับด้วยได้ยินเสียงร้องของสัตว์บางประเภทที่พวกเขาไม่มีวันคุ้นเคยอย่างแน่นอน..

“ทายว่าเป็นหมาป่านะ” แสงทองว่าอย่างนั้น..

“ถ้าผมมีปืนสักกระบอกคงจะดี” รุ่งโรจน์รีบบอกด้วยนึกสนุก แต่คนอยู่วัดกลับพูดว่า

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เดี๋ยวคืนนี้ผมจะสวดมนต์และก็แผ่เมตตาให้หมู่สัตว์เดรัจฉานและ..สัมภเวสี ต่างคนต่างอยู่ต่างทำกิจของตนไม่ข้องเกี่ยวกัน”

“จะได้ผลหรือ” ทั้งแสงทองและรุ่งโรจน์ถามเกือบจะพร้อมกัน..

“ไม่รู้สิ เคยไปอยู่ธุดงขั้นเบสิกกับพระอาจารย์ ท่านให้ปฏิบัติแบบนั้นก็ทำ จากที่กลัวผี กลัวสัตว์เลื้อยคลานมันก็รู้สึกเฉย ๆ หลับเป็นสุข..ด้วยไม่คิดจะทำร้ายกันมั้ง”

“งั้นคืนนี้สอนผมสวดสักนิดแล้วกัน” รุ่งโรจน์ร้องบอก สุริยาสังเกตสีหน้าเห็นว่าดูมีกังวลอย่างเห็นได้ชัด..เขาคงไม่เคยออกมาลำบากลำบนอย่างนี้เป็นแน่

เมื่อกลับถึงที่พักแสงทองก็มุดเข้าเต็นท์ ร้องบอกมาว่า..จะหลับแล้วไม่ต้องชวนคุย..สุริยาหัวเราะ ด้วยรู้ว่า หญิงสาวคงจะเหนื่อยอยู่ไม่ใช่น้อย..เพราะระยะทางเป็นสิบกิโลเมตร ขนาดเขายังระบมไปทั้งท่อนขาข้อเข่าและส้นเท้า

ส่วนรุ่งโรจน์แม้ไม่ปริปากบ่นให้ได้ยินแต่ดูจากท่าทางลุกนั่งแล้ว เขาคงจะปวดเมื่อยเหมือนกัน..พอผิงไฟจนรู้สึกอบอุ่น ..รุ่งโรจน์ก็เปิดเต็นท์เข้าไปนอนก่อนโดยทิ้งให้สุริยาพนมมือปากขมุบขมิบสวดมนต์บทต่าง ๆ ไป..สักพักสุริยาก็เปิดเต็นท์ตามมา พบคนหน้าใสนอนลืมตาแป๋วจ้องมาทางตน..สุริยานั่งลงข้าง ๆ หยิบกระเป๋าเป้ของตนมาสำรวจดูของจะแตกหักเสียหาย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเขาจึงถือวิสาสะยกศีรษะของรุ่งโรจน์เพื่อให้อีกคนหนุนกระเป๋านั้นแทนหมอนที่บ้าน..

“ขอบคุณ”...รุ่งโรจน์ร้องบอก มือยังกอดอกแน่น แถมมีอาการสั่นเทาเล็กน้อย

“ไม่สบายรึเปล่า ทำไมสั่นถึงขนาดนั้น” สุริยาร้องถามเมื่อเห็นอาการอีกคน ..รุ่งโรจน์ปฏิเสธโดยการส่ายหน้า แต่สุริยาถือว่าสนิทกันจึงเอาหลังมือไปอังที่หน้าผากและซอกคอ ทำเหมือนกับอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ทีเดียว..

“ตัวอุ่น ๆ เมื่อกี้กินยาที่แสงทองให้แล้วใช่ไหม ..สักพักคงจะหลับสนิท เพราะมียาแก้แพ้อากาศด้วยกินแล้วง่วง” สุริยาชวนคุยอีกสองสามประโยค พอหันมาอีกที รุ่งโรจน์ก็หลับไปแล้ว ชายหนุ่มจ้องหน้าคนนอนหลับนิ่ง ๆ หายใจเข้าออกขัด ๆ ...รู้สึกหัวใจตนเต้นแรงกว่าปกติ...

เมื่อสงบสติอารมณ์ได้จึงล้มตัวลงนอนเคียงกัน แบ่งกระเป๋าส่วนที่ยังเหลือมาหนุน คลี่ผ้าห่มคลุมไปที่ตัวรุ่งโรจน์และดึงอีกชายของผ้ามาสำหรับตน..

ค่ำคืนบนยอดเขาปางสุดยอด หนาวเหน็บจนคนที่นอนอยู่เคียงกันสั่นงก ๆ ..สุริยาพลิกตัวกลับรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกคนที่ระบายออกมาเป็นระยะ ๆ ...เสียงฟันกระทบกันแสดงให้รู้ถึงความหนาวที่เกาะกินถึงข้างใน..เขาลุกขึ้นพับผ้าห่มซ้อนแล้วห่มทับให้

“หนาวมากซิ”

“ปวดหัวนิดหน่อย” คนตอบหลับตากอดอกแน่น

“ออกไปผิงไฟสักหน่อยไหม..เผื่อมันจะดีขึ้น..” ตัวเขาเองพอทนไหว แต่นึกว่าอีกคนเพิ่งจะฟื้นจากไข้คราวก่อน ประกอบกับคงไม่เคยเหนื่อยหนักขนาดนี้ ร่างกายจึงไม่อาจทานทน..

เสียงบ่นว่าหนาว ๆ ยังดังเบา ๆ ออกจากริมฝีปากคนหน้าขาวเป็นระยะ สุริยาไม่รู้จะทำประการใด เพียงนั่งมองและดึงมืออีกคนมาเกาะกุมไว้ หวังแบ่งความอบอุ่นจากตัวให้แผ่ซ่านไป..

“นอนเถอะ” รุ่งโรจน์ร้องบอกสั่น ๆ สุริยาปฏิบัติตามในทันที โดยเขาเองก็รู้สึกอ่อนเพลียเหมือนกัน เมื่อกำลังจะเคลิ้ม ๆ สิ่งที่เขาไม่คาดคิด..ก็เกิดขึ้น..

รุ่งโรจน์ขยับมาจนชิดแล้วกอดเขาจากทางด้านหลังจนแน่น..

“ขอผมกอดหน่อยนะ ผมหนาว”..พูดแค่นั้นคนหนาวเหน็บก็เงียบไป ทิ้งเพียงลมหายใจอุ่น ๆ รดอยู่ที่แผ่นหลัง..ทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าค่ำคืนอันแสนอบอุ่นนี้คงจะยาวนานเกินไป...



เวลาประมาณตีสี่ เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ว..รุ่งโรจน์นอนกอดอกตัวงอเป็นกุ้งนาง เสียงฟันกระทบกันกึ๊ก ๆ ปากก็พร่ำแต่ว่า หนาว ๆ ..หนาวจัง..สุริยาลุกนั่งดูอาการนั้นก่อนจะขยับผ้าห่มคลุมดึงชายมิดชิด ถอดเสื้อกันหนาวของตนห่มคลุมให้อีกชั้น..แต่อีกคนก็ยังร้องครวญครางอยู่อย่างนั้น

ใจจริง สุริยานึกอยากจะล้มตัวลงไปนอนกกกอดเหมือนอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ หากขืนทำเช่นนั้น เขาเองก็นึกไม่ถึงว่า รุ่งโรจน์จะปฏิบัติตอบเขามาเช่นไร อาจจะเป็นผลักหรือไม่ก็กอดคืน และถ้าเป็นอย่างหลัง..

แค่คิดเขาก็สะดุ้งก่อนจะล้มตัวลงนอนจนชิดคนที่บ่นว่าหนาวจนเรียกว่าเบียดก็ได้

ทีนี้ร้อนถึงคนที่อยู่เต็นท์เคียงกัน แสงทองคงได้ยินเสียงครางฮือ ๆ หญิงสาวถือวิสาสะรูดซิบส่งหมวกและถุงมือมาให้..

“มันช่วยบรรเทาความหนาวได้ ช่วยสวมให้เฮียเขาเถอะ..” พอส่งถุงมือและหมวกไหมพรมให้ เจ้าตัวก็คว้าไฟฉาย ..ทำท่าจะออกไปข้างนอก

“จะไปไหน” สุริยาร้องเรียกด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้หญิงตัวคนเดียว


“ห้องน้ำ” หญิงสาวตอบ ก่อนจะผลุบหายออกไป สุริยาจึงค่อย ๆ ดึงมืออีกคนซึ่งหลับตาพริ้มมาสวมถุงมือให้ ก่อนจะยกศีรษะสวมหมวกไหมพรมเพื่อบรรเทาความหนาวอย่างที่แสงทองบอกไว้..

“ผมทำให้คุณเดือดร้อนอีกแล้วคุณสุริยา ผมขอโทษนะ” ..

พอลืมตาได้ รุ่งโรจน์ก็พล่ามประโยคชวนซึ้งออกมา แล้วยื่นมือมาให้สุริยาดึงตนเองลุกนั่ง..และสุริยาก็รู้ภาษากายนั้น โดยดึงคนที่นอนหนาวสั่นลุกขึ้นมา และด้วยดึงแรงไปหรืออย่างไรเจ้าตัวก็ไม่ทราบ พอรุ่งโรจน์ลุกนั่งได้เขาก็โผเข้ากอดสุริยาจนแน่น...เหมือนเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่นจากบุพการีอย่างนั้น..

“ขอกอดหน่อยนะผมหนาว”..

สุริยาจำต้องอยู่นิ่ง ๆ ด้วยตัวเองก็รู้สึกอบอุ่นเช่นกัน..

“ถ้าไม่มีคุณผมคงแย่แน่ ๆ” ..มือทั้งสองข้างกอดรัดที่เอวจนแน่น ใบหน้าซุกอยู่ที่บ่าข้างขวา ปากก็ยังพล่ามไป..เมื่ออาการอีกคนเป็นดั่งนี้ ถ้ามีแสงสว่างเข้ามา รุ่งโรจน์คงจะได้เห็นว่าใบหน้าอีกคนแดงก่ำทีเดียว..

“ออกไปหาเก็บฟืนก่อไฟผิงเถอะ นอนก็คงไม่หลับแล้ว ..จะได้บรรเทาอาการหนาวนี่ด้วย” เสียงของสุริยา สั่นผิดปกติ..และยังไม่ทันที่รุ่งโรจน์จะตกลงอย่างไร แม่สาวแสงทองก็แผดเสียงร้องดังลั่นมาจากความไกลรัศมีเป็นร้อยเมตร

“..ว้าย...ช่วยด้วย..”

สองหนุ่มตาสว่าง รีบผละจากกัน เปิดเต็นท์..ไม่ทันจะสวมรองเท้า ปากก็ตะโกนลั่น

“แสงทอง..แสงทอง เธออยู่ไหน เป็นอะไรรึ”

“ทางนี้..ทางนี้ ช่วยที” ระยะทางประมาณเกือบร้อยเมตร ที่มีแสงไฟฉายกวักไหว ๆ พร้อมกับเสียงตื่นตระหนกของเจ้าตัว..

ทั้งสองหนุ่มเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไป ณ จุดที่หญิงสาวอยู่อย่างไม่คิดชีวิต..แต่เมื่อไปถึงพบว่าสาวเจ้ายืนหัวเราะเห็นฟันจนเกือบครบ 32 ซี่..

“เล่นอะไรก็ไม่รู้ตกอกตกใจหมด..” รุ่งโรจน์ดุให้ สุริยาเองก็มีสีหน้าขุ่นใจอยู่ไม่น้อย..

“ก็เห็นมันหนาว อยากให้ออกกำลังกายแบบฉุกเฉินดู จะได้รู้ว่าความหนาว มันต้องแพ้คนจนได้ แหละ..ตกลงหายหนาวแล้วใช่ไหมคุณชาย”

รุ่งโรจน์เอามือเคาะหัวเจ้าตัวปากดีซะหนึ่งที..ก่อนจะบอกว่า..

“หายแล้ว..และคงหมดอารมณ์นอนแล้วด้วย”

“เมื่อกี้เธอไปห้องน้ำตรงไหน” สุริยาถามบ้าง..

“ในป่าเจ้าคะ คุณชายทำได้หรือเปล่า” แสงทองหมายถึงรุ่งโรจน์

สีหน้าของรุ่งโรจน์มีแวววิตกกังวลอีกครั้ง..

“ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ คงจะได้หรอก...”

“นี่ทิชชู่..อย่างคุณคงใช้ไม้แห้งไม่เป็นหรอก ระคายเคือง”

“ทะลึ่งจริง ๆ เด็กคนนี้”...

“ถ้ายังไม่ปวด ก็ไปหาฟืนมาก่อไฟผิงเถอะ..เพราะเราจะได้มีกาแฟร้อนดื่มแบบคู่รักคู่รส ระหว่างดูพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า..”

“เอามาจากไหน” สุริยายังงุนงง

“ทรีอินวันคนละสองซอง แก้วกระดาษจากเซเว่นล้างเก็บไว้เอามาจากบ้านและก็ กระป๋องปลากระป๋อง ล้างน้ำคว่ำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน รับรอง อร่อยจนบ้านไร่บ้านนากาแฟยังต้องชิดซ้าย..โอเค สองหนุ่มไปหาฟืนได้” ว่าแล้วสาวเจ้าก็ส่งไฟฉายให้แล้วเดินกลับไปที่เต็นท์พัก ทิ้งให้สองหนุ่ม ส่องไฟลงไปหาฟืน ..ระหว่างหาก็กังวลว่าจะเหยียบกับระเบิดที่เจ้าตัวดีหย่อนไว้ไหมนะ


พระอาทิตย์ของเช้าวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2547 สว่างสุกใสตั้งแต่พ้นจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น..ดวงกลมสีแดงฉานค่อย ๆ เปล่งประกายเป็นสีทองและทอแสงสว่างเจิดจ้า ยังประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ..ขณะที่แสงทองกับรุ่งโรจน์ชี้ชวนกันกดชัตเตอร์เก็บภาพเริ่มต้นแห่งวันกันสนุกสนาน

คนที่มีศรัทธาประสาทะอย่างแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนานั่งคุกเข่าจุดธูปเทียนปักกับพื้นหินมีดอกไม้ป่าอีกหนึ่งกำมือเป็นอามิสบูชาสักการะ ส่วนปฏิบัติบูชาสักการะนั้นชายหนุ่ม สวดมนต์ทำวัตรเช้าไล่เรื่อยไปถึงบทชุมนุมเทวดา บทเจ็ดตำนาน บทพาหุงมหากา ลงท้ายด้วยชินบัญชร ตามที่พอจดจำได้จนคล่องปาก..หลังจากนั้นก็แผ่เมตตาให้กับตนเองและหมู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล.แล้วก็ก้มกราบ งาม ๆ สามครั้ง พร้อมกับ อธิษฐานจิต วางผังชีวิต...

สุริยานึกถึง ขณะดำรงเพศสมณะ ครั้งนั้นกับการดั้นด้นเดินทางตามหลวงพี่ที่มีบ้านอยู่ในจังหวัดสกลนครเพียงเพื่อไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของลูกพระพุทธเจ้าด้วยกันในถิ่นอีสาน แต่เมื่อไปถึงแล้ว นึกถึงพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองอีสาน จึงตัดสินใจนั่งรถสามล้อเครื่องออกจากหมู่บ้านต่อรถสองแถวมาลงที่ อ.พังโคน จากพังโคนต่อไปสกลนคร จากสกลนครไปถึงวัดพระธาตุพนมที่อำเภอ ธาตุพนม..เมื่อไปถึงที่นั่นในเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะลับยอดไม้..พอดีกับทางวัดมีงานฉลองพัดยศตราตั้งพระภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรมได้ สถานที่เจดีย์แห่งนั้นจึงยังไม่ปิดให้เข้าไปสักการะ..

เมื่อเข้าสู่ลานพระเจดีย์เก่าแก่สมัยศรีโคตรบูรณ์ยังรุ่งเรือง..ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานแห่งพระพุทธอุรังคธาตุ อันมีประวัติการก่อสร้างดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน กายที่ร้อนด้วยอากาศในเวลานั้นเย็นยะเยือกอย่างประหลาด องค์พระธาตุสถาปัตยกรรมทรงบัวเหลี่ยมคว่ำสูง 57 เมตรครึ่งสะท้อนแสงทองยามเย็นพาให้จิตใจสบาย อารมณ์สุขและทุกข์ชั่วขณะนั้นไม่มีปรากฏแห่งจิตใจ มิปรารถนาใด ๆ ในเชิงโลกียะทั่วไปเมื่อคราวตั้งจิตอธิษฐาน...

นึกเพียงแต่เห็นถึงความยากลำบากลำบนดั้นด้นเดินทางมา..ด้วยเดชแห่งบุญญาปรารถนาเพียงให้ได้มีโอกาสไปสักการะพระธาตุเจดีย์ทั่วพื้นพิภพนี้โดยง่าย โดยพร้อม สะดวกปลอดภัย..

แรงปรารถนาประกอบด้วยศรัทธาในวันนั้น ส่งผลชนิดที่คนอธิษฐานก็คาดไม่ถึงว่าชีวิตจะเดินทางในเส้นทางนักท่องเที่ยวจาริกแสวงบุญได้ถึงเพียงนี้ เริ่มต้นครั้งต่อมากับพระเขี้ยวแก้วซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศจีน..ประดิษฐานให้มหาชนได้สักการะ ณ พุทธมณฑล ครั้งกระนั้นมีคำถามว่าคืออะไร สู่คำตอบคือหนังสือกองใหญ่..อ่านไปก่อให้เกิดแรงศรัทธาอย่างแรงกล้า..

หนังสือพระธาตุเจดีย์มรดกล้ำค่าของเมืองไทย โดยคุณทศพล จังพานิชย์กุล มีวางขายในท้องตลาด ราคาในตอนนั้น ระหว่างที่ดำรงเพศบรรพชิตถือว่าแพง แต่ก็ยอมจ่ายเพื่อให้รู้ในสิ่งที่เริ่มศรัทธา จึงกลายเป็นสื่อที่เปิดหูเปิดตาตัวเองเป็นครั้งแรก..

หลังจากนั้นมีเหตุให้ต้องจาริกแสวงบุญไปในถิ่นที่ทุกสถานในประเทศ จึงได้มองเห็นเพียงยอดฉัตรเหนือสุดปรางค์และปล่องไฉน..ผลบุญกุศลผลิบานในดวงใจเมื่อได้ไปสักการะกราบไหว้ ระลึกนึกถึงคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สละชีวิตเป็นเดิมพันสร้างบุญสร้างบารมี เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ล่วงจากความทุกข์ตรมซึ่งพญามารปิดบังซ่อนเร้นไว้..

และเส้นทางแห่งธรรมก็สิ้นสุดลงเมื่อมีคนในครอบครัวต้องการความช่วยเหลือ..บิดาป่วย เป็นข้ออ้างร้างจากผ้าเหลือง.. อีกใจหนึ่งเมื่อเรียนจบปริญญาตรีจากวิทยาลัยสงฆ์แล้วก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตแบบคนธรรมดาบนโลก.. แต่เอาเข้าจริง ๆ โลกที่คิดว่าเป็นอยู่ง่าย ๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เงินตราที่แลกมาด้วยกฎระเบียบข้อบังคับ มิอาจทำให้คนที่เคยอยู่อย่างสบาย ๆ ในวัดมานานเกินสิบปีกระโจนเข้าใส่ได้..

งานการสิ่งใดที่มีแม้ส่วนแห่งความฉิบหายวายวอดของชีวิตคนและสัตว์มิปรารถนาแตะต้อง...การทดแทนคุณของพระพุทธศาสนาในรูปแบบของทัวร์ไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และพระธาตุเจดีย์ จึงเกิดขึ้น..ไร้ทุน ไร้ความรู้ มีเพียงใจดวงเดียวที่ปรารถนา ประโยชน์เกื้อกูลกัน โลกไม่ช้ำธรรมไม่พร่อง...




จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2554, 22:42:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2554, 22:44:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1842





<< 3 รอยพระบาท   5 งาน y+ ศาสนา (อย่างแรง ๆ)) >>
หมูบิน 19 เม.ย. 2554, 23:21:44 น.
ต่อเร็วจังเลยยยย ตอนนี้ไม่สบายอย่างแรงค่ะ ไมเกรนกำเริบ อ๊อกทั้งคืน มาโพตส์ให้กำลังใจก่อน แล้วค่อยมาอ่าน
ปล.เรื่องนี้อาชีพสุริยา เหมือนคนเขียนหรือเปล่าค่ะ


จุฬามณีเฟื่องนคร 20 เม.ย. 2554, 00:01:31 น.
(หงะ...)))


chat 20 เม.ย. 2554, 16:41:56 น.
ตามมาอ่าน ให้กำลังใจคุณเฟื่องค่ะ..)


หมูบิน 21 เม.ย. 2554, 07:45:42 น.
ชะอุ้ย!!!


manida 22 เม.ย. 2554, 13:02:47 น.
มาอ่านต่อแล้ว คิดเหมือนคุณหมูบินค่ะ
คุณเฟื่องชอบทัวร์เหมือนอาชีพสุริยาเลยอ่ะ ;D


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account