เจ็บใจนัก รักซะดีมั๊ย
คนสองคนที่ตอนแรกไม่ถูกกันเลย แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ได้ใกล้ชิดและเริ่มเรียนรู้ตัวตนของอีกฝ่าย และการจากกันด้วยการ(เกือบ)จะเข้าใจผิด สุดท้ายจะลงเอยอย่างไรร่วมลุ้นได้เลยค่ะ
Tags: รักหวานแหวว

ตอน: ความจริงที่ถูกเปิดเผย

ฉันวิ่งกลับมาถึงบ้านพร้อมน้ำตาเต็มหน้า โชคดีที่ว่าพ่อกับแม่ของฉันยังไม่กลับมาบ้าน แม่เขียนโน้ตแปะไว้ที่ตู้เย็นว่า

“วันนี้พ่อกับแม่ไปงานเลี้ยงฉลองต้อนรับผู้ช่วยนักวิจัยคนใหม่ของพ่อจะกลับดึกนะ แต่เตรียมกลับข้าวไว้แล้ว เอาเข้าไมโครเวฟอุ่นกินได้เลย”

ตอนนี้ฉันหมดเรี่ยวแรงที่จะทำอะไร ฉันจึงได้แต่นั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง แล้วน้ำตาก็พลันไหลออกมาอย่างช้าๆ พร้อมเสียงสะอื้น ฉันคงจะนั่งเหม่ออยู่อย่างนั่นถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังลั่น ปลุกให้ฉันรู้สึกตัว ฉันก้มมองหน้าจอก็พบว่าเป็นเบอร์ของนายไคซ์นั่นเอง

“นายโทรมาทำไม ฉันไม่อยากได้ยินเสียงนายอีก แล้วฉันก็ไม่อยากเจอหน้านายอีกต่อไป ไม่ต้องโทรมาอีกนะ” แล้วฉันก็กดตัดสายไปทันที ฉันนั่งอยู่สักพักพยายามปรับอารมณ์ให้ปกติ แล้วก็เริ่มลงมืออุ่นอาหารที่แม่ทำไว้ให้

ระหว่างที่กินฉันก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างช้าๆ แล้วเสียงแผ่วเบาก็หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปของฉัน

“ฮึ แพ้จริงๆ แพ้หมดรูปเลย แพ้ที่เผลอใจไปรักนายมากมายขนาดนั้น”

แต่ขณะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของฉัน

“โทรมาทำไมอีก ฉันไม่อยากได้ยินนาย” ฉันเอ่ยออกมาด้วยรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ

“เออค่ะ สวัสดีค่ะ พอดีฉันเพิ่งพาเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากเขาประสบอุบัติรถชนค่ะ ฉันก็เลยโทรมาเบอร์ล่าสุดที่เขาโทรออก เผื่อว่าจะได้แจ้งญาติของเขานะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักญาติของเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ไหมค่ะ” เธอพูดออกมาอย่างรวดเร็วจนฉันตั้งสติแทบไม่ทันเนื่องด้วยเสียงที่ไม่คุ้นเคยและดูร้อนรนอย่างมาก

“เออ คือเมื่อครู่ฉันขอโทษนะค่ะ แล้วก็ใจเย็นๆ ก่อนนะค่ะฉันยังฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ”

“เออค่ะ คือพอดีฉันเพิ่งพาเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากเขาประสบอุบัติเหตุรถชนค่ะ ฉันก็เลยโทรมาเบอร์ล่าสุดที่เขาโทรออก เผื่อว่าจะได้แจ้งญาติของเขานะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักญาติของเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ไหมค่ะ” เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือและดูร้อนรนอย่างมาก

“เออค่ะ แล้วอยู่โรงพยาบาลไหนค่ะ เดียวฉันจะไปค่ะ” ฉันพูดด้วยความรวดเร็วหน้าตาที่ซีดเผือดอยู่แล้วกลับซีดลงไปอีกจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว หลังจากนั้นสมองฉันก็ไม่รับรู้อะไรอีก รู้อย่างเดียวว่าเป็นห่วงหมอนั่นเหลือเกิน หมอนั่นชอบหาเรื่องใส่ตัวชะมัดเลย

หลังจากวางสายฉันก็โทรบอกพ่อแม่ของนายไคซ์ แล้วก็โทรบอกแม่ฉันว่าจะขอไปเยี่ยมนายไคซ์ แล้วจึงรีบออกจากบ้านไปโรงพยาบาลทันที

เมื่อฉันมาถึงนายไคซ์กำลังผ่าตัดอยู่ในห้องผ่าตัด ฉันจึงเดินไปหาหญิงสาวที่โทรมาหาฉัน เธอหันมาทักทายฉันเล็กน้อยแล้วเธอจึงยื่นโทรศัพท์มือถือ I Phone 4 สีขาวเปื้อนเลือดและมีรอยถลอกเต็มไปหมดมาให้พร้อมกล่าวว่า

“ฉันฝากคุณจัดการต่อด้วยนะค่ะ เพราะฉันมีงานที่สำคัญมากจริงๆ”

แล้วก็เร่งรีบจากไปทันที จึงเหลือแค่ฉันที่อยู่หน้าห้องผ่าตัด ฉันจึงเลื่อนดูเบอร์โทรใน I Phone เครื่องนั่นจนมาถึงเบอร์ของคุโด ฉันจึงโทรไปบอกข่าวกับเขา

ผมหมดสติไปจำได้ว่าก่อนหน้านั่นผมวิ่งตามซากุระออกมาจากบ้าน แล้วก็ถูกรถมอเตอร์ไซต์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชน ศีรษะของผมกระแทกกับขอบฟุตบาทอย่างแรง โชคดีที่มีพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์รีบนำตัวผมส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโตเกียว คณะแพทย์ได้นำผมเข้าห้องผ่าตัดโดยด่วน เนื่องจากผมมีอาการเลือดคลั่งในสมอง

ผมมารู้สึกตัวอีกทีที่ห้องพัก โดยมีพ่อ แม่ ยัยเรย์กะและคุโดที่มาเยี่ยม ผมมองหน้าทุกคนอย่างงงๆ แม่ผมกำลังกอดผมไว้ทั้งน้ำตานองหน้าเลยทีเดียว

“เดียวแม่ พ่อ กับน้องจะไปหาอะไรกินที่โรงอาหารข้างล่างนะ ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย”

“ครับแม่”

“งั้นแม่ฝากไคซ์ด้วยนะจ๊ะคุโด มีอะไรโทรหาแม่ตลอดเลยจ๊ะ”

“ครับไม่ต้องห่วงผมจะดูแลให้อย่างดีเลย” คุโดรับคำพร้อมโค้งส่งพ่อกับแม่ผมที่ประตูห้อง

“เกิดอะไรขึ้น ฉันมาอยู่ที่นี้ได้ไง แล้วพ่อ แม่ เรย์กะ กับคุโดมาอยู่ที่นี้ได้ไง” ผมถามขึ้นทำลายความเงียบ

“แกจำอะไรไม่ได้เลยหรอ งั้นฉันเล่าให้ฟังก็ได้” แล้วคุโดก็เริ่มเล่าให้ฟัง

“แล้วแกรู้เรื่องได้ยังไง”

“ก็ยัยซากุระตัวแสบโทรมาหาฉัน ให้ฉันรีบมาดูอาการแกนะซิ” คุโดพูดพร้อมกับกดรีโมทเปิดโทรทัศน์ดู

ราว 1 ชั่วโมงพ่อ แม่ และเรย์กะก็กลับมา ผมเลยพูดกับพ่อแม่ว่า

“ผมไม่เป็นแล้วครับ พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วง ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องเสียงานครับ”

“ได้ยังไงกัน ลูกทั้งคนเป็นขนาดนี้แล้วยังว่าไม่เป็นไรอีก” แม่พูดพร้อมน้ำตาที่เริ่มหยดออกมาอีก

“ทีหลังจะทำอะไรก็มีสติหน่อยซิ ถ้าเป็นไรขึ้นมาจะมีกี่คนที่เสียใจ” พ่อผมพูดขึ้นบ้าง

“เอาละคุณ ในเมื่อลูกบอกว่าไม่เป็นไรงั้นเรากลับไปทำงานต่อกันต่อเถอะ ช่วงนี้งานวิจัยของผมต้องติดตามเป็นพิเศษ ไม่งั้นจะเกิดความผิดพลาดได้”

“แต่ว่าลูก…”

“ไม่เป็นไรหรอกที่นี่มีหมอ พยาบาล ผมจ้างพยาบาลมาคอยดูแลแล้วละ” พ่อผมพูดพร้อมทั้งพยักหน้ากับแม่ให้ออกมา

“ไม่เป็นไรค่ะ เดียวเรย์กะกับพี่คุโดจะอยู่เฝ้าพี่ให้เองค่ะ”

“ก็ได้จ๊ะ งั้นคุโดน้าฝากไคซ์กับเรย์กะด้วยนะจ๊ะ ถ้าเสร็จงานแล้วน้าจะรีบมานะ”

“ครับไม่ต้องห่วงผมจะดูแลให้อย่างดีเลยครับ”

“งั้นน้าไปก่อนนะ แล้วไคซ์พักผ่อนเยอะๆ นะลูก”

“ครับ”

สถานการณ์ตึงเครียดนอกห้อง

“ผมไม่อยากให้ลูกไม่สบายใจว่าทำให้เราเสียงาน เพราะงั้นเรากลับไปแล้วรีบเคลียร์งานกันดีกว่า ตอนเย็นจะได้รีบมา”

พ่อพูดด้วยเสียงแผ่วเบานอกห้องพร้อมกับถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

ขณะเดียวกัน ผมก็ถอนหายใจอยู่บนเตียงผู้ป่วย

“ทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงโดยไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว” ผมอดคิดในใจไม่ได้ แล้วก็ถามถึงอีกคนที่อยู่ในห้วงความคิดของผมกับคุโด

“แล้วซากุระละ”

“เห็นยัยนั่นมานั่งเฝ้าแกจนพ่อแม่แกมานั่นแหละ ยัยนั่นถึงได้ลากลับ” คุโดพูดด้วยอาการค่อนข้างโกรธซากุระเพราะแค่ฟังเสียงก็พอรู้แล้ว

“หรอ โทษทีนะคุโดแต่ต้อนนี้ฉันเพลียมากเลยขอนอนต่อนะ”

“เออ พักผ่อนเยอะๆ ละ แต่ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกได้นะ”

“อืม ขอบใจนะ”

“เออ” ผมตอบรับง่ายๆ ในใจคิดว่าซากุระถ้าไคซ์เป็นอะไรไปนะเธอได้เห็นดีกันแน่

พอไคซ์หลับไปแล้วยัยเรย์กะตัวป่วนที่ลงไปส่งพ่อกับแม่ของหล่อน ก็ลากผมออกมาคุยกันหน้าห้อง

“หมู่นี้พี่เขามีเรื่องอะไรกันแน่ พี่คุโดต้องบอกมานะไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่ เพราะฉันรู้สึกว่าเหมือนพี่มีเรื่องปิดบังฉันอยู่”

ผมคิดแล้วก็เห็นว่าถ้ามียัยเรย์กะช่วยกันคิดมันน่าจะดีกว่าคิดคนเดียว ผมจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เรย์กะฟัง

“อืม อย่างนี้นี่เอง ฉันว่านะพี่คุโด ยัยซากุระกับพี่ไคซ์ต้องทะเลาะอะไรกันซักอย่างแน่เลย ฉันว่านะพี่ เราลองหาโอกาสให้เขาสองคนปรับความเข้าใจกันดีไหม”

“อืม ก็ดีนะ แต่จะทำยังไงดีละ มีไอเดียดีๆ บ้างไหม”

“ฉันเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วกัน”

“โอเค เอางั้นก็ได้”

3 อาทิตย์ต่อมาผมก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ตลอด 3 อาทิตย์ที่ผ่านซากุระไม่ได้มาเยี่ยมผมเลย ผมรู้สึกว่าเธอกำลังหลบหน้าผม ผมเองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปคุยกับเธอ ทะเลาะกันอีกรอบก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุก ผมเองก็ตัดสินใจที่จะตัดใจจากซากุระเพราะตลอดมาเธอไม่เคยมีความคิดที่จะรักหรือชอบผมเลย ผมเองก็ไม่อยากเจ็บปวดอีกจึงตัดสินใจแบบนั้น ผมตัดสินใจว่าจะคุยเรื่องนี้หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ ช่วงนี้ผมเองก็พยายามหลบหน้าซากุระเหมือนกัน แต่ก็มีบ้างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้แต่ละคนก็จะทำเย็นชาใส่ราวคนที่ไม่รู้จักกัน

และแล้ววันสอบปลายภาคที่ยาวนานกินเวลาถึง 1 อาทิตย์ก็มาถึง

“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบของทุกคนแล้ว อาจารย์ขอให้ทุกคนโชคดีกับการสอบ และมีวันหยุดที่สนุกสนานกับช่วงปิดเทอมนะ” แล้วอาจารย์ก็เริ่มแจกข้อสอบให้ เมื่อแจกเสร็จก็ให้สัญญาณเริ่มทำข้อสอบ ข้อสอบวันนี้เป็นข้อสอบวิชาดาราศาสตร์ที่นายไคซ์ถนัด ฉันอดเหลือบสายตาไปมองนายไคซ์ไม่ได้ นายไคซ์ไม่ได้เริ่มทำข้อสอบเหมือนเช่นที่ทำในวิชาอื่นๆ เขาเอาแต่นอนหลับและจะตื่นมาทำข้อสอบก่อนหมดเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่ฉันพูดวันนั้นหรือเปล่า ที่ผ่านมา นายไคซ์พยายามหลบหน้าและทำเป็นไม่รู้จักฉันมาตลอด นอกจากนี้ฉันยังได้ยินมาว่าช่วงนี้เขาไม่ได้ไปซ้อมฟุตบอลเลยด้วยซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก ฉันรีบสลัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปจากหัวและตั้งสมาธิกับการทำข้อสอบ

และแล้วหลังจากปิดเทอมจบลงชีวิตประจำวันก็เริ่มเหมือนเดิม

“เอาละวันนี้ทางโรงเรียนได้ติดคะแนนสอบไว้ที่หน้าหอประชุมแล้ว ทุกกคนไปดูได้ แล้วก็ไคซ์ตามมาพบอาจารย์ที่ห้องหน่อย“ อาจารย์ที่ปรึกษาได้เข้ามาพบปะพูดคุยกับนักเรียนในชั่วโมงโฮมรูม ซึ่งก็ก่อให้เกิดเสียงต่างๆ ดังมาเป็นระยะ

ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆก็มีคนสะกิดจากด้านหลังฉันจึงหันไปคุยด้วย

“ว่าไงเมลอน มีไรหรอ”

“ไปดูคะแนนสอบกันไหมละ”

“ไม่ละเธอไปเถอะ”

“อืม งั้นฉันไปดูนะ” ว่าแล้วเมลอนก็วิ่งออกไปดูพร้อมกลุ่มเพื่อนๆ

20 นาทีต่อมาเมลอนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาที่โต๊ะของฉัน

“เป็นไรไป เมลอน” ฉันว่าพลางส่งขวดน้ำให้เธอดื่ม

“จนได้นะ เธอสอบได้ที่ 1 ของชั้นปีละ ซากุระเธอเนี้ยเก่งจริงๆ เลย”

“ไม่จริงน่า แล้วนายไคซ์ละ” ฉันยังไม่อยากเชื่อ

“ไคซ์ได้คะแนนต่ำสุดของชั้นปีเลยละ ฉันได้ยินอาจารย์พูดกันว่าไคซ์ส่งกระดาษเปล่าทุกวิชาเลยละ”

“ไม่จริงน่า”

ว่าแล้วฉันก็วิ่งออกจากห้องเรียนแล้วมายืนหอบอยู่หน้าห้องพักอาจารย์ทันได้ยินเสียงคุยแผ่วๆ ถึงเรื่องเตรียมเอกสารอะไรบ้างอย่าง เสร็จแล้วนายไคซ์ก็เปิดประตูออกมาพอดี

“ทำไมถึงทำแบบนี้ละ อย่างน้อยก็ควรสู้ด้วยความยุติธรรมซิ ไม่ใช่ทำแบบนี้ คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะดีใจหรือไง”

ฉันถามถึงสิ่งที่ค้างคาในใจทันทีที่เห็นหน้านายไคซ์

“ถ้าเธอพอใจฉันส่งกระดาษเปล่าตลอดเลยก็ได้ ส่วนเรื่องที่ฉันเคยพูดว่าเธอว่า สมองของฉันแย่ยิ่งกว่าหมาซะอีก นั่นฉันขอโทษ แต่ฉันจำไม่ได้จริงๆ ว่าเคยว่าเธอเอาไว้ แต่เธอก็ลืมไปเหมือนกันว่าเธอเองนี้แหละที่เป็นคนเชิดใส่ฉันและว่าฉันว่าใส่ชุดสุดเชย ใส่แว่นตาหนาเตอะและเธอเกลียดคนใส่แว่นที่สุด เรื่องที่ฉันพูดว่าเธอตอนนั้น ฉันคงพูดด้วยความโมโหนั่นแหละ ฉันผิดด้วยหรอที่อยากให้เธอหันมาสนใจฉันบ้าง หันมามองฉันและรักฉันบ้าง แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วแหละลาก่อนนะ ฉันคงไม่มากวนใจเธออีกแล้วละ บาย”

แล้วผมก็เดินจากมาทันที

หมายความว่ายังไงกัน ที่ว่าลาก่อน ไหนจะเรื่องเอกสารเรื่องย้ายที่ฉันได้ยินแผ่วๆ นั้นอีก มันยังไงกัน เพื่อไขความกระจ่างฉันจึงเดินเข้าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่อยู่ในห้องทันที

“อาจารย์ค่ะเรื่องเอกสารที่อาจารย์ให้นายไคซ์เดินเรื่อง มันหมายความว่ายังไงกันแน่ค่ะ”

“อ้าวเขายังไม่ได้บอกเพื่อนๆ ในห้องอีกหรอจ๊ะ เขาว่าจะบอกเองนิ เขาจะย้ายไปอยู่ที่รัสเซียพร้อมพ่อกับแม่ของเขาที่ต้องไปทำงานที่รัสเซียนะจ๊ะ น่าเสียดายความสามารถของเขานะ เขาเคลียร์ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้อย่างเฟอร์เฟค จนได้รับการแนะนำให้ไปเรียนสาขาดาราศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเลยนะแต่เขาก็เลือกที่จะไปอยู่รัสเซียกับพ่อแม่เพื่อช่วยดูแลน้องสาว”

“แล้วนายไคซ์จะต้องไปเมื่อไหร่หรือค่ะ”

“เห็นเขาว่าอีกประมาณ 2 สัปดาห์จ๊ะ”

“ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาบอก ขอตัวก่อนนะค่ะ”

ฉันกล่าวพร้อมโค้งตัวลงแล้วก้าวออกจากห้องมา ฉันถึงกับอึ้งไปเลยเมื่อได้รู้ความจริงโดยเฉพาะความจริงที่ว่าเขามีน้องสาวอีกคน

“แล้วฉันควรทำยังไงดี ฉันคิดยังไงกับนายกันแน่”

ฉันสอบสวนความรู้สึกของตัวเองอย่างว้าวุ่น แต่ยังไม่สามารถหาความกระจ่างใดๆ ได้

ผ่านไป 1 อาทิตย์นายไคซ์จึงเอ่ยปากบอกเพื่อนๆ ถึงเรื่องที่ตัดสินใจย้ายไปเรียนต่อที่รัสเซีย เพื่อนๆ ในห้องต่างวางแผนที่จะจัดปาร์ตีเลี้ยงส่งให้ แต่นายไคซ์ก็ปฏิเสธอย่างเกรงใจโดยบอกว่าช่วงนี้จะไม่ได้มาโรงเรียนแล้วเนื่องจากวุ่นวายกับการเตรียมตัวไปรัสเซีย ทุกคนเลยได้แต่เสียดาย

วันนี้หลังเรียนพิเศษเสร็จ ฉันแวะร้านงานฝีมือและกลับออกมาพร้อมชุดตุ๊กตาหมีทำเอง กะว่าจะทำเป็นของขวัญที่ระลึกให้นายไคซ์ ฉันเดินผ่านหน้าบ้านของนายไคซ์ทันได้เห็นนายไคซ์ออกมานั่งดูดาวที่ระเบียงบ้านพอดี ฉันจึงแวะทักทายนิดหน่อยแล้วจึงลากลับ

เมื่อถึงบ้านฉันก็เริ่มเย็บตุ๊กตาหมี แต่ด้วยความที่ฉันไม่ถนัดงานฝีมือ งานจึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และโดนเข็มตำอยู่บ่อยครั้ง ฉันนั่งทำจนดึกแล้วก็เริ่มง่วงจึงหลับไป

รุ่งขึ้น 9.00 น. เมลอนที่ถูกอาจารย์โซโยงิส่งไปประกวดสุนทรพจน์ในงาน นักดาราศาสตร์รุ่นใหม่โทรมาหาฉันเพื่อบอกเรื่องสำคัญกับฉัน

“นี่ซากุระ ไคซ์จะไปแล้วนะ อาจารย์โซโยงิบอกฉันว่าไคซ์จะออกเดินทางตอน 10.00 น.นะ นี่ฟังอยู่หรือป่าว”

“เฮ้ อย่าให้พูดคนเดียวซิ”

ฉันไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปรีบวิ่งขึ้นไปเย็บตุ๊กตาหมีให้เสร็จให้เร็วที่สุด แล้วถลาออกจากบ้านมา

“ถ้าไป 10.00 น. ป่านนี้ก็ต้องออกจากบ้านแล้ว ทำไงดีละ”

ฉันรอแท็กซี่ประมาณ 10 นาที แล้วรีบไปที่สนามบินทันที

ฉันวิ่งหานายไคซ์จนมาเจอว่าเขากำลังจะเข้าไปในส่วนผู้โดยสารขาออกแล้ว ฉันจึงตะโตนเรียกไว้แล้ววิ่งเข้าไปหา

“เธอไม่น่ามา ลำบากป่าวๆ” เขาพูดขึ้นในจังหวะที่ฉันกำลังหอบหายใจจนตัวโยน

“นายใจร้ายเกินไปแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมบอกว่าจะไปวันนี้ละ”

“เพราะฉันรู้ ว่าเธอไม่อยากจะเจอหน้าและไม่อยากพูดคุยกับฉัน ฉันก็เลยไม่ได้บอก แม้ว่าฉันจะบอกความในใจของฉันให้เธอรู้แล้วก็เถอะ ”

“ว่าแต่เธอกระหืดกระหอบมาทำไมละ”

“อ้อใช่ ฉันเอาเจ้านี่มาให้นายละ” ฉันพูดพร้อมยื่นตุ๊กตาไปให้นายไคซ์

“ขอบใจนะ”

“ให้ฉันมั่นใจในความรู้สึกของฉันก่อน แล้วฉันจะให้คำตอบที่อยู่ในใจของฉันกับนาย นายอย่าเพิ่งเกลียดฉันนะ”

“แล้วฉันจะรอคำตอบนั่นแล้วกัน”

ผู้โดยสารสายการบิน Russian Airlines เที่ยวบิน 865 มุ่งหน้าจากโตเกียวไปมอสโก ขณะนี้เครื่องใกล้ถึงเวลาทำการบินแล้ว ขอให้ท่านผู้โดยสารกรุณาตรวจเอกสารและขึ้นเครื่องได้แล้วค่ะ

“ฉันต้องไปแล้วละ ลาก่อนนะซากุระ” แล้วนายไคซ์ก็เดินจากไป

“เฮ้ย ฉันแพ้จริงๆ แพ้หมดรูปเลยที่ไปหลงรักนายเข้า”

“แล้วสักวันถ้าฉันมั่นใจในความรู้สึกนี้แล้วฉันจะบอกนายด้วยตัวเอง” ซากุระกลับบ้านพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า





จินามิ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ม.ค. 2555, 14:55:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ม.ค. 2555, 14:55:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1221





<< น้ำตาของซากุระ   เวลาที่ผ่านกับความรู้สึกของซากุระ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account