oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...

...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ

ตอน: oOo บทที่ 6 oOo

สวัสดีหลังสงกรานต์ค่ะ นักอ่านที่รักทุกท่าน
แหะๆ ทิ้งช่วงไปนานพอสมควร ต้องขออภัยด้วย

กลับมาอัพต่อค่ะ ^^

มะดัน - มาอัพใหม่ทั้งหมด เผื่อบางท่านจะได้ตามทีเดียวเลยค่ะ ^^

an-o - ขอบคุณที่ติดตามและเป็นกำลังใจกันเสมอ

ปลาวาฬสีน้ำเงิน - ขอบคุณมากค่ะที่มาตามอ่านใหม่ ^^

ก้อนอิฐ - มาเป็นปัจจุบันแล้วนะคะ แหะๆ นานไปนิด ขออภัยด้วยค่ะ

คิมหันตุ์ - ไม่ใช่แม่คนเดียวหรอกค่ะที่มีแผน อิอิ



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



บทที่ 6

พอออกจากลิฟต์สำหรับผู้บริหารและเดินมาถึงโถงกว้างของชั้นผู้บริหาร อารดาเห็นว่าข้างโต๊ะตัวใหญ่ของลิซ่ามีโต๊ะขนาดไล่ๆ กันวางอยู่พร้อมอุปกรณ์สำนักงานครบครัน หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วแหงนหน้ามองคนที่เดินโอบไหล่เธอมาด้วยสายตาสงสัย

“โต๊ะใครอ่ะ พี่ชาย” ใบหน้าคมก้มมองคนตัวเล็กกว่า แต่อีกฝ่ายไม่สามารถมองเห็นสายตาเพราะเขายังไม่เอาแว่นกันแดดออกจากใบหน้า และไม่ต้องรอให้เขาตอบ อารดาก็เอะใจ “อย่าบอกนะว่านี่เป็นโต๊ะทำงานของพรรษ!”

“ใช่ นี่เป็นโต๊ะทำงานของเพื่อนน้อง” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“โห พี่ชายอ่ะเว่อร์มาก ทำแบบนี้เค้าจะเดินเข้าห้องทำงานได้ไงล่ะ แยกไปขวาห้องทำงานใหญ่ของพี่ชาย แยกไปซ้ายห้องทำงานเค้า พรรษเห็นกันพอดี” คนวางแผนมาตั้งแต่ต้นโอดครวญไม่จริงจังนัก เชื่อว่าพี่ชายเองคงมีแผนเหนือชั้นกว่าเธอเสียอีก

“อ้าว น้องกลัวด้วยเหรอ” เขาแกล้งรวน แล้วก็ต้องหัวเราะกับอาการถลึงตาของน้องสาว “โอเคๆ เดี๋ยวพี่จะจัดการให้ใหม่” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน ก้าวไปยืนหน้าโต๊ะทำงานของเลขาฯ ส่วนตัว

“สวัสดีตอนเช้าค่ะ...พี่เมษ” ลิซ่าแกล้งทักทายตามชื่อที่เขาสั่งให้เรียกด้วยใบหน้ากลั้นยิ้ม เมษรักษ์เพียงวางสีหน้าเฉย และลิซ่ารู้ว่าเขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว

“เดี๋ยวให้คนมาย้ายโต๊ะชุดนี้เข้าไปในห้องทำงานผมด้วยนะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางพยักพเยิดไปยังโต๊ะตัวปัญหา ทำเอาคนก้าวมายืนเคียงข้างกับคนได้รับคำสั่งอ้าปากหวอพร้อมกัน “ผมเปลี่ยนใจไม่ให้เพลงพรรษเป็นผู้ช่วยคุณแล้ว...ให้มาเป็นผู้ช่วยผมแทน ดีใช่ไหมน้อง”

อารดายังตกอยู่ในอาการอึ้ง จึงไม่ได้ตอบรับประการใด ร่างสูงจึงทำเสียงบางอย่างในลำคอแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป ทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้กับสองคนข้างหลังนับร้อยนับพันคำถาม

“ดาไม่ได้หูเฝื่อน ตาฝาดใช่ไหมคุณลิซ่า นั่นพี่ชายของดาตัวจริงเสียงจริงใช่ไหม” อารดาพูดด้วยอาการตาค้าง ลิซ่าเองก็ยังงงไม่หายเหมือนกัน

“นั่นสิคะ หรือว่าคราวนี้คุณเมษจะเอาจริง” เท่านั้นล่ะทั้งสองคนก็หันมาสบตากัน แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ ขยายกว้างจนเต็มใบหน้าสวยของอารดา เธอวาดภาพในใจ ถ้าเพลงพรรษทำให้หัวใจพี่ชายเบ่งบานด้วยดอกรักได้คงนับเป็นเรื่องดี ถึงแม้จะยังมีบางเรื่องต้องสะสาง แต่ท่ามกลาง ‘สงคราม’ ที่อาจร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ อารดาหวัง...หวังให้พี่ชายได้มีความสุขบ้างแม้ต้องอยู่ระหว่าง ‘ออกรบ’

“ถ้าเอาจริงก็ดี ดาสนับสนุนเต็มกำลัง” หญิงสาวหัวเราะคิก ก่อนเดินไปยังห้องทำงานของตัวเองบ้าง

คล้อยหลังสองพี่น้องเพียงไม่กี่นาทีเพลงพรรษก็เดินออกจากลิฟต์มาตามที่ลิซ่าได้โทร.แจ้งกับเธอเมื่อวาน ว่าพอมาถึงตึกบริษัทให้ขึ้นมาหาเธอที่เดิม มือเรียวพนมไหว้ลิซ่าอย่างมีมารยาทงดงาม เลขาฯ คนเก่งรับไหว้ ทอดมองด้วยแววตาชื่นชม สมกับที่อารดาปลื้มนักหนา และไม่น่าแปลกใจเลยที่เมษรักษ์เองก็ดูจะหวั่นไหว

“ที่จริงคุณลิซ่าบอกพรรษก็ได้ค่ะว่าแผนกบัญชีอยู่ตรงไหน จะได้ไม่ต้องลำบากให้คุณลิซ่าพาลงไปอีก” เพลงพรรษเอ่ยด้วยความเกรงใจ ถึงลิซ่าจะเป็นแค่เลขาฯ แต่เธอคือเลขาฯ ของเจ้าของบริษัท ไม่สมควรเลยที่พนักงานเล็กๆ อย่างเธอต้องให้หญิงสาวคอยจัดการทุกอย่างให้

ลิซ่ายิ้ม...ยิ่งมอง เธอเองยิ่งชอบหญิงสาวตรงหน้า อาจจะดูจืดไปสักนิด เรียบร้อยไปสักหน่อย แต่อยู่ใกล้แล้วขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังรู้สึกหลงรัก แล้วนับประสาอะไรกับ...คนที่ไม่ค่อยได้พบความงดงามเช่นนี้ ไม่หวั่นไหว นั่นล่ะแปลก

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ เพราะน้องพรรษต้องทำงานชั้นนี้”

“ชั้นนี้เหรอคะ? แต่พรรษต้องทำงานแผนกบัญชีไม่ใช่เหรอคะ” ใบหน้าเรียวฉายความแปลกใจ เพราะในใบสมัครระบุชัดเจนถึงสาขาที่เธอเรียนมาและตำแหน่งที่ต้องการเข้าทำงาน

“อืม...เอาเป็นว่าเชิญน้องพรรษที่ห้องทำงานพี่เมษแล้วกันค่ะ เขาจะบอกรายละเอียดกับน้องพรรษเอง เชิญค่ะ” ลิซ่าผายมือไปทางห้องทำงานเจ้านาย โดยไม่ลืมส่งรอยยิ้มสวยให้กำลังใจ

เพลงพรรษอยากถามอะไรอีกหลายอย่าง แต่เธอก็ไม่กล้า จึงจำต้องเดินไปตามที่ลิซ่าบอกด้วยใจหวั่นๆ

พอเข้ามาในห้องทำงานที่เคยเข้ามาเมื่อวันก่อน สิ่งที่หญิงสาวสะดุดตามากที่สุดยังคงเป็นนาฬิกาเรือนนั้นบนข้อมือแข็งแรงซึ่งกำลังกางแฟ้มเอกสารออกเซ็น เธอจ้องมองมันไม่ละสายตา ถึงไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านายเงยหน้าขึ้นมองเธอนานแล้ว

“คุณชอบเหรอ?”

“คะ?” ร่างบางสะดุ้ง

“ผมหมายถึงนาฬิกาเรือนนี้” เขาดึงข้อมือให้พ้นจากแขนเสื้อสูทอีกหน่อยเพื่อให้เห็นนาฬิกาชัดขึ้นอย่างจงใจ เพลงพรรษหลบตาวูบ เธอไม่สมควรติดใจเรื่องนี้เลย มันเหมือนเป็นการคอยจับผิดเขา ซึ่งนั่นคงไม่ใช่การกระทำที่ดีของพนักงานอย่างเธอ

“ปละ เปล่าค่ะ ดิฉันขอโทษ ที่เสียมารยาท”

ท่าทางหวาดกลัว ก้มหน้าไม่ยอมสบตา พูดจาติดขัด สองแขนกอดกระเป๋าแน่นทำให้เมษรักษ์รู้สึกขัดตา เขาไม่ต้องการให้เธอกลัว อยากให้เธอพูดกับเขาเหมือนที่พูดกับ ‘ผู้ชายคนนั้น’ เมื่อวันที่วิ่งหนีเขา

ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง ก้าวไปหาหญิงสาวช้าๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าระยะใกล้ ใกล้จนเพลงพรรษตัวแข็ง ท่าทางสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงกับสายตาพินิจร่างบางตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ยิ่งทำให้คนถูกมองแทบกลั้นหายใจ

“ผมไม่ชอบให้ใครขัดหรือลืมในสิ่งที่ผมสั่ง ครั้งนี้ผมให้อภัย แต่ครั้งหน้าถ้าคุณยังแทนตัวเองอย่างนี้อีกผมจะไม่ปรานีคุณ” คนเป็นลูกจ้างทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ เมษรักษ์จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ผมจะให้คุณมาเป็นผู้ช่วยผม...นั่งทำงานกับผมในห้องนี้ คุณว่าดีไหม”

ได้ยินเพียงเท่านั้นใบหน้าเรียวก็เงยขวับขึ้นมอง และเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจผิดที่ทำอย่างนั้น เมื่อรับรู้ถึงลมหายอุ่นๆ รดหน้าผาก ห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ ทั้งสองคนสบตากัน...ผู้ชายคนนี้ชอบถามเหลือเกินว่า ดีไหม? แต่เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการความเห็น ทว่าถามอย่างที่คนตอบไม่สามารถบอกเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากทำตามที่เขาต้องการ

อย่าว่าแต่เพลงพรรษเลยที่ตกใจ ชายหนุ่มเองก็ใจหายวาบเช่นกัน เพียงแต่เขาสะกดกลั้นมันไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉย คนที่เคยใกล้เขาขนาดนี้มีเพียงคนเดียวคืออารดา และนั่นก็เป็นสายเลือดเดียวกัน...ผิดกับคนตรงหน้าเวลานี้ ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตากลมโตน่ามองแม้จะมีรอยหวาดหวั่น ริมฝีปากบางสีสวยที่เหมือนจะขยับพูดอะไรสักอย่างนั้นชวนมองจนหวั่นใจ

“พรรษ...พรรษ จะบอกพี่เมษว่า...พรรษขอไม่ทำงานที่นี่ได้ไหมคะ” เหมือนคำพูดนั้นคือมือวางเพลิงเผาผลาญความรู้สึกละเอียดอ่อนเมื่อสักครู่จนหมดสิ้น แนวคิ้วหนาของเมษรักษ์ขยับชิดกันจนแทบไม่เหลือที่ว่างระหว่างคิ้ว

“ทำไม!” น้ำเสียงเขาห้วนจัด มือทั้งสองข้างยกขึ้นบีบไหล่บางอย่างลืมตัว “บอกเหตุผลมาว่าทำไมคุณไม่อยากทำงานที่นี่ ไม่อยากทำงานกับผม หรือมีใครสั่งห้ามคุณ” แววตาเขาคาดคั้นดุดันจนเพลงพรรษผวากลัว มือไม้สั่น ขอบตาร้อนรื้นด้วยหยดน้ำ

“พะ...พี่ชายพรรษ เขาอยากให้พรรษไปทำงานด้วยน่ะค่ะ” หญิงสาวพยายามสงบความรู้สึกตกใจกลัว ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฝืนใจบอกเขาไปอย่างใจคิด ทั้งที่หากออกจากบริษัทแห่งนี้จริง เธอก็จะไม่ไปทำงานกับปรานต์แน่นอน แต่เธออยากทำเพื่อความสบายใจของเขา

ดวงตาคมของเมษรักษ์ยังคงดูน่ากลัวราวกับมีไฟลุกโชน เพียงแต่ท่ามกลางกองไฟนั้นมีรอยผิดหวัง หรือความรู้สึกอ่อนไหวบางอย่างพาดผ่าน ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน...ผู้หญิงคนนี้เหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยทิ้งเขา ทิ้งเขาเพียงเพราะภักดีกับผู้ชายอีกคน ปล่อยให้เขาจมอยู่กับความอ้างว้างและโหยหา

สุดท้าย...เพลงพรรษก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ยอมได้ทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่รัก ผู้ชายที่ไม่ใช่เขา!

“ผมไม่อนุมัติให้คุณออกจากที่นี่ คุณต้องทำงานที่นี่จนกว่าจะครบโปรฯ สี่เดือน และเป็นสี่เดือนที่คุณต้องอยู่ใกล้ผมตลอดเวลา...คุณทนได้ใช่ไหม เพลงพรรษ!” ไม่ว่าการตัดสินใจของหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นเช่นไร เมษรักษ์ก็จะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ไม่ใช่เพราะเขาหลงรักเธอ แต่เพราะเธอคือหมากตัวสำคัญที่เขาจะเก็บไว้ต่อรองกับพสุธาเทพ!

ก่อนน้ำตาจะรินไหลจากดวงตาคู่สวยเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เมษรักษ์ถอยไปยืนห่างๆ ร่างบางก่อนเอ่ยอนุญาตให้ลิซ่ากับพนักงานขนโต๊ะเข้ามาภายในห้อง ความเงียบจนผิดปกติไม่หลุดรอดสายตาเลขาฯ คนเก่งไปได้ หญิงสาวรู้จักเจ้านายตัวเองดีว่าอารมณ์แปรปรวนขนาดไหน ดูจากสีหน้าทั้งสองฝ่ายแล้วให้นึกห่วงเพลงพรรษขึ้นมาจับใจ


ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาพักกลางวัน เพลงพรรษถึงมีโอกาสได้เจอกับอารดา ฝ่ายนั้นมายืนรอเธออยู่ด้านหน้าประชาสัมพันธ์ด้านล่าง พอเห็นเธอเดินออกจากลิฟต์คนยืนคอยท่าก็ปราดเข้ามาหาด้วยสีหน้าอยากรู้กึ่งห่วงใย

“เป็นไงบ้างพรรษ ทำงานวันแรก ดีหรือเปล่า” ความจริงเธอได้รับรายงานจากลิซ่ามาบ้างว่าสถานการณ์ทางห้องทำงานปีกขวาไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่รู้เมษรักษ์เผลอแผลงฤทธิ์อะไรอีกหรือเปล่า หญิงสาวจึงแอบโทร.ไปขู่พี่ชายไว้แล้วว่าถ้าใช้อารมณ์ร้อนกับเพื่อนเธอละก็ เธอจะไม่ช่วยยื้อไว้เด็ดขาดหากเพลงพรรษจะไปจริงๆ

“ก็ดีจ้ะ แต่เราไม่ได้ทำงานแผนกบัญชีนะ เราไปเป็นผู้ช่วยท่านประธาน” สีหน้ายามเอ่ยคำพูดเหล่านั้นดูสลดหดหู่จนอารดานึกสงสาร เธอจับมือเพื่อนบีบเบาๆ ฝ่ายนั้นจึงฝืนยิ้มสู้ขึ้นมาได้ “แล้วดาล่ะ เป็นไงบ้าง ทำงานอยู่ตรงไหน เผื่อเราจะแวะไปหาได้ถูก”

“แหม...เราก็โชคดีไม่แพ้พรรษหรอกนะ เราได้ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้บริหารอีกคน อยู่ชั้นเดียวกับพรรษนั่นแหละ แต่ว่างานค่อนข้างยุ่ง เราอาจไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ถ้าตอนไหนว่างเราจะแวบไปหา หรือแอบโทร.หาพรรษแล้วกันเนอะ แต่ตอนนี้ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ หิวไส้จะขาดแล้ว อีกอย่างเดี๋ยวเข้างานสาย จะโดนไล่ออกทั้งคู่” ว่าแล้วก็จูงมือเพื่อนให้เดินตาม

หลังกลับมาจากพักกลางวัน เพลงพรรษเข้าไปในห้องทำงานใหญ่เธอไม่พบเจ้านายอยู่ในห้องนั้น ด้านหน้าห้อง ลิซ่าก็ไม่อยู่ จึงเดาเอาว่าเขาคงออกไปทำงานข้างนอกด้วยกัน ความรู้สึกโล่งอกจึงเข้ามาทดแทนความอึดอัด พอทรุดตัวลงนั่งสายตาก็เหลือบไปเห็นแจกันเซรามิกใบเล็กวางอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์ ในนั้นมีช่อดอกแก้วสีขาวปักอยู่ กลิ่นหอมของมันชวนให้ใบหน้าสวยต้องก้มลงสูดดม

“สงสัยคุณลิซ่าใจดีเอามาวางให้แน่เลย” หญิงสาวรำพันกับตัวเองแล้วยิ้มชื่นใจ เพราะเธอชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว เธอยิ่งชอบเป็นพิเศษ

ภาพใบหน้าสวยกระจ่างความสุข ริมฝีปากแย้มยิ้มอยู่กับดอกแก้วดอกเล็กๆ สร้างความรู้สึกบางอย่างแก่คนมอง จนเขาไม่อยากขยับตัวไปไหน กลัวว่าพอเธอรับรู้ถึงการเข้ามาในห้องของเขา รอยยิ้มนั้นอาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ทว่าวันนี้เลขาฯ ผู้รู้ใจของเขาคิดอย่างไรไม่รู้ถึงได้กระแอมเสียงดังขนาดนี้

“อะแฮ่ม พี่เมษคะ ลิซ่าว่าเราไปนั่งที่โต๊ะกันดีไหมคะ ยืนตรงนี้ลิซ่าเมื้อยเมื่อยค่ะ” ความจริงแล้วลิซ่าไม่ได้อยากขัดจังหวะการชมภาพสวยงามของเจ้านายหรอก แต่เธออยากแกล้งเล่นเท่านั้นเอง เห็นเมื่อเช้าทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา ทีอย่างนี้ล่ะมายืนแอบมอง

พอได้ยินเสียงลิซ่าเพลงพรรษก็เงยขึ้นมอง ทันได้สบตาเจ้านาย แล้วสีหน้าแววตาเธอก็แสดงอาการหวาดผวาโดยฉับพลัน นั่นทำให้เมษรักษ์ต้องหันมาวางสีหน้าเฉยใส่คนข้างตัว แต่ลิซ่าจะนึกกลัวหรือก็เปล่า เธอลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ จนเมษรักษ์ต้องเป็นฝ่ายเดินไปนั่งประจำโต๊ะตัวเองอย่างทำอะไรไม่ได้...เพราะสำหรับเขา ลิซ่าถูกยกให้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเสมือนพี่สาว

“งานครั้งนี้เป็นงานสำคัญ เราพลาดไม่ได้ เพราะคู่แข่งเองก็คงกำลังเตรียมพร้อมเพื่อชัยชนะเหมือนกัน” เมื่อพูดถึงคู่แข่งชายหนุ่มอดเหลือบมองผู้ช่วยคนใหม่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานที่เขาให้ไว้เมื่อตอนเช้า ยิ่งเห็นเมษรักษ์ยิ่งขัดใจ เธอคงกลัวเขามาก “และถ้าเราชนะงานนี้ได้ เกมทุกอย่างก็...โอเว่อร์!”

สีหน้าลิซ่าไร้แววล้อเล่น เธอสบตาเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือเป็นกำลังใจให้ทุกอย่างพ้นผ่านด้วยดีและมีชัย เพราะนี่คือหนึ่งภารกิจสำคัญของเธอเช่นกัน

“ค่ะ...รับรองเราต้องชนะเท่านั้น” ลิซ่ายิ้มอย่างที่เมษรักษ์ต้องขยับริมฝีปากระบายยิ้มตอบ เขาเชื่อมั่นในตัวผู้หญิงตรงหน้าเสมอ เพราะเธอไม่เคยทำงานพลาด

“คุณไปทำงานต่อเถอะ อีกสามเดือนข้างหน้าเราต้องได้ฉลองครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน”

“จะเตรียมไวน์ไว้สักยี่สิบขวดพอไหมคะ” ลิซ่าเอ่ยแล้วหัวเราะ ลุกขึ้นยืนถือเอกสารไว้ในมือ พอหมุนตัวเพื่อออกจากห้อง สายตาเหลือบเห็นหญิงสาวอีกคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการพิมพ์งาน อดไม่ได้ที่ต้องเอ่ยแซว

“จ้องซะขนาดนั้นระวังสายตาเสียนะคะน้องพรรษ เว้นระยะพักสายตาบ้างก็ได้ค่ะ พี่แนะนำว่าถ้าอยากพักสายตา หลังโต๊ะทำงานน้องพรรษเป็นระเบียงกว้าง ปกติเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวของพี่เมษ ถ้าน้องพรรษอยากไปรับอากาศเย็นๆ ก็ลองขออนุญาตดูนะคะ อ้อ แต่อย่าเผลอไปเด็ดดอกแก้วของเขานะคะ เขาหวง ไม่มีใครเด็ดได้นอกจากตัวเขาเอง พี่ไปนะ ทำงานให้สนุกล่ะ”

ลิซ่ารู้ โดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าตอนนี้เมษรักษ์คงกำลังจ้องเธอเขม็งค่าที่ทิ้งระเบิดแล้วหนี

เพลงพรรษเอี้ยวตัวมองด้านหลัง เธอไม่สามารถมองเห็นระเบียงกว้างได้เพราะมีผ้าม่านปิดไว้ หากลิซ่าไม่บอกเธอคงไม่รู้ว่าตรงนี้มีระเบียง และคงไม่รู้ว่ามีดอกแก้วปลูกอยู่ด้วย...

ดวงตาคู่สวยค่อยๆ หันกลับมามองดอกแก้วช่อเล็กบนโต๊ะทำงาน ก่อนทำใจกล้าเงยมองไปยังเจ้านาย และพบว่าเขาจ้องเธอรออยู่แล้ว นึกอยากจะหลบสายตานิ่งเฉยคู่นั้น แต่เธอก็หลบไม่ทัน หนำซ้ำยังจ้องตอบเขาเสียอีก...ไม่มีวี่แววโกรธขึงเหมือนเมื่อเช้า มีเพียงความว่างเปล่า จนหญิงสาวรู้สึกสับสน

“คุณอยากพักสายตาหรือเปล่า” คำถามฟังสั้นห้วน แต่น้ำเสียงไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อเช้า แถมสายตาก็อ่อนโยนจนเพลงพรรษแปลกใจ หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ งานไม่ได้เยอะ ตอนพักเที่ยงก็พักสายตาด้วยแล้ว พรรษพิมพ์ต่อได้ค่ะ” ว่าแล้วมือเรียวก็ขยับกดแป้นพิมพ์ต่อคล้ายต้องการเลี่ยงการสนทนากับเขา

“แต่ผมอยากพัก ตอนทานข้าวกับคุณลิซ่าก็คุยกันเรื่องงานทั้งนั้น วันนี้แทบจะไม่ได้พักเลย” เขาพูดพลางลุกเดินมายังโต๊ะทำงานของเธอ มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ก้มลงมองร่างบางนิ่งอย่างตั้งใจ ทำเอาคนถูกมองรู้สึกอึดอัดพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก “ไปนั่งพักเป็นเพื่อนผมตรงระเบียงด้านหลังนี่หน่อย”

“คะ?” หญิงสาวเบิกตาโต คล้ายไม่อยากเชื่อหูตัวเอง และคู่สนทนาไม่ได้สนใจอาการนั้น เขาพูดต่อในสิ่งที่เขาต้องการ

“กับห้องทำงานส่วนตัวผมคุณยังมานั่งทำงานได้ แล้วแค่ระเบียงส่วนตัวทำไมคุณจะไปนั่งไม่ได้ คุณนั่งได้ทุกเมื่อ...ผมอนุญาต” ริมฝีปากเขามีรอยยิ้ม ยิ้มอย่างไม่มีที่มาที่ไป “เริ่มจากตอนนี้เลย เดี๋ยวคุณช่วยโทร.สั่งแม่บ้านให้เอากาแฟมาให้ผมหน่อย ส่วนคุณจะดื่มอะไรก็สั่งมา แล้วตามผมมาที่ระเบียง”

ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ด้านหลังเก้าอี้เธอก่อนยกมือขึ้นดึงผ้าม่านไปด้านข้างเผยให้เห็นระเบียงกว้างผ่านกระจกใสสูงเท่ากำแพง เขาปลดล็อกแล้วเลื่อนประตูออก แทรกตัวผ่านออกไปโดยไม่หันมามองคนด้านหลังว่าทำตามที่เขาสั่งหรือไม่

แน่นอนว่าเพลงพรรษต้องทำตามเขาสั่ง เพราะเขาคือเจ้านายของเธอ

เพียงไม่นานหญิงสาวก็ถือถาดกาแฟและน้ำเปล่าสำหรับเจ้านายออกไปตรงระเบียง ร่างสูงยืนเอามือค้ำรั้วอลูมิเนียม ทอดสายตาสู่ทัศนียภาพเบื้องหน้าที่สามารถมองเห็นสังคมเมืองในมุมกว้างไกล มือเรียวค่อยบรรจงวางถาดลงบนโต๊ะไม้สีขาวและยืนรอให้เขาหันหลังกลับมา เธอไม่กล้าเอ่ยปากเรียกเพราะกลัวจะเป็นการทำลายบรรยากาศของเขา

เวลาผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะหันกลับมา เพลงพรรษจึงยืนอยู่อย่างนั้น เลื่อนสายตามองไปรอบระเบียง จึงได้เห็นว่าระเบียงนี้กว้างมาก ปลูกดอกแก้วโดยรอบ สำคัญมันกำลังออกดอกสะพรั่ง กลิ่นหอมโชยมากับลมที่พัดหวิวๆ จนผมเธอปลิวสยาย นึกอยากย่อตัวลงสูดดมเจ้าดอกสีขาวนั่นใกล้ๆ ก็ให้นึกเกรงใจผู้เป็นเจ้าของ จึงได้เพียงเฝ้ามองด้วยใบหน้ากระจ่างใสผ่อนคลายความตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว

“คุณชอบดอกไม้มากเลยเหรอ” เสียงทุ้มต่ำดังจากด้านหลังในระยะประชิดจนร่างบางสะดุ้ง ความรู้สึกว่าร่างใหญ่ใกล้จนรู้สึกถึงกระไอร้อนทำให้เพลงพรรษไม่กล้าหันหลังไปมอง เธอจับสายตาอยู่กับดอกแก้ว รู้สึกว่ามือไม้เกะกะจนสั่น เสยกขึ้นลูบผมให้เรียบเพราะเกรงว่าลมอาจทำให้ผมเธอปลิวไปโดนเขา

“ก็...ค่ะ ถ้าอยู่บ้านว่างๆ พรรษชอบปลูกดอกไม้ มันสวยดีค่ะ พี่เมษทานกาแฟสิคะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” หญิงสาวพยายามหาทางให้เขาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เพื่อเธอจะได้ไม่อึดอัด ทว่าคนตัวสูงไม่ขยับหนีแม้แต่ก้าวเดียว เขายืนมองเส้นผมดำสลวยที่กำลังพลิ้วไหวไปกับสายลม ศีรษะเล็กๆ ก้มงุดไม่ยอมเงยมองตอบ ยามนี้ไม่รู้ว่ากลิ่นที่หอมหวนทั่วบรรยากาศเป็นกลิ่นดอกไม้หรือกลิ่นของหญิงสาวกันแน่

เมษรักษ์อมยิ้ม นึกอยากแกล้งคนที่กลัวเขาขนาดยืนตัวแข็งทื่อ ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อเด็ดดอกแก้วช่อหนึ่ง และจากการยืนระยะใกล้ทำให้อกหนาของเขาเบียดไหล่เธอไปแลคล้ายหญิงสาวตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง

แค่เขามายืนใกล้ โน้มตัวไปเด็ดดอกแก้วโดยเบียดมาโดนเธอเพลงพรรษก็ว่าตัวเองแทบกลั้นหายใจแล้ว แต่สิ่งที่เขาทำต่อมายิ่งทำให้เธอเกือบหยุดหายใจเสียจริงๆ

“อ่ะ...ถ้าชอบ ยกให้อีกช่อหนึ่งแล้วกัน” มือหนาดึงมือเธอให้แบออกแล้ววางดอกแก้วช่อสวยลง วินาทีนั้นเพลงพรรษอดไม่ได้ที่จะต้องเงยสบตาเขาอย่างมีคำถาม หากคำตอบมาจากดวงตาคู่คม เป็นคำตอบที่แปลไม่ออก ให้เพียงความรู้สึกเย็นสบาย คล้ายสายลมในตอนนี้เท่านั้น

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านั้น เพราะจากคำพูดเขา แสดงให้เห็นชัดว่าดอกแก้วบนโต๊ะทำงานเธอก็มาจากเขาเช่นกัน

ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้สีขาวสะอาดตาแบบเดียวกับโต๊ะ เขายกกาแฟขึ้นจิบแล้วมองมาทางเธอตรงๆ

“มานั่งสิ” เพลงพรรษเดินมาทรุดนั่งเก้าอี้ตรงข้ามอย่างว่าง่าย “แล้วคุณไม่สั่งเครื่องดื่มของตัวเองมาหรือ” เขาถามเพราะเห็นมีแต่ของตัวเอง

“เปล่าค่ะ พรรษเกรงจะไม่เหมาะสมที่มานั่งพักในเวลางาน”

“ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมทำตัวตามสบาย ผมน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอ หรือคุณยังคิดจะลาออกจากที่นี่อยู่”

เมื่อเขาเปิดทางให้เธอพูดขนาดนี้ เพลงพรรษอยากบอกออกไปว่าเธอรู้สึกแปลกใจกับหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะสิทธิพิเศษที่เธอได้รับ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน การได้มานั่งในห้องทำงานเขา และระเบียงส่วนตัวแห่งนี้ ลิซ่าบอกเองว่าเขาหวง แต่ทำไมเธอถึงได้รับสิทธิ์นั้น มันอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่มันน่าแปลกสำหรับคนเพิ่งรู้จักกันอย่างเขากับเธอ

หญิงสาวขยับปากจะบอกว่าเธอต้องการออกจากที่นี่ นึกถึงใบหน้าร้อนรนของปรานต์แล้ว เธอไม่สบายใจเลย หากพอมองสบดวงตาคนฝั่งตรงข้ามเวลานี้ไม่มีร่องรอยแข็งกร้าวแบบเมื่อเช้า มีเพียงรอยตัดพ้อ และอ้อนวอน เธอจึงพูดไม่ออก

ไม่จริง! เขาจะตัดพ้อและอ้อนวอนเธอทำไม คิดไปเองแล้วเพลงพรรษ...

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พรรษอาจจะยังไม่ชินเท่านั้นเอง ขอโทษด้วยค่ะถ้าทำให้พี่เมษไม่พอใจ” ท่าทางเธออ่อนลง เมษรักษ์มองแล้วรู้สึกพออกพอใจ นึกไปถึงคำพูดน้องสาวที่โทร.หาเขาเมื่อตอนเที่ยง

‘กับพรรษน่ะใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลหรอกนะพี่ชาย คนอ่อนโยนและใจดีอย่างพรรษน่ะต้องใช้ไม้อ่อน เขาน่ะเป็นคนขี้สงสารและเห็นใจคนอื่น เพราะฉะนั้นอย่าใจร้อนใส่เขารู้ไหม’

“ผมจะไปต่างประเทศหนึ่งอาทิตย์ เดินทางพรุ่งนี้ บางทีคุณอาจมีเวลาปรับตัวกับที่นี่ก็ได้ ลองเปิดโอกาสให้นราวิวัฒน์ดูบ้าง บริษัทเราไม่น่าอึดอัดอย่างที่คิดหรอก แต่มันน่าอยู่และยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิดไว้เสียอีก” อะไรสักอย่างในคำพูดเขาทำให้เพลงพรรษรู้สึกแปลก เหมือนเขากำลังเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง แต่หญิงสาวไม่เข้าใจ

“พี่เมษต่างหากค่ะที่ให้โอกาสคนไร้ฝีมืออย่างพรรษเข้าทำงานที่นี่” นั่นสินะ เธอสมควรอยู่ที่นี่ เพราะอย่างน้อยเขาก็ให้โอกาส ‘คนชั้นล่าง’ อย่างเธอ บางทีปรานต์อาจนึกกลัวเธอลำบากเขาถึงไม่อยากให้มาทำงานที่นี่ และถ้าเป็นอย่างนั้น ครั้งนี้หญิงสาวจำเป็นต้องดื้อดึง เธอจะตามใจปรานต์อย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะเดือดร้อนไม่รู้จบ

บทสนทนาเป็นอันต้องหยุดเมื่อเสียงโทรศัพท์ของเมษรักษ์ดังขึ้น หญิงสาวตั้งท่าลุกจะไปหยิบมาให้ แต่ชายหนุ่มยกมือห้ามและลุกเดินเข้าไปคุยด้านในเสียเอง

“ว่าไงยายตัวแสบ” เขายกเครื่องมือสื่อสารแนบหู แล้วหันหลังยืนพิงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เพื่อมองผ่านกระจกใสไปยังร่างบอบบางของผู้ช่วยส่วนตัวด้วย

“คงแสบสู้พี่ชายไม่ได้หรอก ได้ข่าวว่าทำตัวเกเรใส่คนอื่นเขาจนต้องเด็ดดอกแก้วสุดหวงไปขอโทษเลยเหรอ”

“ก็ถ้าน้องได้ยินมาว่าอย่างนั้น ถึงพี่จะพูดไปอีกอย่างน้องก็คงไม่เชื่อ” เมื่อเมษรักษ์พูดอย่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะคิก ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยอาการอมยิ้ม สายตาที่เฝ้ามองคนนอกระเบียงทอดอ่อนมากยิ่งขึ้น

“เค้ารู้นะว่าพี่ชายหวงดอกแก้วนั้นมาก เพราะฉะนั้นเพื่อตอบแทนสิ่งที่สูญเสียไปเค้าจะเปิดทางให้พี่ชายได้ไปส่งพรรษ วันนี้” อารดาอ้างถึงดอกแก้วเล็กๆ เสียยิ่งใหญ่ราวกับมันมีค่ามหาศาล เธอชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดของการเปิดทางในวันนี้ โดยไม่ลืมย้ำว่าให้พี่ชายเธอดูแลเพลงพรรษเป็นอย่างดี ห้ามอารมณ์แปรปรวน

เมษรักษ์วางสายด้วยใบหน้าครุ่นคิด แววตาของชายหนุ่มก่อเกิดความไม่สบายใจ หากทุกสิ่งที่น้องสาวหยิบยื่นให้ล้วนแล้วแต่เป็นความหวังดี และการเดินเข้าสู่แผนการอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

ตอนร่างสูงเดินกลับไประเบียงเสียงโทรศัพท์มือถือของเพลงพรรษส่งเสียงร้องขึ้นบ้าง แต่ด้วยประตูกระจกหนาถูกปิดอยู่คนที่นั่งหันหลังให้จึงไม่ได้ยิน และโดยไม่มีการยั้งคิดใดๆ เมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏคำว่า ‘พี่ปรานต์’ เมษรักษ์หยิบมันขึ้นมากดรับพร้อมกรอกเสียงเรียบนิ่งลงไปทันที

“สวัสดีครับ”

ปรานต์นิ่งเมื่อเสียงปลายสายไม่ใช่เสียงที่เขาต้องการสนทนา คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ตั้งสติครู่เดียวเขาก็ตอบกลับไป

“ผมต้องการคุยกับพรรษ นี่ใช่โทรศัพท์พรรษหรือเปล่าครับ” ถึงอย่างนั้นปรานต์ก็ยังรู้มารยาทเขาข่มน้ำเสียงให้สุภาพ ทั้งที่นึกไม่พอใจกับเสียงผู้ชายที่รับสาย

“ใช่ครับ แต่ตอนนี้ยังอยู่ในเวลางาน ผู้ช่วยส่วนตัวของผมยังไม่ว่างรับสาย ไม่ทราบว่าคุณคือใครและมีธุระสำคัญมากไหม ผมจะบอกเธอให้...หลังเสร็จงาน” เมษรักษ์ดักทางเสร็จสรรพ โดยไม่ลืมเน้นคำว่า ‘ผู้ช่วยส่วนตัวของผม’ ให้อีกฝ่ายเข้าใจถูกต้องตามความต้องการของเขา

ร่างกายปรานต์ชาไปทั้งร่าง เขามึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน เพลงพรรษไปทำงานฝ่ายบัญชีมิใช่หรือ แล้วตำแหน่งผู้ช่วยนี่คืออะไร หรือเธอเป็นผู้ช่วยฝ่ายบัญชี?

“ถ้าคุณไม่มีอะไร หลังเลิกงานผมจะให้พรรษโทรกลับแล้วกัน” เมื่อเห็นว่าปลายสายเงียบไปเพียงอึดใจ เมษรักษ์ก็ไม่นึกรอนาน ชายหนุ่มรวบรัดและทิ้งความขุ่นใจให้คนฟังด้วยการเรียกชื่อเล่นของเพลงพรรษก่อนกดตัดสาย

ทำท่าจะวางโทรศัพท์เครื่องนั้นลงบนโต๊ะ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากด้านซ้ายอย่างที่ถ้าคนสนิทเห็นจะเข้าใจความหมายก่อนเลื่อนหัวแม่โป้งกดปิดเพื่อตัดขาดการติดต่อมาซ้ำอีก

ท่าล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างบวกสีหน้ายิ้มแย้มกว่าปกติทำให้เพลงพรรษมองแล้วนึกแปลกใจ ใครกันที่โทรมาแล้วทำให้เจ้านายผู้อารมณ์แปรปรวนของเธออารมณ์ดีได้ขนาดนี้ จะเป็นใครก็คงไม่เกี่ยวกับเธอหรอก เขาอารมณ์ดีก็เป็นเรื่องดีสำหรับเธอแล้ว

“วันนี้เลิกงานเร็วหน่อยนะ ผมจะไปธุระ เดี๋ยวคุณไปเก็บของเพราะผมต้องการให้คุณไปด้วย ได้ใช่ไหม?”

ถ้าสายตาเขาจะไม่คาดคั้นอยู่ในทีเพลงพรรษก็อยากตอบว่าไม่ได้ ธุระอะไรของเขาถึงจำเป็นต้องมีเธอไปด้วย นึกอยากถามก็ไม่กล้า อีกอย่างปรานต์บอกกับเธอไว้ว่าจะมารับ ถ้าวันแรกที่มาทำงานก็ทำให้ไว้ใจไม่ได้ น่ากลัวปรานต์จะให้เธอออกจากที่นี่ให้ได้เสียจริงๆ ทว่าจากเหตุการณ์เมื่อเช้า หญิงสาวไม่กล้าขัดใจผู้ชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ได้...ได้ค่ะ” ตอบแล้วเธอต้องหลบตาวูบกับสายตาวิบวับของคนตรงหน้า ร่างบ่อยค่อยลุกยืน หมุนตัวเพื่อกลับเข้าห้อง ยังไม่ทันเอื้อมมือเลื่อนประตูกระจกเสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำเอาสะดุ้งหันกลับไปมอง “คะ?”

เมษรักษ์เดินมาใกล้แล้วยิ้มทั้งปากทั้งตา ก่อนเอื้อมมือไปดึงมือเธอมารวดเร็วจนร่างบางตรงหน้ากระตุกมือหนีไม่ทัน มืออีกข้างของชายหนุ่มวางช่อดอกแก้วลงบนมือเรียวแผ่วเบา เพลงพรรษเงยสบตากล้าๆ กลัวๆ

“อย่าลืมของที่ผมให้สิ” น้ำเสียงนุ่มทุ้ม แต่กลับมีแววบังคับซ่อนอยู่ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยักหน้ารับช้า พอเขาคลายมือออกเธอรีบชักแขนกลับทันที “อ้อ แล้วเก็บของเร็วๆ นะ อย่าช้า” เขาย้ำอีกครั้ง เพลงพรรษยังคงทำได้เพียงพยักหน้าแล้วถอยกลับเข้าห้องไป เธอจึงไม่ได้ยินเสียงบางอย่างในลำคอของชายหนุ่ม...เสียงแห่งความพึงพอใจ

ทัศนียภาพเบื้องหน้าเป็นภาพชินตาที่เมษรักษ์เห็นมาเนิ่นนานนับตั้งแต่เขาเข้ามาบริหารงานที่นี่แทนบิดา ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขารู้ว่าลมด้านนอกนี่เย็นชื่นใจขนาดนี้ ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เขารู้สึกว่ากลิ่นดอกแก้วหอมรัญจวนใจได้ถึงเพียงนี้

มันเป็นความหอมหวนและเย็นชื่นแห่งชัยชนะที่เห็นเค้ารางมาไกลๆ หรือเปล่านะ?

แค่คิดชายหนุ่มก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้...เพลงพรรษอาจทำให้อะไรง่ายขึ้น บางทีสิ่งที่เขาอาจต้องเสียตั้งแต่แรกอาจไม่จำเป็นอีกแล้วก็เป็นได้ ยิ่งคิดชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างที่เขาต้องการกำลังคืบคลานมาใกล้

อีกไม่นาน...ทุกอย่างจะถึงจุดจบ!


บทที่ 6


พอออกจากลิฟต์สำหรับผู้บริหารและเดินมาถึงโถงกว้างของชั้นผู้บริหาร อารดาเห็นว่าข้างโต๊ะตัวใหญ่ของลิซ่ามีโต๊ะขนาดไล่ๆ กันวางอยู่พร้อมอุปกรณ์สำนักงานครบครัน หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วแหงนหน้ามองคนที่เดินโอบไหล่เธอมาด้วยสายตาสงสัย

“โต๊ะใครอ่ะ พี่ชาย” ใบหน้าคมก้มมองคนตัวเล็กกว่า แต่อีกฝ่ายไม่สามารถมองเห็นสายตาเพราะเขายังไม่เอาแว่นกันแดดออกจากใบหน้า และไม่ต้องรอให้เขาตอบ อารดาก็เอะใจ “อย่าบอกนะว่านี่เป็นโต๊ะทำงานของพรรษ!”

“ใช่ นี่เป็นโต๊ะทำงานของเพื่อนน้อง” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“โห พี่ชายอ่ะเว่อร์มาก ทำแบบนี้เค้าจะเดินเข้าห้องทำงานได้ไงล่ะ แยกไปขวาห้องทำงานใหญ่ของพี่ชาย แยกไปซ้ายห้องทำงานเค้า พรรษเห็นกันพอดี” คนวางแผนมาตั้งแต่ต้นโอดครวญไม่จริงจังนัก เชื่อว่าพี่ชายเองคงมีแผนเหนือชั้นกว่าเธอเสียอีก

“อ้าว น้องกลัวด้วยเหรอ” เขาแกล้งรวน แล้วก็ต้องหัวเราะกับอาการถลึงตาของน้องสาว “โอเคๆ เดี๋ยวพี่จะจัดการให้ใหม่” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน ก้าวไปยืนหน้าโต๊ะทำงานของเลขาฯ ส่วนตัว

“สวัสดีตอนเช้าค่ะ...พี่เมษ” ลิซ่าแกล้งทักทายตามชื่อที่เขาสั่งให้เรียกด้วยใบหน้ากลั้นยิ้ม เมษรักษ์เพียงวางสีหน้าเฉย และลิซ่ารู้ว่าเขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว

“เดี๋ยวให้คนมาย้ายโต๊ะชุดนี้เข้าไปในห้องทำงานผมด้วยนะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางพยักพเยิดไปยังโต๊ะตัวปัญหา ทำเอาคนก้าวมายืนเคียงข้างกับคนได้รับคำสั่งอ้าปากหวอพร้อมกัน “ผมเปลี่ยนใจไม่ให้เพลงพรรษเป็นผู้ช่วยคุณแล้ว...ให้มาเป็นผู้ช่วยผมแทน ดีใช่ไหมน้อง”

อารดายังตกอยู่ในอาการอึ้ง จึงไม่ได้ตอบรับประการใด ร่างสูงจึงทำเสียงบางอย่างในลำคอแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป ทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้กับสองคนข้างหลังนับร้อยนับพันคำถาม

“ดาไม่ได้หูเฝื่อน ตาฝาดใช่ไหมคุณลิซ่า นั่นพี่ชายของดาตัวจริงเสียงจริงใช่ไหม” อารดาพูดด้วยอาการตาค้าง ลิซ่าเองก็ยังงงไม่หายเหมือนกัน

“นั่นสิคะ หรือว่าคราวนี้คุณเมษจะเอาจริง” เท่านั้นล่ะทั้งสองคนก็หันมาสบตากัน แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ ขยายกว้างจนเต็มใบหน้าสวยของอารดา เธอวาดภาพในใจ ถ้าเพลงพรรษทำให้หัวใจพี่ชายเบ่งบานด้วยดอกรักได้คงนับเป็นเรื่องดี ถึงแม้จะยังมีบางเรื่องต้องสะสาง แต่ท่ามกลาง ‘สงคราม’ ที่อาจร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ อารดาหวัง...หวังให้พี่ชายได้มีความสุขบ้างแม้ต้องอยู่ระหว่าง ‘ออกรบ’

“ถ้าเอาจริงก็ดี ดาสนับสนุนเต็มกำลัง” หญิงสาวหัวเราะคิก ก่อนเดินไปยังห้องทำงานของตัวเองบ้าง

คล้อยหลังสองพี่น้องเพียงไม่กี่นาทีเพลงพรรษก็เดินออกจากลิฟต์มาตามที่ลิซ่าได้โทร.แจ้งกับเธอเมื่อวาน ว่าพอมาถึงตึกบริษัทให้ขึ้นมาหาเธอที่เดิม มือเรียวพนมไหว้ลิซ่าอย่างมีมารยาทงดงาม เลขาฯ คนเก่งรับไหว้ ทอดมองด้วยแววตาชื่นชม สมกับที่อารดาปลื้มนักหนา และไม่น่าแปลกใจเลยที่เมษรักษ์เองก็ดูจะหวั่นไหว

“ที่จริงคุณลิซ่าบอกพรรษก็ได้ค่ะว่าแผนกบัญชีอยู่ตรงไหน จะได้ไม่ต้องลำบากให้คุณลิซ่าพาลงไปอีก” เพลงพรรษเอ่ยด้วยความเกรงใจ ถึงลิซ่าจะเป็นแค่เลขาฯ แต่เธอคือเลขาฯ ของเจ้าของบริษัท ไม่สมควรเลยที่พนักงานเล็กๆ อย่างเธอต้องให้หญิงสาวคอยจัดการทุกอย่างให้

ลิซ่ายิ้ม...ยิ่งมอง เธอเองยิ่งชอบหญิงสาวตรงหน้า อาจจะดูจืดไปสักนิด เรียบร้อยไปสักหน่อย แต่อยู่ใกล้แล้วขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังรู้สึกหลงรัก แล้วนับประสาอะไรกับ...คนที่ไม่ค่อยได้พบความงดงามเช่นนี้ ไม่หวั่นไหว นั่นล่ะแปลก

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ เพราะน้องพรรษต้องทำงานชั้นนี้”

“ชั้นนี้เหรอคะ? แต่พรรษต้องทำงานแผนกบัญชีไม่ใช่เหรอคะ” ใบหน้าเรียวฉายความแปลกใจ เพราะในใบสมัครระบุชัดเจนถึงสาขาที่เธอเรียนมาและตำแหน่งที่ต้องการเข้าทำงาน

“อืม...เอาเป็นว่าเชิญน้องพรรษที่ห้องทำงานพี่เมษแล้วกันค่ะ เขาจะบอกรายละเอียดกับน้องพรรษเอง เชิญค่ะ” ลิซ่าผายมือไปทางห้องทำงานเจ้านาย โดยไม่ลืมส่งรอยยิ้มสวยให้กำลังใจ

เพลงพรรษอยากถามอะไรอีกหลายอย่าง แต่เธอก็ไม่กล้า จึงจำต้องเดินไปตามที่ลิซ่าบอกด้วยใจหวั่นๆ

พอเข้ามาในห้องทำงานที่เคยเข้ามาเมื่อวันก่อน สิ่งที่หญิงสาวสะดุดตามากที่สุดยังคงเป็นนาฬิกาเรือนนั้นบนข้อมือแข็งแรงซึ่งกำลังกางแฟ้มเอกสารออกเซ็น เธอจ้องมองมันไม่ละสายตา ถึงไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านายเงยหน้าขึ้นมองเธอนานแล้ว

“คุณชอบเหรอ?”

“คะ?” ร่างบางสะดุ้ง

“ผมหมายถึงนาฬิกาเรือนนี้” เขาดึงข้อมือให้พ้นจากแขนเสื้อสูทอีกหน่อยเพื่อให้เห็นนาฬิกาชัดขึ้นอย่างจงใจ เพลงพรรษหลบตาวูบ เธอไม่สมควรติดใจเรื่องนี้เลย มันเหมือนเป็นการคอยจับผิดเขา ซึ่งนั่นคงไม่ใช่การกระทำที่ดีของพนักงานอย่างเธอ

“ปละ เปล่าค่ะ ดิฉันขอโทษ ที่เสียมารยาท”

ท่าทางหวาดกลัว ก้มหน้าไม่ยอมสบตา พูดจาติดขัด สองแขนกอดกระเป๋าแน่นทำให้เมษรักษ์รู้สึกขัดตา เขาไม่ต้องการให้เธอกลัว อยากให้เธอพูดกับเขาเหมือนที่พูดกับ ‘ผู้ชายคนนั้น’ เมื่อวันที่วิ่งหนีเขา

ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง ก้าวไปหาหญิงสาวช้าๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าระยะใกล้ ใกล้จนเพลงพรรษตัวแข็ง ท่าทางสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงกับสายตาพินิจร่างบางตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ยิ่งทำให้คนถูกมองแทบกลั้นหายใจ

“ผมไม่ชอบให้ใครขัดหรือลืมในสิ่งที่ผมสั่ง ครั้งนี้ผมให้อภัย แต่ครั้งหน้าถ้าคุณยังแทนตัวเองอย่างนี้อีกผมจะไม่ปรานีคุณ” คนเป็นลูกจ้างทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ เมษรักษ์จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ผมจะให้คุณมาเป็นผู้ช่วยผม...นั่งทำงานกับผมในห้องนี้ คุณว่าดีไหม”

ได้ยินเพียงเท่านั้นใบหน้าเรียวก็เงยขวับขึ้นมอง และเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจผิดที่ทำอย่างนั้น เมื่อรับรู้ถึงลมหายอุ่นๆ รดหน้าผาก ห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ ทั้งสองคนสบตากัน...ผู้ชายคนนี้ชอบถามเหลือเกินว่า ดีไหม? แต่เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการความเห็น ทว่าถามอย่างที่คนตอบไม่สามารถบอกเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากทำตามที่เขาต้องการ

อย่าว่าแต่เพลงพรรษเลยที่ตกใจ ชายหนุ่มเองก็ใจหายวาบเช่นกัน เพียงแต่เขาสะกดกลั้นมันไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉย คนที่เคยใกล้เขาขนาดนี้มีเพียงคนเดียวคืออารดา และนั่นก็เป็นสายเลือดเดียวกัน...ผิดกับคนตรงหน้าเวลานี้ ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตากลมโตน่ามองแม้จะมีรอยหวาดหวั่น ริมฝีปากบางสีสวยที่เหมือนจะขยับพูดอะไรสักอย่างนั้นชวนมองจนหวั่นใจ

“พรรษ...พรรษ จะบอกพี่เมษว่า...พรรษขอไม่ทำงานที่นี่ได้ไหมคะ” เหมือนคำพูดนั้นคือมือวางเพลิงเผาผลาญความรู้สึกละเอียดอ่อนเมื่อสักครู่จนหมดสิ้น แนวคิ้วหนาของเมษรักษ์ขยับชิดกันจนแทบไม่เหลือที่ว่างระหว่างคิ้ว

“ทำไม!” น้ำเสียงเขาห้วนจัด มือทั้งสองข้างยกขึ้นบีบไหล่บางอย่างลืมตัว “บอกเหตุผลมาว่าทำไมคุณไม่อยากทำงานที่นี่ ไม่อยากทำงานกับผม หรือมีใครสั่งห้ามคุณ” แววตาเขาคาดคั้นดุดันจนเพลงพรรษผวากลัว มือไม้สั่น ขอบตาร้อนรื้นด้วยหยดน้ำ

“พะ...พี่ชายพรรษ เขาอยากให้พรรษไปทำงานด้วยน่ะค่ะ” หญิงสาวพยายามสงบความรู้สึกตกใจกลัว ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฝืนใจบอกเขาไปอย่างใจคิด ทั้งที่หากออกจากบริษัทแห่งนี้จริง เธอก็จะไม่ไปทำงานกับปรานต์แน่นอน แต่เธออยากทำเพื่อความสบายใจของเขา

ดวงตาคมของเมษรักษ์ยังคงดูน่ากลัวราวกับมีไฟลุกโชน เพียงแต่ท่ามกลางกองไฟนั้นมีรอยผิดหวัง หรือความรู้สึกอ่อนไหวบางอย่างพาดผ่าน ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน...ผู้หญิงคนนี้เหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยทิ้งเขา ทิ้งเขาเพียงเพราะภักดีกับผู้ชายอีกคน ปล่อยให้เขาจมอยู่กับความอ้างว้างและโหยหา

สุดท้าย...เพลงพรรษก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ยอมได้ทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่รัก ผู้ชายที่ไม่ใช่เขา!

“ผมไม่อนุมัติให้คุณออกจากที่นี่ คุณต้องทำงานที่นี่จนกว่าจะครบโปรฯ สี่เดือน และเป็นสี่เดือนที่คุณต้องอยู่ใกล้ผมตลอดเวลา...คุณทนได้ใช่ไหม เพลงพรรษ!” ไม่ว่าการตัดสินใจของหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นเช่นไร เมษรักษ์ก็จะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ไม่ใช่เพราะเขาหลงรักเธอ แต่เพราะเธอคือหมากตัวสำคัญที่เขาจะเก็บไว้ต่อรองกับพสุธาเทพ!

ก่อนน้ำตาจะรินไหลจากดวงตาคู่สวยเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เมษรักษ์ถอยไปยืนห่างๆ ร่างบางก่อนเอ่ยอนุญาตให้ลิซ่ากับพนักงานขนโต๊ะเข้ามาภายในห้อง ความเงียบจนผิดปกติไม่หลุดรอดสายตาเลขาฯ คนเก่งไปได้ หญิงสาวรู้จักเจ้านายตัวเองดีว่าอารมณ์แปรปรวนขนาดไหน ดูจากสีหน้าทั้งสองฝ่ายแล้วให้นึกห่วงเพลงพรรษขึ้นมาจับใจ


ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาพักกลางวัน เพลงพรรษถึงมีโอกาสได้เจอกับอารดา ฝ่ายนั้นมายืนรอเธออยู่ด้านหน้าประชาสัมพันธ์ด้านล่าง พอเห็นเธอเดินออกจากลิฟต์คนยืนคอยท่าก็ปราดเข้ามาหาด้วยสีหน้าอยากรู้กึ่งห่วงใย

“เป็นไงบ้างพรรษ ทำงานวันแรก ดีหรือเปล่า” ความจริงเธอได้รับรายงานจากลิซ่ามาบ้างว่าสถานการณ์ทางห้องทำงานปีกขวาไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่รู้เมษรักษ์เผลอแผลงฤทธิ์อะไรอีกหรือเปล่า หญิงสาวจึงแอบโทร.ไปขู่พี่ชายไว้แล้วว่าถ้าใช้อารมณ์ร้อนกับเพื่อนเธอละก็ เธอจะไม่ช่วยยื้อไว้เด็ดขาดหากเพลงพรรษจะไปจริงๆ

“ก็ดีจ้ะ แต่เราไม่ได้ทำงานแผนกบัญชีนะ เราไปเป็นผู้ช่วยท่านประธาน” สีหน้ายามเอ่ยคำพูดเหล่านั้นดูสลดหดหู่จนอารดานึกสงสาร เธอจับมือเพื่อนบีบเบาๆ ฝ่ายนั้นจึงฝืนยิ้มสู้ขึ้นมาได้ “แล้วดาล่ะ เป็นไงบ้าง ทำงานอยู่ตรงไหน เผื่อเราจะแวะไปหาได้ถูก”

“แหม...เราก็โชคดีไม่แพ้พรรษหรอกนะ เราได้ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้บริหารอีกคน อยู่ชั้นเดียวกับพรรษนั่นแหละ แต่ว่างานค่อนข้างยุ่ง เราอาจไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ถ้าตอนไหนว่างเราจะแวบไปหา หรือแอบโทร.หาพรรษแล้วกันเนอะ แต่ตอนนี้ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ หิวไส้จะขาดแล้ว อีกอย่างเดี๋ยวเข้างานสาย จะโดนไล่ออกทั้งคู่” ว่าแล้วก็จูงมือเพื่อนให้เดินตาม

หลังกลับมาจากพักกลางวัน เพลงพรรษเข้าไปในห้องทำงานใหญ่เธอไม่พบเจ้านายอยู่ในห้องนั้น ด้านหน้าห้อง ลิซ่าก็ไม่อยู่ จึงเดาเอาว่าเขาคงออกไปทำงานข้างนอกด้วยกัน ความรู้สึกโล่งอกจึงเข้ามาทดแทนความอึดอัด พอทรุดตัวลงนั่งสายตาก็เหลือบไปเห็นแจกันเซรามิกใบเล็กวางอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์ ในนั้นมีช่อดอกแก้วสีขาวปักอยู่ กลิ่นหอมของมันชวนให้ใบหน้าสวยต้องก้มลงสูดดม

“สงสัยคุณลิซ่าใจดีเอามาวางให้แน่เลย” หญิงสาวรำพันกับตัวเองแล้วยิ้มชื่นใจ เพราะเธอชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว เธอยิ่งชอบเป็นพิเศษ

ภาพใบหน้าสวยกระจ่างความสุข ริมฝีปากแย้มยิ้มอยู่กับดอกแก้วดอกเล็กๆ สร้างความรู้สึกบางอย่างแก่คนมอง จนเขาไม่อยากขยับตัวไปไหน กลัวว่าพอเธอรับรู้ถึงการเข้ามาในห้องของเขา รอยยิ้มนั้นอาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ทว่าวันนี้เลขาฯ ผู้รู้ใจของเขาคิดอย่างไรไม่รู้ถึงได้กระแอมเสียงดังขนาดนี้

“อะแฮ่ม พี่เมษคะ ลิซ่าว่าเราไปนั่งที่โต๊ะกันดีไหมคะ ยืนตรงนี้ลิซ่าเมื้อยเมื่อยค่ะ” ความจริงแล้วลิซ่าไม่ได้อยากขัดจังหวะการชมภาพสวยงามของเจ้านายหรอก แต่เธออยากแกล้งเล่นเท่านั้นเอง เห็นเมื่อเช้าทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา ทีอย่างนี้ล่ะมายืนแอบมอง

พอได้ยินเสียงลิซ่าเพลงพรรษก็เงยขึ้นมอง ทันได้สบตาเจ้านาย แล้วสีหน้าแววตาเธอก็แสดงอาการหวาดผวาโดยฉับพลัน นั่นทำให้เมษรักษ์ต้องหันมาวางสีหน้าเฉยใส่คนข้างตัว แต่ลิซ่าจะนึกกลัวหรือก็เปล่า เธอลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ จนเมษรักษ์ต้องเป็นฝ่ายเดินไปนั่งประจำโต๊ะตัวเองอย่างทำอะไรไม่ได้...เพราะสำหรับเขา ลิซ่าถูกยกให้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเสมือนพี่สาว

“งานครั้งนี้เป็นงานสำคัญ เราพลาดไม่ได้ เพราะคู่แข่งเองก็คงกำลังเตรียมพร้อมเพื่อชัยชนะเหมือนกัน” เมื่อพูดถึงคู่แข่งชายหนุ่มอดเหลือบมองผู้ช่วยคนใหม่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานที่เขาให้ไว้เมื่อตอนเช้า ยิ่งเห็นเมษรักษ์ยิ่งขัดใจ เธอคงกลัวเขามาก “และถ้าเราชนะงานนี้ได้ เกมทุกอย่างก็...โอเว่อร์!”

สีหน้าลิซ่าไร้แววล้อเล่น เธอสบตาเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือเป็นกำลังใจให้ทุกอย่างพ้นผ่านด้วยดีและมีชัย เพราะนี่คือหนึ่งภารกิจสำคัญของเธอเช่นกัน

“ค่ะ...รับรองเราต้องชนะเท่านั้น” ลิซ่ายิ้มอย่างที่เมษรักษ์ต้องขยับริมฝีปากระบายยิ้มตอบ เขาเชื่อมั่นในตัวผู้หญิงตรงหน้าเสมอ เพราะเธอไม่เคยทำงานพลาด

“คุณไปทำงานต่อเถอะ อีกสามเดือนข้างหน้าเราต้องได้ฉลองครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน”

“จะเตรียมไวน์ไว้สักยี่สิบขวดพอไหมคะ” ลิซ่าเอ่ยแล้วหัวเราะ ลุกขึ้นยืนถือเอกสารไว้ในมือ พอหมุนตัวเพื่อออกจากห้อง สายตาเหลือบเห็นหญิงสาวอีกคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการพิมพ์งาน อดไม่ได้ที่ต้องเอ่ยแซว

“จ้องซะขนาดนั้นระวังสายตาเสียนะคะน้องพรรษ เว้นระยะพักสายตาบ้างก็ได้ค่ะ พี่แนะนำว่าถ้าอยากพักสายตา หลังโต๊ะทำงานน้องพรรษเป็นระเบียงกว้าง ปกติเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวของพี่เมษ ถ้าน้องพรรษอยากไปรับอากาศเย็นๆ ก็ลองขออนุญาตดูนะคะ อ้อ แต่อย่าเผลอไปเด็ดดอกแก้วของเขานะคะ เขาหวง ไม่มีใครเด็ดได้นอกจากตัวเขาเอง พี่ไปนะ ทำงานให้สนุกล่ะ”

ลิซ่ารู้ โดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าตอนนี้เมษรักษ์คงกำลังจ้องเธอเขม็งค่าที่ทิ้งระเบิดแล้วหนี

เพลงพรรษเอี้ยวตัวมองด้านหลัง เธอไม่สามารถมองเห็นระเบียงกว้างได้เพราะมีผ้าม่านปิดไว้ หากลิซ่าไม่บอกเธอคงไม่รู้ว่าตรงนี้มีระเบียง และคงไม่รู้ว่ามีดอกแก้วปลูกอยู่ด้วย...

ดวงตาคู่สวยค่อยๆ หันกลับมามองดอกแก้วช่อเล็กบนโต๊ะทำงาน ก่อนทำใจกล้าเงยมองไปยังเจ้านาย และพบว่าเขาจ้องเธอรออยู่แล้ว นึกอยากจะหลบสายตานิ่งเฉยคู่นั้น แต่เธอก็หลบไม่ทัน หนำซ้ำยังจ้องตอบเขาเสียอีก...ไม่มีวี่แววโกรธขึงเหมือนเมื่อเช้า มีเพียงความว่างเปล่า จนหญิงสาวรู้สึกสับสน

“คุณอยากพักสายตาหรือเปล่า” คำถามฟังสั้นห้วน แต่น้ำเสียงไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อเช้า แถมสายตาก็อ่อนโยนจนเพลงพรรษแปลกใจ หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ งานไม่ได้เยอะ ตอนพักเที่ยงก็พักสายตาด้วยแล้ว พรรษพิมพ์ต่อได้ค่ะ” ว่าแล้วมือเรียวก็ขยับกดแป้นพิมพ์ต่อคล้ายต้องการเลี่ยงการสนทนากับเขา

“แต่ผมอยากพัก ตอนทานข้าวกับคุณลิซ่าก็คุยกันเรื่องงานทั้งนั้น วันนี้แทบจะไม่ได้พักเลย” เขาพูดพลางลุกเดินมายังโต๊ะทำงานของเธอ มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ก้มลงมองร่างบางนิ่งอย่างตั้งใจ ทำเอาคนถูกมองรู้สึกอึดอัดพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก “ไปนั่งพักเป็นเพื่อนผมตรงระเบียงด้านหลังนี่หน่อย”

“คะ?” หญิงสาวเบิกตาโต คล้ายไม่อยากเชื่อหูตัวเอง และคู่สนทนาไม่ได้สนใจอาการนั้น เขาพูดต่อในสิ่งที่เขาต้องการ

“กับห้องทำงานส่วนตัวผมคุณยังมานั่งทำงานได้ แล้วแค่ระเบียงส่วนตัวทำไมคุณจะไปนั่งไม่ได้ คุณนั่งได้ทุกเมื่อ...ผมอนุญาต” ริมฝีปากเขามีรอยยิ้ม ยิ้มอย่างไม่มีที่มาที่ไป “เริ่มจากตอนนี้เลย เดี๋ยวคุณช่วยโทร.สั่งแม่บ้านให้เอากาแฟมาให้ผมหน่อย ส่วนคุณจะดื่มอะไรก็สั่งมา แล้วตามผมมาที่ระเบียง”

ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ด้านหลังเก้าอี้เธอก่อนยกมือขึ้นดึงผ้าม่านไปด้านข้างเผยให้เห็นระเบียงกว้างผ่านกระจกใสสูงเท่ากำแพง เขาปลดล็อกแล้วเลื่อนประตูออก แทรกตัวผ่านออกไปโดยไม่หันมามองคนด้านหลังว่าทำตามที่เขาสั่งหรือไม่

แน่นอนว่าเพลงพรรษต้องทำตามเขาสั่ง เพราะเขาคือเจ้านายของเธอ

เพียงไม่นานหญิงสาวก็ถือถาดกาแฟและน้ำเปล่าสำหรับเจ้านายออกไปตรงระเบียง ร่างสูงยืนเอามือค้ำรั้วอลูมิเนียม ทอดสายตาสู่ทัศนียภาพเบื้องหน้าที่สามารถมองเห็นสังคมเมืองในมุมกว้างไกล มือเรียวค่อยบรรจงวางถาดลงบนโต๊ะไม้สีขาวและยืนรอให้เขาหันหลังกลับมา เธอไม่กล้าเอ่ยปากเรียกเพราะกลัวจะเป็นการทำลายบรรยากาศของเขา

เวลาผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะหันกลับมา เพลงพรรษจึงยืนอยู่อย่างนั้น เลื่อนสายตามองไปรอบระเบียง จึงได้เห็นว่าระเบียงนี้กว้างมาก ปลูกดอกแก้วโดยรอบ สำคัญมันกำลังออกดอกสะพรั่ง กลิ่นหอมโชยมากับลมที่พัดหวิวๆ จนผมเธอปลิวสยาย นึกอยากย่อตัวลงสูดดมเจ้าดอกสีขาวนั่นใกล้ๆ ก็ให้นึกเกรงใจผู้เป็นเจ้าของ จึงได้เพียงเฝ้ามองด้วยใบหน้ากระจ่างใสผ่อนคลายความตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว

“คุณชอบดอกไม้มากเลยเหรอ” เสียงทุ้มต่ำดังจากด้านหลังในระยะประชิดจนร่างบางสะดุ้ง ความรู้สึกว่าร่างใหญ่ใกล้จนรู้สึกถึงกระไอร้อนทำให้เพลงพรรษไม่กล้าหันหลังไปมอง เธอจับสายตาอยู่กับดอกแก้ว รู้สึกว่ามือไม้เกะกะจนสั่น เสยกขึ้นลูบผมให้เรียบเพราะเกรงว่าลมอาจทำให้ผมเธอปลิวไปโดนเขา

“ก็...ค่ะ ถ้าอยู่บ้านว่างๆ พรรษชอบปลูกดอกไม้ มันสวยดีค่ะ พี่เมษทานกาแฟสิคะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” หญิงสาวพยายามหาทางให้เขาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เพื่อเธอจะได้ไม่อึดอัด ทว่าคนตัวสูงไม่ขยับหนีแม้แต่ก้าวเดียว เขายืนมองเส้นผมดำสลวยที่กำลังพลิ้วไหวไปกับสายลม ศีรษะเล็กๆ ก้มงุดไม่ยอมเงยมองตอบ ยามนี้ไม่รู้ว่ากลิ่นที่หอมหวนทั่วบรรยากาศเป็นกลิ่นดอกไม้หรือกลิ่นของหญิงสาวกันแน่

เมษรักษ์อมยิ้ม นึกอยากแกล้งคนที่กลัวเขาขนาดยืนตัวแข็งทื่อ ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อเด็ดดอกแก้วช่อหนึ่ง และจากการยืนระยะใกล้ทำให้อกหนาของเขาเบียดไหล่เธอไปแลคล้ายหญิงสาวตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง

แค่เขามายืนใกล้ โน้มตัวไปเด็ดดอกแก้วโดยเบียดมาโดนเธอเพลงพรรษก็ว่าตัวเองแทบกลั้นหายใจแล้ว แต่สิ่งที่เขาทำต่อมายิ่งทำให้เธอเกือบหยุดหายใจเสียจริงๆ

“อ่ะ...ถ้าชอบ ยกให้อีกช่อหนึ่งแล้วกัน” มือหนาดึงมือเธอให้แบออกแล้ววางดอกแก้วช่อสวยลง วินาทีนั้นเพลงพรรษอดไม่ได้ที่จะต้องเงยสบตาเขาอย่างมีคำถาม หากคำตอบมาจากดวงตาคู่คม เป็นคำตอบที่แปลไม่ออก ให้เพียงความรู้สึกเย็นสบาย คล้ายสายลมในตอนนี้เท่านั้น

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านั้น เพราะจากคำพูดเขา แสดงให้เห็นชัดว่าดอกแก้วบนโต๊ะทำงานเธอก็มาจากเขาเช่นกัน

ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้สีขาวสะอาดตาแบบเดียวกับโต๊ะ เขายกกาแฟขึ้นจิบแล้วมองมาทางเธอตรงๆ

“มานั่งสิ” เพลงพรรษเดินมาทรุดนั่งเก้าอี้ตรงข้ามอย่างว่าง่าย “แล้วคุณไม่สั่งเครื่องดื่มของตัวเองมาหรือ” เขาถามเพราะเห็นมีแต่ของตัวเอง

“เปล่าค่ะ พรรษเกรงจะไม่เหมาะสมที่มานั่งพักในเวลางาน”

“ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมทำตัวตามสบาย ผมน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอ หรือคุณยังคิดจะลาออกจากที่นี่อยู่”

เมื่อเขาเปิดทางให้เธอพูดขนาดนี้ เพลงพรรษอยากบอกออกไปว่าเธอรู้สึกแปลกใจกับหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะสิทธิพิเศษที่เธอได้รับ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน การได้มานั่งในห้องทำงานเขา และระเบียงส่วนตัวแห่งนี้ ลิซ่าบอกเองว่าเขาหวง แต่ทำไมเธอถึงได้รับสิทธิ์นั้น มันอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่มันน่าแปลกสำหรับคนเพิ่งรู้จักกันอย่างเขากับเธอ

หญิงสาวขยับปากจะบอกว่าเธอต้องการออกจากที่นี่ นึกถึงใบหน้าร้อนรนของปรานต์แล้ว เธอไม่สบายใจเลย หากพอมองสบดวงตาคนฝั่งตรงข้ามเวลานี้ไม่มีร่องรอยแข็งกร้าวแบบเมื่อเช้า มีเพียงรอยตัดพ้อ และอ้อนวอน เธอจึงพูดไม่ออก

ไม่จริง! เขาจะตัดพ้อและอ้อนวอนเธอทำไม คิดไปเองแล้วเพลงพรรษ...

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พรรษอาจจะยังไม่ชินเท่านั้นเอง ขอโทษด้วยค่ะถ้าทำให้พี่เมษไม่พอใจ” ท่าทางเธออ่อนลง เมษรักษ์มองแล้วรู้สึกพออกพอใจ นึกไปถึงคำพูดน้องสาวที่โทร.หาเขาเมื่อตอนเที่ยง

‘กับพรรษน่ะใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลหรอกนะพี่ชาย คนอ่อนโยนและใจดีอย่างพรรษน่ะต้องใช้ไม้อ่อน เขาน่ะเป็นคนขี้สงสารและเห็นใจคนอื่น เพราะฉะนั้นอย่าใจร้อนใส่เขารู้ไหม’

“ผมจะไปต่างประเทศหนึ่งอาทิตย์ เดินทางพรุ่งนี้ บางทีคุณอาจมีเวลาปรับตัวกับที่นี่ก็ได้ ลองเปิดโอกาสให้นราวิวัฒน์ดูบ้าง บริษัทเราไม่น่าอึดอัดอย่างที่คิดหรอก แต่มันน่าอยู่และยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิดไว้เสียอีก” อะไรสักอย่างในคำพูดเขาทำให้เพลงพรรษรู้สึกแปลก เหมือนเขากำลังเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง แต่หญิงสาวไม่เข้าใจ

“พี่เมษต่างหากค่ะที่ให้โอกาสคนไร้ฝีมืออย่างพรรษเข้าทำงานที่นี่” นั่นสินะ เธอสมควรอยู่ที่นี่ เพราะอย่างน้อยเขาก็ให้โอกาส ‘คนชั้นล่าง’ อย่างเธอ บางทีปรานต์อาจนึกกลัวเธอลำบากเขาถึงไม่อยากให้มาทำงานที่นี่ และถ้าเป็นอย่างนั้น ครั้งนี้หญิงสาวจำเป็นต้องดื้อดึง เธอจะตามใจปรานต์อย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะเดือดร้อนไม่รู้จบ

บทสนทนาเป็นอันต้องหยุดเมื่อเสียงโทรศัพท์ของเมษรักษ์ดังขึ้น หญิงสาวตั้งท่าลุกจะไปหยิบมาให้ แต่ชายหนุ่มยกมือห้ามและลุกเดินเข้าไปคุยด้านในเสียเอง

“ว่าไงยายตัวแสบ” เขายกเครื่องมือสื่อสารแนบหู แล้วหันหลังยืนพิงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เพื่อมองผ่านกระจกใสไปยังร่างบอบบางของผู้ช่วยส่วนตัวด้วย

“คงแสบสู้พี่ชายไม่ได้หรอก ได้ข่าวว่าทำตัวเกเรใส่คนอื่นเขาจนต้องเด็ดดอกแก้วสุดหวงไปขอโทษเลยเหรอ”

“ก็ถ้าน้องได้ยินมาว่าอย่างนั้น ถึงพี่จะพูดไปอีกอย่างน้องก็คงไม่เชื่อ” เมื่อเมษรักษ์พูดอย่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะคิก ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยอาการอมยิ้ม สายตาที่เฝ้ามองคนนอกระเบียงทอดอ่อนมากยิ่งขึ้น

“เค้ารู้นะว่าพี่ชายหวงดอกแก้วนั้นมาก เพราะฉะนั้นเพื่อตอบแทนสิ่งที่สูญเสียไปเค้าจะเปิดทางให้พี่ชายได้ไปส่งพรรษ วันนี้” อารดาอ้างถึงดอกแก้วเล็กๆ เสียยิ่งใหญ่ราวกับมันมีค่ามหาศาล เธอชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดของการเปิดทางในวันนี้ โดยไม่ลืมย้ำว่าให้พี่ชายเธอดูแลเพลงพรรษเป็นอย่างดี ห้ามอารมณ์แปรปรวน

เมษรักษ์วางสายด้วยใบหน้าครุ่นคิด แววตาของชายหนุ่มก่อเกิดความไม่สบายใจ หากทุกสิ่งที่น้องสาวหยิบยื่นให้ล้วนแล้วแต่เป็นความหวังดี และการเดินเข้าสู่แผนการอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

ตอนร่างสูงเดินกลับไประเบียงเสียงโทรศัพท์มือถือของเพลงพรรษส่งเสียงร้องขึ้นบ้าง แต่ด้วยประตูกระจกหนาถูกปิดอยู่คนที่นั่งหันหลังให้จึงไม่ได้ยิน และโดยไม่มีการยั้งคิดใดๆ เมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏคำว่า ‘พี่ปรานต์’ เมษรักษ์หยิบมันขึ้นมากดรับพร้อมกรอกเสียงเรียบนิ่งลงไปทันที

“สวัสดีครับ”

ปรานต์นิ่งเมื่อเสียงปลายสายไม่ใช่เสียงที่เขาต้องการสนทนา คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ตั้งสติครู่เดียวเขาก็ตอบกลับไป

“ผมต้องการคุยกับพรรษ นี่ใช่โทรศัพท์พรรษหรือเปล่าครับ” ถึงอย่างนั้นปรานต์ก็ยังรู้มารยาทเขาข่มน้ำเสียงให้สุภาพ ทั้งที่นึกไม่พอใจกับเสียงผู้ชายที่รับสาย

“ใช่ครับ แต่ตอนนี้ยังอยู่ในเวลางาน ผู้ช่วยส่วนตัวของผมยังไม่ว่างรับสาย ไม่ทราบว่าคุณคือใครและมีธุระสำคัญมากไหม ผมจะบอกเธอให้...หลังเสร็จงาน” เมษรักษ์ดักทางเสร็จสรรพ โดยไม่ลืมเน้นคำว่า ‘ผู้ช่วยส่วนตัวของผม’ ให้อีกฝ่ายเข้าใจถูกต้องตามความต้องการของเขา

ร่างกายปรานต์ชาไปทั้งร่าง เขามึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน เพลงพรรษไปทำงานฝ่ายบัญชีมิใช่หรือ แล้วตำแหน่งผู้ช่วยนี่คืออะไร หรือเธอเป็นผู้ช่วยฝ่ายบัญชี?

“ถ้าคุณไม่มีอะไร หลังเลิกงานผมจะให้พรรษโทรกลับแล้วกัน” เมื่อเห็นว่าปลายสายเงียบไปเพียงอึดใจ เมษรักษ์ก็ไม่นึกรอนาน ชายหนุ่มรวบรัดและทิ้งความขุ่นใจให้คนฟังด้วยการเรียกชื่อเล่นของเพลงพรรษก่อนกดตัดสาย

ทำท่าจะวางโทรศัพท์เครื่องนั้นลงบนโต๊ะ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากด้านซ้ายอย่างที่ถ้าคนสนิทเห็นจะเข้าใจความหมายก่อนเลื่อนหัวแม่โป้งกดปิดเพื่อตัดขาดการติดต่อมาซ้ำอีก

ท่าล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างบวกสีหน้ายิ้มแย้มกว่าปกติทำให้เพลงพรรษมองแล้วนึกแปลกใจ ใครกันที่โทรมาแล้วทำให้เจ้านายผู้อารมณ์แปรปรวนของเธออารมณ์ดีได้ขนาดนี้ จะเป็นใครก็คงไม่เกี่ยวกับเธอหรอก เขาอารมณ์ดีก็เป็นเรื่องดีสำหรับเธอแล้ว

“วันนี้เลิกงานเร็วหน่อยนะ ผมจะไปธุระ เดี๋ยวคุณไปเก็บของเพราะผมต้องการให้คุณไปด้วย ได้ใช่ไหม?”

ถ้าสายตาเขาจะไม่คาดคั้นอยู่ในทีเพลงพรรษก็อยากตอบว่าไม่ได้ ธุระอะไรของเขาถึงจำเป็นต้องมีเธอไปด้วย นึกอยากถามก็ไม่กล้า อีกอย่างปรานต์บอกกับเธอไว้ว่าจะมารับ ถ้าวันแรกที่มาทำงานก็ทำให้ไว้ใจไม่ได้ น่ากลัวปรานต์จะให้เธอออกจากที่นี่ให้ได้เสียจริงๆ ทว่าจากเหตุการณ์เมื่อเช้า หญิงสาวไม่กล้าขัดใจผู้ชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ได้...ได้ค่ะ” ตอบแล้วเธอต้องหลบตาวูบกับสายตาวิบวับของคนตรงหน้า ร่างบ่อยค่อยลุกยืน หมุนตัวเพื่อกลับเข้าห้อง ยังไม่ทันเอื้อมมือเลื่อนประตูกระจกเสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำเอาสะดุ้งหันกลับไปมอง “คะ?”

เมษรักษ์เดินมาใกล้แล้วยิ้มทั้งปากทั้งตา ก่อนเอื้อมมือไปดึงมือเธอมารวดเร็วจนร่างบางตรงหน้ากระตุกมือหนีไม่ทัน มืออีกข้างของชายหนุ่มวางช่อดอกแก้วลงบนมือเรียวแผ่วเบา เพลงพรรษเงยสบตากล้าๆ กลัวๆ

“อย่าลืมของที่ผมให้สิ” น้ำเสียงนุ่มทุ้ม แต่กลับมีแววบังคับซ่อนอยู่ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยักหน้ารับช้า พอเขาคลายมือออกเธอรีบชักแขนกลับทันที “อ้อ แล้วเก็บของเร็วๆ นะ อย่าช้า” เขาย้ำอีกครั้ง เพลงพรรษยังคงทำได้เพียงพยักหน้าแล้วถอยกลับเข้าห้องไป เธอจึงไม่ได้ยินเสียงบางอย่างในลำคอของชายหนุ่ม...เสียงแห่งความพึงพอใจ

ทัศนียภาพเบื้องหน้าเป็นภาพชินตาที่เมษรักษ์เห็นมาเนิ่นนานนับตั้งแต่เขาเข้ามาบริหารงานที่นี่แทนบิดา ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขารู้ว่าลมด้านนอกนี่เย็นชื่นใจขนาดนี้ ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เขารู้สึกว่ากลิ่นดอกแก้วหอมรัญจวนใจได้ถึงเพียงนี้

มันเป็นความหอมหวนและเย็นชื่นแห่งชัยชนะที่เห็นเค้ารางมาไกลๆ หรือเปล่านะ?

แค่คิดชายหนุ่มก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้...เพลงพรรษอาจทำให้อะไรง่ายขึ้น บางทีสิ่งที่เขาอาจต้องเสียตั้งแต่แรกอาจไม่จำเป็นอีกแล้วก็เป็นได้ ยิ่งคิดชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างที่เขาต้องการกำลังคืบคลานมาใกล้

อีกไม่นาน...ทุกอย่างจะถึงจุดจบ!



โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2554, 12:40:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2554, 12:40:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1835





<< oOo บทที่ 5 oOo   oOo บทที่ 7 oOo >>
ก้อนอิฐ 19 เม.ย. 2554, 13:42:43 น.
เหมือนจะลงซำ้นะคะ


ปลากัด 19 เม.ย. 2554, 14:39:16 น.
เอ๋? ไม่ซ้ำนะคะ

หรือมีซ้ำตอนไหนอ่า


Pat 19 เม.ย. 2554, 17:11:31 น.
ลงตอน6ซ้ำสองครั้งค่ะ


dee_jung 19 เม.ย. 2554, 22:29:17 น.
ขอลง 2 ตอนดีกว่าค่ะ ไม่เอาซ้ำ 2 ตอนค่ะ


ปลากัด 20 เม.ย. 2554, 09:40:11 น.
เอ่อ ไม่ซ้ำนะคะ

เพราะมีบทนำ ด้วยหรือเปล่าคะ ตามระบบเลยรันบทที่แล้วเป็นบทที่ 6 แหะๆ
แต่เนื้อหาไม่ซ้ำนะคะ ^^"


ปลากัด 20 เม.ย. 2554, 23:16:12 น.
เห็นแล้วค่ะ แหะๆ สะเพร่ามากๆ ขออภัยนักอ่านด้วย อายจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account