เล่ห์ร้ายฤารัก (ภาคต่อ สัญญาณรัก ลิขิตหัวใจ) ตีพิมพ์กับ สนพ.บีไมน์
“เรามาร่วมมือกันมั้ย”
“ทำไมผมต้องร่วมมือกับคุณ” ใบหน้าเกลื่อนยิ้มอารมณ์ดีหายไปทันทีเมื่อพอจะเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้
“ก็คุณอยากให้ยัยนั่น เอ่อ...พี่ก้อยเลิกกับพี่ว่านไม่ใช่หรือ เรามีจุดประสงค์เดียวกันใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วคุณคิดว่าผมจะช่วยคุณได้ยังไง” คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
“ก็ช่วยแย่งเจ้าสาวไปให้ได้ไง”
“เพื่ออะไร เพื่อคุณจะได้ครอบครองเจ้าบ่าวแทนหรือไง”
หญิงสาวเม้มปากไม่ตอบ แต่ตากลมโตมองมาด้วยประกายแห่งความหวังว่าเขาจะต้องช่วยเธอได้แน่นอน
“ทำไมคุณไม่คิดตัดอกตัดใจจากผู้ชายซะ ถ้าเขารักคุณจริง เขาก็คงไม่เลือกแต่งงานกับเจ้าสาวหรอก” ณพลพยายามชี้ให้เธอเข้าใจเหตุผล
“คุณอย่ามารู้ดีหน่อยเลย เขารักฉันมากที่สุด เขาให้ความสำคัญกับฉันมากที่สุด แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตเรา เขาก็เปลี่ยนไป เขาหาว่าฉันทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ก็ฉันไม่อยากเป็นผู้ใหญ่นี่ ฉันอยากให้เขาดูแลฉันไปตลอดชีวิตอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้” หญิงสาวพร่างพรูความในใจออกมา
“แต่ตอนนี้เขาก็เลือกแต่งงานกับเจ้าสาวแล้วนะคุณ”
“แต่งแล้วก็เลิกได้ คุณก็อยากให้เขาเลิกกันใช่มั้ย คุณก็รักเจ้าสาว อยากแย่งเจ้าสาวมาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

ณพลจะยอมให้ความร่วมมือกับวาสิกาทำให้คู่แต่งงานหมาด ๆ เลิกกันหรือไม่ เขาควรจะช่วยดึงเธอไม่ให้ทำผิดศีลธรรมหรือควรจะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ เขาควรจะเลือกเส้นทางไหนดี ?????

Tags: เล่ห์ร้ายฤารัก, โรแมนติค, หวาน, สัญญาณรัก ลิขิตหัวใจ

ตอน: ตอนที่ 1 ร่วมมือกันมั้ย

“นี่นาย เอ๊ย...นี่คุณ หยุดก่อน”
ณพลถือรีโมตปลดล็อครถค้างหันไปหาเจ้าของเสียงเรียกนั้น แล้วก็ต้องตะลึงงันเมื่อสบตาดวงตากลมหวานล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยาว คิ้วเรียวได้รูป จมูกโด่งเชิดรั้น ปากอิ่มเล็กจิ้มลิ้มเคลือบลิปสติกสีสวย แก้มป่องน้อยๆ นวลระเรื่อ เหมือนทุกอย่างถูกเสกสรรปั้นแต่งมาอย่างลงตัวบนวงหน้ารูปหัวใจ และเขาก็มั่นใจว่าหากใบหน้าชวนมองปราศจากเครื่องสำอางก็ยังจะคงงดงามอยู่เช่นเดิมแน่นอน คิ้วหนาเข้มพลันขมวดด้วยความแปลกใจ หลังจากสมองประมวลผลแล้วว่าไม่เคยรู้จักผู้หญิงที่ทำให้เขาเสียสมาธิจนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่
“คุณเรียกผมหรือครับ”
“ก็ตรงนี้มีคุณอยู่คนเดียว ถ้าฉันไม่เรียกคุณแล้วจะให้ฉันเรียกใคร” หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ ลานจอดรถเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าไม่น่าถาม
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ” ณพลถามย้ำอีกครั้ง มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน เพราะถ้าเขาเคยพบหญิงสาวที่ไม่เพียงแต่จะงดงามเพียงหน้าตา แต่รูปร่างระหงยังได้สัดส่วนชวนมอง รวมทั้งผิวเนียนสวยน่าสัมผัสมาแล้ว ไม่มีวันที่เขาจะลบเธอออกไปจากความทรงจำได้แน่นอน
“เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่ต้องมาใช้มุกจีบสาวเฝื่อนๆ เลยคุณ”
“โอเคๆ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงอารมณ์ดี แม้ผู้หญิงแปลกหน้าจะหน้าตาบึ้งตึงตลอดเวลา
“ฉันขอพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย” หญิงสาวหยุดพูดแล้วเหลือบมองหน้าคนตัวสูงมาก เมื่อเขาพยักหน้ายอมรับเธอจึงพูดต่อ “ฉันรู้ว่าคุณต้องการให้สองคนนั่นเลิกกัน”
“สองคนไหน” ณพลถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“วันนี้ที่โรงแรมมีงานแต่งงานกี่คู่กันละคุณ” เสียงขุ่นขึ้งตอบกลับ
“หมายความว่าคุณต้องการให้พี่ว่านกับก้อยเลิกกัน” ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ
“เรามาร่วมมือกันมั้ย” ประโยคชักชวนเอ่ยขึ้นแทนที่จะตอบคำถาม
“ทำไมผมต้องร่วมมือกับคุณ” ใบหน้าเกลื่อนยิ้มจางหายไปทันทีเมื่อพอจะเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้
“ก็คุณอยากให้ยัยนั่น เอ่อ...คุณก้อยเลิกกับพี่ว่านไม่ใช่หรือ เรามีจุดประสงค์เดียวกันใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วคุณคิดว่าผมจะช่วยคุณได้ยังไง” คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
“ก็ช่วยแย่งเจ้าสาวไปให้ได้ไง”
“เพื่ออะไร เพื่อคุณจะได้ครอบครองเจ้าบ่าวแทนหรือไง”
หญิงสาวเม้มปากไม่ตอบ แต่ตากลมโตมองมาด้วยประกายแห่งความหวังว่าเขาจะต้องช่วยเธอได้แน่นอน
“ทำไมคุณไม่คิดตัดอกตัดใจจากผู้ชายซะ ถ้าเขารักคุณจริง เขาก็คงไม่เลือกแต่งงานกับเจ้าสาวหรอก” ณพลพยายามชี้ให้อีกฝ่ายเข้าใจเหตุผล
“คุณอย่ามารู้ดีหน่อยเลย เขารักฉันมากที่สุด เขาให้ความสำคัญกับฉันมากที่สุด แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตเรา เขาก็เปลี่ยนไป เขาหาว่าฉันทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ก็ฉันไม่อยากเป็นผู้ใหญ่นี่ ฉันอยากให้เขาดูแลฉันไปตลอดชีวิตอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้” หญิงสาวพร่างพรูความในใจออกมาใบหน้าเศร้าสร้อยเมื่อเอ่ยถึงผู้เป็นเจ้าบ่าว
“แต่ตอนนี้เขาก็เลือกแต่งงานกับเจ้าสาวแล้วนะคุณ”
“แต่งแล้วก็เลิกได้ คุณก็อยากให้เขาเลิกกันใช่มั้ย คุณก็รักเจ้าสาว อยากแย่งเจ้าสาวมาอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“คุณรู้ได้ไงว่าผม....อ๋อ.....” ณพลถามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะคิดนึกได้ว่าเธอคงได้ยินบทสนทนาระหว่างเขาและเพื่อนๆ “ผมว่าคุณทำใจเถอะ ผมคงช่วยคุณไม่ได้” ชายหนุ่มตัดบท และหันหลังกลับไป ยกรีโมทปลดล็อคอีกครั้ง
“ผู้ชายขี้ขลาด” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
ณพลหันขวับกลับมาเผชิญกับคนเจ้าอารมณ์อีกครั้ง “อ้าว...คุณ มาว่าผมได้ไง ผมไม่อยากทำให้ครอบครัวใครแตกแยก ผมขี้ขลาดตรงไหน”
“ฮึ...แสดงว่าคุณไม่ได้รักเจ้าสาวจริงล่ะสิ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าหมิ่นแคลนไม่ปิดบัง
“ทำไมผมจะไม่รักเธอ ในเมื่อเธอเป็น....” ยังไม่ทันพูดจบประโยคว่า ‘ทำไมผมจะไม่รักเธอ ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนสนิทของผม’ หญิงสาวก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“นั่นไง...ในเมื่อคุณรักเธอ คุณก็ต้องแย่งเธอไปจากพี่ชายฉันให้ได้สิ”
“ทำไมผมต้องแย่งเธอมาจาก....อะไรนะ!!! คุณบอกว่าแย่งมาจากใครนะ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นถามอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ...คุณนี่ หูไม่ดีหรือยังไง ถามคำถามซ้ำๆ อยู่ได้”
“พี่ว่านเป็นพี่ชายคุณหรือ” ณพลถามย้ำเพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่าเธอเป็นน้องสาวของวาทิตย์ผู้เป็นเจ้าบ่าว
“คุณนี่ นอกจากหูไม่ดี แล้วยังสมองไม่ดีด้วยหรือเปล่า เข้าใจอะไรยากจัง” หญิงสาวทำสียงเหนื่อยหน่ายใส่เขาเป็นรอบที่เท่าไรไม่อาจนับได้
ณพลมองเห็นแววตาเอาเรื่องของหญิงสาวตรงหน้าก็ทำให้นึกห่วงกิริมายิ่งนัก ไม่รู้ว่าเพื่อนสาวของเขาจะต้องเผชิญปัญหาแม่สามีกับลูกสะใภ้อย่างที่เคยได้ยินมาหรือไม่ แล้วถ้าต้องมาเจอกับฤทธิ์เดชของน้องสามีเพิ่มเข้าไปอีกอีกคงแย่ เห็นทีเขาจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้เสียแล้ว
“เอาล่ะๆ ถ้าคุณเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง แล้วผมจะให้คำตอบว่าจะร่วมมือกับคุณหรือไม่”
“ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหนเลย ฉันแค่ไม่อยากให้พี่ชายฉันแต่งงานก็แค่นั้น โดยเฉพาะกับผู้หญิงนุ่มนิ่มคนนั้น ภายนอกอาจดูว่าเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่ภายในจะเน่าเฟะร้ายกาจแค่ไหนไม่รู้ คบกันไม่ทันไรก็แต่งงานกันแล้ว เธออาจจะมาหลอกพี่ชายฉันก็ได้ เธอต้องไม่ได้รักพี่ชายฉันแน่ๆ เธอรักอยู่กับคุณอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“แล้วถ้าผมไม่ร่วมมือกับคุณล่ะ”
“ก็เรื่องของคุณ ยังไงฉันต้องทำให้เขาเลิกกันให้ได้ คุณไม่ช่วยฉัน ฉันไปหาคนอื่นช่วยก็ได้” หญิงสาวสะบัดหน้าหนีตามนิสัยเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ และไม่เคยง้อใคร
“เดี๋ยวก่อนสิคู๊ณ....” ณพลก้าวไปดึงแขนเรียวไว้โดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเซล้มมาปะทะอกกว้าง มือหนารีบคว้าเอวบางไว้แนบอกก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น
เธอยกมือคว้าปกเสื้อสูทตัวนอกของชายหนุ่มไว้เป็นหลักยึดแน่น เมื่อทรงกายไม่อยู่บนรองเท้าส้นสูงคู่สวย ใบหน้าหล่อหวานเกินชายอยู่ห่างจากใบหน้างามเพียงไม่กี่นิ้ว และยิ่งโน้มลงไปใกล้เรื่อยๆ ราวกับมีแรงดึงดูด
“นะ...นี่...คุณ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวแหวขึ้นมาก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะชิดเข้ามามากกว่านี้
ณพลจำยอมปล่อยร่างเล็กออกจากวงแขนแข็งแรงอย่างไม่เต็มใจนัก กลิ่นหอมละมุนยังกรุ่นติดจมูกอยู่ไม่จาง
“เอาล่ะๆ คุณ ผมเริ่มสนใจข้อเสนอของคุณแล้ว แต่ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า ผมชื่อณพล คุณจะเรียกผมว่าพริ้นซ์ก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“ฉันชื่อวาสิกา คุณเรียกฉันว่า....” หญิงสาวแนะนำตัวเองยังไม่จบ เสียงมือถือดังขึ้นขัดจังหวะ หน้านวลหงิกง้ำด้วยความไม่พอใจตลอดเวลาคลายลง ก่อนจะรับสายด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“ค่ะพี่ว่าน ลูกหว้าออกมาเดินเล่นข้างนอก ก็พี่ว่านไม่มีเวลาให้ลูกหว้าเลยนี่คะ ค่ะ...อีกสักพักลูกหว้าจะกลับเข้าไปในงานค่ะ”
‘ลูกหว้า’ ชื่อน่ารักสมตัว ทั้งเปรี้ยว ทั้งฝาด ทั้งหวาน ครบรสจริงๆ ขนาดใบหน้านวลหงิกง้ำอยู่ตลอดเวลา เขากลับมองเห็นว่าน่าเอ็นดู อยากจะดึงจมูกโด่งเชิดอย่างคนแสนรั้น อยากจะจิ้มนิ้วคลายคิ้วเรียวสวยที่ผูกเป็นโบว์ของคนเอาแต่ใจ อยากแตะเรียวปากอิ่มน่าจูบที่เจ้าตัวเม้มอย่างคนเจ้าอารมณ์นัก ก่อนที่จินตนการของเขาจะบรรเจิดเตลิดไปไกลกว่านี้ก็หยุดอยู่กับสายตาเอาเรื่องเข้าเสียก่อน
“เอาละ...ลูกหว้า จะให้ผม อืม...ลูกหว้าเรียกพี่ว่าพี่พริ้นซ์แล้วกัน เพราะดูแล้วลูกหว้าคงอายุน้อยกว่า” ณพลบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นำพากับสายตาดุดันของลูกตาสีดำนิลที่แทบถลนออกมานอกเบ้า
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณเป็นพี่ฉัน” น้ำเสียงห้วนจัดถามอย่างไม่ยอมลงให้คนที่ตั้งตัวเป็นพี่
ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่กวาดตามองตั้งแต่เท้าเรียวเล็กบนรองเท้าส้นสูงไล่ขึ้นมาถึงปากบางน่าสัมผัสโดยเร็วเป็นการตอบคำถามก่อนจะหยุดอยู่ตรงจุดที่เขาคิดว่าน่ามองเป็นที่สุด
“นี่...คุณว่าฉันเป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหรอ คุณรู้ได้ยังไง” วาสิกาหน้าแดงเมื่อตาคมหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ
“พี่พริ้นซ์ยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย ว่าแต่...ลูกหว้าจะให้ชิมดูมั้ยละ พี่พริ้นซ์จะได้รู้ว่าสิ้นกลิ่นน้ำนมหรือยัง” ณพลยั่วคนเจ้าอารมณ์ที่กำมือแน่นอย่างระงับความโกรธ ถ้าเป็นไปได้ เธอคงจะกระทืบเท้าเต้นเร่าๆ เป็นเด็กไปแล้ว
“ทะลึ่ง” หญิงสาวถลึงตาดุใส่เขา ทั้งที่หน้าเนียนเป็นสีชมพูเข้ม “แน่ละสิ...คุณต้องแก่กว่าฉันอยู่แล้ว เพราะคุณเป็นเพื่อนสนิทเจ้าสาว เกือบจะเป็นสาวแก่ขึ้นคานอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้แต่งงานกับพี่ชายฉัน” เสียงเน้นคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ อย่างจงใจ
“ผู้หญิงอายุ 27 ปี สมัยนี้ไม่ถือว่าแก่นะครับ กำลังเป็นหญิงสาวที่มีเหตุผลและวุฒิภาวะเพียบพร้อม เหมาะแก่การเป็นแม่ของลูกที่สุด ยิ่งผู้ชายอายุ 27 ปีอย่างพี่พริ้นซ์นี่ถือว่ายังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย แล้วก็เหมาะกับการเป็นพ่อของลูกมากที่สุดเหมือนกันนะครับลูกหว้า”
“ใครเป็นน้องคุณ ฉันมีพี่ว่านเป็นพี่ชายคนเดียว แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกชื่อเล่นฉันนะ ชื่อเล่นฉันเรียกได้เฉพาะคนสนิทเท่านั้น” วาสิกาขู่ฟ่อ
“ถ้าลูกหว้าอยากให้พี่พริ้นซ์ร่วมมือด้วยก็ต้องเรียกตัวเองว่าลูกหว้า แล้วเรียกพี่ว่าพี่พริ้นซ์”
“มันไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเล่า” หญิงสาวขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจกับเหตุผลอันแปลกประหลาดของเขา ซึ่งตัวคนตั้งเงื่อนไขเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงต้องการเช่นนั้น
“ก็ถ้าเราจะร่วมมือกัน ก็ต้องสร้างความสนิทสนมกันไว้สิครับ”
“เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อกี้ จะมาสนิทสนมคุ้นเคยกันได้ยังไง” คนเจ้าอารมณ์ยังขึงตาใส่ไม่เลิก
“งั้นเราก็มาเริ่มทำความสนิทสนมคุ้นเคยกันตั้งแต่ตอนนี้เลยดีมั้ยครับ” ชายหนุ่มชักชวนพร้อมยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มน่ารัก
“ทำไมฉันต้องสนิทสนมคุ้นเคยกับคุณด้วยมิทราบ” คนตัวเล็กเชิดหน้าใส่ไม่ยอมรับ
“ลูกหว้าจะให้พี่พริ้นซ์ร่วมมือด้วย ถ้าไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันสักที แล้วเราจะไว้ใจกันได้เมื่อไรหรือครับ”
“ก็แค่คุณให้ความร่วมมือทำตามแผนของฉัน ไม่เห็นจะต้องมาทำความสนิทสนมคุ้นเคยกันเลย”
“ตกลงลูกหว้าไม่รับข้อเสนอของพี่พริ้นซ์ใช่มั้ย” ณพลหรี่ตาถาม
“ไม่-มี-ทาง” หญิงสาวเน้นเสียงหนักๆ ตอบทีละคำ
“เราคงร่วมมือกันไม่ได้แล้วล่ะ แค่เรื่องเล็กน้อยยังขัดแย้งกัน แล้วจะทำการณ์ใหญ่สำเร็จได้ไง ลูกหว้าไปหาคนอื่นช่วยแล้วกัน” ณพลยักไหล่สรุปแล้วหมุนตัวเดินไปเปิดประตูรถ
“นี่...คุณไม่อยากทำให้เขาสองคนเลิกกันหรือไง” หญิงสาวถาม แต่ณพลไม่ตอบและทำหน้าเฉยเมยไม่แยแส
“เรียกว่าคุณณพลแทนได้มั้ย” วาสิกาต่อรองเมื่อเขายังหันหลังให้
“เดี๋ยวสิ คุณณพล มาตกลงกับฉันก่อน” น้ำเสียงร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชายหนุ่มกดรีโมทปลดล็อครถโดยไม่หันมามองเธอสักนิด
“โอเคๆ คุณ เอ๊ย...พี่พริ้นซ์ มาตกลงกับฉันก่อน”
ณพลเพียงปรายตามองมือบางที่วางอยู่บนแขนของตนเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวยังทำตามไม่ครบเงื่อนไข ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดประตูรถเป็นนัยให้รู้ว่าไม่ยอมรับข้อต่อรองใดๆ ทั้งที่รู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลมาช็อตเข้าให้จนใจอ่อนแล้ว ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าเขาต้องพยายามบังคับตัวเองมากเพียงใดที่จะใจแข็งไม่หันมามองเจ้าของสัมผัสนั้น
“ก็ได้ๆ ตกลงๆ พี่พริ้นซ์ มาตกลงกับฉัน เอ๊ย ลูกหว้าก่อนนะคะ” วาสิกาขอร้องเสียงหวาน ใบหน้างามแหงนมองอย่างรอคอยความหวัง สองมือเรียวเขย่าท่อนแขนแข็งแรงอย่างออดอ้อนชวนใจละลาย
ณพลผลักประตูรถปิดแล้วจะถอนหายใจเฮือกเหมือนเหนื่อยหน่าย แต่ความจริงแล้วโล่งใจที่หญิงสาวยอมอ่อนข้อให้ เขากลัววาสิกาจะเปลี่ยนใจไม่ง้ออีกครั้งแทบแย่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบผิดกับหัวใจลิงโลดข้างใน
“ก็แค่นั้น” ชายหนุ่มพูดอย่างเป็นต่อ แล้วก็ต้องรีบถามต่อเมื่อลูกแมวขี้อ้อนทำท่าจะกลายร่างเป็นแม่เสือสาวอีกครั้ง “แล้วลูกหว้าจะให้พี่พริ้นซ์ช่วยยังไง”
“คุณก็...เอ๊ย พี่พริ้นซ์ เดี๋ยวก่อนสิ มันยังไม่ชินนี่นา” วาสิการีบฉุดมือหนาไว้เมื่อเขาทำท่าจะหันไปเปิดประตูรถอีกครั้ง
“ลูกหว้าก็พูดเหมือนที่พูดกับพี่ว่านไงครับ ก้อยเคยบอกว่าพี่ว่านชอบพูดถึงน้องสาวบ่อยๆ”
“เชอะ หล่อนก็คงอิจฉาล่ะสิ เห็นหรือเปล่าว่าพี่ว่านรักฉันมากกว่า เอ๊ย...รักลูกหว้ามากกว่า” สองมือบางกำมือเขาแน่นด้วยกลัวเขาจะหนีไป
“โอเค พี่พริ้นซ์จะให้โอกาสลูกหว้าหัดเรียกให้ชิน แล้วอีกอย่างลูกหว้าก็ควรจะพูดเพราะๆ กับผู้ใหญ่ด้วย ไม่งั้นพี่พริ้นซ์จะยกเลิกข้อตกลงทั้งหมด” ณพลบอกเงื่อนไขแสนแปลกในการร่วมมือเข้าไปอีก
“ทำไมเรื่องมากอย่างนี้นะ ฉันไปหาคนอื่นช่วยแทนก็ได้ ไม่เห็นจะง้อเลย เชอะ” วาสิกาแหวใส่ด้วยความโมโหพร้อมกับปล่อยมือหนา แล้วสะบัดหน้าเดินหนีจนชายหนุ่มแทบตะครุบมือเรียวไว้แทบไม่ทันกับอารมณ์ลมพัดลมเพของเธอ
“ลูกหว้าคิดดูดีๆ นะว่าจะหาคนที่ช่วยแยกสองคนนั้นได้ผลดีเท่าพี่พริ้นซ์หรือเปล่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพี่ว่านคงไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนไหนเข้าถึงตัวก้อยได้หรอก ยกเว้นพี่พริ้นซ์ที่ยังไงก้อยก็ไม่มีมองเห็นพี่พริ้นซ์เป็นคนอื่นไปได้แน่นอน” ณพลรีบบรรยายคุณสมบัติของตัวเองก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ “เพราะพี่พริ้นซ์เคย....”
เสียงริงโทนดังขึ้นขัดจังหวะการสาธยายสรรพคุณของณพล หญิงสาวรับสายด้วยใบหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม
“ลูกหว้าออกมาเดินเล่นค่ะ ข้างในคนเยอะ ลูกหว้าไม่ค่อยรู้จักใคร ค่ะ กำลังจะกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” วาสิกากดวางสายด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“ลูกหว้าเอาเบอร์พี่พริ้นซ์ไป แล้วเราค่อยนัดกันอีกทีนะครับ” ณพลไม่รอช้าคว้ามือถือสีหวานมากดโทรออกไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองและบันทึกให้เสร็จสรรพ เจ้าของมือถือถลึงตาใส่คนถือวิสาสะและอ้าปากจะต่อว่า แต่เสียงริงโทนก็ดังขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง
“ค่ะคุณแม่ ลูกหว้ากำลังเดินเข้าไปในงานแล้วค่ะ ไม่เกินสองนาที คุณแม่ได้เห็นหน้าลูกหว้าแน่นอน แค่นี้ก่อนนะคะ ลูกหว้าจะรีบเดินไปหาคุณแม่เลยค่ะ” วาสิกาตัดบท
“แล้วพี่พริ้นซ์จะโทรหานะครับลูกหว้า” ณพลตะโกนตามร่างเล็กที่รีบกลับเข้าไปในงานด้วยความร้อนรนโดยไม่ได้บอกลากันสักคำ
ชายหนุ่มเปิดประตูรถพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี เอื้อมมือไปเปิดเพลงรักดังลั่นรถสปอร์ตสีขาวคู่ใจที่ได้เป็นของขวัญวันเป็นมหาบัณทิตจากอาสาวและอาเขย ถึงอายุเจ้า ‘ไวท์ตี้’ ของเขาจะมากขึ้นเรื่อยๆ มีรุ่นใหม่ออกมาล่อตาล่อใจ เขาก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ ยังคงบำรุงรักษาและดูแลใส่ใจรถคันโปรดเป็นอย่างดีจนเหมือนรถใหม่อยู่เสมอ ความคิดเพลินเพลินสะดุดลงเมื่อเสียงมือถือดังขึ้น
“ไอ้เจ้าชาย เอ็งคิดจะแย่งยัยก้อยมาจากพี่ว่านจริงๆ หรือวะ” ก่อเกียรติละล่ำละลักถามขึ้นก่อน โดยไม่รอให้เจ้าของมือถือกล่าวทักทาย
“แล้วเอ็งคิดว่าไงวะ เอ็งคบกับข้ามาเป็นสิบกว่าปี เอ็งคิดว่าข้าจะทำอย่างนั้นมั้ย” ณพลไม่ตอบ แต่ยิงคำถามกลับ
“ค่อยยังชั่ว ข้าก็ว่าคนอย่างเอ็งไม่แย่งของของใครอยู่แล้ว แต่เอ็งพูดเหมือนจะเอาจริงจนพวกข้าตกใจ นี่ถ้าใครมาได้ยินคงเข้าใจผิดเอ็งแน่ๆ เลย” เสียงก่อเกียรติถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเขาปฏิเสธ
“ก็มีคนเข้าใจผิดไปแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มเมื่อคิดถึงคนที่เข้าใจผิดเขาไปแล้ว
“ใครวะ”
“ก็พวกเอ็งไง แค่นี้ก่อนนะโว๊ย ข้าจะรีบไปรับอาน้ำผึ้ง อาภีม กับเจ้าหญิงไปส่งที่สนามบิน เจ้าหญิงไม่ยอมไปท่าเดียวถ้าข้าไม่ไปส่ง”
“เออๆ อาน้ำผึ้งกับอาภีมเลยไม่ได้มางานแต่งยัยก้อยเลย อะไรจะต้องบินด่วนขนาดนั้น เอ็งขับรถดีๆ แล้วกัน ไว้คุยกันใหม่”
ณพลวางสายจากเพื่อนรัก แล้วรีบบึ่งรถไปรับบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสามไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ภีษมะต้องเดินทางไปประชุมอย่างเร่งด่วนที่อเมริกา และแน่นอนว่าอาเขยของเขาจะไม่ยอมห่างจากณพดาและภีษดาอย่างแน่นอน ภีษมะจึงต้องหอบหิ้วภรรยาและลูกสาวสุดที่รักไปด้วย แต่ภีษดาก็ติดพี่ชายสุดที่รักแจ จึงงอแงให้เขาไปด้วย กว่าจะกล่อมไปกับบิดามารดาได้ ก็เกือบจะใจอ่อนไปกับความช่างอ้อนของเด็กหญิงกันหมดทั้งบ้าน คิดถึงใบหน้าแสนงอนของน้องสาวตัวน้อยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้าเจ้าอารมณ์ของใครอีกคนซึ่งเอาแต่ใจไม่แตกต่างจากเลยสักนิด ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองขับรถไปด้วยรอยยิ้มตลอดทางจนถึงบ้านอันแสนอบอุ่น

วาสิกาวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในงานตามคำสั่งของมารดาว่าแขกเหรื่อกำลังทยอยกลับแล้ว เธอซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าภาพคนหนึ่งก็ควรจะมาขอบคุณผู้มาร่วมงานที่กำลังทยอยกันกลับตามมารยาท มารดาของเธอไม่พอใจเมื่อบรรดาเพื่อนพ้องล้วนแต่ถามหาลูกสาวคนเล็กทั้งนั้น ซึ่งหญิงสาวไม่อยากโผล่หน้ามาพบท่านทั้งหลาย ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือไม่ให้ความเคารพ แต่เธอรู้จุดประสงค์ของผู้ใหญ่ดี หากหญิงสาวไม่อยากมีปัญหากับมารดาให้มากกว่าที่มีอยู่แล้ว และประการสำคัญเธอไม่อยากให้พี่ชายสุดที่รักลำบากใจหากน้องสาวคนเดียวแสดงฤทธิ์เดชในวันสำคัญของเขา จึงยอมตามใจผู้เป็นมารดา
“หายไปไหนมายัยลูกหว้า แขกจะกลับหมดงานแล้ว” เสียงกรรณิการ์ดังขึ้นมาพร้อมกับลากเธอมาในวงสนทนากลุ่มใหญ่ ซึ่งล้วนแต่ใส่แว่นสายตาบ่งบอกว่าอยู่วงการเดียวกับบิดาและมารดาของเธออย่างแน่นอน
“นี่ยัยลูกหว้าค่ะ ลูกสาวคนเล็ก เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ ลูกหว้าไหว้คุณน้าบวร กับคุณน้าเสาวลักษณ์ เพื่อนพ่อกับแม่ตั้งแต่สมัยเรียนหมอสิจ๊ะ”
“ต๊าย...กรรณิการ์ ลูกสาวเธอโตเป็นสาวแล้วสวยเหมือนแม่ไม่มีผิดเลย เรียนจบอะไรมาคะลูก เรียนหมอเหมือนพ่อกับแม่หรือเปล่า” เสาวลักษณ์ถามขึ้นด้วยความเอ็นดู
วาสิกายกมือไหว้ทำความเคารพเพื่อนของบิดาและมารดา หากไม่ทันได้ตอบคำถาม มารดาของเธอก็เป็นผู้ตอบเอง
“จบจากอังกฤษทั้งพี่ทั้งน้อง ไม่มีคนไหนเรียนหมอเหมือนพ่อกับแม่สักคนเลยเธอ”
หญิงสาวเหลือบมองมารดาเล็กน้อย ด้วยรู้ว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้ชอบวิชาที่เธอเรียนมาสักเท่าไร และคงรู้สึกขายหน้าเพื่อนฝูงจนไม่อยากบอกถึงสาขาวิชาที่เธอร่ำเรียนมา
“คิดว่าเรียนหมอเหมือนคุณพ่อกับคุณแม่เสียอีก”
“เด็กสมัยนี้เขามีความคิดเป็นของตัวเอง พ่อกับแม่ไม่ต้องชี้แนะเลย” วสันต์ บิดาผู้มีบุคลิกเคร่งขรึมเป็นผู้ตอบ ดวงตาฉายแววอย่างภาคภูมิใจในตัวผู้เป็นลูก หากแต่ปมในใจตั้งแต่เด็ก ทำให้วาสิกาตีความเป็นอื่น ใบหน้าสวยจึงเรียบสนิท
“ใช่ค่ะ เด็กสมัยนี้เก่งกันจริงๆ ลูกชายของฉันก็เลือกเรียนหมอเหมือนพ่อกับแม่เอง ทั้งที่เราอยากให้เรียนบริหารมากกว่า จะได้มาช่วยบริหารโรงพยาบาล แต่เจ้าตัวเขาไม่ชอบเรื่องเงินๆ ทองๆ” คุณเสาวลักษณ์เอ่ยถึงลูกชายคนเดียวด้วยความภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มิด
“อ้าว...พูดถึงก็มาพอดีเลย มาๆ ตารามมาสวัสดีคุณลุงวสันต์กับคุณป้ากรรณิการ์สิลูก ส่วนนั่นลูกสาวของคุณลุงคุณป้า ชื่อน้องลูกหว้า ลูกชายของน้าชื่อราเชษฐ์ ลูกหว้าเรียกว่าพี่รามก็ได้จ๊ะ ทำความรู้จักกันไว้คนกันเองทั้งนั้น”
ชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวถึงยกมือทำความเคารพเพื่อนบิดามารดา แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่ผู้อ่อนวัยสุดในกลุ่มที่ยกมือไหว้ตนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยหากแต่ชวนมองยิ่งนัก ซึ่งกิริยาดังกล่าวหาได้รอดพ้นสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสี่ที่มองหนุ่มสาวทั้งคู่ด้วยความพอใจยิ่งยวด

**********
ฝากอ่านติชม แนะนำ เป็นกำลังใจให้ ขวัญดาว ด้วยนะคะ
ร่วมพูดคุยกันได้ทาง e-mail หรือ Facebook ที่ nukwun@hotmail.com
ขอบคุณค่ะ ^___^

**********



ขวัญดาว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ม.ค. 2555, 20:30:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2555, 08:16:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2015





<< บทนำ   ตอนที่ 2 แผนด่วนหกเดือน >>
wane 19 ม.ค. 2555, 11:26:38 น.
ลูกหว้าจะป่วนสำเร็จมั๊ยเนี่ย


ขวัญดาว 19 ม.ค. 2555, 21:46:19 น.
@wane - ต้องติดตามต่อนะคะว่าลูกหว้าจะป่วนสำเร็จ หรือถูกป่วนแทน ^___^

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน เป็นกำลังใจให้ขวัญมากๆ เลยค่ะ


silverraindrop 3 ก.พ. 2555, 12:22:04 น.
เพิ่งมาอ่านค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ


lovemuay 7 มี.ค. 2555, 20:16:10 น.
เอาเข้าแล้วนายเจ้าชายยังไม่ทันเริ่มจีบ คู่แข่งก็โผล่แล้วนะ ^^


muay 9 มี.ค. 2555, 13:11:53 น.
พี่พรินซ์ยอมตกลงง่ายๆเนี่ย จะสั่งสอนลูกหว้าใช่ป่ะ


Auuuu 10 มี.ค. 2555, 16:29:25 น.
สงสัยงานนี้พี่พรินซ์งานเข้าเต็มๆๆ ส่วนลูกหว้าก็เป็นคนหางานให้พี่พรินซ์.. เอิ๊กๆ


อมลลดาOWOอมรรัตน์ 1 เม.ย. 2555, 13:54:52 น.
อั่นแนะ..พี่พริ๊นแอบหลงรักลูกหว้าเข้าแล้ว ที่ยอมร่วมมือนี่หวังจะใกล้ชิดเค้าล่ะซิ แต่ใสเจียเสียใจ ตอนนี้พี่พริ๊นมีก้างชิ้นใหญ่ซะแล้ว สู้ ๆ น้าค้า เอาใจช่วยพี่พริ๊นนะ ลุ้นตอนต่อไปค่ะ


นุ๊ก 1 เม.ย. 2555, 14:43:54 น.
เพิ่มตามมาค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยน่ะค่ะ

พี่พริ๊นแอบหลงรักลูกหว้าเข้าแล้วสิน่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account