พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 16. "เกิดมามีชีวิตเดียว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด"

16.

“น้ำหอมกลิ่นใหม่ รองเท้าใหม่ เน็คไทใหม่ เข็มขัดใหม่ของมียี่ห้อทั้งนั้นเลย แล้วทำไมไม่เปลี่ยนทั้งชุดเสียเลยละวะเพื่อน เห็นนะโว้ยแต่ไม่กล้าเข้าไปทัก” สุชินแซวทันที เมื่อกลยุทธยืนชงกาแฟอยู่ในห้องครัวของที่ทำงาน

“ชีวิตกูเหมือนแมงดาขึ้นทุกวัน” กลยุทธเปรยเบาๆ น้ำเสียงปลดปลง สุชินตบไหล่เพื่อน

“กูเข้าใจนะ มึงกลัวเขาเห็นมึงเป็นของเล่นใช่ไหม”

กลยุทธครุ่นคิด คงจริงอย่างที่สุชินมันพูด ถ้าเขาเผลอไผลไปกับเจ้านายสาวมั่นนักเรียนนอก เกิดวันหนึ่ง เธอไปควงผู้ชายคนอื่นแล้วเขาจะเป็นอย่างไร คงอยู่ที่นี่กับเสียงซุบซิบๆ ตลอดไป

“เมื่อมันยังมาไม่ถึงก็ไม่ต้องไปกังวล ปล่อยให้มันไหลไปตามน้ำ สุดแต่ฟ้ากำหนด”

“มันชีวิตกูนะโว้ย”

“เข้าใจครับนาย เพียงแต่อยากให้นายคิดให้น้อยลงเท่านั้นเอง ทำให้ได้ ทำหน้าให้หนาเข้าไว้ หากสถานการณ์มันพลิกผันเป็นอีกแบบ มันก็หมายถึงชีวิตของนายจะ ‘เปี๋ยนไป๋’ เปลี่ยนไปในทางทีดีเชียวล่ะ เกมชีวิตจริงไง ท่องไว้”

กลยุทธครุ่นคิดตามคำแนะนำของเพื่อน แล้วลอบถอนหายใจออกมา หางานใหม่แล้วลาออกไปเสีย

“คุณยุทธ คุณชิน หวัดดีคะ” ด้วยอายุมากกว่า ศรีวรรณจึงได้แต่ทักทายแต่วาจา

“พี่ศรีวรรณทำไมมาสายละครับ แล้วนี่ผมเห็นพี่ปัดกวาดเช็ดถูเองมาหลายวันแล้วด้วย”

“ก็นังแจงนะซิคะ หนีกลับบ้านหน้าตาเฉยเลย เราก็ยังหาคนมาทำแทนไม่ทัน พี่ก็เลยเหมามันซะคนเดียว
เหมือนเคย”

“เงินค่าเดินซื้อของหรืองานที่ทำครับ” สุชินหยอก

เพราะรู้ว่าจริงๆ แล้วพี่ศรีวรรณก็แค่ขึ้นมายืนชี้นิ้วตรวจงานเท่านั้น คนที่ทำคือคนงาน แต่พอถึงเวลาที่จะต้องซื้ออาหารกลางวัน พี่ศรีวรรณก็จะรีบเดินจัดการเอง เพราะนั่นหมายถึงรายได้พิเศษของตัว แล้วเด็กใหม่ที่ไหนมันจะทนอิจฉาได้

“แหม มันก็มีบ้างคะ แต่วันนี้จะทานอะไรคะ จะได้จดไว้เลย”

ศรีวรรณทำท่าจะควักกระดาษออกมา กลยุทธยิ้มร่าเมื่อเห็นท่าทางสนุกๆ แบบเอาผลประโยชน์ตัวเองของพี่ศรีวรรณ

“คุณกลยุทธละคะ กะเพราไก่ไข่ดาวอีกไหม ของคุณเนี่ย นังแม้นให้พิเศษมาตลอด กล่องเลยอ้วนกว่าของคุณชิน”

“ไม่ต้องย้ำเลย ผมรู้ว่าผมหน้าตาไม่ดีพี่ ผมรู้” สุชินทำเสียงมีอารมณ์

“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่คะ แล้วไม่ต้องถามนะคะว่าทำไม นังแม้นให้น้อยกว่าของคุณยุทธเค้า เข้าใจอะไรง่ายๆ แบบนี้พี่ศรีจะได้ไม่ต้องตามอธิบายทุกวัน เฮ้ย ตกลงคุณชินจะเอาอะไรคะ เร็วจะได้รีบจด”

“ลดห้าบาทได้ไหมล่ะจะใช้บริการ”

“ไม่ได้ค่ะ แต่จะแถมหวยเป็นร้อยละยี่สิบเอ็ดบาทให้ละกัน เอาเลขอะไร”

“โฮพี่นี่มันเพิ่งวันที่แปดเองจะรีบจดไปไหน”

“ก็เผื่อคุณฝันทุกวัน ฝันวันซื้อวันไง ซื้อทุกวันก็มีโอกาสมากขึ้นๆ”

เมื่อได้ยินคนทั้งคู่หยอกเย้ากัน ความหม่นในจิตใจของกลยุทธก็ลดลง คนอื่นเขามีปัญหามากกว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ เขายังยิ้มร่ากันได้เลย



เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกกุลกัญญาที่นอนหลับอยู่ใต้ผืนผ้านวมหนาในห้องที่ปรับอากาศให้รู้สึกสบายๆ แม้ยังมีกังวลเกี่ยวกับโรคในร่างกายแต่ก็ถือว่ากายนั้นมีความสุข กุลกัญญาถอนหายใจอย่างแรงเพื่อสลัดภาพนิวัฒน์ให้ออกไปจากสมอง

เธอจะมีความรักไม่ได้เด็ดขาด แม้ความรักนั้นมันจะทำให้เธอเกิดอารมณ์สะเทือนใจ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจในที่สุดก็ตามที่ เมื่อมีความรักเกิดขึ้นแล้วมนุษย์ทุกคนต้องมีหวัง โอ นี่คืออารมณ์ของความถวิลหา มันเจ็บปวดและทรมานจนคนต้องหาวิธีการปลดเปลื้อง

“ตื่นหรือยัง นัดกันไว้กี่โมง” เป็นเสียงของมาลีที่ดังอย่างเกรงใจผ่านเครื่องมือสื่อสาร

“ตื่นแล้ว อีกชั่วโมงกุลจะเดินไปหานะ มาลีใส่ชุดที่เลือกให้ไปนะ กุลก็จะใส่แบบนั้นเหมือนกัน อย่าเชยแล้วก็‘ภูธร’ล่ะ”

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยกุลกัญญาก็โผเผเดินเข้าไปยังห้องน้ำ ดวงหน้าทะเล้นอารมณ์ดียิ้มระรื่นของนิวัฒน์ไม่หายไปไหนเลย

กุลกัญญาทอดถอนลมหายใจออกมา เมื่อนึกถึงคุณรมณีย์ พี่ชายของเธอบอกเล่าว่า ผู้หญิงนั้นเข้ามาหาด้วยวิธีเป็นฝ่ายรุกเร้าเสียเอง คิดจะปฏิเสธก็นึกถึงหน้าที่การงานและการเงิน เป็นเพราะเธออีกแล้วที่ทำให้พี่ชายตกที่นั่งลำบาก

กุลกัญญารู้สึกเศร้า ความหวังในเรื่องงานก็ยังดูริบหรี่ คุณชัชชัยลูกชายบรรณาธิการบริหารจะช่วยอะไรเธอได้บ้างนะ ต้องให้มาลีคะยั้นคะยอถามหรือช่วยพูดอีกแรง

ถ้าเธอมีเงินมีรายได้เป็นของตัวเอง ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา พี่ชายของเธอก็จะได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อออกมาจากห้องน้ำ กุลกัญญาก็มีตาแดงๆ ด้วยนึกถึงวิญญาณของพ่อแม่ขึ้นมา ทำไมไม่มารับเธอไปอยู่ด้วยเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมต้องปล่อยให้เธอเป็นภาระให้พี่ชายหนักอกอยู่อย่างนี้

“กุลเสร็จหรือยัง”

มาลีโทรมาตามอีกรอบ กุลกัญญายังคงนั่งเช็ดน้ำตา พยายามหาสาเหตุของการร้องไห้ในวันนี้ เธออ่อนแอเพราะเรื่องงาน หรือเรื่องพี่ชายของตน หรือเรื่องของนิวัฒน์ ว่าที่นายแบบชื่อดังนั่น

“ตาแดงๆ เป็นอะไรหรือเปล่า”

เมื่อกางร่มเดินออกมาจากซอยด้วยกัน มาลีรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนใหม่ที่ตั้งใจไปซื้อใบสมัครที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยกัน มีริ้วรอยของคราบน้ำตา

“กุลมีเรื่องคิดทุกวันทุกนาทีแหละมาลี คบกับกุลต้องทำใจหน่อยนะ อารมณ์ของกุลแปรปรวน บางครั้งกุลห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ กุลเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้ มันจะต้องแสดงออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” กุลกัญญาบอกลักษณะแย่ๆ ของตัวเองออกไป

มาลีถอนหายใจ นึกถึงพี่ชายของกุลกัญญาขึ้นมาทันที ที่อุ้มผางในวันนั้น เขามองเธอซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับน้องสาวของเขา เขาถอนหายใจออกมากับปมปัญหานี้เป็นแน่

“กุลดันไปชอบนิว”

มาลีตกใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่ากุลกัญญาจะพูดออกมาตรงๆ

“กุลเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวมาก กุลอ่านนิยายรักมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ กุลหวังถ้ากุลตาย กุลก็อยากตายไปอย่างคนที่มีความรัก”

ว่าแล้วกุลกัญญาก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก มาลีซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงทันสมัยติดกิ๊บเหมือนกับกุลกัญญาหันซ้ายหันขวา แล้วก็พากุลกัญญาไปนั่งรอรถเมล์ กุลกัญญาเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วยิ้มฝืนยิ้มออกมา

“กุลสบายใจแล้วล่ะ กุลชอบระบาย เพราะกุลเป็นอย่างนี้ บางทีกุลเอาความทุกข์ไปใส่ไว้ในตัวพี่ชายโดยใช่เหตุเหมือนกัน” มาลีครุ่นคิดตาม “มาลี หากกุลเป็นอะไรไป มาลีช่วยดูแลพี่ชายกุลด้วยนะ”

“อ้าว” มาลีมีสีหน้าตกใจไม่คิดว่ากุลกัญญาจะพูดประโยคนี้ออกมา

“ไป ไปกันเถอะ รถมาแล้ว”

เป็นรถแอร์ที่มาลีรู้สึกว่าเธอต้องจ่ายเงินแพงกว่า เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายอีกแล้ว



เมื่อได้ระเบียบการและใบสมัคร กุลกัญญาก็กางร่มบังแดดพามาลีข้ามถนนต่อรถเมล์ เพื่อไปเดินเล่นกันที่ห้างสรรพสินค้าแถวบางกะปิ ขณะค่อยๆ ไต่บันไดสะพานลอยลงมานั้น เสียงที่ติดอยู่ในหูก็ดังขึ้นมาทำให้ใจของกุลกัญญาสั่นหวิว

“ผลไม้สดๆ มะม่วง ฝรั่งดอง สับปะรด แตงโม ส้มโอไม่มี มีแต่ชมพู่ลูกสีแดงๆ ครับ เร่เข้ามา สิบบาทเราไม่ขาย เราขายเพียงเก้าบาทเท่านั้นครับ ลดราคาเห็นๆ ลดกันจะจะ เร่เข้ามาครับฯ”

“นิว”

กุลกัญญาเปล่งอุทานออกมาพร้อมกับใบหน้าที่มีเลือดสูบฉีด มาลีหันซ้ายหันขวาแล้วก็รีบลงบันไดมองไปยังถนน เห็นนิวัฒน์เป็นพ่อค้าเข็นรถขายผลไม้ที่ปอกวางเรียงกันอยู่ในตู้กระจก

“ไอ้วัฒน์” มาลียังคงลืมตัวก่อนจะตบปากตัวเอง แล้วตะโกนใหม่ “ไอ้นิว”

ทีนี้ไอ้นิวจึงได้เงยหน้าขึ้นจากการมองมือที่เฉาะฝรั่งเป็นชิ้น เมื่อเห็นมาลีเขายิ้มกว้างจนตาหยี มาลีเองหันมาหากุลกัญญา แล้วรีบจูงมือเข้าไปหาคนใน ‘หัวใจ’ ของกุลกัญญาทันที

“เอ็งทำอะไรอีกเนี่ย” มาลีถามตรงๆ

“วันธรรมดา ขายผลไม้ วันเสาร์อาทิตย์ขายของในสวน ถ้ามีนัดแคสติ้งหรือมีอะไรน่าสนใจๆ พี่ๆ โมเดลลิ่งก็จะโทรมาตาม วันนั้นก็จะหยุดกิจการทุกอย่างเพื่ออนาคต”

“เข้าเรียนบ้างหรือเปล่า” กุลกัญญาชวนคุย ดวงตาของเธอยังจับอยู่ที่ใบหน้าชวนมองของเขา

“สอบอย่างเดียว อ่านชีทแล้วไปสอบ อธิการบดีให้เวลาตั้ง 8 ปีจะรีบร้อนไปทำไมเนอะ”

นิวัฒน์หันมาหาพวกกับกุลกัญญา พอดีกับที่มีลูกค้าแวะซื้อผลไม้ เขาจึงเปิดตู้แล้วหยิบสับปะรดมาหั่นตักใส่ถุง หยิบพริกกะเกลือน้ำตาลส่งให้ รับเงินและทอนกลับไปอย่างคล่องแคล่ว

“รับอะไรดีครับคุณกุล” เขาจงใจถาม ‘คนอื่น’ แทนถามเพื่อนของตน

“กุลต้องระวังเรื่องผลไม้” กุลกัญญาพยายามชักสีหน้าให้สดชื่นและเป็นปกติที่สุด

“เป็นไรหรือครับ เบาหวานเหรอ”

“เป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่ฉันขอแตงโมสักชิ้นละกันหิวน้ำจังเลย”

นิวัฒน์เปิดตู้หยิบแตงโมออกมาแล้วคว้านซอยให้เป็นชิ้นตักใส่ถุงส่งให้มาลี กุลกัญญามองช่วงไหล่และบริเวณ
หน้าอกที่ปูดขึ้นมาแล้วใจสั่นหวิว

“คุณกุลเอาน้ำสะอาดนะ”

ว่าแล้วเขาก็หันไปหาแม่ค้าที่ขายน้ำอยู่ใกล้ๆ กัน เขาหยิบน้ำดื่มประเภทน้ำแร่มาส่งให้ กุลกัญญารีบเปิดกระเป๋าหยิบเงินออกมา

“ไม่ครับ ผมเลี้ยงเอง”

“ขอบคุณค่ะ”

เธอเอื้อมมือไปรับขวดน้ำ จังหวะที่ปลายนิ้วสัมผัสกันเขาก็เงยจ้องดูดวงตาของกุลกัญญา

แม้ยังไม่รู้ว่าจะลงคณะอะไร แต่เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คนทั้งคู่ได้คุยกัน มาลีจำต้องหลบไปเดินเล่น โดยอ้างว่าอยากไปดูชีทที่นิวัฒน์ได้แนะนำ และมาลีก็จงใจทิ้งกุลกัญญาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าข้างในที่จะเข้าไปนั้นร้อนอบอ้าว จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เมื่อกลับมาจึงได้เห็นว่า สีหน้าที่เคยซีดเซียวของกุลกัญญากลับแดงระเรื่อ นิวัฒน์คงขายขนมจีบให้เป็นแน่

“กลับกันได้แล้วมั้งกุล” มาลีชวน

“กลับก็ได้” กุลกัญญามีสีหน้าพอใจ

“ผมจะโทรไปคุยนะครับ”

“ไปนะวัฒน์”

มาลีแหย่เพื่อนเก่าที่เคยตามจีบตนตอนเป็นเด็กๆ แล้วดึงกุลกัญญาไปขึ้นรถเมล์ปรับอากาศ
วันนั้นตลอดการเดินทาง มาลีถึงได้เห็นรอยยิ้มเปื้อนอยู่ที่ใบหน้าของกุลกัญญาตลอดเวลา

“มันคนธรรมดาเองนะกุล” มาลีร้องเตือน

“อีกอย่างมาลีก็ไม่ได้รู้จักมันดีพอที่จะแนะนำกุลด้วยนะ มันห่างมาอยู่ที่นี่นานกว่ามาลี ดูแล้วมันใช้ชีวิตแบบแปลกๆ ด้วยนะ”

“น่าสนุกดีออกมาลี รู้ไหมว่าเขาบอกกับกุลว่าอย่างไรบ้าง”

มาลีนิ่งฟัง

“ทุกๆ เย็นเขาจะมาออกกำลังกายที่สนามกีฬาแห่งชาติ”

“มันเป็นนักกีฬาโรงเรียนชอบใช้กำลังมากกว่าหัวสมอง” มาลีเริ่มบอกข้อแย่ๆ ของนิวัฒน์ไปด้วย

“กุลอยากมีแฟนเป็นนักกีฬา กุลชอบผู้ชายไหล่กว้างๆ เหมือนพี่ชาย มันน่าจะคุ้มครองดูแลปกป้องเราได้”

“ที่บ้านมันยากจนมากนะ” มาลีพูดอีกเรื่อง

“เขาบอกว่า เขาเคยได้ถ่ายแผ่นหลังในโฆษณาครีมโกนหนวดด้วยได้เงินมาตั้งหลายหมื่น ส่งให้ทางบ้านครึ่งหนึ่งด้วยนะ”


“มันใจดีกับพ่อแม่มันขนาดนั้นเลยหรือ”

มาลีครุ่นคิดถึงบ้านนิวัฒน์ขึ้นมาว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม เห็นพ่อของมันขี่มอเตอร์ไซค์คันใหม่.. รึเป็นไปได้

“เขาบอกว่าเขาจะต้องเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อให้ผิวพรรณดี ผิวเขาสวยมากนะมาลี คนอุ้มผางนี่ผิวดีทุกคนเลยเหรอ”

มาลีก้มดูผิวขาวเหลืองผ่องของตัวเอง มาลีนึกถึงผิวของนันทา รวมไปถึงคนหน้าตาดีมากๆ อย่างวิจักษ์

“เตรียมใจไว้บ้างนะกุล” มาลีตัดสินใจพูดประโยคสุดท้าย

“ชีวิตกุลอยู่ได้ไม่นานนะมาลี ขอให้กุลได้รู้รสรักบ้างเถอะ อย่าให้กุลนอนรอความตายอย่างเปลี่ยวเหงาเลยนะ”

เมื่อได้ยินถ้อยพรรณนาของกุลกัญญา มาลีถึงกับถอนหายใจออกมา งานนี้เธอคงต้องคุยเป็นการส่วนตัวกับไอ้นิว หรือจะคุยเป็นการส่วนตัวกับพี่ชายของกุลกัญญาดีนะ


เสียงลมพัดใบไม้แห้งในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้วิจักษ์ที่นอนพักอยู่บนเปลสนามถึงกับใจหายอย่างแรง บนทางเดินเส้นเล็กๆ ผ่านทิวไม้ใหญ่ จากป้ายที่ทำการถึงด่านตรวจตั๋วตรงนี้ เคยมีสาวน้อยยิ้มละไมตาเป็นประกายเดินกลับไปกลับมา แต่ในวันนี้ มาลีดอกไม้ป่าดอกนั้นหายลับไปเสียแล้ว

เมื่อนึกถึงเธอครั้งใด ใจของวิจักษ์จะขาดเสียให้ได้ เขาจะทนอยู่ที่นี่เป็นเหมือนต้นไม้ที่รอให้คนมาเยือนได้อย่างไร มันคงจะเหี่ยวเฉาและโรยร่วงลงไปเรื่อยๆ…เขาจะต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด

ตรีทศ อดีตเด็กคนหนึ่งที่มีบ้านยากจนที่สุดในบ้านสวนหลวง หายจากหมู่บ้านไปตั้งแต่จบชั้นประถมศึกษา สิบปีผ่านไป เขาขับรถเก๋งส่วนตัวกลับมาพร้อมกับหน้าที่การงานอันสูงส่ง เขายังจำได้ถึงรอยยิ้มกว้างของตรีทศ รุ่นพี่ในรั้วโรงเรียน พี่ตรีทศทักทายเขาเมื่อพาเพื่อนมาเที่ยวยังน้ำตกทีลอซู อย่างไม่ได้ถือตัว เขาลอบมองเครื่องแต่งกายที่คลุมผิวพรรณหน้าตาที่ไม่ต่างจากตนเอง

เพราะความเพียรพยายามทีเดียวทำให้คนเราเปลี่ยนสถานะได้

วิจักษ์ครุ่นคิด เขาจะทนดักดานได้เป็นลูกจ้างอยู่ที่นี่ไปทำไม

กระดาษที่มีหัวเขียนจั่วไว้ว่า ‘ใบลาออก’ ถูกยื่นให้หัวหน้าหน่วย “เป็นอะไร ทำไม” คนเป็นเจ้านายถามทันที

“ผมจะเข้าไปเรียนต่อครับ ในกรุงเทพ” ท้ายประโยคอยากจะให้เข้มแข็งกว่านั้นวิจักษ์ก็ทำไม่ได้

“เรียนต่อมีทุนรึ ใช้เงินสูงนะ เรียนที่ไหน” หัวหน้ายังคงซักถาม ด้วยรู้สึกเสียดายคนขยันและเป็นห่วงว่าช้างหนุ่มเชือกนี้กับชีวิตในป่าคอนกรีต

“พอมีญาติๆ ให้พึ่งพาอาศัยได้ครับ” ปากตอบไป แต่แท้ในใจนั้นก็ยังไม่รู้ว่า ญาติที่ว่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง เห็นหายเข้ากรุงเทพฯ กันไปตั้งนาน แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

“ตามใจแล้วกัน ขอให้โชคดี” ปลายปากกาเซ็นต์ตวัด ‘อนุมัติ’ ชีวิตของวิจักษ์จะต้องเปลี่ยนไป



“ไปเพราะมาลีหรือไปเพราะเรียนวะ เปลี่ยนใจยังทันนะเอ็ง” เพื่อนร่วมงานเข้าถามแกมเตือนให้หวาดหวั่น

“คิดหรือว่ามาลีมันจะมองเอ็งรึวิจักษ์ อยู่ที่นี่มันก็ไม่ได้ชายตาแลเอ็งเลยนะ” อีกคนยังสนับสนุน

“เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะโว้ย นายใจดี กลับไปคุยได้”

วิจักษ์ครุ่นคิดว่าเป็นเพราะมาลีหรือได้รับแรงบันดาลใจจากตรีทศ ..เขาหยิบนามบัตรของตรีทศออกมาตรึกตรอง ถ้าไปหาตรีทศมันน่าจะมีความหวัง แต่เมื่อนึกถึงสายตาของอีกฝ่าย มันแฝงไว้ด้วยความเสน่หาที่เขาก็รู้ว่ามันคืออะไร

วิจักษ์ถอนหายใจอย่างแรง ชีวิตในป่าคอนกรีตกับป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้

เอาเหอะน่า เกิดมามีชีวิตเดียว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ม.ค. 2555, 20:35:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2555, 20:35:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 2100





<< 15."หากผมไม่รับของละครับ"   17.“มาลีพี่มีงานจะเสนอ” >>
minafiba 19 ม.ค. 2555, 22:42:35 น.
^_^


แว่นใส 20 ม.ค. 2555, 08:07:27 น.
ชีวิตต้องดำเนินต่อไปนะ


innam 20 ม.ค. 2555, 08:49:54 น.
ตามเป็นกำลังใจ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account