พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 17.“มาลีพี่มีงานจะเสนอ”

17.


“มาลีพี่มีงานจะเสนอ”

“งานไรคะ”

“แม่บ้านในบริษัทพี่ขาดจ้ะ ช่วงนี้มาลีไปทำชั่วคราวได้ไหม ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ นะมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้เปิดไม่ใช่เหรอ”

มาลีครุ่นคิด ถ้าเธอว่างอยู่แบบนี้อีตาชัชชัยก็คงจะมาชวนเธอไปแบกกระเป๋าสร้างสัมพันธ์เป็นแน่ แต่บริษัทของพี่ศรีวรรณเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย

“ที่ไหนล่ะพี่”

“อาคารศรีสยามทาวเวอร์บนถนนสีลม”

“รายได้อย่างไร เท่าไหร่”

ศรีวรรณชี้แจงรายละเอียด มาลีเริ่มครุ่นคิด อีกตั้งหลายเดือนกว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดเรียน แถมเรียนรามก็ไม่ได้เรียนเต็มคาบเต็มเวลา เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ หากงานแรกที่จะประเดิมมีคนรู้จักชักพาไป มันก็น่าจะดีกว่าเดินหางานตามลำพัง

“เพื่อประสบการณ์ชั่วคราว เอานะ พรุ่งนี้ตื่นตีห้า หกโมงออกจากบ้านเจ็ดโมงถึงที่ทำงาน”

“เจ็ดโมง” มาลีอุทาน

“พวกเราต้องถึงก่อน เอานะ แต่งชุดธรรมดานี่แหละ ไปถึงโน้นค่อยไปเปลี่ยนเป็นชุดของบริษัท นะโอเคนะ”

พี่ศรีวรรณผลุบเข้าบ้านไปแล้ว มาลีเริ่มครุ่นคิด นันทาจะว่าอย่างไร มาลีเดินกลับเข้าไปในบ้าน นันทายังคงนั่งดูโทรทัศน์พลางมีหูฟังสายโทรศัพท์เสียบอยู่ติดหู มาลีนึกอยากจะขออนุญาต แต่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เธอก็ตัดสินใจทำอะไรเองตามลำพังมาตลอด ไปสวนฯ เอย ออกจากบ้านไปไหนกับกุลกัญญา นันทาก็ไม่เคยซักถาม ถ้าจะถามก็เพียงเรื่องเดียวว่างานที่ไหว้วานให้ทำนั้นเสร็จหรือยัง และงานนี้หากเธอไม่ถาม นันทาก็คงไม่ว่าอะไร

มาลีเดินขึ้นห้องพัก หยิบโทรศัพท์กดหากุลกัญญา บอกเล่าว่าจะพาชีวิตตัวเองไปทางไหน กุลกัญญาตอบกลับมาว่าเสียดาย เสียดายเพื่อนเที่ยว มาลีจึงชี้แจงไปว่า แท้จริงนั้นเธอเป็นเพียงชนชั้นสามัญที่ต้องทำงานหาเงินให้ตัวเป็นเกลียวเข้าไว้จึงจะดี กุลกัญญาหัวเราะ แล้วก็พูดถึงชัชชัย

“หายเงียบไปเลย เข้าป่าเข้ารกไปไหนละมั้ง”

“มาลีน่าจะถามเขานะ เขาคงห้ามล่ะ จู่ๆ ใครที่ไหนอยากให้แฟนตัวเองไปทำงานอย่างนั้น”

“บ้าแล้วกุล แฟนที่ไหน เขาเป็นคู่รักกับพี่นันทา อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ”

“จ้ะไม่พูดก็ได้ งั้นเป็นแฟนกับพี่กุลไหม น่ารักนะ เห็นรูปแล้วนี่”

“เขามีแฟนหรือยังล่ะ”

มาลีแกล้งซักดูบ้าง อันที่จริงเธอก็ดีใจที่รู้ว่าจุดไต้ตำตอ แต่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นเซอร์ไพรส์ของกุลกัญญาเหมือนกัน

“ไม่มีหรอก ไม่เจ้าชู้ด้วยนะ”

“ไม่เชื่อหรอกว่าไม่เจ้าชู้ เจ้าชู้แหละแต่เขาคงไม่ทำให้กุลเห็น”

“ทำไมมาลีคิดอย่างนั้นล่ะ พี่ชายกุลดีนะ”

“รู้แล้วกัน ดูรูปเห็นแววตาก็ดูออกแล้ว”

ขณะที่คุยโทรศัพท์กันอยู่นั้นสายเรียกซ้อนของมาลีก็มีสัญญาณร้องบอก มาลีพลิกโทรศัพท์ดูหน้าจอ เป็นพี่ชายของกุลกัญญา แสดงว่าเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน

“แค่นี้ก่อนนะกุลพี่นันทาเรียก” มาลีจำเป็นต้องโกหกแล้วกดปุ่มรับสัญญาณเรียกซ้อน

“ว่าไงคะ” มาลีตอบรับด้วยน้ำเสียงฝืนไม่ให้สดชื่น

“ทำไรอยู่”

“คิดถึงบ้าน นี่ถือว่าทำอะไรไหม”

มาลีแกล้งรวนกลับส่งผลให้ทางปลายสายหัวเราะ แล้วก็อึ้งไป เพราะครุ่นคิด มาลีพอเดาออก เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเรื่องที่จะพูดจาพล่อยๆ เห็นจะพูดได้ยากกว่าหนุ่มรุ่นอย่างวิจักษ์หรือพี่อนันต์

“กินข้าวเย็นหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“วันนี้พาน้องสาวผมไปเที่ยวไหนมา”

“คุณรู้ รู้ได้ไง กุลบอกเหรอ”

“พี่ชายเขาก็หวงน้องสาวและก็ห่วงด้วย สารภาพว่าแอบเช็กเบอร์โทรศัพท์ แล้วมันก็บังเอิญเป็นมาลีคนเดียวกันกับที่ผมรู้จัก อยู่บ้านหลังไหนในซอยสี่”

“ไม่ต้องบอกคุณก็มาถูกอยู่ดีแหละ” มาลีเริ่มขวยเขิน

“กรุงเทพเป็นไงบ้าง ปรับตัวได้หรือยัง”

“ได้แล้ว มาลีไม่ใช่คนอ่อนโลกขนาดไม่ได้ไม่รู้อะไรในนี้มาก่อนหรอก เพียงแต่ว่า มันอึดอัดกับอากาศและผู้คนที่ขวักไขว่เท่านั้น”

“เพื่ออนาคตต้องอดทนนะ”

“ค่ะจะอดทนเพื่ออนาคต”

“มีใครมาจีบหรือยัง”

เขาถามเรื่องสำคัญทันที มาลีนิ่งก่อนจะปล่อยหมัดเด็ดกลับไป

“แล้วจีบหรือยังเป็นอย่างไร”

ทางปลายสายนิ่งคิด

“แบบที่โทรมาหานี่มั้ง”

“ไม่มี”

มาลีตัวแทบลอยถึงเพดาน เขาจีบเธอ จีบก็แปลว่าสนใจ จะรวมว่ารักเธอด้วยหรือเปล่านะ เป็นลิขิตจากสวรรค์แน่ๆ เนื้อคู่กันแล้วคงไม่แคล้วกันไปได้

แม้เริ่มเรียนรู้ว่าคนรักกันต้องคุยกันอย่างไร แต่ด้วยยังต้องระวังตัว คืนนั้นมาลีจึงซักถามกลยุทธถึงเรื่องอาการเจ็บป่วยของกุลกัญญาและก็บอกเล่าถึงอาการบางส่วนที่เธอได้เห็น เขาขอบใจเธอ และขอความเห็นใจให้กับน้องสาวของเขา มาลีรับปากว่าถ้าเปิดเทอมเมื่อไหร่ จะไปมหาวิทยาลัยกับกุลกัญญาในทุกๆ วัน แล้วจะลงเรียนในคณะที่กุลกัญญาเรียน

เมื่อวางโทรศัพท์ลง มาลีครุ่นคิดว่า การลงเรียนรามในครั้งนี้ เพื่ออนาคตของตนเองหรือ ‘ของเรา’


ชัชชัยต้องหัวเสียอีกครั้งเมื่อมาถึงที่บ้านในเวลาแปดโมงเช้าแล้วมาลีไม่อยู่บ้าน เมื่อกดโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ

นันทาที่แต่งตัวลงมาจากชั้นสองก็หงุดหงิดเหมือนกันที่น้องสาวไม่ยอมบอกเล่าอะไรให้รับรู้ แล้วเธอก็นึกมาได้ว่าน่าจะเป็นความผิดของตัวเองที่เปิดโอกาสให้มาลีได้พูด

“คุณต้องเข้มงวดกับแกให้มากกว่านี้นะ นี่หายไปไหนกับใครละเนี่ย”

“ไปบ้านยายกุลหรือเปล่าก็ไม่รู้ เคยเล่าให้ฟังว่าไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามสะดวกนะชัช ปิดบ้านให้ด้วย เราไปทำงานก่อน”

ว่าแล้วนันทาก็เดินผ่านโดยทิ้งกลิ่นน้ำหอมไว้ จนชัชชัยถึงกับจามอย่างแรง

นันทากระชากรถออกไปแล้ว ชัชชัยกดโทรศัพท์หากุลกัญญาทันที

“ไม่ได้มาหาหรอกค่ะ มาลีไปทำงานกับพี่ศรีวรรณ”

ชัชชัยขอบใจแล้วกดโทรศัพท์ทิ้ง งานอะไร ทำไมไม่ปรึกษากันบ้างเลย

“คุณชัชชัยมีอะไรให้พี่รับใช้หรือคะ”

ศรีวรรณคุยโทรศัพท์พลางดูมาลีขัดห้องน้ำไปของชั้นที่ 21 ของอาคารศรีสยามทาวเวอร์

“พี่เอามาลีไปทำงานอะไร ทำไมไม่ปรึกษาผมก่อน”

ได้ยินน้ำเสียงแค่นั้นศรีวรรณก็เริ่มคิดแก้สถานการณ์ชนิดไม่ให้บัวช้ำและน้ำขุ่น ศรีวรรณค่อยๆ เลี่ยงออกมายังห้องครัวที่คิดว่ามาลีจะไม่ได้ยิน

“ก็น้องมาลีนะซิคะคุณชัชชัย บ่นว่าเซ็ง เครียด เบื่อ พี่ก็เลยลองให้มาทำงานกับพี่ดู”

“ผมไม่ได้ดูถูกงานพี่นะครับ แต่ผมไม่อยากให้มาลีเขาทำงานอย่างนั้น” ชัชชัยหยุดไปก่อนจะพูดขึ้นอีกคำ

“พี่ก็รู้ว่าผมคิดอย่างไรกับมาลี”

ศรีวรรณทำหน้างุนงง แล้วยี้ใส่โทรศัพท์ ไอ้ลูกเศรษฐีนี่มันจะเป็นพระยาเทครัวเลยรึ ไม่ได้หรอก แม้จะเห็นแก่เงิน แต่มาลีก็ฝากตัวเป็นน้องสาวเธอแล้ว ต้องพูดให้ได้สติเสียบ้าง

“พี่เข้าใจความรู้สึกของคุณชัชค่ะ แต่คุณชัชชัยคะ มาลียังเด็กยังมีอนาคตนะคะ คุณเองก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าแล้ว มีคนสำคัญอยู่แล้ว ปล่อยเด็กไปเถอะค่ะ แล้วอีกอย่างมาลีมากับพี่ความปลอดภัยพี่รับประกันค่ะ ไปด้วยกันกลับด้วยกัน พี่ไม่ปล่อยให้ใครมาวอแวกับมาลีหรอกค่ะ แล้วอีกอย่าง นี่ก็เป็นการหาลำไพ่พิเศษเท่านั้น พอมหาวิทยาลัยเปิดมาลีก็ไปเรียนแล้ว เข้าใจพี่นะคะพี่หวังดีกับมาลีจริงๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องสูงต่ำอะไรเลย”

ศรีวรรณวางโทรศัพท์ลงแล้วถอนหายใจออกมา มาลีที่มีเหงื่อชุ่มใบหน้าซึ่งอยู่ในชุดฟอร์มเสื้อเอวจั๊มกางเกงสีเหลือง เครื่องแบบพนักงานบริษัทคลีนเนอร์ ยิ่งเมื่อทำหน้าที่ล้างห้องน้ำจึงต้องมีถุงมือยางสีส้มกับรองเท้าบู๊ตกันเปียกน้ำ ยิ่งทำให้สภาพของมาลีนั้นดูแย่กว่าเดิม

“คุณชัชโทรมาหา ถามว่าพี่พามาลีมาทำอะไร”

“พี่ตอบไปว่าไง”

“พี่ก็ตอบไปว่าพามาทำงาน อีตานี่เป็นเอามาก ดูอารมณ์เสียด้วยนะ พี่ก็เลยตอกกลับไปว่า มีเมียแล้วจะมาสนใจอะไรน้องเมียอีก เงียบเลยมาลี ระวังตัวไว้ดีแล้ว พี่จะคอยช่วยระวังให้อีกคน” ศรีวรรณพูดเกินความจริงอย่างหน้าตาเฉย


เมื่อมาลีขัดห้องน้ำแล้ว ศรีวรรณก็พามาลีลงจากชั้น 21 กลับมายังสำนักงานของบริษัทคลีนเนอร์ตั้งอยู่บนชั้นหนึ่งของลานจอดรถ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับสำนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัย

“ระวังตัวไว้ด้วยเหมือนกัน พวกนี้ปากนกแก้วนกขุนทอง”

“แล้วพี่แป๊ะแฟนพี่ล่ะ”

“เฮ้ย พี่สั่งสอนไปดี ไม่มีปัญหาเหมือนพวกนี้หรอก รักษาความปลอดภัยให้ตัวอาคาร แต่มันไม่ได้สร้างความปลอดภัยให้ตัวคนหรอก ยิ่งใกล้ๆ ก็ยิงคิดว่าไม่ปลอดภัย ระวังๆ”

เมื่อกลับลงมา มาลีจึงได้ถูกให้เขียนใบสมัคร มีบัตรให้มาลีตอกลงเวลาเข้า-ออกงาน พร้อมรายละเอียดการทำงานในแต่ละวัน ซึ่งมาลีได้รับมอบหมายให้ดูแลที่ชั้น 21 ซึ่งเป็นชั้นที่พี่ศรีวรรณเริ่มต้นเป็นหัวหน้าคนงาน จนถึงชั้นที่ 25 เพราะฉะนั้นพี่ศรีวรรณจะมีลูกน้องอยู่ในปกครองตนเองถึง 5 คนทีเดียว

“งานมันดูต่ำต้อย เข้าๆ ออกๆ ไปทำงานอยู่โรงงานกันดีกว่า คนที่ทำก็ความรู้น้อยด้วย”

“แล้วทำไมพี่อยากให้มาลีมาทำ”

“ถ้าไม่ออกมาจากบ้านมาลีก็ไม่ได้เห็นโลก ถ้าไม่ได้เห็นโลกมาลีก็จะไม่รู้ทิศทางตัวเองความหวังก็จะไม่เกิด”

เป็นอย่างพี่ศรีวรรณว่าไว้จริงๆ หลังจากกินข้าวมื้อเช้าที่พี่ศรีวรรณห่อมาเผื่อแล้ว เมื่อกลับขึ้นไปยังชั้น 21 มาลีถึงได้เห็นว่าคนที่คุณสมบัติพร้อมนั้นเขาแต่งตัวและมีมาดในการทำงานกันขนาดไหน ผู้หญิงก็แต่งชุดสวยงาม ผู้ชายก็ใส่เสื้อเชิ้ตผูกเน็คไทเรียบร้อย บ้างก็นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ บ้างก็นั่งก้มหน้าก้มตาขีดเขียน บ้างก็นั่งโทรศัพท์พูดจากับใครก็ไม่รู้ แต่ตาเป็นประกายสีหน้านั้นยินดียิ่ง

มาลีก้มมองสภาพตัวเอง กางกางสีเหลืองเสื้อกั๊กสีเหลืองคุมเสื้อเชิ้ตสีขาวรองเท้าผ้าใบบัดดี้กับหมวกแก๊ปเก็บผม

เธอจะเรียนอะไรดีถึงจะมาถึงจุดที่คนเหล่านี้มาถึงได้ แล้วในสายตาของมาลีก็เห็นว่าวรรณาผู้หญิงหน้าจีนเดินตรงมาหา มาลีอยากจะเผยอปากทัก แต่วรรณาก็ทำเหมือนไม่ได้สนใจว่าเธอยืนเตร่อยู่ตรงหน้าประตูครัว อาจจะเป็นเพราะหมวกที่ปิดหน้ามากกว่าจากเหตุที่ไม่ทักเพราะสภาพของเธอ

“มาใหม่อีกแล้วซิ” วรรณาร้องถาม ขณะยืนกดน้ำร้อนลงถ้วยกาแฟส่วนตัวของตนเอง

“ค่ะ” มาลียังไม่กล้าเสนอตัวเองว่าคือใคร

วรรณาล้างมือเสร็จก็ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือแล้วเลี่ยงถือแก้วกาแฟออกไป พนักงานคนอื่นๆ ทยอยเข้าๆ ออกๆ ห้องน้ำบ้าง ห้องครัวบ้าง มาลีเองได้แต่ยืนตัวลีบไม่รู้จะทำอะไร

“อ้าวน้อง ทำไมไม่จัดแก้วน้ำดื่มไปในห้องประชุมล่ะ เอ๊ะอย่างไงกัน ศรีวรรณไปไหนเนี่ย”

“กี่แก้วคะ” มาลีรีบแก้สถานการณ์

“10 แก้ว”

มาลีไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงที่ออกคำสั่งคือใครและเธอจะต้องจัดแก้วน้ำไปตรงไหน มาลีหันกลับมาในครัว เปิดตู้พบแก้วน้ำพร้อมจานรองแก้วและถาด มาลีหยิบแก้วออกมากดน้ำจากเครื่องกรองลงไปตามจำนวน แล้วห้องประชุมอยู่ตรงไหน พอดีพนักงานผู้ชายเดินเข้ามา

“คุณคะ ห้องประชุมไปทางไหนคะ”

“ห้องไหนล่ะ”

มาลีงุนงง ผู้ชายคนนั้นก็ดูเร่งรีบ เขาออกไปแล้ว มาลียังยืนถือถาดแก้วน้ำอย่างเคว้งคว้าง แต่ในเวลานี้หากเธอไม่ทำอะไรเลย ก็จะถูกตำหนิ มาลีประคองถาดที่มีแก้วน้ำสิบใบเดินออกมาจากห้องครัว พยายามมองหาห้องที่คิดว่าน่าจะเป็นห้องประชุม มาลีตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชนเข้าอย่างจังกับคนที่เปิดประตูออกมา

“ตายแล้ว เปียกหมดเลย”

ผู้หญิงที่แต่งตัวสวยในชุดกระโปรงสั้นถึงกับมีสีหน้าหงุดหงิด เมื่อชนกันแล้วแก้วน้ำล้มไปถูกตัวเธอถึงหนึ่งแก้ว

“ขอโทษค่ะ” มาลีผงกหัวแทนคำขอโทษ

“เดินระวังหน่อยซิ เบื่อบริษัทนี้จริงๆ เปลี่ยนพนักงานเรื่อย คุณดาวๆ” มาลียืนใจเต้นแรง

คนที่สั่งเรื่องน้ำกับมาลีรีบออกมาจากห้องที่ผู้หญิงคนนี้ออกมา

“สั่งเลื่อนประชุมก่อน รมมี่ต้องหาผ้าเปลี่ยนก่อน ซุ่มซ่ามจริงๆ”

คนชื่อรมมี่ออกเดินสะบัดตัวไปอีกทาง ทีนี้คนชื่อดาวก็ยืนมองมาลีอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ



เมื่อรู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น พี่ศรีวรรณรีบเข้ามาเคลียร์กับคนชื่อดาวในทันที “เด็กใหม่น่ะค่ะ เป็นความผิดของดิฉันเอง”

“เข้าไปขอโทษคุณรมณีย์เองแล้วกัน” ผู้หญิงชื่อดาวทำเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต

“แล้วเข้าไปพบในตอนนี้ได้หรือคะ”

“ก็ว่างแหละ”

มาลีถอนหายใจออกมา พี่ศรีวรรณหันมามองหน้าแล้วขยิบตาให้มาลีเดินตามเข้าไปห้องของผู้มีตำแหน่ง GM เมื่อเคาะประตู พี่ศรีวรรณก็ทำหน้าจ๋อยๆ เข้าไป

“พาเด็กมาขอโทษค่ะ”

คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาในชุดใหม่ค่อยๆ ปรายตาขึ้นมาจากเอกสาร จ้องพี่ศรีวรรณแล้วถอนหายใจออกมา

“คราวหลังระวังหน่อยแล้วกัน อีกอย่างถ้าพาเด็กใหม่มา พี่ควรเป็นพี่เลี้ยงหรือสอนงานให้รู้ก่อนนะคะ ไม่ใช่พอมาถึงแล้วทำเลย ดีนะไม่ไปหกเปียกเปื้อนเอกสารสำคัญ รมมี่ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรหรอกค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

พี่ศรีวรรณยกมือทำความเคารพ แล้วสะกิดมาลีให้ปฏิบัติตามด้วย

“ขอโทษค่ะ ขอบคุณค่ะ”

มาลีรู้สึกว่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ทำไมมันกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้

เมื่อออกมาจากห้องคุณรมณีย์แล้ว พี่ศรีวรรณก็พามาลีออกไปยังมุมที่สงบคน

“เป็นความผิดของพี่เองแหละ ดีนะไม่ให้เขียนรายงาน ไม่งั้นพี่ซวยไปด้วยอีก”

“ต้องเอาใจกันมากมายขนาดนี้เลยหรือคะ แค่ทำความสะอาดอย่างเดียวไม่พอหรือ”

“ก็มีบ้างแหละที่ใช้นอกหน้าที่ บางคนอยู่นานๆ ก็ใช้ถ่ายเอกสารด้วยนะ ดีไม่ดีให้นั่งคีย์ข้อมูลก็เคยมี”

“แล้วมีไหมคะจากพนักงานทำความสะอาดแล้วขึ้นมาเป็นเสมียน”

“ก็มี เด็กบางคนมาทำงานนี่จบแค่ม.3 ทำงานไปเรียนไป ก็หางานในบริษัททำได้ บางคนก็ได้กับพวกพนักงานในนี้เหมือนกัน มาลีพี่จะบอกอะไรให้นะ มันก็คนเหมือนๆ กันแหละ แต่มันถูกแบ่งแยกด้วยหน้าที่และเสื้อผ้าเท่านั้นเอง เราอย่าไปเกร็ง อย่าไปอะไรมาก ยายดาวนั้นก็กระแดะ แหมตัวเองเป็นเลขาเข้าหน่อย อันที่จริงคุณรมมี่เธอไม่ใช่คนดุหรอก แม่นี่หาเรื่องให้เราเข้าไปถูกด่าเองมากกว่า”

เมื่อได้ยินในมุมนี้มาลีรู้สึกสบายใจขึ้น

“คนเรามันจะมีหัวโขนแค่เฉพาะบางที่ บางคนก็ใครที่ไหน ลูกชาวไร่ชาวนาที่พ่อแม่ส่งให้มีการศึกษาเท่านั้น คนที่มันนิสัยแย่ๆ พี่ไม่สนใจหรอก คนดีๆ ที่ไม่ถือตัวในนี้มีเยอะแยะ อย่างไรก็ระวังหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวพี่จะแจงให้ว่างานเรามีอะไรบ้าง”

เมื่อรู้ว่าวันหนึ่งต้องทำอะไรบ้างแล้วมาลีรู้สึกสบายใจขึ้นพี่ศรีวรรณ พาเดินดูห้องต่างๆ ในตึกชั้นที่ 21 มีห้องประชุมห้องเล็ก ห้องใหญ่ คอยปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดจัดแก้วน้ำตามจำนวนคนซึ่งในทุกๆ วันจะมีแฟกซ์ส่งไปยังห้องสำนักงานว่าจะมีการใช้ห้องประชุมใดในเวลากี่โมงบ้าง

เมื่อประชุมเสร็จก็มีตามเก็บแก้วน้ำล้างคว่ำ หรือถ้ามีการจัดเลี้ยงน้ำชากาแฟหรือของขบเคี้ยว ทางเลขาหรือหัวหน้าการประชุมนั้นก็จะแจ้งให้พี่ศรีวรรณหรือแม่บ้านได้รับทราบเป็นกรณีพิเศษ

นอกจากนั้นยังมีขัดห้องน้ำวันละสองครั้ง ในตอนเช้ากับประมาณบ่ายสาม แล้วก็มีไล่ตามเก็บถังขยะจากโต๊ะต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีขยะประเภทกระดาษ สำหรับกระดาษนั้น พี่ศรีวรรณบอกว่าบางที่บางชั้นก็จะหวงขยะประเภทกระดาษเป็นอย่างมาก แต่ที่นี่สามารถให้แม่บ้านเอาออกไปได้ ก็จะเป็นรายได้ของแม่บ้านคนนั้น ซึ่งพี่ศรีวรรณก็บอกเล่าอย่างไม่อายเลยว่าตนเองนั้นจะเก็บกระดาษ ขวดน้ำพลาสติก และถุงก๊อบแก๊บลงไปแยกในเวลาเย็นก่อนกลับบ้าน

แถมในเวลากลางวันก็จะเดินถามว่าใครจะรับอาหารอะไรเป็นกรณีพิเศษ นั่นหมายถึงพี่ศรีวรรณจะได้ค่าเดินลงไปสั่งให้แม่ค้าในซอยทำ หรือไปซื้อยังศูนย์อาหารที่คนสั่งต้องการ

มาลีถอนหายใจออกมา เธอควรดีใจไหม เพราะพี่ศรีวรรณบอกว่า ช่วงที่มาลีมาทำงานนี้ พี่ศรีวรรณจะยกผลประโยชน์เหล่านั้นให้

กลยุทธชะงักเมื่อเห็นว่าแม่บ้านที่อยู่ในชุดเหลือง ซึ่งถือน้ำ เข้ามาเสิร์ฟในห้องประชุมนั้นคือใคร เขาอยากจะเอ่ยปากทัก แต่เมื่อเห็นพนักงานคนอื่นๆ ก้มอ่านเอกสารขณะรอคุณรมณีย์ เขาจึงต้องก้มหน้านิ่ง แต่ก็อดปรายตามองดูแม่บ้านที่ทำเหมือนไม่เห็นเขาเช่นกัน

เมื่อถอยออกมาจากห้องและสวนทางกับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในชั้นนี้ มาลีถึงกับเลี่ยงหลบที่ข้างผนัง

คุณรมณีย์ คุณกลยุทธ มาลีนึกถึงถ้อยคำที่พวกเขาเคยเย้าแหย่กันที่อุ้มผาง แล้วเหตุการณ์เมื่อคืนล่ะหมายถึงอะไร

นี่เป็นพรหมลิขิตจากสวรรค์อย่างนั้นหรือ

มาลีเดินกลับไปในครัวด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว

“มาลี” เป็นเสียงของคุณสุชินที่ร้องทักอย่างไม่ได้ถือเนื้อถือตัว

มาลียกมือทำความเคารพด้วยเรื่องของอายุมากกว่าเรื่องของหน้าที่

“มาได้อย่างไร”

“มาอย่างที่เห็นนี่แหละ”

“ยียวนเหมือนเดิม”

แล้วสมศักดิ์กับวรรณาก็เดินเข้ามาหาบ้าง “อ้าวมาลีจริงๆ ด้วย มาได้อย่างไร” วรรณาถามซ้ำ มาลีได้แต่ยิ้มหน้าเจื่อนๆ มองสภาพพวกเขาและมองสภาพของตนซึ่งเหมือนคนตกยากไร้หนทางไป

“แล้วทางอุ้มผางล่ะมาลี อย่างไงกัน งงหมดแล้วนะ” วรรณายังคงซัก

“มาลี” มาลีไม่รู้จะเล่าอย่างไร พอดีกับพี่ศรีวรรณเดินเข้ามา

“อุ๊ย รู้จักกันหรือคะ มาลีรู้จักคุณๆ เขาเหรอ”

มาลีพยักหน้าตอบรับ แล้วพี่ศรีวรรณก็พามาลีไปแนะนำกับพนักงานที่เคยเรียกใช้บริการ ว่าช่วงนี้ให้เรียกใช้บริการน้องใหม่ชื่อมาลี ซึ่งจะรับเงินค่าบริการในอัตราเท่าเดิม



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.พ. 2555, 19:01:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.พ. 2555, 19:01:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 2039





<< 16. "เกิดมามีชีวิตเดียว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด"   18. “ไม่กลัวเป็นข่าวกับมาลีบ้านป่าหรือคะ” >>
แว่นใส 1 ก.พ. 2555, 19:57:51 น.
ชีวิตต้องสู้เนอะ


minafiba 2 ก.พ. 2555, 03:00:39 น.
^_^


innam 2 ก.พ. 2555, 08:46:23 น.
ชีวิตต้องสู้ของจริงเลยๆๆๆๆๆ


เดิมเดิม 2 ก.พ. 2555, 12:31:13 น.
อดทนไว้มาลี เดี๋ยวได้ดีเอง


Orathai 2 ก.พ. 2555, 13:32:38 น.
คนเหมือน ๆกัน จริงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account