รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน

เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้

Tags: ฤดูหนาว

ตอน: ตอนที่ ๒ เมรีขี้เมา

ตอนที่ ๒

เมื่อถึงเวลาทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็ขึ้นไปบนเวที เพื่อกล่าวคำขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการตัดเค้กก้อนใหญ่ ที่อยู่ด้านหน้าของเวที

เมยาวีมองเค้กปอนด์ใหญ่ด้วยความรู้สึกที่มันร้อนรุ่มในหัวใจ ไม่อยากจะเชื่อว่า คนที่ยืนคู่กับเจ้าบ่าวคนนั้นจะเป็นคนอื่น...ไม่ใช่เธอ เพียงเพราะเหตุผลที่ไม่เข้าท่ากับความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้เพียงเท่านั้น

หญิงสาวค่อยๆ หลุบเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า ไม่อยากจะเห็นภาพเหล่านั้นที่มันตอกย้ำอยู่ในหัวใจ
จริงอยู่ที่เธอบอกกับเพื่อนๆ ว่าเธอเข้มแข็ง และทำใจได้แล้ว แต่ใครจะไปรู้ความรู้สึกที่แท้จริงข้างในของเธอได้ เพราะจริงๆ แล้ว เธอไม่เคยลืมเขาเลย...ไม่เลย ไม่เคยลืม

ความรักที่เคยมอบให้แก่กัน แม้ว่ามันจะถูกตัดสินกับแค่หมอดูเพียงคนเดียว แต่สำหรับเธอแล้ว ยังมีความหวังว่า ฝ่ายนั้นก็คงจะคิดไม่ต่างกับเธอ แต่ในเมื่อเวลามันผ่านพ้นไปแล้ว และเขาก็มีความสุขกับรักครั้งใหม่แล้ว เธอก็ควรจะยอมรับมันไม่ใช่หรือ

เจ็บ...บอกกับใจของตนเองว่าเช่นนั้น แต่ก็ยังจะยืนยัน สักวันจะต้องลืมเขาให้ได้ ใช่...เธอจะต้องยืนอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงเพราะการอกหักแค่ครั้งเดียว มันไม่ได้ทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของเธอพังไปทั้งหมดเสียหน่อย

ระยะเวลาสามปีเต็ม ก็พิสูจน์ให้เธอเห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าเธอสามารถที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเขา แม้ว่าลึกๆ แล้วมันจะยังเจ็บอยู่ก็ตาม การทำงานในสวนดอกไม้ สิ่งที่เธอชอบและรัก มันคงพอที่จะทำให้เธอลืมเรื่องของเขาไปได้ในที่สุด

ระยะเวลา จะช่วยเธอรักษาเยียวยาหัวใจ ให้กลับมาเป็นเมยาวีคนเดิม เธอบอกกับใจของตนเอง ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มขึ้นมาในที่สุด แล้วจึงเคลื่อนตัวไปยังโต๊ะเครื่องดื่ม ยกไวท์ราคาดีขึ้นจิบทีละนิด เพื่อที่จะให้มันช่วยดับอารมณ์คุกรุ่นที่มีอยู่ในหัวใจ

ภาพเหล่านั้นของเพื่อนสาว ไม่ได้พ้นไปจากสายตาของวัสนางค์สักเท่าไร หล่อนค่อยๆ คลี่ยิ้ม เมื่อไม่เห็นว่าเพื่อนสาวของเธอจะมีท่าทีที่เสียใจแสดงออกมา แม้เธอก็รู้ว่าลึกๆ แล้วฝ่ายนั้นก็คงจะเจ็บไม่แพ้กันเหมือนกัน

“คีน เธอไปดูยายเหมยทีสิ ฉันเห็นขยับไปที่โต๊ะเครื่องดื่ม ไม่รู้จะทานมากจนเมาหัวราน้ำหรือเปล่า” หันมาสั่งเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง

“แล้วเธอล่ะฝน”

“ฉันจะยืนรออยู่ตรงนี้แหละ เธอไปเถอะ มีอะไรก็มาบอกฉันละกัน”

มณีกานดาฉากตัวแล้วเดินเข้าไปหาเพื่อนสาวอีกคนที่บัดนี้ขยับเข้าไปนั่งยังโต๊ะจีนตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ พร้อมกับเครื่องดื่มของเมาอีกจำนวนหนึ่ง

“นี่เธอกินไวท์หรือเหมย”

“อือ...”

อีกฝ่ายแค่พยักหน้า แล้วครางเสียงลอดลำคอมาเพียงคำเดียวเท่านั้น ส่วนสายตาก็มองไปยัง บนเวทีที่บัดนี้กำลังมีเจ้าบ่าวและเจ้าสาวตอบคำถามพิธีกรด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“ไหวไหมเธอ ไม่ไหวจะกลับก่อนก็ได้นะ ฉันจะไปส่ง”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันยังไหวคีน มาสิ มานั่งด้วยกัน”

“แต่ฉันไม่ดื่มนะ” มณีกานดาทำท่าปฏิเสธเมื่อเพื่อนสาวเลื่อนแก้วไวท์อีกแก้วไปตรงหน้าของเธอ

“งั้นก็กินน้ำก็ได้ กินเป็นเพื่อนฉัน”

ว่าแล้วก็เลื่อนขวดน้ำอัดลมและแก้วไปตรงหน้าของมณีกานดาอีกรอบ ซึ่งคราวนี้ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนคราวแรก

“คีน...เธอว่าฉันจะได้มีวันเหมือนวันนี้ไหม”

“เธอหมายถึงงานแต่งงานหรือ”

“ใช่...งานแต่งงาน หรือว่าฉันจะต้องขึ้นไปอยู่บนคานทองตลอดชีวิตนะ”

น้ำเสียงของเมยาวีเริ่มสั่นเครือ ด้วยเพราะในเวลานี้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เริ่มจะมีอิทธิพลในกระแสเลือดมากขึ้น

“ฉันว่าเธออย่าพูดถึงเรื่องคานเงินคานทองเลยน่าเหมย เพราะอย่างไรแล้ว คนเราก็ต้องมีเนื้อคู่ เพียงแต่ว่ามันจะมาช้าหรือเร็วเท่านั้น”

“ฉันเชื่อเธอนะคีน แต่เมื่อไหร่ล่ะ”

อดที่จะถามกลับไม่ได้ เพราะอายุของพวกเธอก็เริ่มจะเดินทางเข้าหาเลขสามกันแล้วในอีกไม่กี่ปี เช่นเดียวกับคำว่าคานเงินคานทองอีก มันก็เดินทางใกล้เข้ามาแล้ว อย่างนี้เธอจะไม่คิดหวั่นไหวได้อย่างไร

“เมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละเธอ ฉันว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะอย่างไรแล้ว ถ้าเธอมี ฉันและยายฝนก็ต้องมีเหมือนกัน หรือไม่ถ้าจะขึ้นคานทองกันจริงๆ ฉันและยายฝนก็จะพร้อมใจกันกอดคอเธอขึ้นคานไปอยู่บนนั้นด้วยกัน”

รอยยิ้มและคำพูดติดตลกของเพื่อนสาว พอที่จะทำให้เมยาวีคลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด แต่กระนั้นลึกๆ ก็ยังอดนึกหวั่นอยู่ไม่ได้

****

ดื่มน้ำมากจนเกินพิกัด ระบบกระเพาะปัสสาวะก็เริ่มทำงาน วัสนางค์จึงเดินเลี่ยงจากกลุ่มคน มองหาห้องน้ำในทันที

“โรงแรมนี้มันไม่มีห้องน้ำหรือยังไงกันนะ หายากหาเย็น”

มือหนึ่งกุมท้อง ส่วนสายตาก็กราดมองหาห้องน้ำ หรือไม่ก็ป้ายบอกทาง ก่อนดวงตาคู่สวยจะมองเห็นป้ายบอกทางอยู่ไม่ไกลจากนั้น จึงรีบเดินไปทางนั้นในทันที

“หืม...เดี๋ยวจ้ะเดี๋ยว จะถึงแล้วจ้า”

หญิงสาวปลอบตัวเอง พร้อมกับรีบวิ่งไปทางนั้นในทันที แต่เพราะชุดราตรีที่ยาวจนกรอมเท้า ก็เป็นอุปสรรคเหลือเกิน จึงต้องใช้มืออีกข้างถลกมันขึ้น แล้วรีบวิ่งไปทางห้องน้ำเพื่อให้ทันก่อนที่มันจะราดออกมา

หากแต่ในเวลานั้น หญิงสาวยังไม่ทันที่ถึงทางโค้งที่จะถึงห้องน้ำ ร่างบางก็ต้องชนเข้ากับอีกร่างหนึ่งที่ถลาออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว จนร่างของเธอทรุดฮวบลงไปกับพื้น แถมเจ้าคนชนยังไร้น้ำใจ จะเข้ามาช่วยเธอสักนิดก็ไม่มี มันหันมามองเธอแค่แวบเดียวก็ตั้งหน้าจ้ำอ้าวต่อไป

“โว้ย...ไอ้บ้า ไร้น้ำใจสิ้นดี” พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แต่เจ้าชุดที่เธอสวมใส่ก็เป็นอุปสรรคอีกจนได้

“โว้ย...หยุดนะเว้ย หยุด”

เสียงดังออกมาจากตรงนั้นไม่ห่างนัก วัสนางค์กำลังจะพยุงตัวลุกขึ้นได้อยู่รอมร่อ ก็พอดีกับอีกร่างหนึ่งที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาชนเธออีกจนได้

“ว้าย...” หญิงสาวร้องลั่นเป็นคำรบสอง ก่อนจะล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับชายคนนั้น

“ขอโทษครับขอโทษ...”

ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษ พร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เพราะด้วยอยู่ในเวลาปฏิบัติหน้าที่ และเจ้าคนร้ายที่วิ่งไปข้างหน้ากำลังจะพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ชายหนุ่มจึงหยัดตัวลุกขึ้น แล้ววิ่งตามมันไปในทันที
โดยปล่อยให้วัสนางค์นั่งแปะด้วยดวงตาที่งุนงงเป็นที่สุด

“อะไรวะ...ชนชั้น จะช่วยสักคำก็ไม่มี ฝากไว้ก่อนเถอะ”

หลังอาฆาตแล้ว แม่สาวร่างบางจึงใช้ความพยายามเป็นครั้งที่สองยักแย้ยักยันตัวเองลุกขึ้น ก่อนจะต้องเบิกตาโพลง เมื่อความปวดจี๊ดแล่นมาอย่างรวดเร็ว

“ว้าย...จะออกแล้ว”

****

หลังดื่มไปหลายแก้ว พร้อมกับอาการอวดเก่ง สาวเก่งก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดสภาพ

“เหมย...เหมย ไหวไหม เรากลับกันเถอะ”

“หวาย...ฉันยังหวาย...” คนยังไหวพูดอ้อแอ้ โดยยกแค่มือขึ้นโบกไปมาเท่านั้น

มณีกานดาเกาหัวตัวเองอย่างจนปัญญา ก่อนจะลุกขึ้น มองหาเพื่อนสาวเพื่อจะให้มาช่วยกันพยุงเมยาวีกลับบ้านกัน หากแต่ในเวลานั้น กลับไร้เงาของวัสนางค์เสียนี่

“จะเอายังไงล่ะทีนี้เรา...” ขยับเข้าไปปลุกเพื่อนสาวอีกครั้ง “เหมย ฉันว่าเรากลับกันเถอะ นี่มันก็ดึกมากแล้วนะ”

“ป่ะๆ กลับก็กลับ” คนเมาค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นอย่างหมดสภาพ ด้วยการพยุงของมณีกานดา ที่เป็นไปอย่างเก้ๆ กังๆ

“กลับทางไหนดีล่ะ ดูเหมือนว่าทางมันจะเหมือนกันไปหมดแล้วนะเธอ”

เมยาวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ พยายามกลอกสายตามองไปโดยรอบ หากแต่ทัศนวิสัยการมองเห็น กลับเป็นอุปสรรคเป็นยิ่งนัก นอกจากภาพที่เห็นจะเอียงแล้ว เสียงอะไรก็ไม่รู้ที่มันหนวกหูเป็นที่สุด ก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน

“นี่ฉันอยู่ที่หนายนิ คีน ทำไมมันดูวุ่นวายไปหมดเนี่ย”

อดที่จะถามเพื่อนสาวไม่ได้ ขณะมณีกานดาได้แต่เบ้หน้า เพราะลำพังตัวเธอกับเมยาวีถ้าจะเปรียบกันแล้ว ก็เทียบไม่ติดอยู่แล้ว เธอยังจะต้องประคองคนที่เมาไม่ได้สติอีก คนร่างเล็กอดที่จะบ่นอุบถึงอีกเพื่อนสาวที่หายไปไหนไม่รู้ไม่ได้

“ก็เรามางานแต่งของนายปูนไง เธอเมามากแล้วนะเหมย ไป...เรารีบไปที่รถกันดีกว่า คนเยอะฉันอายนะ”

“งานแต่งนายปูนหรอ”

ดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสด้านการได้ยินของคนเมาจะได้ผลและดีเลิศก็ในเวลานั้น เมยาวีแทบจะสร่างเหล้า เมื่อได้ยินชื่อนี้

“ไอ้ปูนบ้า...ไอ้บ้า”

เริ่มขึ้นเสียงอย่างหนัก สองมือยกขึ้นโบกไปมาคล้ายดั่งจะเต้นรำในเวลานั้น และนั่นก็ยิ่งทำให้เหล่าแขกเหรื่อต่างมองมาที่จุดนั้นเป็นจุดเดียว

“ไอ้บ้า...ไอ้เลว...ไอ้ซื่อบื่อ ไปเชื่อไอ้หมอดูบ้าๆ ห่วยๆ ไอ้บ้าเอ้ย...สารเลว...”

ยิ่งพูดยิ่งขึ้นเสียง ดวงตาคู่สวยพยายามเบิกขึ้น เพื่อจะให้เห็นทาง เมื่อเห็นคนเยอะ ความรู้สึกจากส่วนลึกก็ยิ่งสั่งการให้ทำงานด่าแหลก...

“ไอ้สารเลว...ตาถั่ว...”

“นี่เหมย พอเถอะ คนมองกันใหญ่แล้ว เธอไม่อายหรือไง”

“ไม่...ฉันไม่อาย ฉันไม่มีอะไรจะอายอีกแล้ว ไอ้ปูน ไอ้สารเลว ไอ้ตาถั่ว...” ยิ่งว่ายิ่งขึ้นเสียงไปอีกอย่างไม่อายต่อผู้คนที่ผ่านมา

แน่นอนล่ะ คนที่อายเป็นที่สุด เห็นจะเป็นมณีกานดา...

****

“บ้าเอ้ย...ขอให้ได้เจออีกทีเถอะ แม่จะด่าให้เสียพ่อไปเลย”

วัสนางค์บ่นอุบออกมาจากห้องน้ำ อย่างหัวเสียสุดๆ ก่อนจะรีบเดินเข้ามาในงาน เหมือนจะนึกสังหรณ์อะไรสักอย่าง และดูเหมือนว่าจะจริง เพราะในเวลานั้นเมยาวีกำลังอาละวาดงานอย่างหนัก ทั้งเสียงร้องเพลง และเสียงด่าทอตัดพ้อเจ้าบ่าวของงาน

“ยายเหมย....”

เพื่อนสาวเบิกตาโพลง เมื่อเห็นเมยาวีทำท่าจะตะกายขึ้นโต๊ะ

“หยุดเลยแก จะขึ้นไปทำอะไรบนโต๊ะ ลงมาเดี๋ยวนี้”

“ม่าย...ฉันจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ไปเลยว่า ไอ้เจ้าบ่าวมันงมงาย มันบ้า มันเลว”

“ลงมาเลย...”

วัสนางค์เร่งฝีเท้ากระโจนไปถึงตัวของเพื่อนสาว รีบดึงเมยาวีลงมาจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะร่วมใจกันกับมณีกานดาลากเมยาวีออกจากงานอย่างรวดเร็ว

****

เมื่อพานางเมรีขี้เมามาถึงรถแล้ว วัสนางค์และมณีกานดาจึงรีบยัดเพื่อนสาวเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว

“อยู่ในนี้เลยนะยายเหมย” วัสนางค์สั่งเสียงเฉียบ ก่อนจะหันมาทางมณีกานดาที่ยืนหน้าเผือดและหอบหายใจอยู่ข้างๆ

“มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยคีน ยายเหมยนึกเฮี้ยนอะไรอีกล่ะ ถึงได้ออกมาทำบ้าอะไรแบบนั้น”

“ไม่รู้...เหมยกินเหล้าไปจนเกือบจะหมดขวด ฉันก็เลยจะชวนกลับบ้าน แต่ตอนที่เหมยถามว่าที่นี่ที่ไหนน่ะสิ ฉันก็ตอบว่างานแต่งนายปูน เธอก็โวยลั่นในทันที”

มณีกานดาจัดการเล่ารายละเอียดปลีกย่อยให้กับเพื่อนสาวฟัง โดยมิวายหันไปมองเมยาวีที่นอนคุดคู้อยู่เบาะหลังรถ พร้อมกับพูดพร่ำด่าปวีร์อยู่ไม่ขาดปาก

“นี่แหละน้า...ว่าลืมได้แล้ว แต่ใจกลับไม่ลืม”

“ฉันว่าเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ฉันอาย” มณีกานดาขยับเข้ามาจับแขนเพื่อนสาว พร้อมกับชวนให้อีกฝ่ายกลับบ้าน...

“เดี๋ยว...ฉันลืมกระเป๋าเอาไว้ในงาน คีนเธอนั่งรออยู่ในรถก่อนนะ ระวังอย่าให้ยายเหมยออกมาอาละวาดอีกล่ะ ฉันไปแปบเดียว เดี๋ยวมา”

มณีกานดาพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเข้าไปนั่งรออยู่ในรถ ขณะวัสนางค์รีบเข้าไปในงานอีกครั้ง เพื่อที่จะเอากระเป๋าถือของตนเองที่วางเอาไว้ตอนก่อนไปเข้าห้องน้ำ

ถือว่ายังโชคดีที่ของของเธอไม่ได้หายไปไหน เพราะได้ฝากเอาไว้กับคนรู้จัก ก่อนจะรีบเดินออกมา หากแต่ในระหว่างการเดินทางออกมา ดวงตาคู่สวยกลับเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังพูดโทรศัพท์ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด

เจอกันเพียงครั้งแรก และครั้งเดียว เธอก็จำได้ เพราะนายคนนั้นล่ะ ที่ชนเธอเป็นคนที่สองตอนที่อยู่หน้าห้องน้ำ
สมองสั่งงานให้ก้าวเข้าไปหาเขาในทันทีอย่างรวดเร็ว

“นี่นาย...” เมื่อไปถึง ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร แม่สาวฝนก็ฟาดเพี้ยะเข้าให้ที่ต้นแขนของเขาอย่างแรง “ไอ้สารเลว ชนฉัน แล้วจะยังไม่ช่วยอีก”

“อะไรนี่คุณ...อ้อ คุณนั่นเอง” เห็นหน้าของผู้หญิงตรงหน้าอย่างชัดเจน รักษ์ราชจึงจำได้ว่าเธอคือคนที่เขาเพิ่งชนเมื่อครู่

“นายชนฉัน จะช่วยพยุงฉันให้ลุกขึ้นไม่ได้หรือไง คนอะไรไร้น้ำใจสิ้นดี”

“ขอโทษครับ...”

ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้น ก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะขยับเข้าหาหญิงสาว เช่นเดียวกับวัสนางค์ที่แบะปาก เธอเชิดหน้าใส่อีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง

“เชอะ...ขอโทษ นายคิดหรือไงว่ามันจะหาย”

“ก็ผมขอโทษคุณแล้วนี่ จะอะไรกันนักกันหนาฮึ” เขาเริ่มมีน้ำโห...ก็เพราะการที่เขาชนเธอเมื่อครู่ไม่ใช่หรือ จึงทำให้การจับกุมพลาดไปอย่างน่าเสียดาย “ก็เพราะคุณนั่นแหละ ผมถึงทำงานไม่สำเร็จ แถมยังโดนเจ้านายบ่นเมื่อครู่เนี่ย”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน นายโดนบ่นก็โดนไปสิ” หญิงสาวยืดอก เชิดหน้าอย่างถือดี

“ก็เพราะคุณคนเดียวน่ะแหละ ผมถึงซวย”

“นายก็เหมือนกัน ชนฉันแล้วยังจะไม่ช่วยอีก”

“ผมต้องทำงาน” เจ้าหนุ่มเถียง

“ทำงานก็ทำงานของนายไปสิ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”

“ก็ผมทำงาน ไม่มีเวลาไปดูแลใคร อีกอย่างผมจำได้นะว่าขอโทษคุณไปแล้ว แล้วจะเอายังไงกับผมอีก...พอละ ผมจะไปทำงานต่อ คุณหลีกไป” เถียงกับคนไร้เหตุผลไป ดูเหมือนว่าจะยิ่งไร้สาระ คนอะไร เขาอุตส่าห์ขอโทษแล้ว ยังจะไม่รับคำขอโทษของเขาอีก

ทว่าข้อมือหนากลับถูกยึดเอาไว้เสียก่อนด้วยข้อมือบางของหญิงสาว ก่อนที่เขาจะก้าวพ้นไป

“เดี๋ยว...มันยังไม่จบ”

“ยังไม่จบ โธ่คุณ...จะอะไรอีกฮึ หลีกไป ผมจะกลับ”

“ไม่...” แม่สาวฝีปากกล้าเอ่ยเสียงเข้ม ประกายตาแข็งกร้าว

“อ้อ...หรือว่าคุณต้องการจะให้ผมจับส่งชายแดน ขอบอกก่อนนะ ผมเป็นพวกค้ามนุษย์นะ มาสิ เดี๋ยวผมจะสงเคราะห์ให้”

ว่าแล้วก็ขยับเข้าหา เล่นเอาวัสนางค์ถึงกับหน้าซีดเผือด ก่อนจะรีบยกมือกรีดเสียงร้องดังลั่น แล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นในทันที

“ยายโก๊ะเอ้ย พูดแค่นี้ก็กลัว ทีเมื่อกี้ทำเก่ง ด่าเอาๆ” รักษ์ราชโคลงศีรษะของตัวเองไปมา พร้อมกับหัวเราะขำขันต่อกิริยาของหญิงสาวเมื่อครู่...

****

“เชอะฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ไอ้หน้าเข้ม...” วัสนางค์มิวายบ่นอุบอิบกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อเข้ามานั่งประจำที่ในรถ

“บ่นอะไรอีกล่ะยายฝน ไปเจออะไรมาอีกล่ะ เห็นวิ่งแจ้นอย่างกับผู้ร้ายเจอตำรวจ” มณีกานดาเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยสีหน้าใคร่รู้

“ก็...ไม่มีอะไรหรอก แค่เจอหมาบ้าเท่านั้นแหละ” หล่อนแบะปาก ก่อนจะหันไปทางเบาะหลัง แล้วถามหาเพื่อนสาวอย่างเป็นห่วง

“ยายเหมยหลับไปแล้วล่ะ” มณีกานดาตอบด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายขึ้น เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องมารบราห้ามปรามเมยาวีแต่เพียงลำพัง

“อือ...หลับก็ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่มาอาละวาดอีก”

คนพูด พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ในทันที...จากนั้นไม่นานรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากต่างประเทศของวัสนางค์ก็เคลื่อนออกไปจากบริเวณโรงแรมแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

***

เช้าแล้ว...ไอหมอกลอยกรุ่นเหนือทิวเขาท้ายไร่ อย่างสวยงาม แสงแดดที่ส่องผ่านมาจากช่องหน้าต่างที่เปิดกว้างแยงเข้าลูกตาของหญิงสาวที่นอนคุดคู้อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างบางขยับตัวอย่างเมื่อยขบ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง ด้วยอาการงัวเงียก่อนจะผุดกายลุกขึ้น

“ทำไมมันปวดหัวแบบนี้เนี่ย...”

เมยาวีบ่นอุบอิบกับอาการปวดร้าวระบมที่มันแล่นจี๊ดอยู่ในหัว ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างนึกงง พรางคิดทบทวนว่า เมื่อคืนตนกลับมาบ้านได้อย่างไร

“กลับมาตอนไหนเนี่ย...” ยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง ก่อนจะเคลื่อนตัวลงจากเตียงเปิดประตูเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะพบกับบิดาและมารดาที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก

“สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณพ่อคุณแม่”

“อ้าวตื่นแล้วหรือเหมย” คุณมาติกาเอ่ยถามบุตรสาว ขณะเมยาวีขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับมารดา

“หนูกลับมาตอนไหนกันคะคุณพ่อคุณแม่”

“ก็แหงล่ะที่จะไม่รู้ตัว เมามากขนาดนั้น” คุณกัณฑ์สิทธิ์อดที่จะเอ็ดบุตรสาวไม่ได้

“เมา...หนูเมาหรือคะ”

คนเมายังไม่รู้ตัว เอ่ยถามอย่างสงสัยเป็นที่สุด จำได้ว่าครั้งสุดท้ายเธออยู่ในงานแต่งของปวีร์ และกำลังดื่มไวท์ โดยมีมณีกานดานั่งอยู่ข้างๆ อาจจะเป็นเพราะเจ้าไวท์ขวดนั้นก็ได้ ที่ทำให้ความทรงจำของเธอถูกลบเลือนไปชั่วขณะ

“หนูคีนกับหนูฝนมาส่งน่ะลูก...”

“หรือคะ...”

เธอนิ่งคิดตาม ก่อนจะยกมือขึ้นเกาผมที่ฟูของตัวเองอีกครั้ง จนคุณกัณฑ์สิทธิ์อดที่จะเอ่ยเตือนบุตรสาวไม่ได้

“นี่ยายเหมย เป็นสาวเป็นนาง ดูสิแฮงค์ขนาดนี้ ไปอาบน้ำได้แล้วไป”

“ใช่...ดูสภาพของลูกสิ ดูไม่ได้เอาซะเลย” มารดาพูดเกือบจะควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเองไม่ได้ ขณะเมยาวีอดค้อนให้กับบิดาและมารดาที่รุมว่าเธอไม่ได้

“ก็หนูเป็นผีบ้ายังไงล่ะคะ แบร่...” ทำท่าแลบลิ้นออกมาอย่างกับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ

“ดูทำเข้าซิ คุณสิทธิ์ ดูลูกสาวของคุณสิคะ ไปเลยยายเหมย ไปอาบน้ำได้แล้ว”

มารดาฟาดเพี้ยะลงบนหัวไหล่ของบุตรสาวทีหนึ่ง พร้อมกับหญิงสาวที่รีบถลาออกไปจากตรงนั้นในทันที

“ดูลูกสาวคุณสิคุณสิทธิ์ นับวันจะเป็นเอามากแล้วนะนั่น” คุณมาติกาหันมาค้อนขวับใส่สามีอีกครั้ง

“ก็ลูกสาวคุณด้วยสิ หึๆ เหมือนแม่เมื่อตอนยังสาวไม่ผิด”

คุณกัณฑ์สิทธิ์เอ่ยเย้าภรรยา ก่อนรวบหนังสือพิมพ์ลงวางบนโต๊ะ และชวนกันออกไปข้างนอกในเวลาต่อมา



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ม.ค. 2555, 22:07:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ม.ค. 2555, 22:07:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1962





<< ตอนที่ ๑ แฟนเก่า   ตอนที่ ๓ ไร่ดอกไม้ศีตกรรณ >>
ทองหลาง 30 ม.ค. 2555, 14:00:49 น.
พัฒนาขึ้นนะเนี่ย มีคนกดไลค์เพิ่มด้วย


anOO 1 ก.พ. 2555, 17:22:42 น.
ท่าทางเรื่องนี้จะมี 3 คู่ใช่ไหมเอ่ย


พายุ 2 ก.พ. 2555, 18:59:32 น.
หุหุ มีสองคู่เองอ่ะ จะเป็นใคร ติดตามเองดีกว่าครับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account