ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: ตอนที่ ๒

ในความเงียบสงบของราตรีอันแสนสุข..จู่ๆเสียงเคาะกึ่งทุบบานประตูพร้อมเสียงเรียกดังรัวราวกับหนีตายใครมา ฉุดกระชากให้ผู้ที่นอนคว่ำหน้าหลับใหลบนเตียงกว้างหนานุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก

‘ อะไรวะ! ’

“คุณจิล! ตื่นเร็วๆ เกิดเรื่องกับเสี่ยครับ”

ประโยคที่ได้ยินทำให้คนฟังลุกพรวดขึ้นนั่งหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง ในจังหวะเดียวกันกับที่บานประตูเปิดออกให้ร่างสูงใหญ่ของคนสนิทก้าวเข้ามา

“คนที่บ่อนโทรมาบอกว่ารถของเสี่ยโดนถล่ม”

“เฮ้ย! แล้วป๊าอั๊วล่ะ” น้ำเสียงนั้นเปี่ยมด้วยความร้อนรน

“พวกนั้นกำลังพาไปโรงพยาบาลครับ” และขณะที่ลูกน้องกำลังโทรศัพท์รายงานเข้ามา เสียงยิงปะทะยังแว่วลอดผ่านตามสัญญาณให้ได้ยินประปราย

“บ้าเอ้ย! เป็นไปได้ยังไงวะ” อนาวินพึมพำฉุนเฉียวระคนห่วงใยผู้ให้กำเนิด พร้อมสะบัดผ้าห่มออกจากท่อนขา พาร่างเปล่าเปลือยมาเปิดตู้เสื้อผ้า ฉวยหยิบเสื้อ-กางเกงมาสวมเร่งรีบ ในขณะที่คนสนิทรีบรุดออกจากห้องลงไปเตรียมคนและรถให้ผู้เป็นนาย


ภายในคฤหาสน์ไม้เก่าแก่หลังใหญ่ที่เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังมืดสลัวสงบเงียบ ทว่า..ช่วงนาทีนี้ดวงไฟทุกดวงถูกเปิดสว่างเห็นชัดถึงความวุ่นวาย ด้วยความร้อนรนของผู้ที่ได้รับข่าวร้าย โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านถึงกับลนลานทำอะไรไม่ถูก มือที่เร่งรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าสั่นสะท้าน น้ำตาคลอสองหน่วยตาจนพร่าเลือน
เสียงเคาะบานประตูพร้อมเสียงเรียกของลูกชาย ทำให้ร่างที่ยืนเคว้งรีบหันมาเปิดประตูรับร่างสูงให้ก้าวเข้ามา

“แม่พร้อมแล้วใช่ไหม เราจะได้ไปกันเลย”

เมธิกาพยักหน้ารับ พร้อมรีบใช้หลังมือปาดเช็ดน้ำตา พยายามเรียกความเข้มแข็งให้ตนเอง มั่นใจว่า..สามีของตนต้องปลอดภัย

อนาวินยื่นมือมาประคองร่างแบบบางของมารดาพาเดินออกจากห้องลงมาชั้นล่าง สมทบกับพิมพ์กมลผู้เป็นอาสะใภ้กำลังยืนกุมมือแน่นกับพิมพ์ศิริ ลูกสาวเพียงคนเดียว ซึ่งลงมาคอยก่อนหน้าได้ไม่กี่นาที
และทั้งหมดจึงพากันไปโรงพยาบาลที่ครอบครัวใช้บริการเป็นประจำ พร้อมขบวนผู้ติดตามอีกนับสิบชีวิต เพราะเกรงจะเกิดเหตุซ้ำรอยเช่นเดียวกับผู้เป็นนายใหญ่


บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนใหญ่ ผู้คนที่มารอผลการรักษาของญาติหรือคนรู้จัก ต่างพากันไปรวมตัวกันนั่งกระจุกอยู่มุมข้างเคาน์เตอร์ ปล่อยพื้นที่ส่วนใหญ่ให้กลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบชีวิตได้ยึดครอง ซึ่งใบหน้า ลักษณะท่าทางของแต่ละคนล้วนเหี้ยมเกรียม ดุดัน และบางคนยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนตามมือและเสื้อผ้าก็ยิ่งสร้างความหวาดหวั่นจนไม่อยากเฉียดเข้าใกล้

และไม่นาน..อนาวินก็เดินนำเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มารดาเดินจับมือมากับพิมพ์กมลโดยมีลูกสาวคอยเคียงข้าง และร่างสูงใหญ่ของคนสนิทของอนาวินตามมาไม่ห่าง โดยให้ผู้ติดตามที่เหลือคอยอยู่ที่รถ..ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคุมกาสิโนเหลือบมาเห็นชายหนุ่มที่แม้จะเห็นหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่ก็จำได้ว่าเป็นลูกของนายใหญ่ จึงรีบก้าวยาวๆเข้ามาหา

ซึ่งชายหนุ่มเอ่ยถามทันที เพราะจำเขาได้เช่นกัน
“ป๊าอั๊วเป็นไงบ้าง”

“หมอเพิ่งย้ายเข้าห้องผ่าตัดเมื่อกี้เองครับ รวมทั้งเฮียด้วย..แต่หมอไม่ให้ตามไป พวกผมเลยคอยฟังข่าวกันแถวนี้ล่ะครับ”

เมื่อฟังสิ่งที่ลูกน้องของบิดารายงาน เขาก็หมายจะเดินไปถามเจ้าหน้าที่ ว่าพาบิดาเขาเข้าห้องผ่าตัดที่ห้องไหน แต่เจ้าหน้าที่สาวของโรงพยาบาลสองคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาก็กำลังเดินลิ่วเข้ามาหาเช่นกัน

“คุณอนาวินคะ คุณหมอกำลังเตรียมการผ่าตัดให้กับคุณพ่อของคุณกับคุณศราอยู่นะคะ รบกวนเซ็นเอกสารผ่าตัดให้หน่อยค่ะ” หนึ่งในสองยื่นเอกสารให้เขาและพิมพ์กมลเซ็นชื่อยินยอมลงไปในช่อง และส่งคืนให้เธอพร้อมกับคำพูดของอนาวิน

“ผมอยากจะรู้อาการของพ่อผมหน่อยครับ”

“เดี๋ยวจะมีคุณหมออีกท่านที่อยู่ในทีมผ่าตัดมาบอกอาการค่ะ..คุณตามน้องคนนี้ไปคอยที่ห้องรับรองก่อนนะคะ”

หญิงสาวบอกเขาจบก็หันเดินจากไป เพื่อเร่งนำเอกสารไปดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

เจ้าหน้าที่สาวอีกคนจึงเอ่ยย้ำ
“เชิญทางนี้ค่ะ”

ญาติคนไข้ทั้งหมดจึงพากันเดินตามการนำพาของหญิงสาว และเข้าไปนั่งรอภายในห้องรับรองใหญ่ไม่กี่นาที นายแพทย์วัยกลางคนที่สวมชุดกาวน์สวมทับชุดผ่าตัดก็เดินเข้ามาอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องทำการผ่าตัดให้ฟังคร่าวๆ และจบด้วยคำพูดว่า “พวกผมจะพยายามจนสุดความสามารถครับ” ก่อนจะก้าวออกจากห้อง


เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีมันช่างสร้างความทรมานสำหรับผู้ที่เฝ้ารอจนแทบทนไม่ไหว อาการกระสับกระส่ายแสดงออกมาทั่วทุกคนในหลายรูปแบบ..ร่างสูงของอนาวินผุดลุกผุดนั่ง เดินไปมาจนสิ้นความอดทน ก็หันมาพูดกับมารดาที่นั่งบีบมือแน่นกับเพื่อนสนิท

“แม่ เดี๋ยวผมลงไปดูเจ้าพวกข้างล่างหน่อยนะครับ”

เมื่อมารดาพยักหน้ารับ เขาก็เลยไปพูดกับญาติสาว
“ขวัญ พี่ฝากดูแม่ด้วยนะ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เฮีย”

ชายหนุ่มจึงหันเดินออกจากพื้นที่บริเวณนั้นลงมายังชั้นล่าง และหันไปพูดกับคนสนิทที่ก้าวตามมา
“โจ้..เดี๋ยวโทรเรียกให้ใครขึ้นมาดูแม่อั๊วด้วย”

“ครับ”
หลังรับคำ ชายหนุ่มโทรบอกลูกน้องให้ขึ้นมาสองคน เพื่อดูแลความปลอดภัยให้นายหญิง


อนาวินสั่งให้ลูกน้องที่คุมกาสิโนกลับไปก่อนเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นแล้ว ขืนอยู่ก็รังแต่จะสร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คนทั่วไป และคนติดตามของเขาก็มีมากพอที่จะคุ้มครองบิดาได้..แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่เต็มใจอยากจะฟังคำสั่งนี้ของเขานัก เพราะความเป็นห่วงกังวลในอาการของนายใหญ่ และชายหนุ่มก็รู้ดีว่า คำสั่งของเขาไม่ค่อยศักดิ์สิทธินัก เพราะตลอดมาบิดาจะไม่ให้เขาเข้าไปมีส่วนยุ่งเกี่ยวภายในกาสิโนเลย นอกจากว่าเขาจะขอตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาก็ไม่สนใจแล้ว เพราะในชีวิตมีเรื่องที่น่าสนใจให้ทำมากกว่า ทั้งเรื่องของเพื่อนฝูงในแวดวงสังคมและผู้หญิงที่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาเติมสีสันและความรื่นรมย์ให้กับชีวิต

“ถ้ารู้อาการของป๊าแล้ว อั๊วจะให้คนโทรไปบอกอีกทีก็แล้วกัน”

เขาพูดดั่งคำมั่นให้อีกฝ่ายคลายใจ และยอมพากันกลับไปในที่สุด หลงเหลือแต่บอดี้การ์ดของบิดาที่ได้รับการรักษาบาดแผลแตกที่ศีรษะและตามเนื้อตัวอีกไม่กี่แผลเรียบร้อยแล้ว และในแววตาคมกล้าของบอดี้การ์ดหนุ่มซึ่งยามนี้ดูอ่อนแสงโรยรา ทั้งเหน็ดเหนื่อย เคียดแค้นและโศกสลดกับการสูญเสียกลุ่มเพื่อนร่วมอาชีพและคนที่นับถืออย่างตฤน กับยักษ์ ที่เป็นดั่งครูฝึก สั่งสอนทักษะการต่อสู้ต่างๆ และเคี่ยวกรำจนเขาสามารถขึ้นมาเป็นคนสนิทของนายใหญ่ร่วมกับเพื่อนรักอีกสองคน แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ มันได้พรากทุกคนไปจากเขาจนหมดสิ้น

“ลุงไมค์อยู่ไหน”

“ไปดูศพคนของเราครับ..พวกมูลนิธิไปเอามาแล้ว แต่ส่งไปอีกโรงพยาบาลครับ..อีกไม่นาน..พวกตำรวจคงมาหาเรา”

“อืมม์..” ใบหน้าเคร่งขรึมของคนฟังพยักรับรู้เพียงเล็กน้อย “ตอนนี้นายกลับไปพักผ่อนก่อน..พรุ่งนี้ คงมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ”

“แล้ว..อาการของเสี่ยล่ะครับ”

“อั๊วก็กำลังคอยอยู่..นายกลับไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าได้เรื่องอะไร แล้วจะให้โจ้โทรไปบอก”

บอดี้การ์ดหนุ่มเลยสายตาไปมองหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนหลังเจ้านายพยักหน้าให้เล็กน้อย เขาจึงหันกลับมารับคำกับนายหนุ่ม “ครับ” และหันเดินจากไป..

เมื่อคล้อยหลังร่างสูงใหญ่ไปแล้ว อนาวินก็หาที่สงบเงียบโทรศัพท์พูดคุยกับไมค์ ซึ่งเพิ่งจะปิดผืนผ้าดิบสีขาวขุ่นคลุมใบหน้าของตฤนและยักษ์ลงท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของบรรดาผู้ติดตามวางเรียงรายรอการชันสูตร เขาเดินออกมาจากบริเวณพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกแสนหนักอึ้ง ขณะกดรับโทรศัพท์ของชายหนุ่ม

“ครับ คุณจิล”

“บาสบอกว่าลุงไปดูศพคนของเรา..”

“ครับ”

“..พวกนั้น..อยู่กันครบทุกคนใช่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงแผ่ว เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนเหล่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้คลุกคลีใกล้ชิด แต่ก็เห็นหน้าค่าตากันทุกวัน..จู่ เมื่อคนเหล่านั้นมีอันต้องจากไปและมีสาเหตุมาจากการปกป้องบิดาของเขา มันก็ทำให้รู้สึกใจหายจนบอกไม่ถูก

“ครบทั้งเก้าคนเลยครับ..” ซึ่งรวมทั้งเพื่อนรักทั้งสองด้วย

น้ำเสียงเครียดอัดแน่นด้วยความคลั่งแค้นของผู้พูด จนคนฟังจับกระแสได้
“ลุงพอจะเดาได้ไหม ว่าเป็นพวกไหน”

“ตอนนี้ยังมืดแปดด้านครับ..แต่ดูจากอาวุธแล้วก็รูปแบบที่โจมตี..เป็นพวกมีสีแน่นอนครับ”

“ใครกันที่กล้าทำถึงขนาดนี้..”

“ขอเวลาผมหน่อย รับรอง ผมหามันเจอแน่”

“ลุงมั่นใจเรอะ”

“ผมมั่นใจครับ” ไมค์ยืนยัน..เพราะเบาะแสชิ้นสำคัญได้ถูกส่งมาให้เขาเรียบร้อยแล้ว

“ถ้ามั่นใจก็ดี ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใคร ผมจะได้ตอบแทนอย่างสาสม”

“..ขอแค่เวลาเท่านั้น พวกมันต้องได้ชดใช้แน่”

“อืมม์ เรื่องนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ..ถ้าอย่างงั้นตอนนี้ลุงช่วยจัดการเรื่องงานศพคนของเราก่อนก็แล้วกัน..ทำให้ดีที่สุด รวมทั้งครอบครัวของพวกเขาด้วย”

“ครับ..แล้ว อาการของเสี่ยเป็นไงบ้างครับ”

“หมอกำลังผ่าตัดอยู่..แต่ผมว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอก..ป๊าน่ะ หนังเหนียวจะตาย”
เขาแค่นหัวเราะ แม้จะรับรู้ว่าอาการของผู้ให้กำเนิดนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่ในใจยังหวัง ว่าผู้ให้กำเนิดจะรอดปลอดภัยจากเหตุร้ายครั้งนี้


หลังจากวางสายไมค์ลงแล้ว ชายหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่ง ถอนใจเฮือก..พยายามคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้ ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังแผนการครั้งนี้และชื่อของ ชนาธิป ก็ผุดขึ้นมาเป็นลำดับแรก เพราะธุรกิจของบริษัททำให้ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกับคู่แข่งบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับกลุ่มของรัตนากรที่ยืดเยื้อยาวนานนับสิบปี ซึ่งในระยะหลังมักมีเรื่องให้ต้องปะทะกันบ่อยครั้งทั้งทางตรงและทางอ้อม และล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนก่อน การยื่นซองประมูลงานเม็กกะโปรเจคของรัฐบาลที่บริษัทเขาได้มา สร้างความไม่พอใจกับฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมากจนยื่นคำร้องประท้วง ว่าฝ่ายเขาฮั้วการประมูล แต่เมื่อไม่มีหลักฐานชัดแจ้ง ทุกข้อกล่าวหาจึงเป็นอันตกไป

แต่อีกใจก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของชนาธิป..เพราะการทำธุรกิจ เรื่องการแข่งขันและแทคตริกมันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งคนระดับอย่างชนาธิปเองก็น่าจะรู้ดี ไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้

โจ้มองใบหน้าครุ่นคิดของนายหนุ่ม และยอบตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป
“จะส่งข่าวเรื่องนี้ให้คุณหนูเล็กรู้เมื่อไหร่ครับ..”

“เดี๋ยวนี้ล่ะ..เพราะเต้ ต้องรีบลงมาไหว้ศพน้าตฤนด้วย”

เขาตอบก่อนจะปัดเรื่องที่คิดในหัววางไว้ชั่วคราว เพราะมั่นใจว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องรู้ว่าใครมันเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน และกดโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศหาน้องสาวที่เขามักจะเรียกว่า นางมารน้อย ซึ่งขณะนี้กำลังเริ่มศึกษาระดับปริญญาโท โดยมีลูกชายของตฤนที่อายุมากกว่าเขาเพียงแค่เดือนเดียว คอยเป็นทั้งพี่เลี้ยงและบอดี้การ์ดดูแลกันมาตั้งแต่น้องสาวยังเป็นเด็กน้อยจอมซน..และจนถึงเดี๋ยวนี้ น้องสาวของเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเตชิตให้ห่างตัว

สองพี่น้องใช้เวลาโต้ตอบบทสนทนากันไม่นานก็วางสาย โดยผู้เป็นน้องสาวบอกว่า.. “หนูเล็กจะกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด”

หลังจากนั้น อนาวินกลับขึ้นไปรอผลการผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งผลการผ่าตัดของศรานั้นเสร็จสิ้นลงก่อน แม้ว่าทีมแพทย์จะบอกว่าพ้นขีดอันตราย แต่ยังต้องรอดูอาการ เช่นเดียวกับบิดาของเขาที่ผลการผ่าตัดสำเร็จในเวลาไล่หลังกันนานร่วมครึ่งชั่วโมง..ชายหนุ่มฟังผลความคืบหน้าการรักษา ก่อนนายแพทย์เจ้าของไข้จะเดินจากไป เขาจึงให้คนสนิทจัดคนมาดูแลความปลอดภัยให้บิดาและอาของเขาเต็มกำลัง ก่อนหันกลับมายังมารดาที่ยืนเกาะแผ่นกระจก ดวงตาฉ่ำชื้นมองร่างนอนนิ่งของสามีที่อยู่ภายในห้องปลอดเชื้อซึ่งร่างกายเต็มด้วยสายระโยงระยางของอุปกรณ์ช่วยชีวิตหลายอย่าง หากไม่เป็นเพราะคำสั่งห้ามเยี่ยมของแพทย์เจ้าของไข้ ป่านนี้ตนคงเข้าไปนั่งกุมมือสามีและถ่ายทอดความรักความห่วงใยให้เขาอยู่ข้างเตียงแล้ว

“แม่ เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ ถึงอยู่ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

“แต่แม่อยากอยู่กับป๊า เผื่อป๊าฟื้นขึ้นมาแล้วจะไม่เห็นใคร”

“กว่าป๊าจะฟื้นจากฤทธิ์ยาของหมอก็คงจะเป็นช่วงสายๆเที่ยงๆนั่นล่ะ..แม่กลับไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น แล้วก็แต่งตัวสวยๆ รอป๊าตื่นขึ้นมาจะดีกว่านะครับ”

“แต่..”

เมธิกาคิดจะแย้ง แต่ลูกชายก็พยายามโน้มน้าวในแบบฉบับของเขา
“เชื่อผมสิ..ป๊าชอบให้แม่แต่งตัวสวยๆ แล้วก็คอยยิ้มให้ มากกว่าที่จะเห็นยายเพิ้งหน้าตามอมแมมนะครับ”

คนฟังค้อนขวับกับคำเปรียบเปรยนั้น แต่ก็เริ่มคล้อยตามเช่นกัน
“งั้นเรารีบกลับบ้านเลย..อ้อ! แล้วลูกสั่งให้คนมาดูแลความปลอดภัยให้ป๊ารึยัง ขอกำลังพวกตำรวจก็ได้นะ..แม่กลัวว่าพวกคนร้ายมันจะกลับมาทำร้ายป๊าอีก”

“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ต่อให้พวกมันยกมาทั้งกองทัพ พวกเราก็กวาดเรียบ..แม่ก็ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว..งั้นเราไปหาอาน้ำหวานกับหนูขวัญก่อน จะได้รีบไปกันเลย”

“ครับ”

หลังจากกลับมาถึงบ้าน..เมธิกาอาบน้ำแต่งตัว แต่งหน้าตามที่ลูกบอกและจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไปหลายชุด เพราะดูอาการของสามีแล้ว คงต้องใช้เวลากิน-นอนอยู่ภายในโรงพยาบาลหลายวันเป็นแน่



อนาวินเรียกทนายความประจำตระกูลให้มาที่บ้าน และทั้งหมดพากันไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งในตอนสาย ทว่า..คราวนี้ผู้ที่รอต้อนรับนอกจากจะเป็นทีมแพทย์ และตำรวจแล้ว ยังเต็มไปด้วยกองทัพนักข่าวหลากหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศที่ต่างรัวแสงแฟลชพร้อมยิงคำถามสารพัด..อนาวินโอบมารดาไว้แนบอกขณะเดินตามการเปิดทางแหวกฝูงนักข่าวของบรรดาลูกน้องร่างใหญ่พร้อมผู้ติดตามทั้งหมดเข้าไปยังพื้นที่ด้านในที่นักข่าวไม่สามารถเข้าไปได้ และพบกับ จตุพลที่มารอเยี่ยมบิดาเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้อาวุโสที่นับถือกันมาหลายสิบปี
“สวัสดีครับ คุณลุง”

“สวัสดีคุณจิล..ลุงเพิ่งจะรู้ข่าวเมื่อเช้านี้เอง ก็รีบมาเลย..ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดเรื่องอย่างนี้กับคุณอชิร”

“ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันครับ”

และขณะที่พูดคุย นายแพทย์เจ้าของไข้ก็เดินมา เขาจึงหันไปถามอาการของบิดากับศรา แต่ผลก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และทั้งสองก็ยังไม่ได้สติ..หลังจากนายแพทย์เดินจากไป นายตำรวจทั้งสามที่รอสอบปากคำเขาตามขั้นตอน ก็เข้ามาถามเพื่อสืบหาเบาะแสของคนร้ายโดนให้น้ำหนักเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์มากที่สุด

“คุณพอจะทราบไหมครับ ว่าตอนนี้พ่อของคุณกำลังขัดแย้งกับใครหรือกลุ่มไหนบ้าง”

“ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกเลยครับ”

อนาวินตอบกลับนายตำรวจหนุ่ม ซึ่งคาดคะเนว่า อายุอาจจะอ่อนกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ และน้ำเสียงที่ถามนั้นมันช่างเรียบเรื่อย ชวนให้ไม่น่าจะฝากความหวังอะไรได้เลย

“อย่างนั้นหรือครับ..ไม่เป็นไรครับ ทางเราจะพยายามสืบเต็มที่ และถ้าคุณมีเบาะแสอะไรหรือสงสัยใครเป็นพิเศษก็ช่วยแจ้งให้ทางเราทราบด้วยนะครับ แล้วก็พยายามอย่าพูดอะไรหรือแสดงความคิดเห็นอะไรกับนักข่าว เพราะมันอาจจะกระทบไปถึงรูปคดีได้”

“ครับ”

“งั้นพวกผมขอตัว” พูดไปตามไดอะล็อกที่มักจะได้ยินบ่อยครั้ง ก่อนพากันเดินจากไป เมื่อคล้อยหลังจากกลุ่มนายตำรวจ จตุพลที่ยืนเงียบก็แสดงความคิดเห็นออกมา

“ลุงว่า พวกรัตนากรต้องมีเอี่ยวแน่นอน..เมื่อกี้คุณจิลน่าจะบอกพวกตำรวจไปเลยนะครับ”

“..เรายังไม่มีหลักฐานอะไร ผมเลยไม่อยากพูดอะไรออกไปตอนนี้..ไว้รอให้มีหลักฐานเมื่อไหร่ ผมเล่นไม่เลี้ยงแน่” ชายหนุ่มพูดอย่างเข่นเขี้ยว

“อืมม์..ตอนนี้คุณอชิรคงยังต้องพักฟื้นยาว หนำซ้ำ คุณศรายังเป็นไปด้วยอีกคน..คราวนี้ คุณจิลคงต้องรับภาระงานที่บริษัทหนักหน่อยนะ”

“เรื่องนั้นผมไม่ห่วงหรอกครับ เพราะยังไง บริษัทยังมีทีมบริหารเก่งๆอีกหลายคน..แต่ที่ผมห่วงก็แค่อาการของป๊ากับอาเจ๊กเท่านั้นล่ะครับ”

จตุพลตบบ่ากว้างแกร่งกำยำของหนุ่มรุ่นลูกดั่งให้กำลังใจ
“คุณอชิรกับคุณศราคงไม่เป็นอะไรหรอก..ตอนนี้ คุณตัวคุณเองก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”

“ครับ คุณลุง”

“งั้นวันนี้ลุงกลับก่อนล่ะ..แล้วค่อยพบกันวันจันทร์นะครับ”

“ครับ..ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไร คนกันเองน่ะ”

จตุพลกล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม ก่อนหันก้าวนำร่างของคนสนิทจากไป..อนาวินหันมาทางทนายความหนุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่อีกมุมห้อง กำลังดูรูปภาพความเสียหายของรถยนต์ซีดานคันใหญ่ของผู้เป็นนายจากรูปถ่ายที่ลูกน้องส่งมาให้ทางเครือข่ายเน็ตเวิร์ด

และเมื่ออนาวินยอบตัวลงนั่งเก้าอี้ใกล้กับตน เขาจึงเงยหน้าขึ้นพูด
“พวกนั้นคงรู้ความเคลื่อนไหวของเสี่ยมากทีเดียว คนของเราถึงพลาดท่าถูกโจมตีได้ถึงขนาดนี้”

เพราะครอบครัวของเขานั้นข้องเกี่ยวกับครอบครัวของอชิรมาตั้งแต่ครั้งสมัยเจ้าสัวอานนท์ ผู้เป็นประมุขคนก่อน จึงรู้เรื่องราวตื้นลึกพอสมควร และเขาก็รู้ว่า ผู้ติดตามของอชิรแต่ละคนนั้นล้วนแต่ฝีมือดีทั้งนั้น ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ทุกความเคลื่อนไหว คงไม่สามารถหาจุดอ่อนมาเล่นงานขบวนผู้ติดตามยกทีมได้เช่นนี้เป็นแน่

“มันกะระเบิดให้ป๊าเละคาซากเลยด้วยซ้ำ” อนาวินแค่นเสียงคำรามลึก “คุณจัดการตามบี้เรื่องนี้ให้ผมก็แล้วกัน อ้อ! ผมอยากจะให้เปลี่ยนตำรวจชุดนี้ด้วย..บอกตรงๆ เห็นหน้าแล้วผมไม่ค่อยเชื่อน้ำยาเลย”

“ผมเองก็ว่าจะขอเปลี่ยน..ปกติหัวหน้าทีมสอบสวนคดีใหญ่แบบนี้จะเป็นผู้กองทะนง รายนั้นน่ะเก๋าเกมทีเดียว แต่ผู้กองคนนี้เหมือนเพิ่งจะได้รับตำแหน่งด้วยซ้ำ แต่กลับได้ทำคดีใหญ่”

“แค่เริ่มต้นก็มีกลิ่นซะแล้ว..อยากรู้ชะมัด ใครกันที่มันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”

“ผมจะพยายามสืบให้ครับ”

“ฝากด้วยนะครับ”

“ครับ”
ทนายหนุ่มรับปากมั่นเหมาะกับความท้าทายชิ้นใหม่

..........

คฤหาสน์หลังใหญ่..ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านรัตนากร..สมาชิกแทบทุกคนไม่สนใจที่จะไปนั่งรวมตัวกันในห้องอาหารเช่นเช้าวันปกติ เพราะข่าวการลอบสังหารประธารบริษัทไพศาลกรุ๊ป เรียกความสนใจได้มากกว่า

ชนาธิปนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดบนโซฟาตัวยาวข้างลูกชายคนเล็กและลูกสาวนั่งกอดอกบนพนักเท้าแขนฝั่งน้องชาย และคณินนั่งบนโซฟาเดี่ยวใกล้ๆกัน ในขณะที่ราโมน่ายืนหัวใจเต้นระทึกอยู่ด้านหลังสุด สายตาทั้งคู่เผลอส่งความห่วงใยผ่านจอโทรทัศน์ กับภาพของอนาวินที่สวมแว่นตาดำเดินจูงมือร่างเพรียวบางของญาติสาวคนสวย โดยปัดที่จะตอบคำถามใดๆขณะเดินตามเหล่าบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่พยายามแหวกบรรดานักข่าวจนกระทั่งขึ้นรถคันใหญ่ติดฟิล์มทึบ และตนขับพารถแล่นจากไป พร้อมๆกับการรายงานข่าวที่คาดเดาไปต่างๆนานาของนักข่าวกับคดีสะเทือนขวัญครั้งนี้

ชนาธิปหันไปเอ่ยกับคณิน น้ำเสียงติดกังวล
“เดี๋ยวใครๆคงต้องคิดว่าเราอยู่เบื้องหลังแน่”

“คงไม่มากหรอก เพราะใครๆก็รู้ ว่าฝ่ายนั้นน่ะศัตรูเยอะอยู่แล้ว”

“ผมแค่กลัวว่าจะกระทบมาถึงชื่อเสียงของเราเท่านั้น”

“คงมีบ้างล่ะ อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวอีกหน่อยเรื่องก็เงียบแล้ว”
คณินลุกขึ้นยืนและยื่นมือมาตบไหล่น้องชาย ก่อนจะพูดกับหลานๆ

“เอ้าเด็กๆ ไปกินข้าวกันดีกว่า” แล้วก็เดินนำออกจากห้องอาหาร เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลูกสาวลงมาจากห้องนอนพอดี สองพ่อลูกจึงพากันเดินเข้าห้องอาหาร สมทบกับฉันทิกาผู้เป็นน้องสะใภ้และสั่งคนรับใช้จัดเตรียมอาหารเสร็จพร้อมพอดี และหันมาถาม

“ แล้วพวกนั้นล่ะคะ”

“เดี๋ยวก็ตามมา เพิ่งจะดูข่าวของพวกไพศาลน่ะ”

“อะไรกัน..เมื่อคืนก็ดูแล้ว ยังจะดูอะไรกันอีก” ฉันทิกาบ่นงึมงำอย่างหัวเสีย ซึ่งเป็นอารมณ์พาลพาโลมาจากเมื่อคืน ตั้งแต่ลูกน้องคนสนิทของสามีโทรมาปลุกตอนเช้ามืด จากนั้น สามีก็เอาแต่นั่งดูข่าวจนไม่หลับไม่นอน และมันส่งผลลามมาถึงเธอที่ต้องถ่างตาตื่นเป็นเพื่อนเขาด้วย

แล้วก็หันมายังหลานสาว
“แอ้ม ไปตามพวกลุงๆ พี่ๆเขามากินข้าวที ไป๊”

“ค่ะ คุณอา”

ร่างปราดเปรียวของหญิงสาววัยยี่สิบหันก้าวยาวๆออกจากห้องอาหาร และเจอกับผู้เป็นอาเข้าพอดี
“อาน้อยกำลังบ่นอุบเลยค่ะ คุณอา”

ชนาธิปยิ้มให้กับเสียงใสๆที่เอ่ยรัวเร็ว
“งั้นอาคงต้องรีบไปหาอาน้อยเร็วๆแล้วล่ะ ก่อนที่จะโดนบ่นจนหูตึง”

หญิงสาวยิ้มกว้างและหันร่างก้าวตามร่างของอาไป เมื่อเห็นว่า บรรดาญาติผู้พี่เดินตามกันมาแล้ว โดยไม่รู้ว่า กำลังมีสงครามประสาทเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างสามหนุ่มสาว โดยเริ่มจากชญาภาที่เหยียดยิ้มเยาะเย้ยญาติสาว

“ฮึ! นี่แค่เกิดเรื่องกับคนพ่อนะ ยังหน้าถอดสีถึงขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดกับคนลูก มิเป็นลมไปเลยเรอะ แม่คนทรยศ”

ราโมน่าเม้มปากแน่น
“โม้นาไม่ได้เป็นคนทรยศอะไรอย่างที่พี่ภาพูดนะ”

“ไม่ทรยศ แต่แค่การมีใจให้ มันก็เข้าข่ายเหมือนกันนั่นล่ะ..รึเธอจะเถียง ว่าไม่ได้ชอบหมอนั่น”

“..เปล่านะ..พี่จิลแค่เป็นรุ่นพี่ของโม้นาเท่านั้น..” หญิงสาวพยายามยืนยันเสียงแข็ง ทั้งๆที่หัวใจกำลังเต้นรัวเร็วกับการถูกจี้ตรงจุด

และฉันทัชที่มีอายุไล่เลี่ยกับเธอก็เอ่ยสนับสนุนพี่สาว
“ฮึ! ผู้ร้ายปากแข็ง”

“นี่ หยุดหาเรื่องโม้นากันซะทีได้ไหม” ราโมน่าขึ้นเสียงอย่างเหลืออด และชญาภาก็โต้กลับ

“ฉันไม่ได้หาเรื่อง..ตัวเธอเองนั่นล่ะ อยู่ดีไม่ว่าดีกลับเอนเอียงเข้าหาศัตรู..หึ แค่ที่พ่อฉันรู้ว่าเธอสนใจนายนั่นเป็นพิเศษเขาก็ไม่พอใจมากแล้วนะ อย่าให้พ่อฉันต้องความดันขึ้นเพราะพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของเธออีกเลย”

“นั่นสิ..แค่แม่ของเธอคนเดียวก็ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนพอแล้ว อย่าทำตัวใจง่ายตามอย่างแม่ของเธออีกคนเลย”

และเสียงกระแอมไอของพี่สาว ทำให้ชายหนุ่มเพิ่งสำนึกว่าพูดอะไรออกไป ในขณะที่ญาติสาวเขม็งมองอย่างโกรธจัด ก่อนแค่นเสียงพูด

“แค่หาเรื่องโม้นาคนเดียวก็พอแล้วนะ ทำไมต้องลามปามไปถึงแม่ด้วย”

และแม้จะสำนึกว่าตนนั้นพูดเกินเลยไป แต่เขากลับไม่คิดขอโทษให้เสียฟอร์ม มิหนำซ้ำยังตอกย้ำถึงความอัปยศนั้นเพิ่มโทสะอีกฝ่ายให้โหมกระพือ

“ก็มันจริง..แม่เธอน่ะหลงผู้ชายจนไม่สนใจอะไรเลย แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้าย..เธอมันก็เป็นลูกไม่มีพ่อ”

สิ้นประโยคไม่ถึงอึดใจ กำปั้นน้อยๆของญาติสาวก็พุ่งตรงเข้าที่ปากครึ่งจมูกครึ่งอย่างจังจนผู้ที่มีร่างกายใหญ่โตกว่าถึงกับผงะหงาย ก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะหันเดินกระแทกส้นจากไป

ฉันทัชยกมือกุมบริเวณที่ถูกชก และเงยใบหน้าขึ้นเมื่อรับรู้ว่าเลือดกำเดากำลังไหลออกมา โดยมีเสียงเหน็บแหนมของพี่สาวกระหน่ำซ้ำเติม

“สมน้ำหน้า นายไม่ควรจะเอาเรื่องพ่อ-แม่ของโม้นามาพูดเลยนะ” ชญาภาติติงน้องชาย เพราะแม้จะไม่ถูกชะตากับญาติสาว แต่ก็ไม่ถึงกับจงเกลียดจงชังถึงขั้นต้องหยิบยกเรื่องชาติกำเนิดของอีกฝ่ายมาเหยียบย่ำ

“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจ แค่มันปากไปหน่อยเท่านั้นเอง” บอกพร้อมล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ากางเกงมาซับเลือด

“ฮึ! ปากพล่อยน่ะสิ” ว่าพลางก็แย่งผ้าเช็ดหน้าน้องชายมาเช็ดเลือดให้แทนอย่างอดรนทนไม่ไหว “แล้วก็อย่าลืมไปขอโทษโม้นาด้วยนะ”

ร่างสูงที่โน้มตัวลงเล็กน้อยให้พี่สาวเช็ดเลือดได้ถนัดตอบรับในลำคอ “อือ” และยังไม่วายบ่นงึมงำ “ยายบ้านั่น นอกจากจะนมโตแล้ว หมัดยังหนักชะมัด”

ชญาภาหัวเราะพรวดพร้อมยัดผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดคืนใส่มือคนพูด ก่อนจะส่ายหน้าให้กับอารมณ์ขันปนทะลึ่งของน้องชาย “นายนี่ คิดเรื่องพวกนี้ได้ทุกสถานการณ์จริงๆเลยนะ”

แล้วก็หันเดินนำไปยังโต๊ะอาหาร โดยมีเสียงน้องชายพึมพำแว่วมาอีกเล็กน้อย..และทันทีที่สองพี่น้องก้าวเข้าห้องอาหาร เสียงเข้มของมารดาก็ดังขึ้นอย่างไม่พอใจ

“มัวทำอะไรกันอยู่ ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขารออยู่ได้..เสียมารยาทจริงๆ”

สองพี่น้องต่างแยกย้ายกันนั่งเก้าอี้ประจำ ก่อนชญาภาจะอ้างถึงเหตุผล“ขอโทษค่ะ พอดีนายทัชดันเลือดกำเดาไหลน่ะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น อารมณ์ขุ่นมัวของฉันทิกาแปรเปลี่ยนเป็นห่วงใยลูกชายทันที
“ไม่สบายหรือตาทัช ไปหาหมอดีกว่าไหม..เดี๋ยวแม่พาไปเลยดีกว่านะ”

ชญาภาเอือมระอาปนหมั่นไส้เล็กน้อยกับอาการโอ๋ลูกชายจนมากไปของมารดา ทั้งๆที่น้องของเธอนั้นอายุยี่สิบสี่แล้ว

“ทัชมันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะแม่..แค่ดูหนังโป๊มากไปเท่านั้นเอง”

“เฮ้ย!” ผู้ถูกกล่าวอ้างหันขวับมองหน้าพี่สาวแย้งเสียงยานคาง ในขณะผู้เป็นพ่อกับลุงแทบสำลักข้าวที่เพิ่งตักเข้าปาก และแอ้ม หรืออรดีนั่งหัวเราะคิกคัก ส่วนราโมน่าแม้จะยังเคืองขุ่นฉันทัชก็ยังลอบอมยิ้มกับประโยคที่ได้ยิน

“ยายภา! เป็นสาวเป็นนางพูดจาแบบนั้นได้อย่างไง..เดี๋ยวเถอะ”

หญิงสาวทำไม่รู้ไม่ชี้ลงมือตักอาหารเข้าปาก ในขณะที่น้องชายรีบแก้ต่างกับทุกคน
“ผมเปล่านะครับ”

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจที่จะยอมรับคำแก้ต่างนั้นเลย ได้แต่พากันก้มหน้าทานอาหาร สีหน้าฉันทัชสลดลง แล้วหันไปทำปากขมุบขมิบต่อว่าพี่สาวที่นั่งยิ้มเยาะเย้ยอยู่ฝั่งตรงข้าม


หลังจากมื้ออาหารผ่านไป..แม้ว่าราโมน่าจะไม่อยากเก็บถ้อยคำที่ฉันทัชพูดมาคิดให้รกสมอง แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีความจริงของชาติกำเนิดได้..ฉันทัชพูดถูก..เธอเป็นลูกไม่มีพ่อ และเป็นรอยด่างของวงศ์ตระกูล สาเหตุมาจากมารดาที่เข้าพิธีวิวาห์กับเพื่อนนักธุรกิจของคุณลุง โดยไม่รู้ว่ามีเธอก่อกำเนิดอยู่ในครรภ์แล้ว..และความลับทุกอย่าง เปิดเผยทันทีที่เธอคลอดออกมาเหมือนประจานความอัปยศในครั้งนั้น จนสองครอบครัวมองหน้ากันไม่ติด และผู้ชายที่คาดว่าจะเป็นพ่อของเธอก็ไม่ยอมรับ เพราะตัวเขาก็มีครอบครัวอยู่แล้ว..หลังจากหย่าร้างกับสามี แม่ของเธอก็มีข่าวคาวกับผู้ชายอีกหลายคน และทิ้งเธอไว้ข้างหลังปล่อยให้เธอเติบโตขึ้นมาในความอ้างว้างจนอายุเก้าขวบ แม่ก็จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในขณะที่กำลังท่องเที่ยวในต่างประเทศพร้อมกับผู้ชายที่แม่กำลังคบหาในขณะนั้น..ส่วนเธอ ญาติๆต่างก็เบือนหน้าหนี เพราะเอือมระอากับพฤติกรรมของแม่ มีเพียงแต่ลุงชัชของเธอเท่านั้นที่ยื่นมือมาโอบอุ้มและให้ความรัก ความใส่ใจไม่ต่างไปจากลูกคนหนึ่งเลยทีเดียว

“โม้นา..”
เสียงเรียกของชนาธิป ทำให้ร่างที่เดินเชื่องเหงาหงอยหันมา

“คะ คุณลุง”

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า เห็นซึมๆตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วนะ”

หญิงสาวยิ้มฝืด ไม่นึกว่าลุงจะสังเกตเห็น..นี่เธอคงเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่อยู่เลยมั้ง ใครๆถึงได้รู้กันหมด ว่าเธอรู้สึก หรือนึกคิดอะไรบ้าง

“..ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ..ก็แค่ปัญหาเรื่องงานละครนิดหน่อยค่ะ” เธอยกสิ่งที่คิดได้ในขณะนี้มาอ้าง

“ทำไมล่ะ..ก็ละครเพิ่งปิดกล้องไปไม่ใช่เรอะ”

“ค่ะแต่เจ้ต้อยกำลังวิ่งเต้นหาละครอีกเรื่องให้หนูเล่นอีก..ทั้งๆที่หนูบอกว่าไม่ชอบเล่นละคร” เพราะบทแต่ละครั้งที่ได้มามันมีแต่ทำให้เธอเปลืองเนื้อเปลืองตัว ซึ่งใครๆต่างก็พูดว่า บทมันเข้ากับรูปลักษณ์ที่เธอมี

ชนาธิปนึกไปถึงผู้จัดการหนุ่ม ที่หลานสาวเคยบ่นถึงความเห็นแก่ตัวของผู้จัดการคนนี้ที่นับวันจะเอาเปรียบแทบทุกอย่าง จนเคยมาปรึกษาว่า จะยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้จัดการคนนี้แล้ว

“แล้วหนูว่าไงล่ะ”

“หนูบอกเด็ดขาดเลยว่า ไม่เอา” เธอย้ำชัดหนักแน่น

ชนาธิปอมยิ้ม ยกมือขึ้นยีผมหลานสาวเบาๆ
“เล่นตัวมากๆเดี๋ยวไม่มีใครจ้างนะ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น หนูก็จะมาสมัครเป็นพี.อาร์ให้คุณลุงเต็มตัวเลยดีกว่าค่ะ”

“เห็นพูดอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เห็นจะมาทำงานให้ลุงเต็มตัวเสียที”

“คราวนี้แน่นอนเลยค่ะ..ว่าแต่ คุณลุงห้ามไล่หนูออกนะ ไม่งั้นหนูอดตายแน่” แสร้งออดสีหน้าละห้อย

“รับรอง ลุงจะเซ็นสัญญาจ้างหนูตลอดชีวิตเลย”

“ว้าว! คุณลุงใจดีที่สุดเล้ย”

หญิงสาวยิ้มกว้างโผกอดคุณลุงของเธอแน่น ชนาธิปหัวเราะและกอดตอบเด็กน้อยขี้อ้อนของเขาอย่างมีความสุข...แต่ฉันทิกาที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลกลับไม่ชอบใจนักกับภาพความสนิทสนมนี้ เพราะความสวยงามจับตาจับใจตลอดเรือนร่างเย้ายวนของหญิงสาว สร้างความกังวลใจให้ในหลายครั้งหลายคราว ด้วยเกรงสามีจะหลงมัวเมาจนลืมสิ้นถึงศีลธรรมอันดีเฉกเช่นผู้ชายคนอื่นในแวดวงสังคม ที่พวกคุณหญิงคุณนายทั้งหลายมาพร่ำบ่น บ้างก็ติติงให้เธออับอาย ถึงเสน่ห์ของหลานสาวคนสวยของสามีที่เที่ยวหวานเสน่ห์ไปทั่ว จนพวกผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่พากันเก็บไปละเมอเพ้อพก บางคนถึงกับขุดพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของน้องสามีมาเปรียบเปรยว่าอาจจะสืบทอดมาถึงผู้เป็นลูกสาว จนเธอเองชักเริ่มหวาดระแวงไปต่างๆนานา

แล้วยังจะลูกชายของเธออีก แม้จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับราโมน่าตั้งแต่เล็กมาจนโต..แต่ใครจะสามารถล่วงรู้อนาคตได้ ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ซึ่งวันดีคืนดี ลูกชายของเธอเกิดหน้ามืดตามัวทำเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมา แล้วเธอจะทำอย่างไรกัน..เพราะฉะนั้นเธอต้องหาทางป้องกันครอบครัวอันเป็นที่รักของเธอให้หลุดพ้นจากเสน่ห์มายานั้น และวิธีที่ดีที่สุดของเธอเท่าที่คิดได้ในขณะนี้คือ เฉดหัวตัวต้นเหตุแห่งปัญหาออกไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้โดยเร็ว !

……………………………………………

จบตอนค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ม.ค. 2555, 19:52:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ม.ค. 2555, 19:52:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 2847





<< บทที่ ๑    >>
wind 30 ม.ค. 2555, 20:15:20 น.
อ้าว คุณป้าอิจฉาสาวน้อยแสนสวยล่ะสิ


Zephyr 30 ม.ค. 2555, 23:09:20 น.
เป็นวิธีที่สิ้นคิดและโคตรเห็นแก่ตัวมากๆเลยคุณป้า
สามีป้าเท่าที่เห็น ณ ปัจจุบันก็ดูเป็นคนดีนี่ แต่จะดีแตกรึป่าวคงต้องรอเวลา ดูไปนานๆ ลูกป้าก็ดูเหมือนแค่เป็นเด็กปากเสีย ทะลึ่งน้อยๆ แต่ยังไม่เข้าขั้นบ้ากามนี่นา ถ้าสองคนนี้นอกลู่นอกทางมันก็อยู่ที่ป้า คุมสามีกะลูกชายไม่ดีน่ะแหละ ความผิดโม้นาที่ไหน อ่อ หรือผิดที่เกิดมาสวย ป้าเลยอิจฉา เรียกร้องความสนใจ


หมูอ้วน 31 ม.ค. 2555, 07:30:08 น.
ฝีมือใครหนอ คุณจิลรีบล้างแค้นด่วนเลยค่ะ


อริสา 31 ม.ค. 2555, 08:23:37 น.
เขียนเก่งจังค่ะ ทำให้เราผูกพันกับตัวละครเด่นๆได้ ยังเศร้ากับตฤณและลุงยักษ์อยู่เลยค่ะ แต่ขอเอาใจช่วยเสี่ยเล่ยกับศราละกัน อย่าโหดมากนะคะ


ระรินใจ 31 ม.ค. 2555, 10:53:20 น.
คุณwind === แหะๆ มันเป็นอาการระแวงกันมากกว่าค่ะ



คุณNeferretti === ฮ่าๆ..คุณป้าสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว



คุณ หมูอ้วน === เรื่องนี้ยาว กว่าจะได้ล้างแค้นตัวบงการจริงๆ คุณจิลต้องผ่านอะไรกันเยอะหน่อย อิอิ



คุณ อริสา === ขอบคุณสำหรับคำชมค่า ^^
เรื่องนี้ไม่โหดคร่า..ยังย้ำว่า ออกแนวกุ๊กกิ๊ก+โรแมนติกจ้า ฮี่ๆ


nunoi 31 ม.ค. 2555, 12:13:44 น.
รอดูฉากกุ๊กกิ๊ก โรแมนติก นะค่ะ


Kwan 31 ม.ค. 2555, 19:05:48 น.
แอบเศร้า ตฤณกับลุงยักษ์ ไปสบายแล้ว

โม้นาก็น่าสงสารสิ โดนเขี่ยทิ้งอยู่นะ


ann 31 ม.ค. 2555, 21:25:52 น.
ไม่ใช่ว่ากุ๊กกิ๊กตอนใกล้จบนะคะ 555


bloomberg 1 ก.พ. 2555, 14:11:51 น.
"ขวัญ พี่ฝากดูแม่ด้วยนะ"
"ไม่ต้องห่วงค่ะเฮีย"

ทำไมคนนึงพี่ คนนึงเฮียอ่ะคะ


bloomberg 1 ก.พ. 2555, 14:32:03 น.
ถ้าสามีป้าคิดไม่ซื่อล่ะก็ การกำจัดโม้นาออกจากบ้านก็ยิ่งเป็นการผลักเรื่องให้ห่างหูห่างตาเข้าไปใหญ่ คิดได้เนาะป้า


ระรินใจ 1 ก.พ. 2555, 18:01:58 น.
คุณnunoi === รับทราบค่า



คุณ Kwan === ต้นร้าย ปลายดีค่ะ



คุณ ann === หูยย์ยย..ไม่ถึงขนาดนั้นน..



คุณ bloomberg === กรี๊ดดด..ผิดอีกแล้ว..ขอบคุณมากๆค่า (ฮ่าๆ คนเขียนเลอะเลือนเองค่า)

ป้าแกระแวงมากไปหน่อย เลยคิดอะไรตื้นเขินไปนี๊ดดนึง


แพม 4 ก.พ. 2555, 21:55:21 น.
รู้สึกเรื่องนี้แรงจริง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account