ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน:

ชนาธิปพูดคุยกับหลานสาวไม่นานนัก ก็แยกจากไปและชวนลูกชายไปออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนนักธุรกิจด้วยกัน..ราโมน่าเลือกหยิบหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่งเดินออกมานั่งอ่านบนเก้าอี้ภายในสวน และพลิกเปิดเจอหน้าบทสัมภาษณ์ของอนาวินและภาพประกอบของเขาในชุดลำลองในท่วงท่าเป็นกันเอง ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มพรายฉายแววขี้เล่นซุกซนออกมาทางดวงตาคู่คมชวนตาชวนใจให้แก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะเธอ ที่ขณะนี้กำลังจับจ้องภาพเขาและเผลออมยิ้มออกมา พลางคิดว่า เธอชอบเขาในบุคลิกสบายๆเช่นนี้ มากกว่ามาดเคร่งขรึมในชุดสูททำงานเสียมากกว่า

และหันมาสนใจไล่สายตาอ่านบทสัมภาษณ์ทุกตัวอักษร ซึ่งคำถามคล้ายคลึงกับหนังสือเล่มอื่นๆที่เคยสัมภาษณ์เขามาแล้ว ทั้งเรื่องงานและตบท้ายด้วยความรัก ที่ผู้สัมภาษณ์จะถามว่าเขาเลือกคบกับใครแน่ เพราะมีข่าวกับผู้หญิงหลายคน ทั้งในวงการบันเทิงและสาวในสังคมชั้นสูง จนถูกตั้งฉายาว่าเป็น คาสโนว่า

“ที่เห็นก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรหรอกครับ..ผมไม่ใช่คาสโนว่า แต่การที่จะเลือกคบใครสักคน ผมคิดไกลไปถึงการมาเป็นแม่ของลูก ผมเลยต้องใช้หัวใจตรึกตรองมากหน่อย ก็เท่านั้นเองครับ”

ราโมน่าอ่านคำให้สัมภาษณ์นั้น ความอิจฉาเล็กๆก็ผุดขึ้นในใจ ถึงผู้หญิงที่จะมาเป็น ‘แม่ของลูก’ เขาในอนาคต เพราะตัวเธอนั้น หมดสิทธิ์ยื่นใบสมัครตั้งแต่เกิดเลยด้วยซ้ำ

“โม้นา”

จู่ๆเสียงเรียกของฉันทิกาดังแว่วขึ้นมา หญิงสาวรีบพลิกหนังสือเป็นหน้าอื่นก่อนหันไปตามเสียง เห็นผู้เรียกกำลังเดินตรงมาใกล้ เธอจึงลุกขึ้นถาม

“มีอะไรหรือคะ คุณป้า”

“ป้ามีเรื่องจะคุยกับเราหน่อย เราไม่รีบออกไปไหนใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ”

“งั้นนั่งสิ ป้าจะได้คุยธุระเลย..ใช้เวลาไม่นานหรอก”

หญิงสาวจึงยอบตัวลงนั่งอีกครั้ง ตามฉันทิกาที่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเปิดประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม

“รู้สึกว่าหมู่นี้งานของเธอจะมีมากกว่าเมื่อก่อนนะ..ป้ามาคิดว่า เพื่อความสะดวกของเธอ เธอน่าจะออกไปอยู่ตามคอนโดอย่างพวกเพื่อนๆนางแบบของเธอบ้างนะ”

“แต่อยู่บ้านนี้ หนูก็สะดวกดีแล้วนะคะ หนูไม่อยากเสียตังส์จ่ายค่าเช่าคอนโดหรอกค่ะ” ราโมน่าตอบพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้พูด

“สะดวกเธอ แต่ฉันลำบาก”

รอยยิ้มสดใสนั้นเจื่อนลงทันใด กับน้ำเสียงและท่าทางขึ้งโกรธ

“เวลาเธอขับรถกลับมาบ้านดึกๆป้าก็ต้องถ่างตาตื่นขึ้นมาด้วย กว่าจะหลับอีกทีก็เกือบเช้า ไหนยังจะบรรดาเพื่อนๆนางแบบของเธออีก เวลามาบ้านทีก็ไม่รู้อะไรกันนักส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดหัวเราะเสียงดังไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างเลย โดยเฉพาะแม่เจ้ต้อย ผู้จัดการของเธอนั่นก็อีกคน ช่างเจ้ากี้เจ้าการทำราวกับบ้านนี้เป็นของเธออย่างนั้นล่ะ..ป้าพยายามอดทนมากแล้วนะ แต่ตอนนี้ป้าเบื่อที่จะทนแล้ว ถึงอยากให้เธอออกไปอยู่ข้างนอกจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของเธอเองเลย ป้าก็จะได้ไม่ต้องทนอะไรที่มันขัดหูขัดตาอีก”

“..หนูขอโทษค่ะ..”

“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก เพราะยังไงเธอก็เป็นหลานของคุณชัช..เพียงแต่ป้าต้องการความเป็นส่วนตัวภายในครอบครัวเท่านั้น ป้าไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาวุ่นวาย..หวังว่าเธอคงจะเข้าใจ แล้วก็ทำตามในสิ่งที่ป้าต้องการนะ”

หญิงสาวกลืนก้อนแข็งๆที่จุกกลางลำคอ ก่อนตอบรับเสียงแผ่วเบา
“ค่ะ..”

“ถ้าเข้าใจก็ดี เดี๋ยวเย็นนี้ก็ลองเกริ่นกับคุณลุงเขาเลย แล้วก็เรื่องค่าเช่าคอนโดอะไรนั่นก็ไม่ต้องเสียหรอก เดี๋ยวป้าให้เลขาลุงเขาจัดการดูคอนโดของเราที่ยังมีห้องว่างให้ แต่ถ้าเต็มหมดเดี๋ยวก็จะหาที่อื่นให้ ส่วนวันอาทิตย์ก็ค่อยแวะมากินข้าวเย็นที่บ้านให้ลุงเขาเห็นหน้าเสียหน่อย อ้อ! แล้วเรื่องที่ป้าแนะนำเราวันนี้ ก็อย่าให้ลุงรู้เชียวนะ ทุกอย่างเป็นความคิดของเราทั้งหมด..เข้าใจไหม ราโมน่า” เธอย้ำหนักแน่น และถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไปอยู่ข้างนอก เธอก็ไม่ห่วงกังวลใดๆ เพราะยังมีคนของเธอคอยจับตามองตลอดเวลา

“ค่ะ..”

ราโมน่าตอบรับอีกครั้ง สร้างความโล่งอกให้ฉันทิกาที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง..แต่เมื่อเห็นท่าทางเซื่องซึมของหญิงสาวแล้ว ลึกๆในใจก็รู้สึกสงสารเช่นกัน เพราะหลังจากที่เสียผู้ให้กำเนิดไปแล้ว ราโมน่าก็เข้ามาอยู่ในความปกครองของเธอ ซึ่งในตอนนั้นเธอก็เอ็นดูไม่น้อยทีเดียวกับความน่ารักของเด็กน้อย..แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเอ็นดูระคนสงสารนั้นถูกบดบังด้วยความหวาดระแวงกลัวว่าความสาว ความสวยที่หญิงสาวมี จะนำพาปัญหาใหญ่มาสู่ครอบครัว เธอจึงจำเป็นต้องกระทำในสิ่งที่เหมือนเป็นการเห็นแก่ตัวไปบ้าง เพื่อปกป้องสิ่งที่หวงแหน

“โม้นา..ที่ป้าให้ออกไปอยู่ข้างนอกเพียงลำพังน่ะ ใจจริงป้าก็เป็นห่วงเราเหมือนกันนะ แต่ป้าเห็นว่าเราก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว และควรจะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องถูกควบคุมให้รู้สึกอึดอัดเหมือนที่ผ่านๆมา..อย่าโกรธป้าเลยนะจ้ะ”

“หนูไม่โกรธคุณป้าหรอกค่ะ หนูเข้าใจ..”

ฉันทิกาลุกขึ้นเดินมายืนข้างหญิงสาวที่ยังนั่งก้มหน้า และลูบเส้นผมยาวเป็นลอนสลวยอ่อนนุ่นเบาๆ

“ดีมากจ้ะ..แล้วเย็นนี้ก็อย่าลืมพูดเรื่องนี้กับลุงเขาด้วยล่ะ..ป้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ล่ะ หลานรัก”
พูดจบก็หันก้าวเดินจากไป ทิ้งให้ หลานรัก นั่งซึมกับคำพูดสวยหรู แต่ผลของมันก็ไม่ต่างไปจากเดิม นั่นคือ เธอต้องออกจากบ้านหลังนี้โดยเร็ว

บ้านหลังใหญ่ ที่คุ้มกะลาหัวเธอมาตั้งแต่อายุเก้าขวบ แม้จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างระหว่างเธอกับญาติทั้งสอง โดยเฉพาะกับฉันทัชที่มักจะล้อเลียนถึงรูปกายที่ผิดแผกไปจากญาติพี่น้องคนอื่นๆ แต่บางครั้งก็ยังมีเสียงหัวเราะและการแบ่งปันความสุขให้แก่กันและกัน รวมทั้งความอบอุ่นที่ลุงและป้ามีให้ แม้ว่าจะไม่อาจเติมเต็มความรักความต้องการทั้งหมดตามที่เธอปรารถนา แต่ก็สามารถชดเชยให้หัวใจอันอับเฉาแห้งแล้งของเธอยังคงเหลือความชุ่มชื่นหล่อเลี้ยงไว้ได้บ้าง..แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ยิ่งเธอเติบโตขึ้น ป้าที่เคยเอ็นดูเธอเสมอมากลับแปรเปลี่ยนเป็นมึนตึง ทั้งๆที่เธอเองก็พยายามเอาอกเอาใจ อดทนทุกอย่าง ไม่เคยแสดงตัวต่อต้านหรือคิดอคติเลยสักครั้ง..แต่ก็ไม่สามารถ ทำให้ป้ากลับมารักและเอ็นดูหลานคนนี้ได้ดั่งแต่ก่อนอีกเลย

ราโมน่านั่งปล่อยใจให้ลอยล่อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างปลงตกในชีวิต
“ช่างเถอะ..อย่างน้อย ป้าก็ไม่ได้เกลียดเรา..เหมือนที่แม่เกลียด”


“แกมันเป็นตัวมารที่มาทำลายชีวิตของฉัน..ฉันไม่น่าให้แกเกิดมาเลย นังราโมน่า!”

น้ำเสียงเคียดแค้นกับสายตาเกลียดชังของมารดายามอยู่ในอาการเมามายไร้สติผุดขึ้นในหัว แม้ว่าเวลาจะผ่านมาแล้วเนิ่นนาน แต่ภาพนั้นยังติดตรึงเสียดแทงใจให้รวดร้าวมาจนถึงทุกวันนี้

ตลอดมา..เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่า การที่เธอเกิดมาบนโลกใบนี้มันจะเป็นความผิดมหันต์ จนไม่เป็นที่ต้องการของใครเลยสักคน แม้แต่ผู้ให้กำเนิดก็ยังปฏิเสธในการมีตัวตนของเธอ..และบนโลกกว้างใบนี้ จะมีใครสักคนไหมที่มองเห็นคุณค่าในการมีตัวตนของเธอ มากกว่าการที่คิดจะแสวงหาความสุขบนเรือนร่างนี้..ซึ่งเธอตั้งปณิธานไว้แน่วแน่ ว่าจะไม่มีวันเดินตามรอยแม่ของเธออย่างเด็ดขาด !

.........

ยามเมื่อสมาชิกทุกคนของบ้านรัตนากร นั่งรวมตัวกันภายในห้องอาหาร..ราโมน่านั่งเขี่ยข้าวในจาน พลางเหลือบสายตามองชนาธิปที่กำลังพูดกับลูกชายด้วยเรื่องทั่วไป และเมื่อรอจังหวะที่เขาว่างเว้นจากบทสนทนา เธอจึงรวบรวมความกล้าพูดเรื่องที่ฉันทิกาต้องการ

“คุณลุงชัชคะ..”

ชนาธิปหันสายตาตามเสียงเรียกของหลานสาว
“มีอะไรรึ โม้นา”

“คือ..หนูจะขออนุญาตออกไปอยู่ข้างนอกค่ะ”

และประโยคของเธอเรียกทุกสายตาให้หันมองเป็นจุดเดียว ก่อนน้ำเสียงเคร่งขรึมของชนาธิปจะเอ่ยถาม
“ทำไมล่ะ”

“คือ..” และในแวบหนึ่งของสายตา เธอตวัดมองฉันทิกาที่กำลังจ้องเขม็ง ก่อนตั้งสติพูดกับลุงอีกครั้ง “ หนูคิดว่า..ถ้าออกไปอยู่ข้างนอก เวลาไปไหนมาไหนมันจะสะดวกสบายกว่าค่ะ..โดยเฉพาะเวลาที่ต้องกลับบ้านดึกๆ”

“ไม่เห็นมีความจำเป็น ลุงก็เคยบอกหลายหนแล้วไม่ใช่เรอะว่า ถ้าวันไหนกลับดึก ก็ให้คนขับรถที่บ้านคอยรับ-ส่งก็ได้..รึไม่ ก็ออกจากวงการแล้วมาทำงานกับลุงไปเลย”

ฉันทิกาซ่อนความหงุดหงิดใจกับอาการอึกอักไม่ฉะฉานของหลานสาว จึงรีบช่วยพูดสนับสนุน เพราะขืนปล่อยให้สามีไล่ต้อนอีกเพียงไม่กี่คำ ก็คงสามารถตะล่อมหลานสาวให้อยู่บ้านหลังนี้ต่อไปเป็นแน่

“ถ้าหลานอยากจะไปก็ให้ไปเถอะค่ะคุณ พวกคนวงการบันเทิงก็อย่างนี้ล่ะ ชอบที่จะอยู่อย่างอิสระ..แล้วอีกอย่าง คุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ฉันว่าจะให้เลขาของคุณช่วยเลือกห้องในคอนโดของเราให้อยู่น่ะค่ะ ระบบรักษาความปลอดภัยเชื่อมั่นหายห่วง”

ชนาธิปหันกลับมามองภรรยา
“คุณรู้อยู่ก่อนแล้วเรอะ ว่าโม้นาอยากจะออกไปอยู่คอนโด”

ฉันทิกานิ่งไปอึดใจ แล้วก็แสร้งยิ้ม
“ค่ะ..โม้นามาปรึกษาฉันหลายวันแล้ว แต่ไม่กล้าบอกคุณ กลัวว่าคุณจะดุเอา..ฉันก็เลยรับปากว่าจะบอกให้ แต่ช่วงนี้ฉันมีเรื่องยุ่งๆที่สมาคมก็เลยลืมบอกน่ะค่ะ..แต่นี่คงเห็นว่าฉันไม่บอกคุณเสียที คงจะใจร้อนรอไม่ไหวก็เลยลองพูดกับคุณเองเลยมั้งคะ” แล้วก็หันไปทางหลานสาว

“ใช่ไหม โม้นา”

“..ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงแผ่ว แล้วก็ให้อึดอัดใจกับสายตาของชนาธิปที่หันมามองคล้ายไม่พอใจ

“เรื่องของตัวเอง โม้นาก็ควรจะรับผิดชอบด้วยตัวเองนะ ไม่ใช่ว่ารอให้คนอื่นมาออกหน้าแบบนี้”

“..หนูขอโทษค่ะ”

ราโมน่าก้มหลบสายตาลงมองจานข้าว ข่มกลั้นอาการสะท้านสั่นไหว..ตัวเธอเองก็ไม่เคยคิดอยากจะไปจากบ้านหลังนี้สักนิด แต่หากจะดื้อรั้นอยู่ต่อไป ป้าที่คอยมึนตึงกับเธออาจกรุ่นโกรธจนกลายเป็นเกลียดชัง ซึ่งเธอไม่อยากให้ใครๆเกลียดเธอ เหมือนอย่างที่แม่เกลียด

“อย่าไปดุโม้นาเลยค่ะคุณ หลานเราก็โตแล้ว เค้าก็อยากจะอยู่กับเพื่อนอยู่กับสังคมของเขามากกว่าที่จะจับเจ่าอยู่กับคนแก่ๆแบบเรา..ปล่อยๆแกไปเถอะค่ะ”

ฉันทิกายุยงส่งเสริม ชนาธิปถอนใจเฮือก
“ถ้าอยากไปอยู่ข้างนอกนักก็ตามใจ”

อรดีนั่งทานข้าวข้างบิดาฟังการสนทนาไปเงียบๆ และเมื่อเห็นว่าได้บทสรุปแล้ว จึงโพล่งออกไปตามประสา
“อุ้ย! ดีจังเลยพี่โม้นา แอ้มชอบอยู่คอนโดนะ ยิ่งที่ห้องสูงๆเห็นวิวได้ทั่วเลย แอ้มว่ามันสวยดี..แล้วแอ้มจะไปค้างด้วยนะ”

แต่คณินหันมาดุเสียงเข้ม
“ไม่ต้องเลยนะยายแอ้ม อยู่บ้านแบบนี้น่ะดีแล้ว..พี่เขาอุตส่าห์ไปอยู่ข้างนอกแล้ว เราก็ไม่ต้องตามไปวุ่นวายเลย”

“แหม ! ” หญิงสาวทำปากยื่นที่ถูกขัดใจ แล้วก็ก้มหน้าทานอาหารต่อ..คณินเหลือบสายตาไปยังหลานสาวที่นั่งมองตาปริบๆ แล้วก็ก้มหน้าทานข้าวตามลูก เก็บซ่อนความยินดีที่หลานสาวออกจากบ้านไว้ภายใน สาเหตุเพราะลูกสาวของเขานั้นชื่นชอบญาติสาวที่เป็นดารา นางแบบคนดังจนออกหน้าออกตา ไม่ว่าญาติผู้พี่จะแต่งตัวแต่งหน้าแบบไหน ลูกสาวของเขาก็มักจะทำตาม หรือแม้แต่การเลียนแบบพฤติกรรมในหลายๆอย่างจนเขารำคาญ คอยบ่นคอยว่าไปหลายครั้งแล้ว แต่ลูกสาวก็ยังหลงใหลชื่นชมอยู่กับความสวยงามของญาติสาวไม่เปลี่ยน

และขณะนี้กระแสข่าวของหลานสาวที่ออกตามหน้าสื่อต่างๆนั้นมีบ่อยครั้งและค่อนข้างแรง เนื้อหาส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องผู้ชายหรือไม่ก็ไปเป็นมือที่สามคอยทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก ซึ่งตัวเขานั้นแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ก็ไม่สนิทสนมหรือใส่ใจที่จะรู้เรื่องส่วนตัวใดๆของหลานสาว ต่างจากน้องชายที่มักจะเรียกหลานสาวมาพูดคุยให้กระจ่างทุกครั้งที่มีข่าวเสียๆหายๆออกมา และน้องชายจะเชื่อสิ่งที่หลานสาวแก้ต่างให้ตัวเองทุกครั้งไป ต่างจากตัวเขาที่ยังคงมีอคติ และเชื่อว่า สิ่งที่นักข่าวนำเสนอออกมามันต้องมีมูลความจริงอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นจะเขียนออกมาได้อย่างไรกัน จึงไม่อยากให้ลูกสาวซึมซับพฤติกรรมแหลกเหลวเหล่านี้จากราโมน่า..พลางเปรียบเทียบอย่างหยามหยัน

‘ฮึ! นิสัยเหมือนแม่ของมันไม่มีผิด’


หลังมื้ออาหารผ่านไป ชนาธิปเดินเข้าห้องทำงานกับลูกทั้งสอง เพื่อตรวจสอบเอกสารที่ค้างคา..โดยลูกสาวคนโตนั้นคอยช่วยเหลืองานด้านบริหารภายในบริษัท และลูกชายที่ยังเรียนปริญญาโทให้ช่วยกันทำงานกับพี่ชายของเขาในส่วนของรับเหมาและบริหารงานก่อสร้างทั้งหมด

ไฟล์งานถูกเปิดได้ไม่นาน..คณินก็เปิดประตูเข้ามาสมทบ
“เอ้า สามพ่อลูก ทำอะไรกันง่วนเชียว”

ทั้งสามหันมามองตามเสียงทักทาย แต่จะมีเพียงชนาธิปเท่านั้นที่เป็นคนตอบคำถาม ในขณะที่สองพี่น้องก้มหน้าก้มตาดูหน้าจอแล็ปท็อปของตนต่อไป
“ก็พวกผลการรายงานน่ะ แล้วพี่มีอะไรเรอะ”

“พี่จะมาให้เราเซ็นเช็คให้อีกสักหนึ่งล้านน่ะ”

คราวนี้สองพี่น้องพร้อมใจกันละสายตาจากหน้าจอหันมองผู้ใหญ่ทั้งสอง และเป็นฉันทัชที่ปากไวเอ่ยถามก่อนพี่สาวเสียอีก
“เมื่อต้นเดือน ลุงเพิ่งจะเบิกไปสามแสนไม่ใช่เรอะ”

“นั้นมันค่าเอ็นเตอร์เทน”

“แล้วนี่มันค่าอะไร”

คณินนิ่วหน้ากับการไล่บี้ของหลานชายผู้ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามาตลอด นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานกับเขาตามคำสั่งของน้องชาย เพราะแนวคิด แนวปฏิบัติในการทำงานระหว่างเขากับหลานชายนั้นคอยจะสวนทางกันเสมอ งานทุกชิ้นที่ผ่านมือฉันทัชจะต้องสมบูรณ์เหมือนที่ออกแบบไว้ไม่มีผิดเพี้ยนภายในเวลาที่กำหนด และเป็นคนค่อนข้างเคร่งครัดในกฎระเบียบการบริหารคนมากทีเดียว ในขณะที่เขานั้นค่อนข้างอะลุ้มอล่วย จนกลายเป็นข้อขัดแย้งกับหลานชายบ่อยครั้ง แต่หลานชายนั้นมีน้องชายเขาคอยให้ท้ายจึงเหลิงในอำนาจ คำสั่งในบางครั้งจึงเหมือนเป็นการกระทำข้ามหน้าข้ามตาเขาต่อหน้าลูกน้องคนอื่นๆ นอกจากนั้นยังคอยจับผิดในเรื่องการเบิกจ่ายของเขาแทบทุกบิล และสิ่งที่ทำให้เขาเกลียดหลานชายคนนี้มากที่สุด คือ ความปากเสีย ที่เจ้าตัวคงหลงลืมไปแล้วว่าเขานั้นเป็นลุงของมัน !

เขาหายใจลึกอย่างสกัดกั้นอารมณ์ ก่อนตอบ
“เป็นค่าคอมฯล่วงหน้าให้เจ้าของงาน”

ฉันทัชยิ่งไม่พอใจ ตัวเขานั้นรู้ว่า ขณะนี้บริษัทกำลังใช้เทคนิครบนอกรอบเพื่อให้ได้โครงการใหม่มาไว้ในกำมือ หลังจากที่พลาดให้กับบริษัทคู่แข่งในโครงการครั้งก่อน..แต่เงินค่าคอมมิชั่น หรือจะเรียกว่าเงินใต้โต๊ะ หรืออะไรก็ตามที่จะเรียกกัน แต่นั่นมักจะจ่ายก็ต่อเมื่อได้งานมาแล้วเท่านั้น

“ไม่มีใครเขาจ่ายค่าคอมฯกันล่วงหน้าหรอกนะ”

“นั่นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน แต่ครั้งนี้ลุงมั่นใจว่าเจ้าของงานตกลงเลือกเราแน่นอน เพราะเขาเป็นเพื่อนเก่าของลุง เงินก้อนนี้น่ะถือว่าเป็นการซื้อน้ำใจกัน”

“เฮอะ! ผมว่าลุงถูกเพื่อนหลอกกินฟรีมากกว่ามั้ง”

ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน ผู้สูงวัยกว่าใบหน้าแดงก่ำด้วยอารมณ์ขึ้งโกรธ จนชนาธิปต้องเอ่ยปากปรามลูกชาย
“ทัช เดี๋ยวเรื่องนี้พ่อคุยกับลุงเขาเอง”

ฉันทัชจึงจำต้องสงบปากสงบคำ และแสร้งก้มหน้าทำทีว่าสนใจรายงานในจอแล็ปท็อป แต่หูนั้นยังคงจับทุกคำพูด

“ผมเห็นด้วยกับตาทัชนะพี่..เรื่องเงินๆทองๆน่ะมันไว้ใจกันไม่ได้”

“แต่พี่มั่นใจ แล้วพี่ก็รับปากว่าจะให้เขาแล้วด้วย..หรือจะให้พี่เสียคำพูด แล้วแบบนี้ต่อไปใครจะเชื่อถือคำพูดของพี่อีกล่ะ” คณินพาลเอาอารมณ์หงุดหงิดมาขึ้นเสียงกับน้องชาย “ทำธุรกิจมันก็ต้องมีการเสี่ยงกันทั้งนั้นล่ะ ”

ชนาธิปถอนใจเฮือก ตัดใจเปิดลิ้นชักหยิบสมุดเช็คออกมา เพราะไม่อยากทะเลาะกับพี่ชายให้เสียอารมณ์.. สำหรับเขา จำนวนเงินที่พี่ชายขอมานั้นถือว่าเล็กน้อยมาก แต่เขาสำนึกเสมอว่าเงินแต่ละบาทที่หามาได้นั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน เขาจึงไม่อยากเสียไปโดยเปล่าประโยชน์..และเพื่อลดความเสี่ยงและความรู้สึกเสียดาย เขาจึงลดจำนวนตัวเลขลง

ปลายปากกาตวัดบนแผ่นกระดาษ ก่อนถูกดึงยื่นส่งให้พี่ชาย..คณินโวยวายทันทีที่เห็นตัวเลข
“เฮ้ย! พี่ขอหนึ่งล้านนะ ไม่ใช่ห้าแสน”

“เป็นการลดความเสี่ยงน่ะ” ชนาธิปบอกน้ำเสียงราบเรียบ แต่เมื่อพี่ชายขยับปากจะทักท้วง เขาก็ชิงพูดเสียก่อน
“บอกเพื่อนของพี่ว่าช่วงนี้บริษัทต้องใช้โอดีเยอะ แต่ไม่ต้องห่วง หลังจากเปิดซองประมูลเขาจะได้ที่เหลือครบทันที..ถ้ามันเป็นไปตามข้อตกลงนะ”

ประโยคที่บอกกับพี่ชาย สื่อถึงความไม่เชื่อถือเช่นกัน และทำให้คณินยิ่งเพิ่มอารมณ์โกรธเคือง เสมือนว่าน้องชายดูถูกความสามารถในการทำงานของเขา ไม่ต่างไปจากฉันทัช
“เออ จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ”

คณินทิ้งท้าย ก่อนหันกระแทกส้นเปิดประตูเดินออกจากห้องมาสมทบกับ ก้องภพ ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสนิทยืนคอยอยู่หน้าห้อง ซึ่งคณินโทรศัพท์เรียกตัวให้มารับเพื่อออกไปพบเจ้าของงาน หรืออีกนัยคือเพื่อนเก่าของเขาพร้อมๆกัน

“ได้เงินมาจากคุณชัชไหมครับ”

“ได้ แต่มันให้แค่ครึ่งเดียว เพราะมันไม่เชื่อถือข้า ฮึ! เคี่ยวทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

คนฟังส่ายหน้า “แย่จัง..เราอุตส่าห์รับปากฝ่ายนั้นเป็นมั่นเหมาะ”

“นั่นสิ”

ก้องภพครุ่นคิดไม่นานก็เสนอความคิดเห็น
“เอาอย่างนี้สิครับ..คุณคณินก็ออกส่วนที่ขาดโปะลงไปสิครับ เราจะได้ไม่ต้องเสียคำพูด”

“เอาอย่างนั้นเรอะ”

“อย่างนี้ล่ะครับ ดีที่สุด”

คณินคิดตาม แม้ลึกๆของตัวเองก็กลัวจะสูญเงินก้อนนี้เหมือนกัน แต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำของลูกน้อง เพราะเชื่อใจเพื่อนเก่า ที่เป็นผู้ดูแลการตัดสินประกวดราคาในโครงการที่เขาต้องการครั้งนี้

ทั้งสองเดินออกจากบ้าน เพื่อขึ้นรถยนต์ซีดานคันหรู และก้องภพก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งขณะขับรถ
“ผมว่า คุณคณินน่ะอยู่ใต้อำนาจของคุณชนาธิปมากเกินไปนะครับ ทั้งๆที่คุณเป็นพี่ คุณควรจะเป็นผู้ออกคำสั่งมากกว่าที่จะต้องมาคอยถามความคิดเห็นหรือต้องแบมือขอเงินกับคุณชนาธิปอยู่แบบนี้”

คนฟังถอนใจยาว “จะทำไงได้ล่ะ ก็นายชัช มันเป็นคนกอบกู้บริษัทนี้ขึ้นมานี่นา..”

“แต่มันเคยเป็นของคุณนะครับ..เขาควรจะคืนให้คุณ มากกว่าที่จะฮุบเอาหน้าตาเฉยเหมือนทุกวันนี้”

คณินขยับตัวอย่างอึดอัด พลางนึกถึงอดีต สมัยก่อนบริษัทยังไม่ใหญ่โตถึงขนาดนี้ และเขาสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดต่อจากบิดา ส่วนน้องชายนั้น หลังจากเรียนจบในต่างประเทศก็ขอเงินจำนวนหนึ่งจากบิดาและชักชวนเพื่อนชาวต่างชาติมาร่วมหุ้นเปิดบริษัทรับเหมาเล็กๆเป็นของตนเอง และกิจการเริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขากลับบริหารงานผิดพลาดหลายครั้งจนบริษัทที่บิดาสร้างมากับมือเริ่มเข้าสู่สภาวะวิกฤต ถึงขั้นต้องขายทรัพย์สินเพื่อพยุงบริษัท จนไม่เหลือแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอน และชีวิตยิ่งจมดิ่ง เมื่อภรรยาสาวหอบเสื้อผ้าหนีไปกับผู้ชายคนอื่นโดยทิ้งลูกสาวที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนไว้ให้เป็นภาระของเขา น้องชายจึงเสนอขอซื้อหุ้นของเขาทั้งหมด และก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดแทน แล้วก็ควบรวมกิจการจนขยายใหญ่โตจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อก่อนเขาก็ไม่คิดอะไร เพราะน้องชายก็ดูแลเอาใจใส่เขากับลูกดี แต่เมื่อลูกหญิง-ชายของน้องชายเริ่มเติบโตและเข้ามาก้าวก่ายในการทำงานของเขา ผสมกับคำพูดของก้องภพที่คอยกระตุ้นให้นึกถึงวันเก่าๆที่เคยผงาดมีอำนาจเหนือใครๆบ่อยครั้ง..จิตใจเขาก็เริ่มเอนเอียง นึกอยากได้บริษัทกลับคืนมาอีกครั้ง !

“แล้วนายจะให้ฉันทำอย่างไง..นายชัชมันก็ทุ่มให้กับบริษัทนี้ไปเยอะทีเดียว มันไม่ยอมปล่อยง่ายๆหรอก..ช่างเถอะ..อยู่อย่างนี้ก็มีความสุขดีแล้ว”

ก้องภพเหลือบสายตามองผู้เป็นนายผ่านกระจกส่องหลัง แม้ว่าคณินจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่สีหน้าและแววตาที่เขาเห็นเผยถึงความเสียดายอย่างชัดเจน..ชายหนุ่มตวัดสายตากลับมองถนนตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาส่องประกายวาวพร้อมหยัดยิ้มมุมปากจากความคิดแยบยลที่ซ่อนลึกไว้ภายใน ซึ่งคณินนั้นคือหมากตัวสำคัญในการเดินเกมครั้งนี้ !


.......

ภายในสนามบินนานาชาติ..

อนาวินยืนหน้าแผงหนังสือเพื่อเลือกซื้อนิตยสารที่อ่านเป็นประจำ แต่สายตากลับมองเลยไปยังปกนิตยสารที่มีภาพของราโมน่าดึงดูดสายตาผู้คนด้วยดวงหน้าสวยซึ้งมีหยาดน้ำเกาะพราวภายใต้กรอบผมยาวเปียกชุ่ม ริมฝีปากอิ่มชุ่มเรื่อสีสดเผยอแย้มเย้ายวน เรือนร่างกระจ่างอวบอิ่มละลานตาสวมใส่เพียงทูพีซสีสวยเช่นเดียวกับดวงตาของเธอถูกบดบังให้เห็นเพียงเงาลางๆจากแผ่นน้ำใสของสระว่ายน้ำ

ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่ง..รับรู้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจนั้นเริ่มผิดจังหวะ ความรุ่มร้อนจากอารมณ์ดิบกำลังขยับเคลื่อนไหวไปทั่วทุกอณูให้เกิดอาการกระสับกระส่าย ด้วยไฟราคะที่อยากครอบครองสิ่งสวยงามเฉกเช่นบุรุษทั่วไป แม้จะตระหนักดีว่าเธอคือสิ่งต้องห้ามที่เขาควรหลีกเลี่ยง แต่ความปรารถนาในส่วนลึกมักคอยรุมเร้าปลุกจินตนาการให้เตลิดไปไกลเกินกว่าจะควบคุม และแม้จะได้รับการตอบสนองจากผู้หญิงคนอื่น แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกให้อิ่มเอมได้เลยสักคนเดียว

“จะรับเล่มไหนดีคะ”

เสียงของพนักงานขายเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าลูกค้าหนุ่มผู้มีใบหน้าชวนฝันคนนี้ยืนทำสีหน้าครุ่นคิดนานหลายนาทีแล้ว

ดวงตาคมกริบปรายสายตามองผู้ถามเพียงครู่เดียวก็หันกลับมาหยิบนิตยสารเล่มที่ต้องการซื้อแต่แรก โดยอดใจไม่ได้ที่จะหยิบนิตยสารปกของราโมน่าติดมือมาด้วย..และโทรศัพท์เรียกคนของเขาให้เอาไปเก็บไว้ในรถ โดยห้ามไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะเดินกลับไปหาพิมพ์ศิริที่ร้านกาแฟ ซึ่งมีคนของเขาคอยยืนอยู่ใกล้ๆบริเวณ

“ไหนเฮียว่าจะไปซื้อหนังสือไง ไม่เห็นได้อะไรมาเลย”
หญิงสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่ นัยน์ตาดำกลมโตคู่หวานฉายแววฉงน เมื่อญาติผู้พี่เดินกลับมามือเปล่า

“เฮียให้คนเอาไปเก็บที่รถแล้วน่ะ ขี้เกียจถือมาด้วย” เขาตอบพร้อมก้มมองนาฬิกาข้อมือ “เครื่องลงแล้วนี่นา ไปกันเถอะ ป่านนี้หนูเล็กคงกำลังออกมาแล้วมั้ง”

“อืม” หญิงสาวตอบรับในลำคอ พลางดึงปิ่นไม้ฝังมุกที่เสียบมวยผมซึ่งเริ่มหลุดลุ่ยออกให้ผมยาวหยักศกดำขลับสยายลงเคลียร์แผ่นหลัง และถูกรวบม้วนเป็นมวยให้แน่นขึ้นก่อนปลายแหลมมนของตัวปิ่นจะเสียบยึดดั่งเดิมอีกครั้ง และร่างเพรียวกลมกลึงในชุดเสื้อ กางเกงผ้าเนื้อดีสีครีมเข้าชุดขยับลุกขึ้นก้าวเดินเคียงข้างร่างสูงกำยำของญาติผู้พี่ตรงไปยังจุดรอรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งคนของเขาอีกสองคนได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

ไม่นาน..ผู้โดยสารเริ่มทยอยเดินออกมาซึ่งจะเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ แต่สายตาหลายคู่ตวัดมองไปยังหญิงสาวร่างเล็กบอบบางสวมใส่เสื้อผ้าทันสมัยยี่ห้อแบรนด์เนมชั้นนำ เรือนผมสลวยดำขลับยาวเรียบตรงเกือบถึงเอวคอดเล็ก ดวงหน้าสวยเฉี่ยวเชิดเล็กน้อยอย่างคนถือตัว ผิวขาวจัดถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา ทว่าเรียวปากอิ่มเคลือบด้วยลิปติกสีแดงเจิดจ้า และเพิ่มความเด่นสะดุดสายตาด้วยชายหนุ่มผิวขาวสะอาดที่กำลังเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินอยู่ข้างกาย เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่า ร่างเพรียวกำยำมีความสูงเทียบเท่ากับชาวต่างชาติจนข่มร่างของคนที่เดินเคียงข้างให้เล็กกระจ้อย ใบหน้าคมหวานอย่างบุรุษเพศสงบนิ่งไม่เผยความรู้สึกใดๆและบดบังดวงตาคมกริบสีน้ำตาลอ่อนไว้ภายใต้แว่นกันแดด

อนาวินหยัดยิ้มมุมปาก สายตาจับจ้องไปยังน้องสาว และอ้าแขนออกทันทีที่ร่างเล็กๆนั้นก้าวยาวๆโผเข้าหาทุ่มร่างใส่ทั้งตัว สองเรียวแขนโอบกอดร่างหนาแกร่งของพี่ชายแน่นด้วยความคิดถึงจับใจ..ชายหนุ่มกระชับกอดให้แน่นขึ้นไม่กี่อึดใจ ก่อนจะคลายออก และกวาดมองดวงหน้าของผู้มีสมญานามว่า นางมารน้อย ของเขาให้ชัดเจน หลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ากันเกือบปี

“คิดถึงชะมัด..ป๊าคงดีใจมาก ที่เห็นเรา”

“หนูเล็กก็ทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงป๊าเหมือนกัน..เฮียพาหนูเล็กไปหาป๊าเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ไม่แวะอาบน้ำอาบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเรอะ”

“ไม่ล่ะ หนูเล็กจะไปหาป๊าเลย”

“งั้นก็ตามใจ”

อนาวินผละจากน้องสาว ปล่อยให้หันไปกอดทักทายกับพิมพ์ศิริ เขาจึงหันไปหาชายหนุ่มที่มีทั้งอายุและความสูงเท่ากัน
“เสียใจเรื่องน้าตฤนด้วยนะ”

“ครับ..” เสียงทุ้มตอบรับแผ่วเบา ริมฝีปากบางสีเรื่อเม้มแน่นเล็กน้อยกับความเคียดแค้นที่เก็บกดไว้ในใจกับผู้ที่พรากบิดาไปจากเขาและมารดา

“เดี๋ยวผมจะไปไหว้พ่อที่วัดก่อนนะครับ”

“อือ..เดี๋ยวนายขับรถไปก็แล้วกันฉันให้คน ขับมาเผื่อไว้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

“งั้นไปกันเลยก็แล้วกัน”

ทั้งหมดจึงก้าวเดิน และแยกย้ายไปตามจุดหมายที่ตั้งใจ

.....................................................................................

จบตอนค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.พ. 2555, 12:36:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.พ. 2555, 12:36:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 2341





<< ตอนที่ ๒   บทที่ ๔ >>
Zephyr 6 ก.พ. 2555, 12:56:58 น.
คุณป้าตบหัวโม้นาจนหน้าทิ่มแล้วมาลูบหลังปลอบแบบเบาะๆไม่ระคายเคืองผิวเลยอ่ะ มันแทนกันไม่ได้กะเรื่องก่อนหน้านี้หรอกนะป้า ตัวเองเหี่ยวแล้วเลยระแวงสินะ เฮ้อ สังขาร แต่ดีนะโม้นา ออกๆไปเถอะ อยู่ข้างนอกพี่จิลจะได้มาหาง่ายๆไง ไม่ชอบลุงคณินเลยยยยยย ก้องภพอีกเป็นสายยุแยงจากใครป่าวน้า
หนูเล็กกลับมาแล้ว จะมาป่วนพี่ชายรึป่าว ส่วนนายเต้นี่คงตัวแทนของตฤณใช่มั้ยคะ จะเหมือนพ่อขนาดไหนเนี่ย แล้วจะรอเชียร์โรมิโอ จูเลียตยุค 2012 ค่ะ


ann 6 ก.พ. 2555, 20:33:23 น.
น่าสงสารนางเอกอ่ะ


ระรินใจ 7 ก.พ. 2555, 09:46:38 น.
คุณ Neferretti === พี่จิลไม่มาหาหรอกค่ะ แต่พี่จิลจะพาไปกินในถ้ำของตัวเอง ฮี่ๆ..หนูเล็กเป็นตัวป่วนเติมรสชาติให้พี่ชายนิดหน่อยค่า ส่วนนายเต้ก็เป็นตัวแทนของตฤนที่ค่อนข้างจะเงียบกว่าพ่ออีก ^^"



คุณann === เดี๋ยวก็มีคนปลอบใจแล้วค่ะ


XaWarZd 7 ก.พ. 2555, 10:12:38 น.
สงสารโม้นา แล้วเมื่อไหร่จะมีหวานๆ เปรี้ยวให้อ่านมั่งเนี่ย


bloomberg 7 ก.พ. 2555, 10:19:52 น.
คนโลภ พูดอะไรก็เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น
คณินได่ผู้ช่วยสอพลออย่างก้องภพก็พากันล่มจมเท่านั้นเอง


nunoi 7 ก.พ. 2555, 12:49:55 น.
สงสารนางเอกเหมือนกันค่ะ


หมูอ้วน 7 ก.พ. 2555, 14:21:32 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


แพม 8 ก.พ. 2555, 00:45:45 น.
นึกว่ามี 2 คู่ ดูท่าพระ-นางคงต้องฝ่าฟันเยอะ!


ระรินใจ 8 ก.พ. 2555, 09:56:43 น.
คุณ XaWarZd === เร็วนี้ล่ะค่ะ เดี๋ยวก็ทั้งหวาน ทั้งฮากับพี่จิลแระ


คุณ bloomberg === เรื่องนี้ก้องภพพาคณินล่มจมจริงๆค่ะ



คุณnunoi === หวานๆปนขมนิดหน่อยค่า



คุณหมูอ้วน === รับทราบจ้า


คุณแพม === เรื่องนี้ มีแค่คู่เดียวคนเขียนก็มึนตึ้บแล้วค่า แหะๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account