เทหน้าตักรักนางมารร้าย ตอนพิเศษ (Love scene!!!)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ต่อ
อีกแค่นิดเดียว… เพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น จมูกโด่งเป็นสันก็จะสัมผัสกับผิวแก้มนวลเนียน แต่เปลือกตาที่ขยับไหวเป็นสัญญาณว่าอีกในไม่ช้าเจ้าของจะตื่นขึ้นมาก็หยุดชะงักการกระทำนั้นไว้เสียก่อน ชินพัตต์ดึงตัวเองกลับไปนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมข้างๆ โซฟาพลางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะปล่อยออกมายืดยาว พริบตาเดียวดวงตาคู่กลมโตก็ค่อยลืมขึ้นช้าๆ
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงใสติดจะแหบแห้งนิดๆ เอ่ยทักขณะที่เจ้าตัวยันร่างขึ้นจากโซฟา
ชินพัตต์พยักหน้า “มานอนขดอยู่ตรงนี้ทำไม ไม่ขึ้นไปนอนข้างบน”
ปุณยวีร์ย่นจมูกใส่คนถาม “ก็เพราะใครล่ะ” ครั้นเห็นเขาขมวดคิ้วงงๆ เหมือนจะไม่รู้ตัวเธอก็ถอนใจก่อนจะกล่าวออกมา “ชินไปไหนมา ทำไมถึงกลับช้า ออกจากบริษัทตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ปุ่นโทรหาตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมรับสาย”
ส่งคำถามออกมาเป็นชุดสมบทบาทของภรรยาที่กำลังทำหน้าที่สอบสวนสามีเลยทีเดียว แต่หน้าที่สำคัญที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง เธอกลับไม่รับผิดชอบไม่ยอมปฏิบัติสักที
“ผมไปทำธุระ” บอกเสียงเรียบ
“ธุระ?” ปุณยวีร์ย้อนถามเสียงสูงพลางขมวดคิ้วมองคนที่เพิ่งกลับจากทำธุระซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ทำนองถามว่าเขาไปธุระด้วยชุดนี้เนี่ยนะ
ชินพัตต์ถอนหายใจ “พอเสร็จธุระผมก็แวะเข้าฟิตเนส ไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้วรู้สึกเนือยๆ เลยไปออกแรงเสียหน่อย”
คนขี้สงสัยพยักหน้ากำลังจะส่งคำถามต่อไปอีกฝ่ายก็ตัดบทขึ้นก่อน “ดึกแล้วขึ้นนอนเถอะ ง่วงแล้วไม่ใช่เหรอ” ว่าแล้วเขาก็ผละไปสำรวจประตูหน้าต่างว่าได้ปิดล็อกลงกลอนเรียบร้อยแล้วหรือยังไม่ได้นำพาว่าคนที่เขาไล่ให้ไปนอนได้เดินขึ้นชั้นบนไปนอนอย่างที่เขาบอกไหม หรือว่าจะมองตามเขาด้วยสายตาเช่นไร
ท่าทีหมางเมิน ห่างเหิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงมันออกมาอย่างชัดแจ้ง ทว่าสำหรับเธอที่อยู่ใกล้ชิดรู้ใจกันมานานหลายปียิ่งในตอนนี้ได้เลื่อนฐานะมาเป็นภรรยาก็รู้สึกได้ และแม้จะรู้สึกผิดรู้ว่าสาเหตุหลักเกิดจากตัวเองที่ยังทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ครบสมบูรณ์ แต่อีกใจหนึ่งก็อดน้อยใจไม่ได้
###
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”
เสียงทักทายกับรอยยิ้มกระจ่างใสที่ได้เห็นเป็นภาพแรกหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าทำให้ชินพัตต์อึ้งไปพักก่อนที่เขาจะระลึกได้ถึงระยะห่างชวนหวาดเสียว เพราะอีกฝ่ายก้มลงมาทักใกล้เสียจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเบือนหน้าหนีไปอีกทางก่อนจะทักตอบ “อรุณสวัสดิ์”
ปุณยวีร์ยืดตัวเต็มความสูงดวงหน้าใสยังแต้มยิ้มอารมณ์ดีแม้คนเป็นสามีจะทำท่าคล้ายรังเกียจกันก็ตาม “แปลกจัง วันนี้ชินตื่นช้ากว่าปุ่น ไม่ไปทำงานเหรอ”
“ไป”
“แล้วทำไมถึงมานอนอยู่ตรงนี้ไม่ไปนอนที่เตียงด้วยกัน หรือเมื่อคืนปุ่นนอนดิ้นจนชินไม่มีที่นอน” ตรงนี้ที่ว่าคือ โซฟาเบด ซึ่งสามารถปรับเป็นเตียงนอนได้ตั้งไว้ชิดผนังอีกด้านหนึ่ง
ย้อนหลังกลับไปเมื่อคืน หลังจากเข้ามาในห้องนอนกันแล้วเธอยังไม่เข้านอนในทันที แต่รอจนอีกฝ่ายทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยหวังว่าจะได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับเขาแล้วเข้านอนพร้อมกัน แต่เธอยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรเขาก็บอกว่ามีงานต้องสะสางให้เข้านอนได้เลยไม่ต้องรอก่อนจะคว้าโน้ตบุ๊คออกไปทำงานอีกห้อง ทิ้งให้เธออ้าปากค้างมองตามหลังเขาอึ้งๆ สุดท้ายก็ทำได้แค่ถ่างตารอจนดึกดื่นค่อนคืนแต่เขาก็ยังไม่กลับมา เธอผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นเช้าของวันรุ่งขึ้น หากก็เป็นเช้าที่แปลกไปกว่าทุกวันไร้เงาของร่างสูงที่เคยนอนเคียงข้างให้เธอซุกซบอยู่ทุกค่ำคืนนับตั้งแต่แต่งงานอยู่ด้วยกันมา ครั้นกวาดตามองไปทั่วห้องจึงพบว่าอีกฝ่ายระเห็จไปนอนอยู่บนโซฟาเบดซึ่งตั้งอยู่ติดผนังห้องอีกด้าน และทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดเป็นสาเหตุของการกระทำอันผิดแปลกของเขาเหล่านั้น แต่คนที่มีนิสัยเอาแต่ใจไม่คุ้นชินกับการง้องอนใครก็ยังตีหน้าซื่อพูดคุยยิ้มแย้มแบบเนียนๆ แทนที่จะกล่าวคำขอโทษหรือพูดคุยเปิดอกกันตรงๆ หวังใจว่าคนขี้ใจน้อยจะใจอ่อนยอมๆ ให้กันเหมือนเช่นทุกครั้ง
“พอดีผมอ่านหนังสือติดพันเลยเผลอหลับไป” เสียงตอบราบเรียบไม่บ่งอารมณ์ใดๆ ก่อนเจ้าตัวจะยันร่างขึ้นจากโซฟาเบด
“ชินจะเข้าห้องน้ำเลยรึเปล่า เดี๋ยวปุ่นเตรียมผ้าเช็ดตัวให้นะ”
ร่างเล็กบางกระวีกระวาดเดินนำเข้าไปในห้องแต่งตัวแบบวอร์คอินเพื่อทำหน้าที่ภรรยาที่แสนดีโดยไม่รอคำตอบรับจากสามี หากยังไม่ทันจะเลื่อนเปิดตู้เสื้อผ้าซึ่งฝังเรียบเข้าไปในผนังเป็นแนวยาว ดวงตาคู่กลมโตก็สะดุดอยู่กับกระเป๋าเดินทางซึ่งวางแอบอยู่ซอกหนึ่งข้างตู้ พอลองยกขึ้นดูก็พบว่าภายในนั้นคงไม่ว่างเปล่าแน่ๆ เพราะน้ำหนักที่มากพอสมควร
ปุณยวีร์หันกลับมาส่งสายตาแทนคำถามให้คนที่เดินตามหลังกันมา รอยยิ้มหัวอารมณ์ดีที่มีมาตลอดเลือนหายเหลือไว้เพียงความเครียดเคร่ง
“ผมจะไประยองสองสามวัน มีงานติดตั้งระบบคอมฯ ให้โรงงานเปิดใหม่ที่นั่น”
“จะไปเมื่อไหร่”
“วันนี้”
ปุณยวีร์เลิกคิ้ว “วันนี้!” เธอทวนคำเสียงสูง “ไปวันนี้แล้วก็เพิ่งบอกวันนี้ นี่ชินไม่คิดจะบอกกล่าวกันล่วงหน้าให้ได้เตรียมตัวเลยหรือไง”
‘ก็ผมไม่คิดว่าคุณจะสนใจ’ เปล่าหรอก เขาเพียงแค่คิดไม่ได้พูดมันออกไป ใบหน้าคมคายตอนนี้เหมือนถูกปูนฉาบไว้จนเรียบสนิทกลับไปเป็น ‘ชายหนุ่มมาดนิ่ง’ เหมือนสมัยที่ยังเป็นวิศวกรอยู่ในโรงงาน
“ทั้งที่เราเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงเดือน ปุ่นเองก็ยังไม่คุ้นกับการอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ จู่ๆ ชินก็จะไปทำงานต่างจังหวัดตั้งหลายวันมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ เคยคิดบ้างมั้ยว่าปุ่นจะอยู่ยังไงคนเดียว”
ดวงตาคู่คมสบประสานกับดวงตาคู่กลมโตฉายรอยตัดพ้อนิ่งๆ “ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคุณยังไม่คุ้นกับที่นี่ก็ในเมื่อคุณไปขลุกอยู่ที่บ้านพี่เป้จนดึกดื่นทุกวัน ดีซะอีกไม่ใช่เหรอที่สามวันนี้ผมไม่อยู่คุณจะได้ไปค้างที่นั่นอย่างสบายใจไม่ต้องฝืนใจกลับมาที่นี่”
“ชิน…” คนเคยปากเก่งสามารถงัดเอาสารพัดเหตุผลมาเถียงได้ไม่ลดละมาบัดนี้ทำได้แค่เพียงครางเสียงแห้ง หากเพียงครู่เดียวเธอก็เชิดหน้าทำคอแข็ง “ยังไงปุ่นก็จะอยู่ที่นี่ไม่ไปค้างที่บ้านพี่เป้” ให้มันรู้ไปสิว่าเขาจะใจดำทิ้งเธอได้ลงคอ
“งั้นก็ตามใจ เพราะผมคงไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามคุณ” นอกจากจะไม่คัดค้านแม้สักคำแล้ว ชินพัตต์ยังตอบรับเสียงเรียบก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำที่ถูกแยกเป็นสัดส่วนทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่เบิกตามองตามหลังอึ้งๆ
‘ตกลงว่าฉันผิด?’ คนที่แม้จะรู้ตัวว่าผิดแต่ก็ยังฟอร์มจัดไม่อยากจะยอมรับคร่ำครวญถามตัวเองในใจ
###
“ใช่! แกผิดเต็มประตู” เป็นเหมือนพิมพ์ที่พูดซ้ำเติมเหมือนตอกประตูปิดฝาโลงหลังจากฟังเพื่อนเล่าปัญหาชีวิตหลังแต่งงานจบลงแล้ว
คนผิดทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนตอนนี้สำหรับคุณเพื่อนว่าที่คุณแม่เธอจะกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว
“นัท…” ปุณยวีย์หันไปทำเสียงอ้อนกับเพื่อนอีกคนที่เพียงรับฟังอยู่เงียบๆ ไม่มีความเห็นใดๆ หวังว่าฝ่ายนั้นจะเข้าข้างกันไม่ก็คงไม่ตอกย้ำให้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
ณัชชาส่งยิ้มเป็นกำลังใจกลับมา “นัทไม่เข้าข้างใครหรอก” เสียงหวานบอกเนิบนาบตามสไตล์ พอได้ยินอย่างนั้นคนรอคำตอบก็ยิ้มปลื้ม “นัท…” เรียกชื่อเพื่อนด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ
“แต่ว่า… นัทสงสารชิน”
“นัทอ่ะ…” คนที่ตีความท่าทีของเพื่อนผิดไปเอ่ยเสียงกระเง้ากระงอดทั้งยังขว้างค้อนวงเบ้อเริ่มใส่ว่าที่คุณแม่ที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่มีกั๊ก ไม่รู้ว่าลูกในท้องของเจ้าหล่อนจะหัวสั่นหัวคลอนบ้างไหม
ณัชชาส่ายศีรษะก่อนจะพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ปุ่นใจร้ายกับชินมากเลยนะ นอกจากจะไม่ขอโทษ ไม่บอกกันตรงๆ แล้วยังจะกล่าวหาว่าเขาไม่แคร์อีก”
คนใจร้ายก้มหน้า “ก็…” ไปต่อไม่ถูก
“ปุ่นเองไม่ใช่เหรอที่พยายามหลีกเลี่ยง ทำตัวห่างเหินหมางเมินกับเขาก่อน แต่พอเขาเมินใส่บ้างก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งที่เขาเพิ่งจะทำแท้ๆ ส่วนตัวเองทำใส่เขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ลองคิดเปรียบเทียบดูก็แล้วกันว่าปุ่นยังโกรธขนาดนี้ แล้วเขาล่ะจะน้อยใจมากแค่ไหน ส่วนเรื่องแคร์… ถ้าเขาไม่แคร์ปุ่น เขาคงไม่ถอยไปตั้งหลักไกลถึงระยองหรอก แต่เพราะเขาแคร์ไงเขาถึงต้องไปไม่อยู่ให้ปุ่นอึดอัด ถามตัวเองดีกว่าตกลงจะเอายังไงแน่ โน่นก็ไม่ชอบนี่ก็ไม่ใช่แบบนี้แล้วใครที่ไหนจะเอาใจถูก”
จบคำพูดยืดยาวของณัชชา เหมือนพิมพ์ก็ตบมือชอบใจ “เจ๋งมากนัท ตั้งแต่คบกันมาแกพูดถูกใจฉันที่สุดก็วันนี้ ยกให้เป็นวาทะแห่งปีได้เลยนะนี่”
ก่อนจะหันไปทางคนที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจบ้าง “ฟังนะปุ่น เรื่องที่เราต่างก็รู้กันดี ถ้าชินดึงดันจะทำซะอย่างแกก็ขัดเขาไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขาแล้วเขาก็มีวิธีทำให้แกยอมเขาได้แน่ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าเขาน่าจะมีประสบการณ์มากกว่าแก แต่นี่เขาอุตส่าห์หักห้ามใจ แม้ตัวเองจะทรมานอัดอั้นมากแค่ไหนเขาก็ยอมทน แล้วมันเป็นเพราะอะไรล่ะ ทั้งหมดนี่มันไม่ใช่เพราะเขาแคร์แกเขารักแกหรอกเหรอ ฉันกับแกคบกันมาตั้งนาน ฉันรู้ว่าแกนิสัยยังไง เอาแต่ใจมากแค่ไหน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะปุ่น แกไม่ได้เป็นแค่ลูกของพ่อกับแม่ น้องสาวของพี่เป้ และเพื่อนของพวกฉันเท่านั้น แต่แกยังเป็นภรรยาของชินด้วย ในเมื่อแกกับเขาตัดสินใจร่วมชีวิตกันแล้ว นั่นก็หมายความว่าแกกับเขาต้องยอมรับตัวตนของกันและกันให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควรจะพบกันครึ่งทาง ไม่ใช่อะไรไม่ได้ดั่งใจก็สั่นหัวไม่ยอมรับลูกเดียว ควรจะเปิดอกพูดคุยกันจะได้เข้าใจตรงกันแล้วปรับตัวเข้าหากันได้ แกต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เขาทำเพื่อแกมาตั้งเท่าไหร่ แล้วแกจะทำเพื่อเขาบ้างไม่ได้เชียวเหรอ”
ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกจากปากปุณยวีร์ ดูเหมือนคำที่เพื่อนกล่าวออกมานั้นจะถูกหมดทุกอย่าง หญิงสาวจึงได้แต่นั่งฟังเงียบๆ อย่างยอมจำนน
###
“ชินไประยองเพราะเรื่องงานจริงๆ ค่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้าคุณปุ่นเลย แก้วรับรองได้” กีรฎายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะซ้ำอีกครั้งต่อหน้าภรรยาของบุคคลในหัวข้อสนทนา หลังจากครั้งแรกเธอได้บอกไปแล้วโดยผ่านสัญญาณโทรศัพท์
หลังจากโดนเพื่อนจัดชุดใหญ่จนไม่มีกะจิตจะใจจะทำงานต่อ ปุณยวีร์ก็ติดต่อหากีรฎาเพื่อเลียบเคียงถามถึงวัตถุประสงค์ในการเดินทางไประยองของสามี หวังว่าคำตอบที่ได้จะทำให้รู้สึกผิดน้อยลง หากมันก็เป็นได้แค่หวัง เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมายิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเธอนั่นแหละคือนางมารร้ายตัวจริงเสียงจริง ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเชิญเธอมาพบเพื่อพูดคุยกันที่ WE Associate
“คุณปุ่นมีอะไรจะบอกเล่าให้แก้วฟังบ้างมั้ยคะ” กีรฎาเปิดการสนทนาขึ้นอีกครั้งหลังจากอีกฝ่ายนิ่งไปนาน
“ปุ่นไม่รู้จะเริ่มยังไง”
“ถ้างั้นให้แก้วเป็นคนถามก็แล้วกันนะคะ” รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา กีรฎาจึงยิงคำถามออกไป “คุณปุ่นกับชิน… ยังไม่มีอะไรกันใช่มั้ยคะ”
พอเจอกับคำถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมของสาวหวานที่เธอไม่เคยนึกจินตนาการว่าอีกฝ่ายจะกล้าเอ่ยเรื่องราวทำนองนี้ออกมาโดยไม่มีท่าทีขัดเขิน ปุณยวีร์ก็อึ้งจนแทบพูดไม่ออก ดวงหน้าขาวๆ ตอนนี้ขึ้นสีจัด “เอ่อ… ทำไมแก้วรู้ อย่าบอกนะว่าชิน…”
“ชินไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นค่ะ แก้วเดาเอาเอง และก็แน่ใจด้วยว่าเดาถูก”
“มันดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอแก้ว” ปุณยวีร์ทำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่รู้สิคะ ดูจากท่าทีของชิน แล้วก็นิสัยของคุณปุ่น ทำให้เราเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องนั้น” กีรฎาตอบง่ายๆ
ปุณยวีร์ถอนใจ จะบ่ายเบี่ยงไปก็คงไม่มีประโยชน์ “ตอนแก้วแต่งงานใหม่ๆ แก้วไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้เลยเหรอ”
“ก็ไม่นี่คะ”
“แล้วครั้งแรกแก้วไม่กลัว ไม่อาย ไม่…”
กีรฎายิ้ม “มันก็ต้องมีบ้างนั่นแหละค่ะ แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่เรารัก เป็นคนที่เราหวังจะร่วมชีวิตด้วย ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยทำร้ายเรา ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้วจะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นั้นล่ะคะ”
นั่นสินะ… เขาเป็นคนรักของเธอแท้ๆ หาใช่คนอื่นไกลที่ไหน และเธอก็ตัดสินใจร่วมชีวิตกับเขาแล้วจะกลัวไปทำไม อีกอย่างตัวเธอเองก็เรียนรู้มาตั้งนานว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติที่ต้องเดินทางมาถึงในสักวัน… หากทว่าระยะเวลาที่เธอมัวแต่งมโข่งจมอยู่กับความงี่เง่าของตัวเองนี่สิไม่รู้มันจะยาวนานเกินไปหรือเปล่า แล้วเขายังจะรอเธออยู่ไหม
“ปุ่นใจร้ายกับชินตั้งนาน ปล่อยให้เขารอมาจนป่านนี้เขาจะไม่โกรธ ไม่งอนจนคิดจะเลิกกับปุ่นไปแล้วเหรอคะ”
“ไม่หรอกค่ะ ชินไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น”
“แก้วแน่ใจได้ยังไง รู้มั้ยว่าก่อนไประยองเขาทำเย็นชาหมางเมินกับปุ่นมากแค่ไหน ถามคำตอบคำอย่างกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก แล้วยังหนีไปนอนขดบนโซฟาเบดไม่ยอมร่วมเตียงกับปุ่น ไม่พอเท่านั้นนะเขายังทำท่ารังเกียจเวลาปุ่นเข้าใกล้ด้วย” พอได้โอกาสปุณยวีร์ก็ขุดเอาพฤติกรรมของสามีมาโพนทะนาหน้ามุ่ย
คนที่แต่งงานมาก่อนสองปีโคลงศีรษะยิ้มๆ “การที่ผู้ชายทำเหมือนหมางเมินไม่อยากเข้าใกล้ บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเบื่อเราเสมอไปนะคะ ยิ่งในกรณีของชินด้วยแล้วแก้วฟันธงได้เลยว่าไม่ใช่ ยังไม่ทันจะเข้าหอเลยเขาจะเบื่อได้ยังไง คงเป็นเพราะว่าอยู่ใกล้แล้วต้องทนทรมานกับการหักห้ามใจมากกว่า เขาเลยต้องถอยไปตั้งหลักไกลๆ”
ครั้นเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เชื่อกัน กีรฎาก็สำทับขึ้นอีก “คุณปุ่นพอจะจำเรื่องตอนที่แก้วท้อง แล้วแก้วก็ทะเลาะกับพี่ปืนใหญ่โตหาว่าเขาไปมีกิ๊กได้มั้ยคะ”
ปุณยวีร์พยักหน้า เธอทราบเรื่องนี้มาจากชินพัตต์ รู้สึกว่าตอนนั้นคู่รักวิศวกรจะทะเลาะกันหนักหนาพอสมควร ซึ่งสาเหตุนั้นเกิดจากความเข้าใจผิดคิดไปเองของฝ่ายหญิงล้วนๆ เรียกอีกนัยหนึ่งก็ผลข้างเคียงจากฮอร์โมนของคนท้องนั่นแหละ (อันนี้… พ่อหนุ่มมาดนิ่งกระซิบบอกเธออีกที)
ดวงหน้าของคนที่เปิดประเด็นขึ้นมาจับสีชมพูระเรื่อดูเหมือนจะขัดเขินอะไรสักอย่างก่อนเจ้าตัวจะกระแอมกระไอส่งสัญญาณว่าเรื่องที่กล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญ “ฟังแล้วคุณปุ่นต้องเหยียบไว้ห้ามบอกต่อเด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นแก้วโกรธจริงๆ ด้วย” รอจนคนฟังพยักหน้าหงึกหงักเธอจึงกล่าวสืบไป
“ตอนแก้วท้อง แก้วก็เริ่มรู้สึกว่าพี่ปืนเปลี่ยนไป เขาทำตัวแปลกๆ กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทั้งที่งานก็ไม่ได้มีมากมายจนต้องใช้เวลาจัดการมากขนาดนั้น แล้วพอกลับถึงบ้านเขาก็แค่หอมแก้มเบาๆ ถามว่าวันนี้เป็นยังไง แพ้ท้องมากไหม แล้วก็อะไรอื่นอีกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะไปหมกตัวอยู่ในห้องทำงานกว่าจะเข้านอนแก้วก็หลับไปแล้ว แถมยังไม่นอนบนเตียงด้วยกันกลับหนีไปนอนที่โซฟาแทน พอเห็นสามีเป็นแบบนี้ใครจะไม่ระแวงคิดมากได้ใช่มั้ยล่ะคะ ยิ่งกำลังท้องอยู่ด้วยอะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิม พุงก็โย้ ก้นก็ย้วย จั๊กแร้ดำ แขนขาบวมฉึ่ง หงุดหงิดง่ายอีกต่างหาก ตอนนั้นแก้วก็จิตตกคิดไปสารพัดแต่ที่หนักสุดเลยคือคิดว่าพี่ปืนคงเบื่อแก้วหมดรักแก้วแล้วกำลังคิดจะมีใหม่แน่ๆ เพราะเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย จากที่เคย… เอ่อ ออดอ้อนขอ อ่า… กุ๊กกิ๊กกับแก้วบ่อยๆ เขาก็ร้างไปเกือบจะสองเดือน…” เสียงของคนเล่าชะงักหยุดไปกะทันหันเพราะเสียงโครมครามที่ได้ยินมาจากห้องข้างๆ
ปุณยวีร์ขมวดคิ้ว “เสียงอะไรน่ะแก้ว”
“น่าจะเป็นแมว!น่ะค่ะ” กีรฎาตอบเข่นเขี้ยว
“หือ… ที่นี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ เป็นแมวจรจัดรู้สึกว่าจะมีสามหรือสี่ตัวนี่แหละแก้วไม่ค่อยแน่ใจ พอใจดีด้วยหน่อยก็มาเดินเพ่นพ่านเสียงดังโครมครามเลยเชียว เห็นทีจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดซะแล้ว”
“งั้นเหรอ” เมื่อเจ้าของสถานที่ว่ามาอย่างนั้นปุณยวีร์ก็ปล่อยผ่านง่ายๆ ด้วยยังมีอีกประเด็นที่ค้างคาดึงความสนใจของเธออยู่ “แก้วเล่าต่อสิ ยังไม่จบไม่ใช่เหรอ”
กีรฎาถอนหายใจ มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องเล่าให้จบเรื่อง “ก็นั่นแหละค่ะ มันผิดปกติ ใช่ว่าแก้วจะเสพติดเรื่อง… เอ่อ เรื่องนั้นนะคะ แต่มันผิดปกติไปจากที่เคยจริงๆ แก้วเลยเหวี่ยงพี่ปืน โกรธพี่ปืนเพราะนึกว่าเขาแอบมีกิ๊กเป็นเรื่องเป็นราวทะเลาะกันใหญ่โต พอได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันแก้วถึงรู้ว่าคิดไปเอง ส่วนพี่ปืนก็วิตกจริตเกินไปคิดว่าแก้วท้องแล้วคงจะกุ๊กกิ๊กกันไม่ได้ เขาก็เลยพยายามอยู่ห่างๆ แก้ว เพราะถ้าอยู่ใกล้มันก็ทรมานกับการหักห้ามใจ ก็อย่างที่แก้วเล่านี่แหละค่ะ แก้วคิดว่าชินคงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับพี่ปืนตอนนั้น คุณปุ่นอย่าโกรธเพื่อนของแก้วอีกเลยนะคะ แค่นี้เขาก็น่าสงสารมากพอแล้ว”
ปิดประโยคด้วยการขอความเห็นใจให้เพื่อนสนิท ซึ่งคนใจร้ายก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจื่อน
###
“เอ่อ… ช่างกำลังล้างแอร์อยู่ค่ะ คุณแก้วมีอะไรรึเปล่าคะ” เลขานุการสาวใหญ่ซึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าห้องประธานกรรมการรีบตรงเข้ามาถามเมื่อเห็นว่ากีรฎากำลังจะผลักประตูเข้าไปในห้องประชุมเล็ก
“แน่ใจนะคะ!”
เมื่อคำตอบของอีกฝ่ายคือยิ้มแห้งๆ กีรฎาก็ผลักประตูเข้าไปทันที ภาพที่เห็นคือแมวสอดรู้สอดเห็น เอ้ย! ชายหนุ่มสี่คนอันประกอบไปด้วย ท่านประธาน รองอีกสอง และพนักงานกิตติมศักดิ์อีกหนึ่ง นั่งเรียงรายรอบโต๊ะรูปตัวยูเบื้องหน้าของแต่ละคนมีแฟ้มงานวางอยู่ ท่าทางดูคร่ำเคร่งเหมือนกำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับเมกะโปรเจ็คท์อะไรสักอย่าง เนียนใช้ได้ ทว่า… เธอไม่เชื่อ
“ไหนล่ะคะช่างแอร์”
สาวใหญ่ยิ้มแหยก่อนจะค้อมศีรษะถอยกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองปล่อยให้ท่านประธานและรองทั้งหลายแก้ไขสถานการณ์กันเอาเอง
“ช่างแอร์เพิ่งกลับไปเมื่อกี้ แล้วพวกพี่ก็เข้ามาใช้ห้องต่อ แอร์เย็นเจี๊ยบเลยว่ามั้ยแก้ว” ก้องภพตอบแล้วตบท้ายด้วยยิ้มประจบ
กีรฎาส่งสายตาพิฆาตพร้อมกับตอบเสียงเขียวปั้ดกลับไป “เรื่องที่แก้วกับคุณปุ่นคุยกันถ้ามันเล็ดรอดออกไปเมื่อไหร่ แก้วจะไม่สนทั้งนั้นว่ามันออกมาจากปากใคร แต่ถ้ามันเกิดขึ้นพี่ปืนต้องเชิญตัวเองไปนอนที่ห้องนอนแขก” จบคำประกาศิตหญิงสาวก็จ้ำอ้าวออกจากห้องทันทีไม่สนเสียงห้าวที่ร้องโวยวายตามหลัง
“เฮ้ย! ไม่ได้นะแก้ว แก้ว… ฟังพี่ก่อนสิครับ”
“ซวยเลยมึง”
“บอกแล้วก็ไม่เชื่อ อยากรู้อยากเห็นดีนัก”
“ถ้าไม่อยากรู้แล้วตามมาทำไมวะ”
หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามลับฝีปากกันไม่ลดละ ตรัยฟังแล้วก็หัวเราะขำก่อนจะเอ่ยออกมาบ้าง “มาเล่นเกมตอบปัญหาอะไรเอ่ยกันมั้ยพี่”
ก้องภพเบ้ปากส่ายหน้าทำนองบอกว่าไร้สาระ ส่วนภควัตก็เลิกคิ้ว สุดท้ายจึงเหลือเพียงอนุพงษ์ที่ถามกลับมา “ปัญหาอะไรของเอ็งวะ”
ตรัยยิ้ม “อะไรเอ่ย…” เขายักคิ้วใส่คนผิวเข้ม “ใหญ่กว่าท่านประธาน”
“เมียท่านประธาน!” ท่านรองทั้งสองประสานเสียงตอบอย่างพร้อมเพรียง
“ไอ้เต้!” ท่านประธานเข่นเขี้ยวพร้อมกับยกเท้าขึ้นหวังจะถีบพนักงานปากดี แต่อีกฝ่ายก็ไวกว่าลุกขึ้นเผ่นแผล็วออกจากห้องเห็นแค่หลังไวๆ เขาจึงได้แต่ถลึงตาใส่เพื่อนที่แข่งกันระเบิดเสียงหัวเราะไม่มีเกรงใจ
###
แสงไฟสว่างไสวที่ไม่ได้มีแค่เพียงบริเวณกำแพงริมรั้วซึ่งเป็นไฟที่ติดตั้งด้วยระบบเซ็นเซอร์ สามารถเปิดปิดเองอัตโนมัติ แต่ยังมีแสงที่สว่างมาจากภายในตัวบ้านบ่งบอกว่าภายในนั้นมีคนอยู่ไม่ได้ถูกปิดเงียบสร้างความแปลกใจให้กับคนที่เพิ่งมาถึงแต่มันก็ไม่มากไปกว่าความรู้สึกดีใจ
“ชิน…” ปุณยวีร์เอ่ยชื่อคนที่อยู่ในความคิดคำนึงยิ้มๆ ก่อนจะรีบกดรีโมทเปิดประตูรั้วแล้วเลื่อนรถเข้าไปหวังจะได้พบกับอีกฝ่ายเร็วๆ
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณปุ่น” คนที่เปิดประตูออกมาต้อนรับไม่ใช่ชายหนุ่มที่หญิงสาวคาดหวัง แต่กลับเป็นหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นแม่ครัวอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเขา
“ป้าจันทร์… ทำไมมาอยู่นี่ล่ะคะ”
“คุณชินไปขออนุญาตคุณผู้หญิงให้ป้ามาอยู่เป็นเพื่อนคุณปุ่นช่วงที่คุณชินไปทำงานต่างจังหวัดค่ะ แล้วไม่ได้มีแค่ป้าเท่านั้นนะคะ ยังมีนังรวยกับนายเพิ่มด้วยตอนนี้อยู่ในครัว”
“งั้นเหรอคะ”
“ค่ะ เอ่อคุณปุ่นจะทานอาหารเย็นเลยมั้ยคะป้าจะได้ตั้งโต๊ะเลย” ป้าจันทร์บอกท่าทางกระตือรือร้น
ปุณยวีร์ส่ายศีรษะก่อนจะตอบกลับเสียงเนือย “ไม่ต้องหรอกค่ะ ปุ่นไม่หิว พวกป้ากินกันไปเลย” แล้วก็ผละขึ้นชั้นบน
###
ห้องนอนสีขาวควันบุหรี่ในค่ำคืนนี้ดูจะแตกต่างไปจากทุกวัน ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ การจัดวาง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปจึงน่าจะเป็นใจของคนมากกว่า เพราะหัวใจที่อ้างว้างทำให้มองเห็นห้องห้องเดิมแลดูกว้างขวางเปลี่ยวเหงา ไม่อบอุ่นน่าอยู่เหมือนอย่างที่เคย
ปุณยวีร์ถอนหายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนการที่ต้องอยู่กันคนละที่ ไม่ได้เห็นหน้า หรืออาจจะไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของชายคนรักในช่วงระยะเวลาสั้นๆ สำหรับเธอแล้วไม่ได้เป็นปัญหามากมายนัก หากตอนนี้… เพียงแค่ค่ำคืนแรกเธอยังรู้สึกว่ามันยาวนาน และยากเกินกว่าจะทำใจให้ก้าวข้ามไป
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นแล้วตามหลังด้วยประโยค “คุณปุ่นคะ ป้าจันทร์เองค่ะ นอนหรือยังคะ” เรียกให้คนที่นั่งปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อยรีบดึงตัวเองออกจากภวังค์ก่อนเธอจะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้คนที่คอยอยู่ด้านนอก
“มีอะไรเหรอคะป้าจันทร์”
“ป้าเอาขนมกับนมมาให้ค่ะ ทานสักหน่อยนะคะถ้าไม่ทานอะไรเลยเดี๋ยวจะปวดท้อง” ป้าจันทร์บอกพลางยกถาดใส่อาหารว่างเข้ามาวางไว้บนโต๊ะภายในห้อง
ปุณยวีร์ขมวดคิ้วเมื่อพบว่าขนมที่อีกฝ่ายยกเข้ามาให้เป็นเค้กเจ้าอร่อยที่เธอมักจะซื้อไว้ติดบ้านเป็นประจำ แต่มันเพิ่งหมดไปเมื่อวานนี้และเธอก็ยังไม่ได้ไปซื้อมาเพิ่มอีก แล้วทำไม…
“คุณชินบอกป้าว่าคุณปุ่นปลื้มเค้กร้านนี้มาก กำชับป้าว่าก่อนเข้าบ้านอย่าลืมซื้อมาเด็ดขาด แล้วยังกำชับโน่นกำชับนี่อีกเต็มไปหมดดูท่าจะห่วงคุณปุ่นมากทีเดียว จนคุณท่านอดค่อนขอดไม่ได้ว่าถ้าห่วงมากนักแล้วทำไมไม่อยู่ดูแลเองจะไปทำงานไกลๆ ทำไม เธอถึงได้หยุดพูดแต่ก็ยังไม่วายทำหน้าเครียด ป่านนี้คงจะรีบเร่งทำงานให้เสร็จจนไม่ได้พักเสียก็ไม่รู้ ถึงตัวจะยังอยู่ระยองแต่ใจคงบินกลับมาหาคุณปุ่นแล้วแน่ๆ” ป้าจันทร์บอกเล่ายิ้มๆ
“ขอบคุณมากนะคะป้าจันทร์”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะเป็นหน้าที่ของป้าอยู่แล้ว มื้อเช้าคุณปุ่นจะรับอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
“อะไรก็ได้ค่ะ ปุ่นทานได้ทั้งนั้น”
ป้าจันทร์พยักหน้า “ถ้างั้นป้าไม่รบกวนแล้ว นอนหลับฝันดีนะคะคุณปุ่น”
ลับร่างของแม่บ้านวัยกลางคนไปนานแล้ว แต่ปุณยวีร์ก็ยังยืนคว้างอยู่กลางห้องไม่ได้ขยับไปจัดการอาหารว่างที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ยกขึ้นมาให้ ดวงตาคู่กลมโตกวาดแลไปทั่วทั้งห้องหอ ผนังนั้นทาทับด้วยสีขาวควันบุหรี่แบบที่เธอชอบ ผ้าม่านหนาหนักสีฟ้าแสนสดใสนั่นเธอก็เลือกเองกับมือ ไหนจะโคมไฟรูปทรงสุดเก๋ โซฟาเบดที่วางชิดติดกับผนังห้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง… หากรู้ว่าเธอชอบ เขาไม่เคยละเลย กลับพร้อมจะตอบสนองทุกความต้องการ แต่เธอนี่สิ แม้จะรู้ดีว่าเขาชอบหรือต้องการสิ่งไหน กลับไม่ค่อยได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนเขาบ้างเลย
ร่างบางเดินไปทรุดนั่งลงบนขอบเตียงพลางยกกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กขึ้นมาดู ภาพถ่ายในนั้นเป็นหนึ่งในเซตภาพถ่ายพรีเว็ดดิ้งซึ่งเธอกับเขาชอบมากที่สุด แล้วก็เลือกเป็นภาพสำหรับตั้งโชว์ไว้บริเวณซุ้มดอกไม้ซึ่งคู่บ่าวสาวยืนคอยต้อนรับและถ่ายภาพร่วมกับแขกก่อนจะเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยง เป็นภาพของเธอกับเขาในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นแบบเข้าชุดกันในอิริยาบถสนุกสนานโดยมีฉากหลังเป็นท้องทะเล ท่ามกลางภาพที่เธอแอ๊บสวยส่วนเขาก็เก๊กหล่ออยู่ในเสื้อผ้าสุดหรูหลากแบบหลายสไตล์ ภาพธรรมดาๆ ภาพนี้กลับโดดเด่นขึ้นมา และไม่ใช่เพียงแค่เธอและเขาเท่านั้นที่ชื่นชอบ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็ชื่นชม ยิ่งเพื่อนๆ ของเขาและเธอด้วยแล้วต่างก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่ามันช่างสมกับเป็นคู่ของพวกเธอ
นิ้วเรียวสวยไล้ไปบนภาพถ่ายของชายหนุ่ม “ชิน…” ไม่รู้ป่านนี้เขาจะเป็นยังไง จะคิดถึงเธอบ้างไหม
###
การติดตั้งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้กับโรงงานเปิดใหม่ซึ่งชินพัตต์เดินทางไปควบคุมดูแลเสร็จเรียบร้อยด้วยดีตามแผนงานที่ได้วางเอาไว้ หากชายหนุ่มยังไม่สามารถเดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้ในทันที เพราะท่านประธานได้โทรมาสั่งการว่าเขาจะต้องอยู่ที่ระยองต่อเพื่อพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจใหญ่เจ้าของพื้นที่ซึ่งมีแผนจะดำเนินธุรกิจร่วมกันกับ WE Associate ทั้งที่หน้าที่นี้ไม่ใช่ของเขาโดยตรง แต่อีกฝ่ายก็อ้างว่าไหนๆ เขาก็อยู่ในพื้นที่แล้วให้รับผิดชอบไปด้วยเลย
ชินพัตต์เดินทางมาถึงรีสอร์ทหรูติดชายทะเลตามที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ได้บอกเอาไว้ ก่อนจะไปติดต่อที่ฟร้อนท์เพื่อสอบถามทางไปยังวิลล่าสถานที่นัดหมาย เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเลือกใช้ที่นี่ในการติดต่อธุรกิจแทนที่จะเป็นออฟฟิศหรือที่ทำงาน
วิลล่าหลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ค่าเข้าพักต่อคืนคงแพงหูดับเลยทีเดียว… ชินพัตต์คิดขณะที่เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านพักขนาดใหญ่ปลูกห่างจากบ้านพักหลังอื่นๆ ของรีสอร์ท มองเห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา พอได้มายืนอยู่ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ใจเขาก็อดหวนคิดถึงใครบางคนขึ้นมาไม่ได้ ถ้าได้มาเที่ยวและพักอยู่ด้วยกันที่นี่ก็คงจะดี ตอนนี้เขาคิดถึงเธอจนแทบเป็นบ้า อยากทั้งเห็นหน้าและได้ยินเสียง เสียงใสๆ ที่พูดคุยหัวเราะทำให้เขามีความสุขไปด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเลย พออยู่ใกล้กันเขาก็แทบคลั่งตาย ครั้นพอถอยห่างหน่อยเขากลับคิดถึงเธอเป็นบ้า เฮ้อ… หรือเขากำลังจะบ้าไปแล้วจริงๆ
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดเพ้อเจ้อก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาว่าที่คู่ค้าทางธุรกิจ ก้องภพไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อของอีกฝ่ายไว้เสียด้วยสิ คงต้องเดินหาเอาเอง และเมื่อบริเวณรอบนอกไม่มีก็คงจะอยู่ภายในบ้าน คิดพลางร่างสูงก็ก้าวผ่านบานประตูที่เปิดไว้กว้าง
“มาแล้วเหรอ งานเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
น้ำเสียงคุ้นหูที่แสนคิดถึงกับรอยยิ้มกระจ่างใสที่ปรากฏชัดเบื้องหน้าหยุดชะงักฝีเท้าของชินพัตต์ไว้แค่บริเวณกรอบประตู เขาคงไม่ได้คิดถึงเธอมากจนสร้างภาพจินตนาการไปเองใช่ไหม…
TBC...
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงใสติดจะแหบแห้งนิดๆ เอ่ยทักขณะที่เจ้าตัวยันร่างขึ้นจากโซฟา
ชินพัตต์พยักหน้า “มานอนขดอยู่ตรงนี้ทำไม ไม่ขึ้นไปนอนข้างบน”
ปุณยวีร์ย่นจมูกใส่คนถาม “ก็เพราะใครล่ะ” ครั้นเห็นเขาขมวดคิ้วงงๆ เหมือนจะไม่รู้ตัวเธอก็ถอนใจก่อนจะกล่าวออกมา “ชินไปไหนมา ทำไมถึงกลับช้า ออกจากบริษัทตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ปุ่นโทรหาตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมรับสาย”
ส่งคำถามออกมาเป็นชุดสมบทบาทของภรรยาที่กำลังทำหน้าที่สอบสวนสามีเลยทีเดียว แต่หน้าที่สำคัญที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง เธอกลับไม่รับผิดชอบไม่ยอมปฏิบัติสักที
“ผมไปทำธุระ” บอกเสียงเรียบ
“ธุระ?” ปุณยวีร์ย้อนถามเสียงสูงพลางขมวดคิ้วมองคนที่เพิ่งกลับจากทำธุระซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ทำนองถามว่าเขาไปธุระด้วยชุดนี้เนี่ยนะ
ชินพัตต์ถอนหายใจ “พอเสร็จธุระผมก็แวะเข้าฟิตเนส ไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้วรู้สึกเนือยๆ เลยไปออกแรงเสียหน่อย”
คนขี้สงสัยพยักหน้ากำลังจะส่งคำถามต่อไปอีกฝ่ายก็ตัดบทขึ้นก่อน “ดึกแล้วขึ้นนอนเถอะ ง่วงแล้วไม่ใช่เหรอ” ว่าแล้วเขาก็ผละไปสำรวจประตูหน้าต่างว่าได้ปิดล็อกลงกลอนเรียบร้อยแล้วหรือยังไม่ได้นำพาว่าคนที่เขาไล่ให้ไปนอนได้เดินขึ้นชั้นบนไปนอนอย่างที่เขาบอกไหม หรือว่าจะมองตามเขาด้วยสายตาเช่นไร
ท่าทีหมางเมิน ห่างเหิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงมันออกมาอย่างชัดแจ้ง ทว่าสำหรับเธอที่อยู่ใกล้ชิดรู้ใจกันมานานหลายปียิ่งในตอนนี้ได้เลื่อนฐานะมาเป็นภรรยาก็รู้สึกได้ และแม้จะรู้สึกผิดรู้ว่าสาเหตุหลักเกิดจากตัวเองที่ยังทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ครบสมบูรณ์ แต่อีกใจหนึ่งก็อดน้อยใจไม่ได้
###
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”
เสียงทักทายกับรอยยิ้มกระจ่างใสที่ได้เห็นเป็นภาพแรกหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าทำให้ชินพัตต์อึ้งไปพักก่อนที่เขาจะระลึกได้ถึงระยะห่างชวนหวาดเสียว เพราะอีกฝ่ายก้มลงมาทักใกล้เสียจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเบือนหน้าหนีไปอีกทางก่อนจะทักตอบ “อรุณสวัสดิ์”
ปุณยวีร์ยืดตัวเต็มความสูงดวงหน้าใสยังแต้มยิ้มอารมณ์ดีแม้คนเป็นสามีจะทำท่าคล้ายรังเกียจกันก็ตาม “แปลกจัง วันนี้ชินตื่นช้ากว่าปุ่น ไม่ไปทำงานเหรอ”
“ไป”
“แล้วทำไมถึงมานอนอยู่ตรงนี้ไม่ไปนอนที่เตียงด้วยกัน หรือเมื่อคืนปุ่นนอนดิ้นจนชินไม่มีที่นอน” ตรงนี้ที่ว่าคือ โซฟาเบด ซึ่งสามารถปรับเป็นเตียงนอนได้ตั้งไว้ชิดผนังอีกด้านหนึ่ง
ย้อนหลังกลับไปเมื่อคืน หลังจากเข้ามาในห้องนอนกันแล้วเธอยังไม่เข้านอนในทันที แต่รอจนอีกฝ่ายทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยหวังว่าจะได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับเขาแล้วเข้านอนพร้อมกัน แต่เธอยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรเขาก็บอกว่ามีงานต้องสะสางให้เข้านอนได้เลยไม่ต้องรอก่อนจะคว้าโน้ตบุ๊คออกไปทำงานอีกห้อง ทิ้งให้เธออ้าปากค้างมองตามหลังเขาอึ้งๆ สุดท้ายก็ทำได้แค่ถ่างตารอจนดึกดื่นค่อนคืนแต่เขาก็ยังไม่กลับมา เธอผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นเช้าของวันรุ่งขึ้น หากก็เป็นเช้าที่แปลกไปกว่าทุกวันไร้เงาของร่างสูงที่เคยนอนเคียงข้างให้เธอซุกซบอยู่ทุกค่ำคืนนับตั้งแต่แต่งงานอยู่ด้วยกันมา ครั้นกวาดตามองไปทั่วห้องจึงพบว่าอีกฝ่ายระเห็จไปนอนอยู่บนโซฟาเบดซึ่งตั้งอยู่ติดผนังห้องอีกด้าน และทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดเป็นสาเหตุของการกระทำอันผิดแปลกของเขาเหล่านั้น แต่คนที่มีนิสัยเอาแต่ใจไม่คุ้นชินกับการง้องอนใครก็ยังตีหน้าซื่อพูดคุยยิ้มแย้มแบบเนียนๆ แทนที่จะกล่าวคำขอโทษหรือพูดคุยเปิดอกกันตรงๆ หวังใจว่าคนขี้ใจน้อยจะใจอ่อนยอมๆ ให้กันเหมือนเช่นทุกครั้ง
“พอดีผมอ่านหนังสือติดพันเลยเผลอหลับไป” เสียงตอบราบเรียบไม่บ่งอารมณ์ใดๆ ก่อนเจ้าตัวจะยันร่างขึ้นจากโซฟาเบด
“ชินจะเข้าห้องน้ำเลยรึเปล่า เดี๋ยวปุ่นเตรียมผ้าเช็ดตัวให้นะ”
ร่างเล็กบางกระวีกระวาดเดินนำเข้าไปในห้องแต่งตัวแบบวอร์คอินเพื่อทำหน้าที่ภรรยาที่แสนดีโดยไม่รอคำตอบรับจากสามี หากยังไม่ทันจะเลื่อนเปิดตู้เสื้อผ้าซึ่งฝังเรียบเข้าไปในผนังเป็นแนวยาว ดวงตาคู่กลมโตก็สะดุดอยู่กับกระเป๋าเดินทางซึ่งวางแอบอยู่ซอกหนึ่งข้างตู้ พอลองยกขึ้นดูก็พบว่าภายในนั้นคงไม่ว่างเปล่าแน่ๆ เพราะน้ำหนักที่มากพอสมควร
ปุณยวีร์หันกลับมาส่งสายตาแทนคำถามให้คนที่เดินตามหลังกันมา รอยยิ้มหัวอารมณ์ดีที่มีมาตลอดเลือนหายเหลือไว้เพียงความเครียดเคร่ง
“ผมจะไประยองสองสามวัน มีงานติดตั้งระบบคอมฯ ให้โรงงานเปิดใหม่ที่นั่น”
“จะไปเมื่อไหร่”
“วันนี้”
ปุณยวีร์เลิกคิ้ว “วันนี้!” เธอทวนคำเสียงสูง “ไปวันนี้แล้วก็เพิ่งบอกวันนี้ นี่ชินไม่คิดจะบอกกล่าวกันล่วงหน้าให้ได้เตรียมตัวเลยหรือไง”
‘ก็ผมไม่คิดว่าคุณจะสนใจ’ เปล่าหรอก เขาเพียงแค่คิดไม่ได้พูดมันออกไป ใบหน้าคมคายตอนนี้เหมือนถูกปูนฉาบไว้จนเรียบสนิทกลับไปเป็น ‘ชายหนุ่มมาดนิ่ง’ เหมือนสมัยที่ยังเป็นวิศวกรอยู่ในโรงงาน
“ทั้งที่เราเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงเดือน ปุ่นเองก็ยังไม่คุ้นกับการอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ จู่ๆ ชินก็จะไปทำงานต่างจังหวัดตั้งหลายวันมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ เคยคิดบ้างมั้ยว่าปุ่นจะอยู่ยังไงคนเดียว”
ดวงตาคู่คมสบประสานกับดวงตาคู่กลมโตฉายรอยตัดพ้อนิ่งๆ “ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคุณยังไม่คุ้นกับที่นี่ก็ในเมื่อคุณไปขลุกอยู่ที่บ้านพี่เป้จนดึกดื่นทุกวัน ดีซะอีกไม่ใช่เหรอที่สามวันนี้ผมไม่อยู่คุณจะได้ไปค้างที่นั่นอย่างสบายใจไม่ต้องฝืนใจกลับมาที่นี่”
“ชิน…” คนเคยปากเก่งสามารถงัดเอาสารพัดเหตุผลมาเถียงได้ไม่ลดละมาบัดนี้ทำได้แค่เพียงครางเสียงแห้ง หากเพียงครู่เดียวเธอก็เชิดหน้าทำคอแข็ง “ยังไงปุ่นก็จะอยู่ที่นี่ไม่ไปค้างที่บ้านพี่เป้” ให้มันรู้ไปสิว่าเขาจะใจดำทิ้งเธอได้ลงคอ
“งั้นก็ตามใจ เพราะผมคงไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามคุณ” นอกจากจะไม่คัดค้านแม้สักคำแล้ว ชินพัตต์ยังตอบรับเสียงเรียบก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำที่ถูกแยกเป็นสัดส่วนทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่เบิกตามองตามหลังอึ้งๆ
‘ตกลงว่าฉันผิด?’ คนที่แม้จะรู้ตัวว่าผิดแต่ก็ยังฟอร์มจัดไม่อยากจะยอมรับคร่ำครวญถามตัวเองในใจ
###
“ใช่! แกผิดเต็มประตู” เป็นเหมือนพิมพ์ที่พูดซ้ำเติมเหมือนตอกประตูปิดฝาโลงหลังจากฟังเพื่อนเล่าปัญหาชีวิตหลังแต่งงานจบลงแล้ว
คนผิดทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนตอนนี้สำหรับคุณเพื่อนว่าที่คุณแม่เธอจะกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว
“นัท…” ปุณยวีย์หันไปทำเสียงอ้อนกับเพื่อนอีกคนที่เพียงรับฟังอยู่เงียบๆ ไม่มีความเห็นใดๆ หวังว่าฝ่ายนั้นจะเข้าข้างกันไม่ก็คงไม่ตอกย้ำให้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
ณัชชาส่งยิ้มเป็นกำลังใจกลับมา “นัทไม่เข้าข้างใครหรอก” เสียงหวานบอกเนิบนาบตามสไตล์ พอได้ยินอย่างนั้นคนรอคำตอบก็ยิ้มปลื้ม “นัท…” เรียกชื่อเพื่อนด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ
“แต่ว่า… นัทสงสารชิน”
“นัทอ่ะ…” คนที่ตีความท่าทีของเพื่อนผิดไปเอ่ยเสียงกระเง้ากระงอดทั้งยังขว้างค้อนวงเบ้อเริ่มใส่ว่าที่คุณแม่ที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่มีกั๊ก ไม่รู้ว่าลูกในท้องของเจ้าหล่อนจะหัวสั่นหัวคลอนบ้างไหม
ณัชชาส่ายศีรษะก่อนจะพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ปุ่นใจร้ายกับชินมากเลยนะ นอกจากจะไม่ขอโทษ ไม่บอกกันตรงๆ แล้วยังจะกล่าวหาว่าเขาไม่แคร์อีก”
คนใจร้ายก้มหน้า “ก็…” ไปต่อไม่ถูก
“ปุ่นเองไม่ใช่เหรอที่พยายามหลีกเลี่ยง ทำตัวห่างเหินหมางเมินกับเขาก่อน แต่พอเขาเมินใส่บ้างก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งที่เขาเพิ่งจะทำแท้ๆ ส่วนตัวเองทำใส่เขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ลองคิดเปรียบเทียบดูก็แล้วกันว่าปุ่นยังโกรธขนาดนี้ แล้วเขาล่ะจะน้อยใจมากแค่ไหน ส่วนเรื่องแคร์… ถ้าเขาไม่แคร์ปุ่น เขาคงไม่ถอยไปตั้งหลักไกลถึงระยองหรอก แต่เพราะเขาแคร์ไงเขาถึงต้องไปไม่อยู่ให้ปุ่นอึดอัด ถามตัวเองดีกว่าตกลงจะเอายังไงแน่ โน่นก็ไม่ชอบนี่ก็ไม่ใช่แบบนี้แล้วใครที่ไหนจะเอาใจถูก”
จบคำพูดยืดยาวของณัชชา เหมือนพิมพ์ก็ตบมือชอบใจ “เจ๋งมากนัท ตั้งแต่คบกันมาแกพูดถูกใจฉันที่สุดก็วันนี้ ยกให้เป็นวาทะแห่งปีได้เลยนะนี่”
ก่อนจะหันไปทางคนที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจบ้าง “ฟังนะปุ่น เรื่องที่เราต่างก็รู้กันดี ถ้าชินดึงดันจะทำซะอย่างแกก็ขัดเขาไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขาแล้วเขาก็มีวิธีทำให้แกยอมเขาได้แน่ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าเขาน่าจะมีประสบการณ์มากกว่าแก แต่นี่เขาอุตส่าห์หักห้ามใจ แม้ตัวเองจะทรมานอัดอั้นมากแค่ไหนเขาก็ยอมทน แล้วมันเป็นเพราะอะไรล่ะ ทั้งหมดนี่มันไม่ใช่เพราะเขาแคร์แกเขารักแกหรอกเหรอ ฉันกับแกคบกันมาตั้งนาน ฉันรู้ว่าแกนิสัยยังไง เอาแต่ใจมากแค่ไหน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะปุ่น แกไม่ได้เป็นแค่ลูกของพ่อกับแม่ น้องสาวของพี่เป้ และเพื่อนของพวกฉันเท่านั้น แต่แกยังเป็นภรรยาของชินด้วย ในเมื่อแกกับเขาตัดสินใจร่วมชีวิตกันแล้ว นั่นก็หมายความว่าแกกับเขาต้องยอมรับตัวตนของกันและกันให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควรจะพบกันครึ่งทาง ไม่ใช่อะไรไม่ได้ดั่งใจก็สั่นหัวไม่ยอมรับลูกเดียว ควรจะเปิดอกพูดคุยกันจะได้เข้าใจตรงกันแล้วปรับตัวเข้าหากันได้ แกต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เขาทำเพื่อแกมาตั้งเท่าไหร่ แล้วแกจะทำเพื่อเขาบ้างไม่ได้เชียวเหรอ”
ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกจากปากปุณยวีร์ ดูเหมือนคำที่เพื่อนกล่าวออกมานั้นจะถูกหมดทุกอย่าง หญิงสาวจึงได้แต่นั่งฟังเงียบๆ อย่างยอมจำนน
###
“ชินไประยองเพราะเรื่องงานจริงๆ ค่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้าคุณปุ่นเลย แก้วรับรองได้” กีรฎายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะซ้ำอีกครั้งต่อหน้าภรรยาของบุคคลในหัวข้อสนทนา หลังจากครั้งแรกเธอได้บอกไปแล้วโดยผ่านสัญญาณโทรศัพท์
หลังจากโดนเพื่อนจัดชุดใหญ่จนไม่มีกะจิตจะใจจะทำงานต่อ ปุณยวีร์ก็ติดต่อหากีรฎาเพื่อเลียบเคียงถามถึงวัตถุประสงค์ในการเดินทางไประยองของสามี หวังว่าคำตอบที่ได้จะทำให้รู้สึกผิดน้อยลง หากมันก็เป็นได้แค่หวัง เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมายิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเธอนั่นแหละคือนางมารร้ายตัวจริงเสียงจริง ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเชิญเธอมาพบเพื่อพูดคุยกันที่ WE Associate
“คุณปุ่นมีอะไรจะบอกเล่าให้แก้วฟังบ้างมั้ยคะ” กีรฎาเปิดการสนทนาขึ้นอีกครั้งหลังจากอีกฝ่ายนิ่งไปนาน
“ปุ่นไม่รู้จะเริ่มยังไง”
“ถ้างั้นให้แก้วเป็นคนถามก็แล้วกันนะคะ” รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา กีรฎาจึงยิงคำถามออกไป “คุณปุ่นกับชิน… ยังไม่มีอะไรกันใช่มั้ยคะ”
พอเจอกับคำถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมของสาวหวานที่เธอไม่เคยนึกจินตนาการว่าอีกฝ่ายจะกล้าเอ่ยเรื่องราวทำนองนี้ออกมาโดยไม่มีท่าทีขัดเขิน ปุณยวีร์ก็อึ้งจนแทบพูดไม่ออก ดวงหน้าขาวๆ ตอนนี้ขึ้นสีจัด “เอ่อ… ทำไมแก้วรู้ อย่าบอกนะว่าชิน…”
“ชินไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นค่ะ แก้วเดาเอาเอง และก็แน่ใจด้วยว่าเดาถูก”
“มันดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอแก้ว” ปุณยวีร์ทำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่รู้สิคะ ดูจากท่าทีของชิน แล้วก็นิสัยของคุณปุ่น ทำให้เราเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องนั้น” กีรฎาตอบง่ายๆ
ปุณยวีร์ถอนใจ จะบ่ายเบี่ยงไปก็คงไม่มีประโยชน์ “ตอนแก้วแต่งงานใหม่ๆ แก้วไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้เลยเหรอ”
“ก็ไม่นี่คะ”
“แล้วครั้งแรกแก้วไม่กลัว ไม่อาย ไม่…”
กีรฎายิ้ม “มันก็ต้องมีบ้างนั่นแหละค่ะ แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่เรารัก เป็นคนที่เราหวังจะร่วมชีวิตด้วย ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยทำร้ายเรา ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้วจะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นั้นล่ะคะ”
นั่นสินะ… เขาเป็นคนรักของเธอแท้ๆ หาใช่คนอื่นไกลที่ไหน และเธอก็ตัดสินใจร่วมชีวิตกับเขาแล้วจะกลัวไปทำไม อีกอย่างตัวเธอเองก็เรียนรู้มาตั้งนานว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติที่ต้องเดินทางมาถึงในสักวัน… หากทว่าระยะเวลาที่เธอมัวแต่งมโข่งจมอยู่กับความงี่เง่าของตัวเองนี่สิไม่รู้มันจะยาวนานเกินไปหรือเปล่า แล้วเขายังจะรอเธออยู่ไหม
“ปุ่นใจร้ายกับชินตั้งนาน ปล่อยให้เขารอมาจนป่านนี้เขาจะไม่โกรธ ไม่งอนจนคิดจะเลิกกับปุ่นไปแล้วเหรอคะ”
“ไม่หรอกค่ะ ชินไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น”
“แก้วแน่ใจได้ยังไง รู้มั้ยว่าก่อนไประยองเขาทำเย็นชาหมางเมินกับปุ่นมากแค่ไหน ถามคำตอบคำอย่างกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก แล้วยังหนีไปนอนขดบนโซฟาเบดไม่ยอมร่วมเตียงกับปุ่น ไม่พอเท่านั้นนะเขายังทำท่ารังเกียจเวลาปุ่นเข้าใกล้ด้วย” พอได้โอกาสปุณยวีร์ก็ขุดเอาพฤติกรรมของสามีมาโพนทะนาหน้ามุ่ย
คนที่แต่งงานมาก่อนสองปีโคลงศีรษะยิ้มๆ “การที่ผู้ชายทำเหมือนหมางเมินไม่อยากเข้าใกล้ บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเบื่อเราเสมอไปนะคะ ยิ่งในกรณีของชินด้วยแล้วแก้วฟันธงได้เลยว่าไม่ใช่ ยังไม่ทันจะเข้าหอเลยเขาจะเบื่อได้ยังไง คงเป็นเพราะว่าอยู่ใกล้แล้วต้องทนทรมานกับการหักห้ามใจมากกว่า เขาเลยต้องถอยไปตั้งหลักไกลๆ”
ครั้นเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เชื่อกัน กีรฎาก็สำทับขึ้นอีก “คุณปุ่นพอจะจำเรื่องตอนที่แก้วท้อง แล้วแก้วก็ทะเลาะกับพี่ปืนใหญ่โตหาว่าเขาไปมีกิ๊กได้มั้ยคะ”
ปุณยวีร์พยักหน้า เธอทราบเรื่องนี้มาจากชินพัตต์ รู้สึกว่าตอนนั้นคู่รักวิศวกรจะทะเลาะกันหนักหนาพอสมควร ซึ่งสาเหตุนั้นเกิดจากความเข้าใจผิดคิดไปเองของฝ่ายหญิงล้วนๆ เรียกอีกนัยหนึ่งก็ผลข้างเคียงจากฮอร์โมนของคนท้องนั่นแหละ (อันนี้… พ่อหนุ่มมาดนิ่งกระซิบบอกเธออีกที)
ดวงหน้าของคนที่เปิดประเด็นขึ้นมาจับสีชมพูระเรื่อดูเหมือนจะขัดเขินอะไรสักอย่างก่อนเจ้าตัวจะกระแอมกระไอส่งสัญญาณว่าเรื่องที่กล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญ “ฟังแล้วคุณปุ่นต้องเหยียบไว้ห้ามบอกต่อเด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นแก้วโกรธจริงๆ ด้วย” รอจนคนฟังพยักหน้าหงึกหงักเธอจึงกล่าวสืบไป
“ตอนแก้วท้อง แก้วก็เริ่มรู้สึกว่าพี่ปืนเปลี่ยนไป เขาทำตัวแปลกๆ กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทั้งที่งานก็ไม่ได้มีมากมายจนต้องใช้เวลาจัดการมากขนาดนั้น แล้วพอกลับถึงบ้านเขาก็แค่หอมแก้มเบาๆ ถามว่าวันนี้เป็นยังไง แพ้ท้องมากไหม แล้วก็อะไรอื่นอีกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะไปหมกตัวอยู่ในห้องทำงานกว่าจะเข้านอนแก้วก็หลับไปแล้ว แถมยังไม่นอนบนเตียงด้วยกันกลับหนีไปนอนที่โซฟาแทน พอเห็นสามีเป็นแบบนี้ใครจะไม่ระแวงคิดมากได้ใช่มั้ยล่ะคะ ยิ่งกำลังท้องอยู่ด้วยอะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิม พุงก็โย้ ก้นก็ย้วย จั๊กแร้ดำ แขนขาบวมฉึ่ง หงุดหงิดง่ายอีกต่างหาก ตอนนั้นแก้วก็จิตตกคิดไปสารพัดแต่ที่หนักสุดเลยคือคิดว่าพี่ปืนคงเบื่อแก้วหมดรักแก้วแล้วกำลังคิดจะมีใหม่แน่ๆ เพราะเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย จากที่เคย… เอ่อ ออดอ้อนขอ อ่า… กุ๊กกิ๊กกับแก้วบ่อยๆ เขาก็ร้างไปเกือบจะสองเดือน…” เสียงของคนเล่าชะงักหยุดไปกะทันหันเพราะเสียงโครมครามที่ได้ยินมาจากห้องข้างๆ
ปุณยวีร์ขมวดคิ้ว “เสียงอะไรน่ะแก้ว”
“น่าจะเป็นแมว!น่ะค่ะ” กีรฎาตอบเข่นเขี้ยว
“หือ… ที่นี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ เป็นแมวจรจัดรู้สึกว่าจะมีสามหรือสี่ตัวนี่แหละแก้วไม่ค่อยแน่ใจ พอใจดีด้วยหน่อยก็มาเดินเพ่นพ่านเสียงดังโครมครามเลยเชียว เห็นทีจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดซะแล้ว”
“งั้นเหรอ” เมื่อเจ้าของสถานที่ว่ามาอย่างนั้นปุณยวีร์ก็ปล่อยผ่านง่ายๆ ด้วยยังมีอีกประเด็นที่ค้างคาดึงความสนใจของเธออยู่ “แก้วเล่าต่อสิ ยังไม่จบไม่ใช่เหรอ”
กีรฎาถอนหายใจ มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องเล่าให้จบเรื่อง “ก็นั่นแหละค่ะ มันผิดปกติ ใช่ว่าแก้วจะเสพติดเรื่อง… เอ่อ เรื่องนั้นนะคะ แต่มันผิดปกติไปจากที่เคยจริงๆ แก้วเลยเหวี่ยงพี่ปืน โกรธพี่ปืนเพราะนึกว่าเขาแอบมีกิ๊กเป็นเรื่องเป็นราวทะเลาะกันใหญ่โต พอได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันแก้วถึงรู้ว่าคิดไปเอง ส่วนพี่ปืนก็วิตกจริตเกินไปคิดว่าแก้วท้องแล้วคงจะกุ๊กกิ๊กกันไม่ได้ เขาก็เลยพยายามอยู่ห่างๆ แก้ว เพราะถ้าอยู่ใกล้มันก็ทรมานกับการหักห้ามใจ ก็อย่างที่แก้วเล่านี่แหละค่ะ แก้วคิดว่าชินคงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับพี่ปืนตอนนั้น คุณปุ่นอย่าโกรธเพื่อนของแก้วอีกเลยนะคะ แค่นี้เขาก็น่าสงสารมากพอแล้ว”
ปิดประโยคด้วยการขอความเห็นใจให้เพื่อนสนิท ซึ่งคนใจร้ายก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจื่อน
###
“เอ่อ… ช่างกำลังล้างแอร์อยู่ค่ะ คุณแก้วมีอะไรรึเปล่าคะ” เลขานุการสาวใหญ่ซึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าห้องประธานกรรมการรีบตรงเข้ามาถามเมื่อเห็นว่ากีรฎากำลังจะผลักประตูเข้าไปในห้องประชุมเล็ก
“แน่ใจนะคะ!”
เมื่อคำตอบของอีกฝ่ายคือยิ้มแห้งๆ กีรฎาก็ผลักประตูเข้าไปทันที ภาพที่เห็นคือแมวสอดรู้สอดเห็น เอ้ย! ชายหนุ่มสี่คนอันประกอบไปด้วย ท่านประธาน รองอีกสอง และพนักงานกิตติมศักดิ์อีกหนึ่ง นั่งเรียงรายรอบโต๊ะรูปตัวยูเบื้องหน้าของแต่ละคนมีแฟ้มงานวางอยู่ ท่าทางดูคร่ำเคร่งเหมือนกำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับเมกะโปรเจ็คท์อะไรสักอย่าง เนียนใช้ได้ ทว่า… เธอไม่เชื่อ
“ไหนล่ะคะช่างแอร์”
สาวใหญ่ยิ้มแหยก่อนจะค้อมศีรษะถอยกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองปล่อยให้ท่านประธานและรองทั้งหลายแก้ไขสถานการณ์กันเอาเอง
“ช่างแอร์เพิ่งกลับไปเมื่อกี้ แล้วพวกพี่ก็เข้ามาใช้ห้องต่อ แอร์เย็นเจี๊ยบเลยว่ามั้ยแก้ว” ก้องภพตอบแล้วตบท้ายด้วยยิ้มประจบ
กีรฎาส่งสายตาพิฆาตพร้อมกับตอบเสียงเขียวปั้ดกลับไป “เรื่องที่แก้วกับคุณปุ่นคุยกันถ้ามันเล็ดรอดออกไปเมื่อไหร่ แก้วจะไม่สนทั้งนั้นว่ามันออกมาจากปากใคร แต่ถ้ามันเกิดขึ้นพี่ปืนต้องเชิญตัวเองไปนอนที่ห้องนอนแขก” จบคำประกาศิตหญิงสาวก็จ้ำอ้าวออกจากห้องทันทีไม่สนเสียงห้าวที่ร้องโวยวายตามหลัง
“เฮ้ย! ไม่ได้นะแก้ว แก้ว… ฟังพี่ก่อนสิครับ”
“ซวยเลยมึง”
“บอกแล้วก็ไม่เชื่อ อยากรู้อยากเห็นดีนัก”
“ถ้าไม่อยากรู้แล้วตามมาทำไมวะ”
หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามลับฝีปากกันไม่ลดละ ตรัยฟังแล้วก็หัวเราะขำก่อนจะเอ่ยออกมาบ้าง “มาเล่นเกมตอบปัญหาอะไรเอ่ยกันมั้ยพี่”
ก้องภพเบ้ปากส่ายหน้าทำนองบอกว่าไร้สาระ ส่วนภควัตก็เลิกคิ้ว สุดท้ายจึงเหลือเพียงอนุพงษ์ที่ถามกลับมา “ปัญหาอะไรของเอ็งวะ”
ตรัยยิ้ม “อะไรเอ่ย…” เขายักคิ้วใส่คนผิวเข้ม “ใหญ่กว่าท่านประธาน”
“เมียท่านประธาน!” ท่านรองทั้งสองประสานเสียงตอบอย่างพร้อมเพรียง
“ไอ้เต้!” ท่านประธานเข่นเขี้ยวพร้อมกับยกเท้าขึ้นหวังจะถีบพนักงานปากดี แต่อีกฝ่ายก็ไวกว่าลุกขึ้นเผ่นแผล็วออกจากห้องเห็นแค่หลังไวๆ เขาจึงได้แต่ถลึงตาใส่เพื่อนที่แข่งกันระเบิดเสียงหัวเราะไม่มีเกรงใจ
###
แสงไฟสว่างไสวที่ไม่ได้มีแค่เพียงบริเวณกำแพงริมรั้วซึ่งเป็นไฟที่ติดตั้งด้วยระบบเซ็นเซอร์ สามารถเปิดปิดเองอัตโนมัติ แต่ยังมีแสงที่สว่างมาจากภายในตัวบ้านบ่งบอกว่าภายในนั้นมีคนอยู่ไม่ได้ถูกปิดเงียบสร้างความแปลกใจให้กับคนที่เพิ่งมาถึงแต่มันก็ไม่มากไปกว่าความรู้สึกดีใจ
“ชิน…” ปุณยวีร์เอ่ยชื่อคนที่อยู่ในความคิดคำนึงยิ้มๆ ก่อนจะรีบกดรีโมทเปิดประตูรั้วแล้วเลื่อนรถเข้าไปหวังจะได้พบกับอีกฝ่ายเร็วๆ
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณปุ่น” คนที่เปิดประตูออกมาต้อนรับไม่ใช่ชายหนุ่มที่หญิงสาวคาดหวัง แต่กลับเป็นหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นแม่ครัวอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเขา
“ป้าจันทร์… ทำไมมาอยู่นี่ล่ะคะ”
“คุณชินไปขออนุญาตคุณผู้หญิงให้ป้ามาอยู่เป็นเพื่อนคุณปุ่นช่วงที่คุณชินไปทำงานต่างจังหวัดค่ะ แล้วไม่ได้มีแค่ป้าเท่านั้นนะคะ ยังมีนังรวยกับนายเพิ่มด้วยตอนนี้อยู่ในครัว”
“งั้นเหรอคะ”
“ค่ะ เอ่อคุณปุ่นจะทานอาหารเย็นเลยมั้ยคะป้าจะได้ตั้งโต๊ะเลย” ป้าจันทร์บอกท่าทางกระตือรือร้น
ปุณยวีร์ส่ายศีรษะก่อนจะตอบกลับเสียงเนือย “ไม่ต้องหรอกค่ะ ปุ่นไม่หิว พวกป้ากินกันไปเลย” แล้วก็ผละขึ้นชั้นบน
###
ห้องนอนสีขาวควันบุหรี่ในค่ำคืนนี้ดูจะแตกต่างไปจากทุกวัน ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ การจัดวาง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปจึงน่าจะเป็นใจของคนมากกว่า เพราะหัวใจที่อ้างว้างทำให้มองเห็นห้องห้องเดิมแลดูกว้างขวางเปลี่ยวเหงา ไม่อบอุ่นน่าอยู่เหมือนอย่างที่เคย
ปุณยวีร์ถอนหายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนการที่ต้องอยู่กันคนละที่ ไม่ได้เห็นหน้า หรืออาจจะไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของชายคนรักในช่วงระยะเวลาสั้นๆ สำหรับเธอแล้วไม่ได้เป็นปัญหามากมายนัก หากตอนนี้… เพียงแค่ค่ำคืนแรกเธอยังรู้สึกว่ามันยาวนาน และยากเกินกว่าจะทำใจให้ก้าวข้ามไป
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นแล้วตามหลังด้วยประโยค “คุณปุ่นคะ ป้าจันทร์เองค่ะ นอนหรือยังคะ” เรียกให้คนที่นั่งปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อยรีบดึงตัวเองออกจากภวังค์ก่อนเธอจะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้คนที่คอยอยู่ด้านนอก
“มีอะไรเหรอคะป้าจันทร์”
“ป้าเอาขนมกับนมมาให้ค่ะ ทานสักหน่อยนะคะถ้าไม่ทานอะไรเลยเดี๋ยวจะปวดท้อง” ป้าจันทร์บอกพลางยกถาดใส่อาหารว่างเข้ามาวางไว้บนโต๊ะภายในห้อง
ปุณยวีร์ขมวดคิ้วเมื่อพบว่าขนมที่อีกฝ่ายยกเข้ามาให้เป็นเค้กเจ้าอร่อยที่เธอมักจะซื้อไว้ติดบ้านเป็นประจำ แต่มันเพิ่งหมดไปเมื่อวานนี้และเธอก็ยังไม่ได้ไปซื้อมาเพิ่มอีก แล้วทำไม…
“คุณชินบอกป้าว่าคุณปุ่นปลื้มเค้กร้านนี้มาก กำชับป้าว่าก่อนเข้าบ้านอย่าลืมซื้อมาเด็ดขาด แล้วยังกำชับโน่นกำชับนี่อีกเต็มไปหมดดูท่าจะห่วงคุณปุ่นมากทีเดียว จนคุณท่านอดค่อนขอดไม่ได้ว่าถ้าห่วงมากนักแล้วทำไมไม่อยู่ดูแลเองจะไปทำงานไกลๆ ทำไม เธอถึงได้หยุดพูดแต่ก็ยังไม่วายทำหน้าเครียด ป่านนี้คงจะรีบเร่งทำงานให้เสร็จจนไม่ได้พักเสียก็ไม่รู้ ถึงตัวจะยังอยู่ระยองแต่ใจคงบินกลับมาหาคุณปุ่นแล้วแน่ๆ” ป้าจันทร์บอกเล่ายิ้มๆ
“ขอบคุณมากนะคะป้าจันทร์”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะเป็นหน้าที่ของป้าอยู่แล้ว มื้อเช้าคุณปุ่นจะรับอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
“อะไรก็ได้ค่ะ ปุ่นทานได้ทั้งนั้น”
ป้าจันทร์พยักหน้า “ถ้างั้นป้าไม่รบกวนแล้ว นอนหลับฝันดีนะคะคุณปุ่น”
ลับร่างของแม่บ้านวัยกลางคนไปนานแล้ว แต่ปุณยวีร์ก็ยังยืนคว้างอยู่กลางห้องไม่ได้ขยับไปจัดการอาหารว่างที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ยกขึ้นมาให้ ดวงตาคู่กลมโตกวาดแลไปทั่วทั้งห้องหอ ผนังนั้นทาทับด้วยสีขาวควันบุหรี่แบบที่เธอชอบ ผ้าม่านหนาหนักสีฟ้าแสนสดใสนั่นเธอก็เลือกเองกับมือ ไหนจะโคมไฟรูปทรงสุดเก๋ โซฟาเบดที่วางชิดติดกับผนังห้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง… หากรู้ว่าเธอชอบ เขาไม่เคยละเลย กลับพร้อมจะตอบสนองทุกความต้องการ แต่เธอนี่สิ แม้จะรู้ดีว่าเขาชอบหรือต้องการสิ่งไหน กลับไม่ค่อยได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนเขาบ้างเลย
ร่างบางเดินไปทรุดนั่งลงบนขอบเตียงพลางยกกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กขึ้นมาดู ภาพถ่ายในนั้นเป็นหนึ่งในเซตภาพถ่ายพรีเว็ดดิ้งซึ่งเธอกับเขาชอบมากที่สุด แล้วก็เลือกเป็นภาพสำหรับตั้งโชว์ไว้บริเวณซุ้มดอกไม้ซึ่งคู่บ่าวสาวยืนคอยต้อนรับและถ่ายภาพร่วมกับแขกก่อนจะเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยง เป็นภาพของเธอกับเขาในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นแบบเข้าชุดกันในอิริยาบถสนุกสนานโดยมีฉากหลังเป็นท้องทะเล ท่ามกลางภาพที่เธอแอ๊บสวยส่วนเขาก็เก๊กหล่ออยู่ในเสื้อผ้าสุดหรูหลากแบบหลายสไตล์ ภาพธรรมดาๆ ภาพนี้กลับโดดเด่นขึ้นมา และไม่ใช่เพียงแค่เธอและเขาเท่านั้นที่ชื่นชอบ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็ชื่นชม ยิ่งเพื่อนๆ ของเขาและเธอด้วยแล้วต่างก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่ามันช่างสมกับเป็นคู่ของพวกเธอ
นิ้วเรียวสวยไล้ไปบนภาพถ่ายของชายหนุ่ม “ชิน…” ไม่รู้ป่านนี้เขาจะเป็นยังไง จะคิดถึงเธอบ้างไหม
###
การติดตั้งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้กับโรงงานเปิดใหม่ซึ่งชินพัตต์เดินทางไปควบคุมดูแลเสร็จเรียบร้อยด้วยดีตามแผนงานที่ได้วางเอาไว้ หากชายหนุ่มยังไม่สามารถเดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้ในทันที เพราะท่านประธานได้โทรมาสั่งการว่าเขาจะต้องอยู่ที่ระยองต่อเพื่อพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจใหญ่เจ้าของพื้นที่ซึ่งมีแผนจะดำเนินธุรกิจร่วมกันกับ WE Associate ทั้งที่หน้าที่นี้ไม่ใช่ของเขาโดยตรง แต่อีกฝ่ายก็อ้างว่าไหนๆ เขาก็อยู่ในพื้นที่แล้วให้รับผิดชอบไปด้วยเลย
ชินพัตต์เดินทางมาถึงรีสอร์ทหรูติดชายทะเลตามที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ได้บอกเอาไว้ ก่อนจะไปติดต่อที่ฟร้อนท์เพื่อสอบถามทางไปยังวิลล่าสถานที่นัดหมาย เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเลือกใช้ที่นี่ในการติดต่อธุรกิจแทนที่จะเป็นออฟฟิศหรือที่ทำงาน
วิลล่าหลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ค่าเข้าพักต่อคืนคงแพงหูดับเลยทีเดียว… ชินพัตต์คิดขณะที่เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านพักขนาดใหญ่ปลูกห่างจากบ้านพักหลังอื่นๆ ของรีสอร์ท มองเห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา พอได้มายืนอยู่ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ใจเขาก็อดหวนคิดถึงใครบางคนขึ้นมาไม่ได้ ถ้าได้มาเที่ยวและพักอยู่ด้วยกันที่นี่ก็คงจะดี ตอนนี้เขาคิดถึงเธอจนแทบเป็นบ้า อยากทั้งเห็นหน้าและได้ยินเสียง เสียงใสๆ ที่พูดคุยหัวเราะทำให้เขามีความสุขไปด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเลย พออยู่ใกล้กันเขาก็แทบคลั่งตาย ครั้นพอถอยห่างหน่อยเขากลับคิดถึงเธอเป็นบ้า เฮ้อ… หรือเขากำลังจะบ้าไปแล้วจริงๆ
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดเพ้อเจ้อก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาว่าที่คู่ค้าทางธุรกิจ ก้องภพไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อของอีกฝ่ายไว้เสียด้วยสิ คงต้องเดินหาเอาเอง และเมื่อบริเวณรอบนอกไม่มีก็คงจะอยู่ภายในบ้าน คิดพลางร่างสูงก็ก้าวผ่านบานประตูที่เปิดไว้กว้าง
“มาแล้วเหรอ งานเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
น้ำเสียงคุ้นหูที่แสนคิดถึงกับรอยยิ้มกระจ่างใสที่ปรากฏชัดเบื้องหน้าหยุดชะงักฝีเท้าของชินพัตต์ไว้แค่บริเวณกรอบประตู เขาคงไม่ได้คิดถึงเธอมากจนสร้างภาพจินตนาการไปเองใช่ไหม…
TBC...

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ม.ค. 2555, 04:15:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ธ.ค. 2556, 15:05:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 2745
<< Love scene ต่อ | ต่อ >> |

wane 31 ม.ค. 2555, 07:47:39 น.
แหม แหม ถึงเวลาหวานแล้ววววว
แหม แหม ถึงเวลาหวานแล้ววววว

ukkanirut 31 ม.ค. 2555, 10:07:44 น.
เป็นตอนพิเศษที่ยาวและตัดตอนได้ลุ้นมากค่ะ ^^
เป็นตอนพิเศษที่ยาวและตัดตอนได้ลุ้นมากค่ะ ^^

sai 31 ม.ค. 2555, 11:24:50 น.
อ๊ายยยย นั่งนับเวลารอเลยเนี่ยยย คุณต่ายตักอารมณ์เราชะมัด ฮือๆๆ
ตอนนี้สงสารชินมากอ่ะ แต่ตอนหน้าคงหวานได้โล่ห์แน่ๆๆ ^__^
อ๊ายยยย นั่งนับเวลารอเลยเนี่ยยย คุณต่ายตักอารมณ์เราชะมัด ฮือๆๆ
ตอนนี้สงสารชินมากอ่ะ แต่ตอนหน้าคงหวานได้โล่ห์แน่ๆๆ ^__^

mhengjhy 31 ม.ค. 2555, 13:06:09 น.
รอจ้าาาาา ลุ้นสุดตัว
รอจ้าาาาา ลุ้นสุดตัว

Edelweiss 31 ม.ค. 2555, 22:22:02 น.
สู้ ๆ นะชิน
สู้ ๆ นะชิน
