ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ตอนที่ 9.2 กลับมาต่อจนจบตอนแล้วนะค่ะ^^

ขอโทษที่หายไปนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

พอดีปอรินทร์ติดต้องพรีเซนต์งานวิจัยฯวิชาสัมมนาค่ะ

แบบว่าจะได้ A หรือ F ขึ้นอยู่กับการพรีเซนต์งานวิจัยฯเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งเราต้องรู้ทุกอย่างที่

เกี่ยวข้องกับงานวิจัยฯ ซึ่งกว่าจะรอดมาได้ก็เล่นเอาไม่ได้นอนเกือบทั้งอาทิตย์เลยค่ะ =_=!

แต่พอพรีเซนต์ผ่านปุ๊บก็หมดแรงปั๊บเหมือนใครมาสับคัตเอาท์ปั๊บ เมื่อวานเลยนอนดับอนาถเพื่อเก็บเรี่ยวแรงก่อน

วันนี้ก็เลยพาพี่สกายกับน้องปลายมาให้คุณผู้อ่านได้หายคิดถึงกันนะคะ


ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ
ปอรินทร์^^




9.2




เปลือกตาเริ่มเคลื่อนไหว เผยให้เห็นนัยน์ตาสีนิลกลมโตที่ซ่อนอยู่ภายในอย่างช้าๆ ร่างบางกลอกตาไปมาอย่างสำรวจก็พบว่าสถานที่ที่เธอนอนอยู่นั้นคือโรงพยาบาล แต่แล้วสายตาก็มาหยุดอยู่ที่บุคคลที่ยืนอยู่ปลายเตียงอย่างตกตะลึงและ...ตื่นกลัว


“มะ...แม่นัน” เสียงที่ดังออกจากปากอิ่มเบาหวิว แต่คนที่อยู่ปลายเตียงก็ยังได้ยิน เรียกร้อยยิ้มเย็นๆ ที่แฝงความโหดเหี้ยมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี


“ฟื้นแล้วหรือจ๊ะน้องปลาย แม่ดีใจจังเลยที่หนูจำแม่ได้สักที ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างจ๊ะ หนูยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า” นันทวรรณเอ่ยถามลูกเลี้ยงอย่างอาทรน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงถึงกับนิ่งงันราวกับถูกสะกด สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความตื่นกลัว


“นะ...หนู...” ธัญพัชรพูดได้แค่นั้น ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวเมื่อแม่เลี้ยงค่อยๆ ประคองเธอลุกขึ้นนั่งอย่างนุ่มนวล


“แม่เห็นหนูเป็นลมตอนที่เจอกัน แม่ก็เลยรีบพาหนูส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าให้หนูอยู่ดูอาการคืนหนึ่งก่อน แล้วค่อยกลับบ้านได้ หนูอดทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูก็จะได้กลับ ‘บ้านของเรา’ สักที” แม่เลี้ยงบอกเสียงหวาน แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม


“แม่อุตส่าห์ตามหาหนูอยู่ตั้งนาน ที่แท้หนูก็มาอยู่ใกล้แม่นั่นเอง นี่ถ้าพี่นิคไม่โทรบอกแม่ หนูก็คงจะทิ้งแม่ไปมีความสุขคนเดียวแล้วสินะ” น้ำเสียงพูดเหมือนน้อยใจที่ลูกเลี้ยงปล่อยให้เธอตามหามาหลายปี แต่บทที่จะเจอกลับเจอง่ายแสนง่าย


“อย่าลืมสิจ๊ะ ว่าบทลงโทษสำหรับเด็กดื้ออย่างหนูมันมีอะไรบ้าง แล้วก็อย่าสิว่านังพิมพ์ภัทราแม่ของแกมันตายเพราะอะไร ถ้าอยากตามไปอยู่กับแม่แท้ๆ ของแกมากนัก เดี๋ยวฉันจะสงเคราะห์ให้” น้ำเสียงเย็นเหยียบที่กระซิบข้างๆ หู ทำเอาเธอถึงกับสั่นสะท้าน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เลี้ยงของเธอออกไปจากห้องตอนไหน เพราะในสมองของเธอวนเวียนอยู่แต่กับภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากฝีมือของแม่เลี้ยง เธอใช้แขนทั้งสองข้างกอดตัวเองแน่นเหมือนให้กำลังใจตัวเอง แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังมือข้างหนึ่ง เมื่อเธอยกขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเข็มน้ำเกลือแทงอยู่บริเวณหลังมือ ภาพความทรงจำตอนที่เธอถึงเข็มนับสิบเล่มที่แม่เลี้ยงใช้ทิ่มแทงเธอคราวนั้นยังชัดเจนอยู่ในสมองราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ‘เข็มอีกแล้วเหรอ ไม่นะ...’





หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียววิ่งนำชายหนุ่มทั้งสองมาจนถึงหน้าห้องผู้ป่วยพิเศษก็พบว่ามีใครคนหนึ่งเพิ่งก้าวออกมาจากห้องของน้องสาวเธอ คนที่ทำให้น้องสาวเธอทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวเธอสูญเสียความทรงจำ...นันทวรรณ ‘แม่เลี้ยงของเธอกับน้องสาว’


“อ้าว! หนูต้น มาเยี่ยมน้องปลายเหรอจ๊ะ แม่กำลังจะโทรตามหนูพอดี นี่น้องปลายก็เพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้เองจ๊ะ” นันทวรรณพูดกับลูกเลี้ยงอีกคนอย่างอ่อนหวาน


“คุณมาทำอะไรที่นี่” ธัญกาญจน์ถามกลับอย่างเสียงแข็ง เธอรู้ดีว่าแม่เลี้ยงของเธอตีสองหน้าได้แนบเนียนแค่ไหน น้ำเสียงอ่อนหวานกับท่าทางที่แสดงออกมาที่ดูเหมือนจะโอบอ้อมอารีต้องลูกเลี้ยงล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลอกตาทั้งสิ้น


“โถ่! ทำไมหนูต้นพูดกับแม่อย่างนี้ล่ะจ๊ะ ก็น้องปลายไม่สบาย แม่ก็ต้องมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วงสิจ๊ะ” แม่เลี้ยงยังพูดด้วยเสียงอ่อนหวานเหมือนเดิม


“หยุดสร้างภาพว่าตัวเองเป็นแม่เลี้ยงน้ำใจงามได้แล้ว ทั้งๆ ที่เราต่างก็รู้กันดีว่ามันไม่ใช่” ธัญกาญจน์กล่าวเสียงเรียบ ทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างอารี เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


“กรี๊ดดดดดดด...” เสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่อยู่ในห้องดังขึ้น ชายหนุ่มอีกคนที่รู้เรื่องน้อยที่สุดรีบเข้าไปในห้องนั้นทันทีโดยไม่สนใจว่าพี่สาวและพี่เขยของคนป่วยจะตามเข้ามาหรือไม่


“คุณทำอะไรปลาย” ธัญกาญจน์พูดเสียงกร้าวขึ้นทันที เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องสาว ในใจของธัญกาญจน์กลับร้อนรุม เพราะเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมาจับใจ แต่ก็ยังคงสีหน้าให้สงบเยือกเย็นเหมือนเดิม เพราะเธอเคยพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง และครั้งนี้เธอจะต้องไม่พลาดท่าเสียทีแม่เลี้ยงจนเจ้าเล่ห์คนนี้อีก


“หึ! กลัวว่าฉันจะฆ่านังน้องสาวปัญญานิ่มของเธอหรือไง ฉันยังไม่ทำอะไรนังปลายข้าวตอนนี้หรอก แต่ท่าทางน้องสาวเธอจะคิดถึงฉันมากเลยนะ วันนี้ฉันคงต้องกลับก่อน เดี๋ยววันพรุ่งนี้ฉันจะมาเยี่ยมใหม่ก็แล้วกัน” แม่เลี้ยงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน แล้วเดินผ่านเธอกับสามีไป


“ถ้าคุณคิดว่าจะสามารถเข้าถึงตัวปลายได้ง่ายๆ เหมือนครั้งนี้อีก ก็ลองมาดูสิ” ธัญกาญจน์เอ่ยขึ้นเสียงเย็น เมื่อแม่เลี้ยงเดินผ่านหน้าเธอ


“ถ้างั้น...อย่าเผลอก็แล้วกัน เพราะครั้งนี้ฉันไม่หยุดแน่” นันทวรรณกล่าว ก่อนจะมองหน้าลูกเลี้ยงอีกคนอย่างอาฆาตแล้วเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร




“กรี๊ดดดดดดด...” เสียงกรีดร้องของธัญพัชร อีกทั้งมือบางก็พยายามดึงทึ้งทั้งเข็มน้ำเกลือทั้งเส้นผมของตัวเอง ราวกับคนคุมสติไม่อยู่ ทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาตกใจกับภาพที่เห็น


“ปลายครับ อย่าทำอย่างนี้ ดูสิเลือดเต็มมือแล้วนะ” ชายหนุ่มพยายามรวบมือบางที่กำลังดึงเข็มน้ำเกลือออกอย่างบ้าคลั่ง


“กรี๊ด! เอามันออกไปนะ เอามันออกไป ฮือๆ หนูเจ็บนะแม่นัน ฮือๆ” หญิงสาวที่อยู่บนเตียงดิ้นรนให้พ้นจากการเกาะกุมอย่างทุรนทุราย


“อย่าดิ้นสิปลาย ยิ่งดิ้นปลายยิ่งเจ็บนะ” ชายหนุ่มพยายามเยื้อยุดมือหญิงสาวไม่ให้ดึงเข็มน้ำเกลืออีกครั้ง แต่ดูเหมือนร่างบางที่อยู่บนเตียงจะยิ่งขัดขืนมากกว่าเดิมจนเขาต้องรวบร่างบอบบางนั้นมากอด


“กรี๊ด! ฮือๆ ปล่อยหนูเถอะค่ะแม่นัน ฮือๆ หนูกลัวแล้ว ฮือๆ หนูจะไม่บอกเรื่องแม่นันให้ใครฟังจริงๆ นะคะ ให้หนูสาบานก็ได้ ฮือๆ” หญิงสาวพยายามสะบัดตัวอกจากอ้อมแขนนั้นแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะคนที่กอดเธออยู่นั้นกอดเธอแน่เหลือเกิน


“ปลายใจเย็นๆ นะ พยายามตั้งสติให้ดี นี่พี่สกายเองนะ” ชายหนุ่มพยายามประคองใบหน้าของคนในอ้อมแขนให้สบตากับเขา


“พี่สกาย...” ธัญพัชรหยุดการกระทำทุกอย่างทันที เมื่อเห็นว่าเป็นใคร


“ครับพี่เอง ไม่เป็นไรนะปลาย พี่อยู่ตรงนี้แล้ว” กายนภัสนิ์ใช้นิ้วเรียวค่อยๆ เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้างาม แต่ดูเหมือนจะเป็นการกระตุ้นให้น้ำตาของหญิงสาวไหลรินออกจากดวงตาคู่สวยนั้นมากยิ่งขึ้น


“ฮือๆ พี่สกาย...พี่สกาย...” หญิงสาวกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่น ใบหน้านวลซุกอยู่กับอกชายตรงหน้าราวกับเด็กเสียขวัญ


“ไม่เป็นไรแล้วนะปลาย ไม่ร้องไห้นะครับ คนดีของพี่” ชายหนุ่มเอ่ยปลอบหญิงสาวอย่างอ่อนโยน มือเรียวลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา


“พี่สกาย...ฮึก...พี่สกายอย่าทิ้งปลายไปไหนนะ ฮึก...อย่าทิ้งปลาย...เหมือนพ่อนะ ฮึก...แล้วอย่าหนีปลายไปไหนเหมือนต้นจ๋าอีกคนนะ ฮึก...ปลายกลัว” หญิงสาวพูดอย่างกระท่อนกระแท่นอยู่กับอกของชายหนุ่ม ทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงกับหยุดชะงักอย่างตกตะลึงกับประโยคที่เพิ่งได้ยิน


“พี่ไม่ทิ้งหรือหนีปลายไปไหนแน่นอนครับ แล้วที่สำคัญพี่ไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายปลายได้หรอกนะ เชื่อพี่นะครับ คนดีของพี่” กายนภัสนิ์ประคองใบหน้าของหญิงสาวให้สบตาเขาอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือบางเอาไว้หลวมๆ โดยพยายามเลี่ยงส่วนที่เป็นบาดแผลบนหลังมือ หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ


“เชื่อ...ปลายเชื่อ...” เธอพึมพำอะไรบางอย่างเหมือนกำลังละเมอ


“ถ้าอย่างนั้นนอนนะครับคนดีของพี่ คิดซะว่าที่ผ่านมามันคือฝันร้าย แล้วพรุ่งนี้พอปลายตื่นขึ้นมาจะได้กลับมาเป็นปลายที่สดใสร่าเริงของพี่เหมือนเดิมนะครับ” กายนภัสนิ์ค่อยๆ ผ่อนร่างบางในนอนลง ขณะที่อีกฝ่ายรีบกำเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้แน่นราวกับว่าถ้าหากเธอหลับตาลงไปแล้ว พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจะไม่เจอเขาอีก


“พี่สัญญาครับว่าพอปลายตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้เช้า ปลายจะเห็นหน้าพี่เป็นคนแรก แต่ตอนนี้ปลายพักผ่อนก่อนนะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางแกะมือที่กำเสื้อเขาไว้แน่นออกมากุมเอาไว้เสียเอง ก่อนจะบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ หญิงสาวจึงหลับตาลงอย่างว่าง่าย


“ฝันดีนะครับ คนดีของพี่” กายนภัสนิ์กระซิบเสียงเบา ก่อนจะค่อยๆ จุมพิตหน้าผากมนของหญิงสาวอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา เมื่อเขาเงยหน้าจากหญิงสาวที่อยู่บนเตียง ก็พบว่าในห้องผู้ป่วยไม่ได้มีแค่เขากับธัญพัชรแค่สองคนเท่านั้น


“เอ่อ...ปลายเป็นยังไงบ้างสกาย” หลังจากเงียบกันได้พักใหญ่ พันไมล์เป็นคนเอ่ยถามขึ้นเอง ทั้งที่ความจริงแล้ว คนที่ควรจะเป็นคนถามคำถามนี้กลับเอาแต่ยืนน้ำตาไหลอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ คาดว่าสิ่งที่เธอได้ยินจากปากของน้องสาวคงจะสะเทือนใจเธอไม่น้อย


“ผมพยายามกล่อมให้เขาหลับแล้วล่ะครับพี่ไมล์ พี่ต้น แต่คงต้องเรียกให้พยาบาลเข้ามาทำแผลที่หลังมือเสียหน่อย เพราะตอนที่ผมเขามาปลายกำลังดึงเข็มน้ำเกลือออกจนเป็นแผล” กายนภัสนิ์บอกขณะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง โดยไม่ยอมให้มือหลุดออกจากการเกาะกุมของร่างบาง


“ขอบใจมากนะสกาย ที่ช่วยดูแลปลาย” พันไมล์เอ่ยขอบคุณแทนภรรยา


“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นสิ่งที่ผมเต็มใจทำอยู่แล้ว” กายนภัสนิ์บอก แต่กลับจ้องหน้าธัญกาญจน์อย่างมีคำถาม


“เอ่อ...พี่ต้นครับ...คือ...” กายนภัสนิ์เหมือนจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่ธัญกาญจน์กลับชิ่งพูดขึ้นเสียก่อน และเป็นสิ่งที่ตรงกับใจชายหนุ่มเป็นที่สุด


“อยากรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วทำไมปลายถึงสูญเสียความทรงจำ”


*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*โปรดติดตามต่อในตอนที่ 10 *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ม.ค. 2555, 22:07:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2555, 02:19:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1973





<< ตอนที่ 9.1 อัพวันล่ะนิดให้คนอ่านกระชุ่มกระชวยหัวใจ   ตอนที่ 10 >>
anOO 1 ก.พ. 2555, 13:21:29 น.
อย่าหายไปนานอีกนะค่ะ เรื่องราวกำลังมันส์เลย
ยัยแม่เลี้ยงอาจจะได้เจอฤทธิ์พี่สกายบ้างแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account