รอยร่างรางรัก
หญิงสาวคนหนึ่งกลายเป็นวิญญาณไร้ร่าง ส่วนอีกคนต้องติดอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง โดยมีเบื้องหลังอยู่ที่ความปรารถนาอันแรงกล้าของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง

รอยร่างแห่งรักจะนำพาเธอทั้งหมดไปลงเอยที่ใด

ตีพิมพ์ในชื่อ "ลิขิตร่างพรางรัก"
Tags: วิญญาณ ดวงจิต สลับร่าง

ตอน: ตอนที่ 9

คืนที่สองของการพำนักในบ้านของสลิลา อวิกาเริ่มชินกับสถานที่ อีกทั้งยังไม่สามารถต้านทานฤทธิ์ยาได้จึงนอนหลับไปแต่หัวค่ำ มารู้ตัวตื่นอีกทีตอนราวเที่ยงคืนกว่า ทั้งห้องยังคงเปิดไฟสว่างหญิงสาวจึงลุกขึ้นไปปิดไฟ กลับมาล้มตัวลงนอนพยายามจะข่มตาหลับให้ได้อีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำได้ เธอสลัดผ้าห่มที่คลุมตัวออก พลิกตัวลงจากเตียงเดินไปเปิดประตูออกไปสู่ทางเดินหน้าห้อง

อวิกาเดินไปตามโถงทางเดินที่เปิดโคมไฟติดผนังให้แสงสว่างพอมองเห็นทางจนกระทั่งถึงหน้าบันได ยืนลังเลอยู่ว่าจะลงไปนั่งเล่นที่โถงเปลี่ยนบรรยากาศสักพักหรือจะกลับไปนอนในห้องพยายามนอนให้หลับ สุดท้ายเมื่อประเมินตัวเองแล้วอวิกาก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางหลับลงได้จึงเลือกที่จะย่างเท้าลงบนบันไดขั้นแรก

กุกกัก กุกกัก

เสียงบางอย่างดังแว่วมาจากชั้นล่างของตัวบ้าน...ชั่วขณะที่อวิกาเกิดลังเลขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไป ทำให้เธอคิดว่าคงจะหูฝาดไปเอง ก้าวต่อมาจึงค่อยเร็วขึ้นจนกระทั่งฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นชั้นหนึ่งของตัวบ้าน

กุกกัก กุกกัก

เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้อวิกาจับได้ว่ามันดังมาจากในครัว

ขโมย...คำนี้แวบเข้าสู่ห้วงความคิดแต่หญิงสาวปัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว หากจะมาขโมยของคงไม่เลือกที่จะไปหาของในครัว แม้จะกล้า ๆ กลัว ๆ แต่สุดท้ายอวิกาก็เดินไปถึงห้องครัวซึ่งอยู่ลึกเข้าไปทางด้านหลังของตัวบ้าน

ยิ่งได้ยินชัดขึ้นเธอก็ยิ่งมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงคนกำลังรื้อค้นของในครัว และเมื่อเห็นร่างสูงที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หน้าตู้เย็น อวิกาก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก นึกขึ้นมาได้ว่าฐิติได้พูดในวงอาการกลางวันแล้วว่าเขาจะกลับดึก

ดึก...ของพารินธรนั้น ถือว่าดึกมากจริง ๆ สำหรับคนที่ต้องตื่นไปทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น แม้จะไม่ได้ดูเวลาอีกครั้งก่อนจะลงจากห้องมา เธอก็พอประมาณว่าน่าจะตีหนึ่งกว่าแล้ว

ชายหนุ่มเหมือนจะยอมแพ้ในที่สุด เขาหยัดตัวขึ้นจากท่วงท่าที่ก้มดูของในตู้เย็นนั้น เมื่อหันมาเจอว่าน้องสาวยืนมองอยู่ก็เอ่ยถาม

“ทำไมไม่นอนอีกล่ะ ตีหนึ่งกว่าแล้วนะ”

“นอนไปเมื่อหัวค่ำ ตื่นขึ้นมาแล้วนอนไม่หลับค่ะ” เธอเอ่ยแล้วแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน เพราะลืมไปเสียสนิทว่าสลิลาไม่พูดคะขากับพี่ชาย “ทำอะไรอยู่น่ะพี่เมฆ”

“สำรวจตู้เย็นน่ะสิ คิดว่าจะไม่หิวเลยไม่ได้ซื้ออะไรติดมาเลย จะกินบะหมี่ต้มใส่ไข่ ก็ไม่เห็นมีไข่สักฟองสงสัยแม่จะลืมซื้อ” เขาบ่น “แล้วแม่ทำกับข้าวอะไรให้กินมื้อเย็น ไม่เห็นมีเลย”

“แม่บอกว่าไม่อยากทำเยอะ จะเหลือทิ้งซะเปล่า...ก็พี่เมฆบอกว่าจะกลับดึกนี่นา ไหนดูสิ”

หญิงสาวเอ่ยแล้วเดินเข้าไปหา ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าร่างสูงนั้นยังคงไม่ขยับไปไหนกระทั่งพารินธรเหมือนจะรู้ตัวก้าวถอยออกจากตู้เย็นที่เปิดค้างเอาไว้ เธอจึงมองสำรวจเข้าไปภายในตู้เย็น

“ไม่มีไข่ แต่ก็ยังมีผักมีหมูนี่”

พารินธรขยับเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วกลับนิ่งไปพักหนึ่งก่อนกล่าว “ทำครัวเป็นซะที่ไหน พูดเหมือนไม่รู้จักพี่อย่างนั้นแหละ”

“งั้นก็นั่งรอ เดี๋ยวจัดการให้”

ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งวางอยู่ข้างโต๊ะสำหรับเตรียมอาหาร ขณะที่อวิกาหยิบบร็อคโคลี่ แครอทและเนื้อหมู ออกมาวางบนโต๊ะ

“พี่เมฆจะกินต้มหรือว่าผัด”

“ผัด”

“ดึกแล้วเอาผัดรสชาติธรรมดา ๆ ก็แล้วกันนะ ใส่ซอสหอยนางรมกับซอสปรุงรส ถ้าอยากให้เผ็ดก็ปรุงพริกบ่นเอาเอง”

“แล้วถ้ากลางวันจะผัดแบบไหนให้กินล่ะ”

“เห็นในตู้เย็นมีพริกเผา ใส่พริกเผาด้วยน่าจะมีรสชาติกว่าแต่ตอนนี้ดึกแล้วกินเผ็ดมากจะร้อนท้อง”

หญิงสาวตอบก่อนเดินไปคว้าหม้อต้ม เปิดน้ำจากเครื่องกรองตั้งไฟรอให้เดือดแล้วหยิบเขียงและมีดมาหั่นของสด เงยหน้าถามขณะที่มือก็หั่นบร็อคโคลี่ไปด้วย

“หิวมากรึเปล่าขะ..." อวิการะงับคำลงได้ไว้ ก่อนรีบถามคำถามให้จบ "จะกินบะหมี่กี่ซอง”

ชายหนุ่มชูสองนิ้วแทนคำตอบ ทำเอาหญิงสาวขมวดคิ้วแปลกใจเล็กน้อย...คงไม่ได้กินดึกและกินมากขนาดนี้ทุกวันหรอก ไม่อย่างนั้นคงจะรักษารูปร่างแบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ กลับดึกดื่นแบบนี้อาจจะไปสังสรรค์กับเพื่อนเน้นกินแต่เครื่องดื่มกับพวกกับแกล้ม

คงไม่ใช่...ตัวเขาไม่เห็นมีกลิ่นบุหรี่ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดมาเลยสักนิด

น้ำในหม้อเดือดได้ที่อวิกาก็เปิดตู้นำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาฉีกซองหย่อนลงไปในน้ำที่กำลังเดือดปุดได้ที่ ก่อนจะกลับไปหั่นบร็อคโคลี่แครอทและแล่เนื้อหมูให้เป็นชิ้นบาง เมื่อบะหมี่ได้ที่ก็ใช้ตะแกรงตักขึ้นมาพักไว้แล้วตั้งกระทะ

ไม่นานนักเธอก็ถือจานใส่ผัดบะหมี่ลงตรงหน้าพี่ชาย ชั่วขณะที่ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้พารินธร อวิกาก็ได้กลิ่นหอมบางอย่าง...น้ำหอมผู้หญิง

“พี่เมฆกินไปเลยนะ เดี๋ยวฝนจะไปนั่งเล่นซะหน่อย นอนไม่หลับแล้วล่ะ ถ้ากินเสร็จแล้วออกไปตามก็ได้จะได้ล้างภาชนะทีเดียวเลย”

อวิกาพูดจบก็เดินออกมาจากครัวทันที ถ้าหากหันกลับไปมองสักนิดหญิงสาวจะรู้ว่า คนที่จับตามองกิริยาท่าทางของเธอขณะที่ทำผัดบะหมี่นั้นมีสีหน้าที่บ่งว่ากำลังสงสัยอะไรอย่างหนักอยู่



แม้ตอนแรกจะรู้สึกว่าไม่ง่วง แต่เมื่อมานั่งพิงหลังกับที่นั่งนุ่มในแสงจากโคมไฟสลัว ความรู้สึกมึนเหมือนกับขาดการพักผ่อนก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย เปลือกตาบางกลับเหมือนหนักจนฝืนไว้ไม่ไหว

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รู้สึกถึงสัมผัสเบา ๆ บนบ่า ฝ่ามือใหญ่นั้นสร้างความรู้สึกอุ่นขณะเดียวกันก็ทำให้เธอสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นแทบจะในทันที ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ดูจะตกใจกับปฏิกิริยาของเธอจนต้องถอยหลังออกไปเล็กน้อย

เพราะร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรงดีนักและยังรีบลุกขึ้นเร็วเกินไป ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งจะผวาลุกขึ้นมาเซถอยไปด้านหลัง พารินธรเหมือนจะสังเกตเห็นรีบเอื้อมมือมาคว้าเอวน้องสาวเอาไว้

“อย่า”

อวิกาพูดได้แค่นั้นหลังก็สัมผัสกับเบาะนุ่มอีกครั้งหนึ่ง คนที่ช่วยประคองก็จำต้องหย่อนตัวลงนั่งข้างกัน กิริยาแนบชิดเช่นนี้...อวิกาไม่เคยทำกับชายหนุ่มคนใดมาก่อนแม้แต่กับชนวิท

พารินธรเห็นน้องสาวนั่งลงได้ก็ค่อยคลายอ้อมแขน สัมผัสอบอุ่นถูกแทนที่ด้วยอากาศว่างเปล่า

“ไหนบอกว่าไม่ง่วง”

“ไม่รู้เผลอหลับไปได้ยังไง”

“ท่าทางจะไม่ค่อยดีนะ เดี๋ยวเดินไปส่งที่ห้อง”

“แต่...ในครัว”

“พี่ทำกับข้าวไม่เป็นแต่ล้างจานชามเป็นนะ จัดการเรียบร้อยแล้ว ไปเถอะขึ้นไปนอนบนห้อง เดี๋ยวแม่ตื่นลงมาเจอจะบ่นเอา”

หญิงสาวรับคำเบา ๆ ใช้แขนยันตัวลุกขึ้น

“เดินไหวรึเปล่า จะหน้ามืดตกบันไดไหมเนี่ย”

“ไหว...เมื่อกี้ คงเพราะลุกขึ้นเร็วไปหน่อย เลยหน้ามืด”

“เอาเถอะ เดี๋ยวพี่เดินไปส่งเอง ขืนปล่อยให้ลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไรไปแม้แต่ตกบันไดข้อเท้าแพลง พี่โดนคุณวิจิตรบ่นไปสามวันเจ็ดวันแน่”

อวิกาขยับเดินไปทางบันไดก่อน ค่อยก้าวอย่างเชื่องช้าเกาะราวไม้ที่ขัดมันปลาบแน่น ไม่อยากจะซวนเซหรือหน้ามืดล้มไปอีกครั้ง เธอคิดว่าคนที่คอยเดินตามหลังมาคงจะช่วยเธอได้แน่ แต่...การอยู่ในอ้อมกอดของเขานั้นสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดที่หญิงสาวอธิบายไม่ถูก

พี่ชน

ใครคนหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ เหมือนจะยิ่งทำให้อวิกาพยายามมากขึ้นในการที่จะประคองตัวเดินกลับไปที่ห้องนอนของสลิลา เมื่อถึงหน้าประตูเธอก็หันไปเอ่ยแสดงความขอบคุณกับพารินธร

“ถึงห้องแล้ว พี่เมฆจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานนี่”

“แล้วอย่าตื่นมากลางดึก เที่ยวเดินไปไหนมาไหนล่ะ”

แววอาทรฉายชัดในสายตาของชายหนุ่ม เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของน้องสาว โคลงเบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางหน้าห้องนอนของตนเองทิ้งให้อวิกายืนนิ่งอยู่หน้าห้องพักใหญ่ก่อนจะรู้สึกตัวเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องนอน



วงศ์วรัณลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขาเบา ๆ ชายหนุ่มลืมตาหากยังนอนตะแคงหันหลังให้ไม่พลิกตัวไปทางต้นเสียง

“นายว่าน ตื่นรึยัง...นายว่าน”

สลิลาเรียกเสียงเบาแต่ซ้ำไปมาหลายครั้ง ชายหนุ่มซึ่งปกติจะลุกจะนั่งในห้องนอนตัวเองก็ทำตามสบายไม่สนใจอะไร ตอนนี้ต้องสำรวจความเรียบร้อยของชุดนอนว่าเสื้อเปิด กางเกงร่นลงจากเอวหรือไม่ เขาตื่นแล้วก็จริง แต่ยังไม่พร้อมจะรับเสียงกรีดร้องของหญิงสาว เมื่อรู้ว่าตนอยู่ในสภาพพร้อมรับแขก วงศ์วรัณก็สลัดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง

“มีอะไรเหรอฝน”

“เปล่า”

“อ้าว!” ชายหนุ่มร้อง “นึกว่ามีเรื่อง”

หญิงสาวส่ายหน้า หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงแล้วส่งเสียงถอนใจหนักหน่วง

“ก็มันเบื่อนี่ ถ้าฉันไม่คิดถึงใครหรือที่ไหนที่เคยไปมาก่อน ฉันก็รู้สึกเหมือนอยู่รอบตัวมันขาวโพลนไปหมด นี่ฉันมาตั้งหลายหนแล้วนายก็ไม่เห็นตื่นสักที ก็เลยลองเรียกดู”

“แล้วไม่ต้องไปเฝ้า...เอ่อ...ร่างของตัวเองแล้วเหรอ”

“เฝ้าไปแล้วได้อะไรล่ะ ตอนนี้แม่คุมแจ ไปไหนก็ไม่ได้ ถ้าพ่อกับแม่กลับไร่ไปเมื่อไหร่คงจะหาทางทำอะไรได้บ้าง”

“ถ้าไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวอยู่ช่วยเราหน่อยก็แล้วกันนะ กำลังอยากได้ความเห็นพอดี” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมา “เดี๋ยวขอเวลาอาบน้ำแป๊บนะ”

พูดจบวงศ์วรัณก็ก้าวฉับเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว อาบน้ำ...ฉิบ...เขาลืมไปสนิทว่าไม่ได้นำเสื้อผ้าชุดใหม่เข้ามาในห้องน้ำด้วย และต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกไป

เขาค่อย ๆ แง้มประตูห้องน้ำก่อนส่งเสียงบอก

“ฝน...เราจะออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ เราลืมเอาเข้ามาเปลี่ยนในห้องน้ำ”

ในห้องนอนเงียบกริบ เขาชะโงกหน้าออกไปมองรอบห้อง ไม่พบสลิลา

“ฝนไม่อยู่ใช่ไหม งั้น เดี๋ยวเราออกไปละนะ”

ชายหนุ่มเดินออกไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างสบายใจ มองรอบห้องซ้ำอีกครั้งก็ไม่พบหญิงสาว ด้วยความคุ้นชินกับการอยู่คนเดียวในห้องส่วนตัว เขาสลัดผ้าเช็ดตัวโยนไปทางราวตาก ก่อนเปิดตู้คว้ากางเกงชั้นในมาสวม ตามด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสี่ส่วนที่เขาชอบใส่อยู่บ้านเป็นประจำ แต่งตัวเสร็จเขาก็ลูบผมเผ้าหนากระจก ก่อนหันไปมองที่เตียง พบสลิลานั่งนิ่งอยู่

“อ้าว...ฝน มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

สลิลานั่งนิ่งดูเหม่อลอย วงศ์วรัณเอียงคอมองอย่างสงสัยขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้เตียงนอนของตน ชะโงกหน้ามองหญิงสาวแล้วเอ่ยเรียกซ้ำ

“ฝน ฝน ได้ยินไหมฝน”

คนที่นั่งบนเตียงค่อย ๆ อ้าปากยกตัวขึ้น ก่อนจะส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมาดังลั่น

“ผีเปรตแก้ผ้า กรี๊ด.....”

วงศ์วรัณยกมือขึ้นปิดหู ขณะที่สลิลายังดูจะปลดปล่อยออกมาไม่หมด เขาเดินไปนั่งที่มุมทำงานภายในห้องนอนใหญ่ รอกระทั่งหญิงสาวดูมีท่าทีสงบลงจริงค่อยละมือออกจากใบหูทั้งสองข้าง



สลิลาหยุดส่งเสียงร้องได้ในที่สุด หากภาพที่เห็นตำตาก็ไม่อาจจะสลัดลบไปได้ง่ายดาย เธอรู้ดีว่าเป็นความผิดของตัวที่นึกจะไปจะมาเมื่อไหร่ก็ทำ แต่ครั้นจะให้ยอมรับ...ก็ไม่ใช่เธอน่ะสิ

“นายว่าน น่าเกลียดที่สุดเลย ทำไมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ทำให้มันมิดชิด นี่จู่ ๆ ก็....”

พูดได้เพียงทำนี้หญิงสาวก็ขนลุก หลับตานึกเห็นภาพขณะที่ชายหนุ่มสลัดผ้าเช็ดตัวออกเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า

“เราขอโทษ ก็มันเคยตัวนี่ แล้วก็นึกว่าฝนไม่อยู่”

“ไม่รู้ล่ะ ทีหลังจะทำอะไรต้องระวังด้วยสิ อย่าลืมว่ามีฉันอยู่ด้วยอีกทั้งคน”

วงศ์วรัณไม่ตอบโต้ หากนั่งมองสบตาสลิลานิ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบแบบที่หญิงสาวเดานัยแฝงในประโยคคำถามนั้นไม่ออก

“แล้วฝนจะอยู่กับเราอย่างนี้ตลอดไปเลยเหรอ”

“ถามอะไรแปลก ๆ นายจะให้ฉันอยู่เป็นดวงวิญ...เอ่อ...ดวงจิตเร่ร่อนแบบนี้ไปตลอด ไม่หาทางช่วยให้ฉันกลับคืนร่างหรือไง”

“ช่วยสิ ถ้ามีทางไหนทำได้ก็ต้องช่วยอยู่แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ ไม่ว่าสักคำที่เธอโยนความผิดมาให้เขาฝ่ายเดียว “แต่ตอนนี้ฝนมาช่วยเราก่อนสิ เราออกแบบลายเสื้อใหม่ มาช่วยดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง”

สลิลาลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนข้างเก้าอี้ที่วงศ์วรัณนั่งอยู่ เขาเปิดสมุดสเก็ตช์ภาพที่วางไว้บนขาตั้งวาดภาพให้หญิงสาวช่วยพิจารณาลายเสื้อที่เขาวาดบนกระดาษเอาไว้

“อันนี้เป็นแบบใหม่ที่คิดว่าจะลองทำเป็นบล็อกสกรีน”

“ที่ร้านขายดีมากล่ะสิ”

“ก็พอได้นะ แล้วก็มีคนที่อยากได้ไปขายต่อด้วย เลยคุยกันว่าจะทำเป็นเสื้อสกรีน แต่ก็จะจำกัดจำนวนไม่ให้มากเกินไป ทำแค่แบบล่ะไม่กี่สิบตัว” เขาเปิดผ่านให้สลิลาดูคร่าว ๆ ก่อนกลับมาที่หน้าแรกของสมุดวาดแบบ “มันมีทั้งแบบผู้หญิง ผู้ชาย เลยอยากให้ฝนช่วยเราดูนิดนึง เผื่อแก้ตรงไหนแล้วจะสวยขึ้น”

วงศ์วรัณเริ่มอธิบายแบบเสื้อแบบแรก การใช้สี เส้น และถามหญิงสาวว่าหากจะปรับเปลี่ยนจุดนั้นจุดนี้ในลายเสื้อจะเป็นอย่างไร ใช้สีใดจึงจะเหมาะ นอกจากเอ่ยถึงรูปที่มีตรงหน้าแล้วชายหนุ่มยังจินตนาการถึงลายอื่น ๆ แล้วเล่าให้สลิลาฟังว่าเขามีแผนจะทำเสื้อลายใด แบบใดในอนาคต

คนที่ตอนแรกตั้งใจจะช่วยดูให้เพราะคำขอร้องเท่านั้น ตอนนี้กลับรู้สึกสนุกกับความคิดและจินตนาการของวงศ์วรัณ หลายครั้งที่เธอต้องหันไปมองใบหน้าของชายหนุ่มขณะที่เขาชี้นิ้วไปบนจุดต่าง ๆ ในหน้ากระดาษ

เวลาจริงจังก็ดูได้เรื่องได้ราวเหมือนกันนะ ทำไมอยู่ต่อหน้าคนอื่นถึงได้ดูหงิม ๆ ไม่มั่นใจไปได้ล่ะ...ตาทื่อเอ๊ย



อวิกาลอบมองวิจิตรและฐิติที่นั่งดูรายการสารคดีแนวประวัติศาสตร์ทางช่องเคเบิ้ลทีวีอยู่ด้วยกันที่ชุดรับแขกในโถงบ้าน เธอรู้สึกว่าร่างกายเริ่มปรับสภาพ ฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้นเริ่มมีเรี่ยวแรงจึงอยากจะหาวิธีกลับร่างโดยเร็วที่สุด เธอระบายลมหายใจยาวก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“แม่คะ...เดี๋ยวฝนขอกลับขึ้นไปนอนพักผ่อนหน่อยนะคะ ชักจะง่วง”

“แน่ใจนะลูก แค่ง่วง ไม่ได้มีอาการอะไรอย่างอื่นใช่ไหม”

“ค่ะ คงจะง่วงเพราะยามากกว่า”

“ให้แม่เดินขึ้นไปส่งนะลูก”

“ไม่เป็นไรค่ะแม่” อวิกาตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่คิด “ที่จริงช่วงนี้ฝนก็สบายดีแล้วนะคะ ทำอะไรเองได้แล้ว พักฟื้นอีกพักเดียวอาทิตย์หน้าก็ว่าจะกลับไปทำงานแล้ว...แม่กับพ่อจะกลับไปช่วยทางโน้นดูแลรีสอร์ทดูแลไร่ก็ได้นะคะ”

“ก็ดีเหมือนกันนะ”

ฐิติตอบรับทันทีแต่ต้องชะงักเมื่อภรรยาหันไปมองเหมือนจะขัดใจ

“คุณก็ห่วงงานมากกว่าลูก”

“งานทางนั้นก็น่าห่วงอยู่นะ ช่วงนี้แขกของรีสอร์ทก็เยอะ ผลผลิตของไร่ก็กำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวขาย ลูกก็บอกอยู่ว่าหายดีแล้ว”

“คุณอยากกลับก็กลับสิคะ ฉันไม่กลับด้วยหรอก ยัยฝนยังไม่หายดีเลย”

“ฝนหายแล้วค่ะแม่ แม่กับพ่อกลับไปทำงานนะคะ ฝนดูแลตัวเองได้จริง ๆ”

วิจิตรทำหน้าเหมือนไม่พอใจนักที่สามีและลูกดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หากสุดท้ายก็พยักหน้า

“ก็ได้ค่ะ กลับก็ได้ แต่เป็นพรุ่งนี้นะคะ รอดูไปก่อนว่ายัยฝนดีขึ้นแน่ ๆ แล้ว”

“ถ้าแม่ไม่เชื่อ เดี๋ยวมื้อเย็นวันนี้ ฝนลงมือทำครัวทำอาหารให้พ่อกับแม่ก็ได้นะคะ”

คนเป็นแม่ทำหน้าไม่เชื่อ ขณะที่ฐิติรีบยกมือห้ามลูกสาว

“ไม่ดีกว่ามั้งยัยฝน ขืนให้เราโชว์ฝีมือ พ่อกับแม่นี่แหละจะป่วยไข้”

“คุณก็...ว่าลูก” วิจิตรตีแขนสามีเบา ๆ ก่อนหันมาเอ่ยกับลูกสาว “แค่เป็นลูกมือช่วยก็พอแล้วจ๊ะ อย่าถึงกับต้องทำครัวเลย ก็เพราะแบบนี้แหละ แม่ถึงเป็นห่วงไม่อยากให้อยู่กันเอง ฝนจะทำอะไรกินได้นอกจากไข่เจียว ไข่ดาว”

“ยัยฝนกับตาเมฆก็ใช้บริการพวกร้านปิ่นโตส่งถึงบ้านอยู่บ่อย ๆ ให้ลูกโทร.สั่งก็ได้มั้งคุณ เรื่องแค่นี้เอง”

อวิกายิ้มเมื่อเห็นว่ามารดาของสลิลาหันไปมองสามีด้วยสายตาไม่พอใจอีกครั้งเมื่อฐิติพูดเหมือนกับหาข้อสนับสนุนที่จะเดินทางกลับปากช่องทิ้งลูกสาวให้อยู่บ้าน

“ฝนขอขึ้นไปนอนละนะคะ”

หญิงสาวเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับห้องนอน พอจะรู้สาเหตุที่ทำให้พารินธรมองเธอแปลก ๆ คืนก่อนจากการสนทนาของสองสามีภรรยา สลิลาคงทำอาหารไม่ค่อยเป็น

ไม่ค่อยเป็นนี่มันรวมถึงการผัดบะหมี่ที่ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนักด้วยรึเปล่านะ เอาเถอะ...ถ้าสงสัยก็ตอบว่าแอบหัดมา คงพอจะถูไถไปได้หรอก

เมื่อปิดประตูห้องอยู่เพียงลำพังเธอก็เอ่ยเรียกสลิลาทันที

“คุณฝนคะ คุณฝน”

เธอเดินไปถึงเตียงนอนก็หย่อนตัวลงนั่ง มองไปรอบห้องอีกครั้งก่อนเรียกซ้ำ

“คุณฝนคะ คุณฝนอยู่ไหมคะ”

อวิกาถอนใจยาวเมื่อยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดในห้องนอนที่มีเพียงเธออยู่ลำพัง หญิงสาวพิงหลังกับหัวเตียง ครุ่นคิดอะไรอยู่เพียงคนเดียวเนิ่นนานกระทั่งได้ยินเสียงเรียก

“คุณเพชร”

“คุณฝน มาแล้วเหรอคะ ฉันกำลังอยากจะคุยกับคุณฝนอยู่พอดี”

“มีอะไรคะ คุณหาทางกลับร่างตัวเองได้แล้วใช่ไหม”

อวิกาส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนรีบอธิบายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูสลดลงไป “แต่ฉันคิดว่าถ้าเราสองคนช่วยกัน เราอาจจะสืบรู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงที่อยู่ในร่างฉันได้ มันอาจจะช่วยแก้ปัญหาของเราได้”

“อาจจะ...” สลิลาทวนคำ แต่แล้วก็ถอนใจอย่างยอมรับความจริง “ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นนะคะ อาจจะ เท่านั้น...เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป บางทีฉันอาจจะตายแล้วจริง ๆ ก็ได้”

“อย่าเพิ่งหมดหวังค่ะคุณฝน ถึงมันจะเป็นแค่ความเป็นไปได้ แต่เราก็ต้องลองดู”

“จะลองยังไงล่ะค่ะ แม่ฉันคอยคุยแจแบบนี้ เราจะไปตามสืบอะไรได้”

“คุณแม่คุณฝนจะกลับไร่วันพรุ่งนี้ค่ะ เราค่อยคิดหาทางกันดูอีกทีว่าจะทำยังไง”

เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นตามด้วยเสียงเรียกของพารินธร

“ฝน ๆ นอนหลับอยู่รึเปล่า แม่ให้มาตามลงไปกินข้าวกลางวัน”

“พี่เมฆ” สลิลาขมวดคิ้ว “มาได้ไงเนี่ย”

“ฉันไปก่อนนะคะคุณฝน เอาไว้เราค่อยคุยกัน”

อวิกาลดเสียงลงเพราะเกรงว่าคนที่ยืนรออยู่นอกห้องนอนจะได้ยิน ค่อยลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เอ่ยถามข้อสงสัยของสลิลา

“พี่เมฆมาได้ยังไง”

“วันนี้นัดลูกค้าแต่เช้า บ่ายถึงจะเข้าธนาคาร เลยซื้ออาหารจากภัตตาคารที่แม่ชอบมากินกันที่บ้าน”

“แล้วอย่างนี้แม่ไม่ทำกับข้าวเก้อเหรอคะ”

“พี่โทร.บอกก่อนแล้ว ตอนนี้แม่กำลังจัดอาหารใส่จานอยู่ รีบไปกันเถอะ”

หญิงสาวรับคำก่อนจะเดินเคียง ‘พี่ชาย’ ลงไปที่ห้องรับประทานอาหาร โดยไม่ได้เอะใจเลยว่า พารินธรมายืนอยู่หน้าห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเขาได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่าน้องสาวกำลังพูดคุยเหมือนตอบโต้กับใครอยู่ในห้อง และสิ่งที่ได้รู้นั้นรบกวนจิตใจของชายหนุ่มอย่างหนัก หากแต่เขาพยายามซ่อนมันไว้มิดชิดต่อหน้าพ่อแม่ และน้องสาว



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.พ. 2555, 15:04:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.พ. 2555, 15:04:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 2074





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
กมลภัทร 5 ก.พ. 2555, 15:12:33 น.
ตอบเมนท์เด้อ

sai >>>> ต่างยังไงดีครับ ^^

pseudolife >>>> นั่นดิเนอะ

wane >>>> คนเขียนเขียนเรื่องนี้โดยความเชื่อที่ว่าดวงจิตสามารถไปในสถานที่ที่เคยไปได้ตามใจครับ แต่ความเห็นของคุณ wane นี่เป็นประโยชน์มากนะครับคิดว่าคงต้องปรับ เพิ่มเติมอะไรอีกนิดเข้าไปให้อ่านแล้วไม่เกิดข้อสงสัยจุดนี้

lovemuay >>>> ไม่แอบครับ แจ่มแจ้งมาก 555

ของขวัญ >>>> ไม่น่าจะนานนะครับ แล้วจะได้รู้กัน

panon >>>> เหมือนฝัน จะบทไม่เยอะนะครับ แต่ว่าเป็นตัวสำคัญเหมือนกัน ^^

XaWarZd >>>> คนเขียนก็ชักงงเหมือนกันครับ อ่านงงกันบ้างไหมครับ ตัวละครตัวนึง แต่อยู่ในร่างคนนึงนี่ก็เพิ่งเคยเขียนนี่แหละ แถมมาคุยกับร่างตัวเองอีก คำสรรพนามลำบากมาก

เพียงพลอย >>>> ขอบใจจ้า

นกอุมาพร >>>> พระเอกแบบพี่เมฆ สาว ๆ จะนิยมไหมน้า 555


pseudolife 5 ก.พ. 2555, 15:49:22 น.
พี่เมฆสงสัยแล้ว หุหุ

พริกบ่น>>พริกป่น


lovemuay 5 ก.พ. 2555, 19:41:55 น.
พี่เมฆสงสัย แต่หนูเพชรหวั่นไหว คริคริ
ส่วนนายว่านต้องแอบคิดอะไรกะฝนแน่เลย ^^


ของขวัญ 5 ก.พ. 2555, 20:27:22 น.
พี่เมฆเริ่มจับผิดซะแล้ว


XaWarZd 6 ก.พ. 2555, 02:44:12 น.
ความแตกเร็วๆ นี้แน่เลย


น้องอุด้ง 6 ก.พ. 2555, 09:39:29 น.
โดนสงสัยแล้วเสร็จแน่เรยยยยยย


panon 6 ก.พ. 2555, 13:14:54 น.
เอาแล้ววววววววววงานนี้โดนจับได้แน่ๆๆๆๆ


เพียงพลอย 6 ก.พ. 2555, 22:51:57 น.
อ่าวววว ความจะแตกรึเปล่าเนี่ยยย


wane 7 ก.พ. 2555, 00:19:57 น.
ถ้าได้พี่เมฆมาเป็นแนวร่วมอีกหนึ่งก็น่าจะดีนะ

ปล1. วงอาการกลางวัน - วงอาหารกลางวัน
ปล 2. ติดใจกับคำว่า "ล้างภาชนะ" ฝนน่าจะพูดกับพี่ว่า จะล้างจานให้ มากกว่านะคะ


นกอุมาพร 7 ก.พ. 2555, 23:51:14 น.
แย่แล้ว....


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account