รอยร่างรางรัก
หญิงสาวคนหนึ่งกลายเป็นวิญญาณไร้ร่าง ส่วนอีกคนต้องติดอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง โดยมีเบื้องหลังอยู่ที่ความปรารถนาอันแรงกล้าของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง

รอยร่างแห่งรักจะนำพาเธอทั้งหมดไปลงเอยที่ใด

ตีพิมพ์ในชื่อ "ลิขิตร่างพรางรัก"
Tags: วิญญาณ ดวงจิต สลับร่าง

ตอน: ตอนที่ 10

วงศ์วรัณอ้าปากหาวหวอด สะบัดหน้าไปมาแล้วตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อไล่ความง่วงงัน เขาได้รับโทรศัพท์จากอวิกาในร่างของสลิลานัดหมายให้มารับเธอในวันนี้เพื่อที่จะพาสลิลาไปดูสถานที่ตั้งของบ้านเธอ ทว่าต้องรอเวลาให้ฐิติและวิจิตรเดินทางกลับไร่เสียก่อน สลิลาที่รู้เรื่องการนัดหมายจากตัวเขาขอเข้าไปดูลาดเลาพักใหญ่ ชายหนุ่มเริ่มสะลึมสะลือเนื่องจากรีบตื่นมาแต่เช้าตรู่

“ทำไมยังไม่ออกมากันสักทีว้า...”

ไม่ทันขาดคำของชายหนุ่มดี ร่างของสลิลาก็ปรากฏขึ้นบนที่นั่งข้างคนขับ ทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อย

“พ่อกับแม่กำลังจะออกมาแล้ว”

วงศ์วรัณเป่าลมหายใจออกจากปากแม้จะพยายามทำใจกับการผลุบไปโผล่มาไม่บอกไม่กล่าวของสลิลาแต่ก็ยังยากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกตกใจ

“แล้วพี่เมฆล่ะ”

“เดี๋ยวพี่เมฆก็ออกไปทำงานไล่ ๆ กันแหละ คุณเพชรปิดบ้านเรียบร้อยแล้วจะเดินออกมาเอง”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ มองไปทางประตูรั้วบ้านของสลิลาก็พบรถยนต์สองคันแล่นออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ประตูรั้วไฟฟ้าค่อย ๆ เลื่อนปิดช้า ๆ วงศ์วรัณรอครู่หนึ่งจึงเลื่อนรถไปจอดรถอวิกาที่หน้าบ้าน ไม่นานหญิงสาวก็เดินออกจากประตูเล็กจัดการล็อคก่อนรีบตรงเข้ามาเปิดประตูรถด้านข้างคนขับ

“เดี๋ยวครับ”

วงศ์วรัณร้องห้ามแต่ไม่ทัน ร่างของสลิลานั่งลงบนเบาะข้างคนขับแล้ว

“มีอะไรเหรอคะคุณว่าน”

“คือ...เมื่อกี้ ฝนเค้า...นั่งอยู่ตรงนี้”

“อย่าโวยวายไปหน่อยเลยนายว่าน”

เสียงของสลิลาดังขึ้นมาจากเบาะหลัง ทำเอาวงศ์วรัณสะดุ้งอีกครั้ง

“มีอะไรเหรอคะคุณว่าน”

“อ๋อ...เปล่าครับไม่มีอะไร ผมว่าเราไปกันเลยดีกว่าครับ”

อวิการับคำ วงศ์วรัณจึงค่อยเลื่อนรถออกจากบริเวณหน้าบ้านของสลิลา ไม่ทันสังเกตว่าอวิกาลอบมองไปทางเบาะหลังก่อนพยักหน้าเบา ๆ ราวกับจะสื่อสารอะไรกับสลิลา



พารินธรสบถออกมาเบา ๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารของลูกค้าเอาไว้ที่ตู้ข้างตัวหนึ่งในโถงรับแขกใหญ่ เขายกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือแล้วระบายลมหายใจแผ่วเบา โชคดีที่เขาเพิ่งจะขับรถออกจากถนนใหญ่มาได้ไม่นานและสามารถใช้เส้นทางในซอยใกล้ ๆ กันเพื่อวนรถกลับบ้านได้

ชายหนุ่มขับรถผ่านประตูรั้วที่เปิดออกด้วยรีโมท จอดรถที่หน้าตัวบ้านแล้วต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าหน้าต่างทุกบานและประตูบ้านถูกปิดเอาไว้ทั้งหมด

“อะไรกันยัยฝน ปิดหน้าต่างประตูหมด ไม่อึดอัดหรือไง”

เขาเปิดประตูก้าวลงจากรถโดยไม่ดับเครื่อง เคาะที่ประตูไม่เบานักพลางส่งเสียงเรียกน้องสาว ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด และเมื่อเขาเคาะเรียกอีกครั้งผลก็ยังเป็นเช่นเดิม

ร่างสูงก้าวฉับ ๆ กลับไปที่พาหนะคู่ใจเปิดประตูด้านข้างคนขับเพื่อหยิบพวงกุญแจที่เขาใส่ไว้ในช่องเก็บข้างประตูนำมาเปิดประตูบ้าน เมื่อก้าวเข้าไปได้เขาก็เอ่ยเรียกน้องสาวซ้ำ

บ้านทั้งหลังเงียบสนิท พารินธรที่ตั้งใจจะทำแค่เพียงเปิดบ้านเข้ามาหยิบเอกสารจึงเปลี่ยนใจก้าวขึ้นไปบนชั้นสองพร้อมกับส่งเสียงเรียกสลิลาเป็นระยะ

“ฝน หลับเหรอ...ทำอะไรอยู่ ปิดบ้านเงียบเชียว”

ชายหนุ่มกำลูกบิดประตูห้องน้องสาวขยับเบา ๆ ดันเปิดเข้าไปเมื่อรู้ว่าเจ้าของห้องไม่ได้ล็อคประตูและที่สำคัญดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยู่ในห้องนอน ห้องน้ำที่เปิดประตูเอาไว้ก็ไม่มีคน

“ไปไหน”

พารินธรขมวดคิ้วเดินกลับลงไปที่ชั้นล่างของบ้านเดินไปดูทั่วทั้งห้องครัว ห้องอาหาร ก็ไม่พบสลิลา ชายหนุ่มหยิบเอาเอกสารที่ลืมไว้เดินออกจากตัวบ้าน ก้าวขึ้นรถแล้วกดโทรศัพท์มือถือที่ติดไว้กับแท่นวางบนหน้าปัดด้านหน้าตัวรถทันที

เสียงสัญญาณเรียกเข้าดังผ่านเครื่องโทรศัพท์ที่เขาเปิดเป็นระบบสนทนาผ่านลำโพงอยู่หลายครั้งกว่าปลายสายจะกดรับ

“พี่เมฆ”

“ฝน...ทำอะไรอยู่”

เขาเลือกใช้คำถามเหมือนกับไม่รู้ว่าสลิลาไม่อยู่บ้าน คู่สนทนาเงียบไปพักใหญ่กว่าจะให้คำตอบ

“กำลังจะนอนพักค่ะ”

ชายหนุ่มขยับจะแย้งเพราะเขาได้ยินเสียงเหมือนกับมียวดยานแล่นผ่านไป แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ

“พี่ว่าจะถามว่าเย็นนี้ฝนจะกินอะไร พี่จะได้ซื้อเข้าไปให้”

“ในตู้เย็นพอจะมีของสด เดี๋ยวทำอะไรง่าย ๆ กินก็ได้มั้ง พี่เมฆจะกลับมากินข้าวเย็นรึเปล่าล่ะคะ”

คำลงท้ายนั้นออกมาไม่หมดคำเหมือนผู้พูดยั้งตัวเองเอาไว้ หากพารินธรจับสังเกตได้หลายครั้งแล้วว่าน้องสาวที่ฟื้นขึ้นมาหลังอุบัติเหตุมักจะพูดคะขากับตนผิดจากเดิม ชายหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ก่อนเอ่ยตอบคำ

“กลับสิ วันนี้คงไม่ไปไหน แม่ฝากไว้ให้ช่วยดูแลเรานั่นแหละ”

“ฝนไม่เป็นไรแล้ว ถ้าพี่เมฆจะไปไหน...ก็...”

“ไม่ไปหรอกเอาไว้เย็นนี้เจอกันที่บ้านก็แล้วกัน”

พารินธรกดปุ่มตัดสัญญาณโทรศัพท์ ขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของตัวหลังเกิดอุบัติเหตุ...บางทีเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว



วงศ์วรัณที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถมองมาทางอวิกาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มกำลังขับรถไปออกจากซอยบ้านมาเพียงระยะไม่ไกลนัก เสียงโทรศัพท์มือถือที่พารินธรให้น้องสาวมาใช้ก็ดังขึ้น เมื่อรู้ว่าพี่ชายของสลิลาโทร.มา เขาก็นำรถเข้าจอดข้างทางและให้อวิกากดรับสายแม้จะไม่แน่ใจนักแต่ก็หวังว่าจะหลอกพารินธรได้

“พี่เมฆ...ทักเรื่องเสียงรถรึเปล่าครับ”

“ไม่นะคะ ไม่เห็นจะทักอะไร คงไม่มีอะไรน่าห่วงมั้งคะ”

อวิกาว่าแต่จับสังเกตสีหน้าของวงศ์วรัณแล้วรู้ว่าเขายังไม่คลายความกังวล จึงเอ่ยถาม

“ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่าคะ ตอนที่คุยโทรศัพท์กับคุณเมฆ”

“ก็ไม่เชิงผิดหรอกครับคุณเพชร” วงศ์วรัณดูมีสีหน้าหนักใจ หันไปมองที่เบาะหลังแล้วตัดสินใจตอบ “ฝนเขาเป็นคนไม่ทำกับข้าว...พอทำได้แต่ไม่ชอบทำน่ะครับ”

ชายหนุ่มเลี่ยงที่จะใช้คำว่าทำกับข้าวไม่เป็น เพราะจากที่เคยไปรับประทานอาหารที่บ้านของสลิลาและได้เห็นหญิงสาว ‘ช่วยงานครัว’ ทุกครั้ง วิจิตรจะต้องคอยตามหั่นแก้ชิ้นผัก ชิ้นเนื้อฝีมือหั่นของลูกสาวให้ดูน่ากินขึ้นทุกครั้งแต่เพียงเท่านี้สลิลาที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ไม่วายส่งเสียงอย่างไม่พอใจ

“นินทาฉันให้คนอื่นฟังเหรอนายว่าน”

วงศ์วรัณเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อได้ยิ้มแหย

“พวกผัดผักอะไรง่าย ๆ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันลองหาทางพูดให้คุณเมฆเชื่อว่าฉันจำ ๆ จากที่คุณป้าท่าน แล้วก็แอบหัดทำก็แล้วกันนะคะ”

วงศ์วรัณหันไปมองสายตาของสลิลาอีกครั้งแล้วไม่กล้าแย้งอวิกาเรื่องฝีมือทำอาหารของเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลใสอีก จึงได้แต่พยักหน้ารับคำก่อนจะนำรถออกสู่ท้องถนนอีกครั้งแล้วหันไปเอ่ยกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างตัว

“เราไปบ้านคุณเพชรกันวันนี้จะได้เรื่องอะไรรึเปล่าครับ พ่อแม่คุณเพชรจะพาคุณเพชรกลับบ้านรึยังก็ไม่รู้”

“ฉันอยากจะทำอะไรบ้างน่ะค่ะ อยู่ในบ้านไม่ได้ไปไหนก็อึดอัด พาคุณฝนไปดูบ้านเผื่อว่าจะรู้เรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง หรืออย่างน้อยถ้าได้เจอน้องชาย ฉันก็อยากจะคุยกับเค้า”

สลิลาที่นั่งอยู่เบาะหลังมองใบหน้าด้านข้างของตัวเอง...นึกสะท้อนขึ้นมาในใจ เธอทั้งสองคนต่างก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ไม่อาจจะพูดคุยกับใครในครอบครัวได้

อวิกาในร่างสลิลาเป็นเพียงคนอื่นในสายตาของพ่อแม่ ขณะที่สลิลาเองก็ไม่อาจจะปรากฏตัวต่อหน้าพ่อแม่และพี่ชายเช่นกัน คนที่นั่งจับพวงมาลัยหลวม ๆ อยู่ตอนนี้เป็นคนเตือนสติเธอตั้งแต่แรกที่หาหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณมาให้อ่าน

พารินธรอาจจะพอทำใจกับเรื่องนี้ได้ แต่วิจิตรและฐิติซึ่งเป็นพ่อแม่นั้น คงจะไม่สามารถรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ง่ายนัก...แม้แต่สลิลาเองตอนนี้ยังไม่อาจจะทำใจกับความเป็นไปได้อย่างหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

ความเป็นไปได้ที่ว่า สลิลาได้เสียชีวิตไปแล้วจริง ๆ ไม่สามารถที่จะกลับไปมีเลือดเนื้อ มีลมหายใจได้อีก

คนเป็นพ่อเป็นแม่คงใจสลาย และถ้าเป็นอย่างนั้นสลิลาเลือกที่จะคอยรับรู้ความเป็นไปของผู้ให้กำเนิดทั้งสองและพี่ชายอยู่แบบนี้เสียยังดีกว่า

“ถึงแล้ว...บ้านหลังซ้ายมือนี่แหละค่ะ”

สลิลาหันไปมองทางด้านซ้ายของตัวรถเมื่อได้ยินเสียงของตัวเองดังมาจากที่นั่งตอนหน้า ทาวน์เฮ้าส์หลังไม่ใหญ่โตนัก แต่ดูเจ้าของบ้านจะใส่ใจดูแลทำให้สภาพดูดีกว่าบ้านหลังใกล้เคียง หน้าบ้านจัดสวนเล็ก ๆ มีรถยนต์จอดคันหนึ่งจอดอยู่

“พ่อกับแม่ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอเนี่ย”

อวิการำพึงกับตัวเอง ก่อนจะร้องเรียกชื่อเล่นของน้องชายออกมาเมื่อเห็นอาศิสก้าวออกมาจากบ้านในชุดนักศึกษา เธอกดปุ่มลดกระจกข้างลงแล้วเอ่ยเรียก

“พีท”

“พี่...เอ่อ...พี่ฝน”

อาศิสเดินเข้ามาที่ข้างรถชะโงกมองเข้ามาเห็นว่าพี่สาวในร่างหญิงแปลกหน้าไม่ได้อยู่คนเดียว จึงเรียกเธอด้วยชื่อเล่นของเจ้าของร่าง

“เพื่อนของคุณฝนคนนี้เค้ารู้เรื่องแล้ว” อวิกาหันมองไปทางเจ้าของรถเอ่ยขออนุญาต “คุณว่านคะ ช่วยไปส่งพีทที่มหาวิทยาลัยได้ไหมคะ เผื่อว่าเราจะได้คุยกันไปในรถ”

วงศ์วรัณพยักหน้ารับ มองไปทางกระจกหลังแล้วยิ้มขำ ๆ เมื่อเห็นว่าสลิลาทำหน้าเมื่อยพลางขยับตัวไปนั่งทางด้านขวาของเบาะหลังราวกับเกรงว่าอาศิสจะนั่งทับลงบนตัว

หนุ่มวัยต้นยี่สิบเปิดประตูก้าวเข้ามานั่งเบาะหลังโยนกระเป๋าเป้ไปไว้อีกทางหนึ่ง และนั่นทำให้สลิลาส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ

“ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ โยนมาได้”

วงศ์วรัณขยับจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วกลับเงียบ นำรถออกจากบริเวณหน้าบ้านของอวิกา

“เป็นยังไงบ้างพีท” อวิกาเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน “พ่อกับแม่ยังไม่ไปทำงานเหรอ แล้ว...”

“พี่...เอ่อ...ผมหมายถึงร่างของพี่น่ะ กลับมาพักผ่อนที่บ้านแล้ว”

“อะไรกัน ทำไมเร็วอย่างนั้นล่ะ”

“ก็...คนที่อยู่ในร่างพี่น่ะแหละ เขาร่ำร้องแต่จะกลับบ้าน บอกว่าไม่เป็นไรแล้ว วันนี้แม่เลยออกบ้านช้าเพราะเพิ่งทำข้าวต้มเสร็จ ผมรีบกินแล้วรีบออกมานี่แหละ ไม่ค่อยอยากจะสบตาพี่เพชร เอ่อ...คนที่อยู่ในร่างพี่เพชรเลยให้ตายเหอะ มันแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้”

“นี่พีทเชื่อแล้วใช่ไหมว่าคนที่อยู่ในบ้านไม่ใช่พี่”

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ที่จริงก็ไม่อยากจะเชื่อด้วย เพราะตอนนี้พอเชื่อแล้ว ผมไปต่อไม่ถูกเลยพี่เพชร ไม่รู้จะเอาไงดี”

“พีทก็ต้องคอยจับตาดูด้วย ว่าเขามีเจตนาร้ายอะไรกับครอบครัวเรารึเปล่า”

สองพี่น้องถูกขัดจังหวะการสนทนาด้วยเสียงร้องอ้าวเบา ๆ ของชายที่นั่งหลังพวงมาลัย อวิกาหันไปมองอย่างจะขอคำอธิบาย อีกฝ่ายก็ตอบแบบรู้กันเพียงสองคน

“ไม่อยู่แล้วครับ”

อวิกาพยักหน้ารับรู้ก่อนหันไปพูดกับน้องชายอีกครั้ง “แล้วเขาไม่ได้แสดงท่าทางอะไรแปลก ๆ บ้างเหรอ”

"ก็ไม่นะพี่ ผมว่าเขาคงตั้งใจสวมรอยเป็นพี่จริง ๆ แหละ ถ้าไม่เพราะผมรู้เรื่องแล้วคงไม่ได้จับสังเกตตอนเขาทำสีหน้าเหมือนหงุดหงิดไม่พอใจโน่นนี่ แวบเดียวเท่านั้นแหละพอเห็นว่าผมแอบมองก็เปลี่ยนท่าทีปุ๊บเลย"

“แต่เขาไม่มีท่าทีคิดร้ายกับพ่อแม่หรือว่าพีทใช่ไหม”

อาศิสส่ายหน้าแทนคำตอบ อวิกาจึงถอนใจอย่างโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่กระนั้นเจตนาของคนที่ครอบครองร่างเธออยู่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดแจ้ง

“แล้วพี่ชน เขาไม่สงสัยอะไรใช่ไหม”

“เท่าที่เห็นก็ไม่มีนะ” หนุ่มนักศึกษาว่า “ก็เห็นเอาอกเอาใจดูแลพี่เพชรดีออก”

ชนวิทกำลังดูแลเอาอกเอาใจผู้หญิงคนอื่น...ไม่ใช่สิ เขาทำเพราะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคือเธอต่างหาก ความคิดนี้ทำให้อวิการู้สึกหวิวขึ้นมาในอกเล็กน้อย แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเขาแต่หญิงสาวอดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังนอกใจ

เรื่องผู้หญิง...คำนี้แวบขึ้นมาในความคิดของอวิกา หากเธอเลือกที่จะปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เธอเชื่อใจชนวิทมาตลอด ไม่ว่าเขาจะบอกอะไร ชายหนุ่มจะติดลูกค้า ต้องอยู่คุมงานติดตั้งทำให้ต้องยกเลิกนัด ผิดเวลานัดอยู่บ่อยเพียงใดก็ตามคำพูดของเขาคือความจริง

“เบอร์ที่พี่เคยใช้โทร.หา ติดต่อได้แล้วนะ พี่ชายของคุณฝนเขาหาโทรศัพท์เครื่องใหม่มาให้ใช้แล้ว” อวิกาเอ่ยไปเสียอีกทางเมื่อเลือกที่จะไม่คิดเรื่องชนวิท “ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลโทร.หาพี่ได้ตลอดเวลานะ”

“เช่นเรื่องอะไรล่ะพี่เพชร ที่ว่าไม่ชอบมาพากลน่ะ เราจะระวังเรื่องอะไรกัน”

คนในห้องโดยสารอีกสองคนไม่ตอบคำของอาศิส เพราะต่างจนปัญญาที่จะหาคำตอบเช่นกัน



สลิลาเดินเข้าไปภายในตัวบ้านหลังที่อวิกาพามา พยายามจดจำทุกภาพที่ได้เห็นขณะที่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไป เป็นวิญญาณ เอ้ย...เป็นดวงจิตไม่มีร่างนี่ก็ดีไปอย่าง เคยไปเหยียบที่ไหนแล้วจะกลับไปอีกก็แค่หลับตานึกถึงก็ไปโผล่ที่นั่นได้แล้ว

เสียงของสุนันทาดังขึ้นขณะที่สองสามีภรรยาพากันเดินผ่านร่างโปร่งของสลิลาไปทางหน้าประตูบ้าน

“แม่ทำต้มจืดเอาไว้ให้กินมื้อกลางวัน เพชรจัดการอุ่นนะลูก แล้วเย็นแม่จะรีบกลับมา”

“ค่ะ”

หญิงสาวในร่างอวิการับคำ เดินออกมายืนส่งพ่อแม่ที่หน้าตัวบ้าน รอกระทั่งมโนเชาว์ขับรถออกไปพ้นประตูรั้วแล้ว สีหน้ายิ้มแย้มบนใบหน้าของอวิกาก็เลือนไปแทบจะทันที

เธอเดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมหุ้มหนังสีดำ ที่โถงรับแขกเล็ก ๆ ของบ้าน

“บ้านหลังกระจี๊ดเดียว อยู่กันได้ตั้งสี่คน อึดอัดจะตาย”

มือเรียวเอื้อมไปหยิบรีโมทโทรทัศน์กดเปิด เปลี่ยนช่องไปมาก่อนจะกดปิดแล้ววางรีโมทกระแทกลงบนโต๊ะกลางอย่าง ส่งเสียงแสดงความหงุดหงิดออกมาไม่เบานัก

“ทีวีก็ไม่รู้จักติดเคเบิ้ล ดูเข้าไปได้แค่ช่องฟรีทีวีไม่กี่ช่อง...ทุเรศจริง ๆ”

สลิลาซึ่งจับตามองกิริยาของอวิกาอยู่ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ความเชื่อที่ว่าคนที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่อวิกาจริง ๆ กลับชัดเจนมากขึ้น สีหน้าของผู้หญิงตรงหน้านี้ดูไม่พึงพอใจในสภาพที่ตนเป็นอยู่เอาเสียเลย

ถ้าอย่างนั้นจะมายอมอยู่ในร่างนี้ทำไมล่ะ ทำไมไม่คิดจะหาทางกลับร่างตัวเองหรือว่า...ที่อยู่ในร่างคุณเพชรตอนนี้จะเป็นพวกวิญญาณคนที่ตายไปแล้ว...เขาก็เหมือนเราไงล่ะ ติดตามดูเรื่องราวของคนอื่น ๆ ได้โดยไม่มีใครรู้ ถึงได้รู้เรื่องคุณเพชรกับครอบครัวและคนรักได้ขนาดนี้แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่ชอบชีวิตคุณเพชรทำไมต้องเข้ามายึดร่างทำตัวเหมือนคุณเพชรด้วย

ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก้าวฉับเดินขึ้นบันไดไป สลิลารีบรุดตามไปจนถึงภายในห้องนอนเล็ก ๆ แต่จัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ เตียงขนาดสามฟุตครึ่งปูผ้าสีฟ้าอ่อนมีลวดลายดอกไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ที่มุมหนึ่งของห้องวางคอมพิวเตอร์ ข้างผนังมีชั้นไม้วางรูปถ่ายใส่กรอบหลายใบและตุ๊กตาประดับ

ใครบางคนในร่างของอวิกากวาดตามองรูปถ่ายซึ่งเป็นรูปวัยเด็กกับครอบครัว รูปถ่ายในชุดนักศึกษา วันรับปริญญาเสียเป็นส่วนใหญ่ มีอยู่เพียงหนึ่งรูปที่เป็นรูปถ่ายคู่ในร้านอาหาร

รูปของอวิกาและชนวิท

“ดูมีความสุขกันดีจริง ๆ”

ประโยคพูดนั้นคงฟังดูคล้ายยินดีกับคู่รัก ถ้าไม่เพราะน้ำเสียงเย้ยหยันนั้น และเมื่อเธอเอื้อมไปคว้ากรอบรูปนั้นมาได้ก็ปลดแผ่นปิดด้านหลังออก ดึงรูปถ่ายออกมาฉีกเป็นชิ้น ๆ พลางส่งเสียงแสดงความขุ่นเคือง กว่าจะสาสมใจ หญิงสาวก็ถึงกับหอบหายใจหนัก

ใบหน้างามที่ถูกบดบังด้วยโทสะนั้นหันซ้ายทีขวาทีไปรอบ ๆ ห้องราวกับจะมองหาใครสักคนหนึ่ง

“ถ้าวิญญาณมีจริง ไม่สิ วิญญาณมีจริงแน่ ๆ...ถ้าวิญญาณของเธออยู่ที่นี่ ฉันขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของเธอเองนั่นแหละ คิดจะแย่งพี่ชนไปจากฉัน ตอนนี้พี่ชนกลับมาเป็นของฉันแล้ว แล้วไม่ใช่แค่พี่ชน ชีวิตของเธอเป็นของฉัน รู้ไว้ด้วยนะอวิกา”



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.พ. 2555, 19:27:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 19:27:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1978





<< ตอนที่ 9   ตอนที่ 11 >>
กมลภัทร 12 ก.พ. 2555, 19:35:51 น.
pseudolife >>>> พริกมันขี้รำคาญเนอะ บ่นด้วย

lovemuay >>>> ตามลุ้นกันต่อนะครับ

ของขวัญ >>>> กลัวจะจับถูกที่เข้าสิครับ

XaWarZd >>>> ต้องติดตามครับ

น้องอุด้ง >>>> เสร็จแน่รึเปล่าน้า รออ่านต่อนะครับ

panon >>>> ตอนนี้ยัง ตอนต่อ ๆ ไปไม่แน่เนอะ

เพียงพลอย >>>> อืม...นั่นสิ ความจะแตกไหม

wane >>>> มาอ่านดูอีกทีก็แปลก ๆ เหมือนกันครับ ตอนแรกใช้คำว่าภาชนะเพราะคิดถึงเครื่องครัวทั้งหมด ประมาณว่าอวิกาทั้งลวกเส้น ทั้งผัด ยังไม่ได้ล้างเครื่องครัว แต่ลืมนึกไปว่าเวลาพูดแล้วแปลก ๆ ^^!

นกอุมาพร >>>> ก็ยังไม่แย่เท่าไหร่นะครับ




pseudolife 12 ก.พ. 2555, 19:39:28 น.
อ๊ายยยย...ชักน่ากลัวค่ะ
พี่ชนเคยไปทำอะไรไว้น้อ เพราะไม่เชื่อว่าหนูเพชรจะแย่ง
พี่ชนมาจากคนอื่นโดยตั้งใจ ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ
แต่พอได้เบาะแสแล้วล่ะนะ ว่าเป็นเรื่องผู้หญิงจริงๆ ซะด้วย


pseudolife 12 ก.พ. 2555, 19:40:17 น.
ฮ่าๆ ลืมไปเลยเรื่องพริกบ่นเมื่อตอนที่แล้ว


ของขวัญ 12 ก.พ. 2555, 20:50:33 น.
ว่าแล้วเชียว ว่าวิญญาณในร่างเพชรต้องเคยเกี่ยวข้องกับพี่ชน


sai 12 ก.พ. 2555, 23:06:18 น.
วิญญาณอาฆาตมากๆ


XaWarZd 13 ก.พ. 2555, 01:52:05 น.
กรี๊ด เธอเป็นใครอะไรยังไง สรุปแล้วนายชนก็ไม่ใช่คนดี


lovemuay 13 ก.พ. 2555, 06:13:50 น.
ว่าแล้วเชียว พี่ชนประวัติผู้หญิงไม่ดีจริงด้วย อิอ
บางทีอาจเป็นวิญญาณแฟนเก่า ไม่ก็วิญญาณแอบรัก


น้องอุด้ง 13 ก.พ. 2555, 09:01:47 น.
หวายยย ตกลงวิญญาณใครเนี่ยยพี่ชนไปทำร้ายจิตใจครายเค้าไว้อ่า...ลุ้นนน


panon 13 ก.พ. 2555, 11:25:50 น.
เอาละซิวิญญานใครหว่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


wane 14 ก.พ. 2555, 01:50:42 น.
ที่นี้ฝนคงเชื่อแล้วหล่ะว่า เพชรโดนแย่งร่างไปจริงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account