ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น

Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก

ตอน: 6 กรยุพา . ยุพากร

ความเดิมตอนที่แล้ว...
นางเอกของเราเปิดร้านกาแฟใหม่ กำนันจึงนำขบวนสิงโตพร้อมบุตรชายมาช่วยงาน โดยพระเอกของเรามาเพราะมารดาบังคับ งานนี้เช่นกันที่สองสาวได้ปรากฏตัว คนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านเสริมความงามชื่อดัง อีกคนคือสาวร่างตุ้ยนุ้ยเจ้าของกระทงทองร้านอาหารชื่อดังประจำจังหวัด

6

ภูมิรพีก้าวเข้ามาบนร้านกาแฟอีกครั้งเพื่อกล่าวคำอำลา โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครอยู่บ้าง การเกาะติดชนิดไม่ยอมปล่อยจึงเกิดขึ้นแทบไม่ทันตั้งตัว
“อาฝากของว่างไปให้คุณแสงดาวด้วยนะคะ” เจียระไนส่งกระเช้าให้เมื่อชายหนุ่ม
“ฝากเรียนคุณแม่ด้วยนะคะ ว่าขอคำวิจารณ์เกี่ยวกับรสชาติด้วย”
ภูมิรพียิ้มรับ ทั้งที่ในใจอึดอัดกับผู้ที่ยืนเคียงข้างอย่างบอกไม่ถูก เพราะชิดชไมควงแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

“หนูไหมลองชิมของว่างบ้างหรือยังจ๊ะ” เจียระไนถามไปอย่างนั้นเอง อดแปลกใจไม่ได้กับทีท่าของสาวเจ้าที่มีต่อชายหนุ่ม
“ยังเลยค่ะ ว่าแต่จัดร้านได้สวยมากๆ เลยนะคะ” แม้พูดเช่นนั้นแต่สายตากลับไปอยู่ยังชายหนุ่มอีกคน ที่ลงทุนคาดผ้ากันเปื้อน รับบทเป็นพนักงานเสิร์ฟอย่างแข็งขัน
“ต้องยกเรื่องนี้ให้เจ้าของร้านเขาจ้ะ” เจียระไนบุ้ยไปยังหลานสาวที่ยังสาละวนกับการปรุงโกโก้เย็น

“ถ้าหนูไหมไม่รีบไปไหน ก็เชิญอยู่ทานอะไร อร่อยๆ ก่อนนะจ้ะ”
“ไหมไม่รีบหรอกค่ะ วันนี้ก็ตั้งใจมาอุดหนุนเต็มที่อยู่แล้ว”
การสนทนาหยุดลงกลางคันเมื่อแสงดาวขอตัวไปต้อนรับแขกผู้มาใหม่
“คุณมายังไง” ภูมิรพียังมีแก่ใจถาม
“ไหมเอารถมาค่ะ”
“ผมขอพูดอย่างหนึ่งนะ ว่าไม่ว่าคุณจะคิดจะทำอะไร ก็ควรรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จนไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด”
ทำไมชิดชไมจะไม่รู้ถึงความหมายนั้น ทว่ากลับไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะยามนี้คิดอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นคือจะต้องบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองให้จงได้

ทั้งยุ่งแสนยุ่ง และไม่ได้ตั้งใจมองบุคคลทั้งสองแต่บาริสต้าซึ่งอยู่หลังบาร์กลับเห็นทั้งคู่จนได้ น่าแปลกที่ความรู้สึกหนึ่งได้เกิดขึ้นในใจ เพราะอาการเกาะเกี่ยวนั่น จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร นอกจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องไม่ธรรมดาแน่ วูบหนึ่งที่ตาต่อตาประสานกันกลับเป็นภูมิรพีที่เป็นฝ่ายหลบก่อน
“ผมคง…ต้องขอตัวจริงๆ เสียที ขอให้คุณโชคดีแล้วกัน” ภูมิรพีแกะมืออีกฝ่ายออกอย่างนุ่มนวล

ร่างระหงที่มายืนหน้าเค้าท์เตอร์พร้อมร่างตุ้ยนุ้ยของเพื่อนคู่หู ทำให้เจ้าของร้านที่แม้เหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดแต่ยังยิ้มต้อนรับลูกค้าอย่างหน้าชื่น
“ขอ…ฮาเซนัท ลาเต้หนึ่งที่” ชิดชไมสั่งกาแฟที่ต้องการ
“ของฉันจิงเจอร์เบรดค็อฟฟี่” อารียาสั่งอีกคน
“อีกอย่าง…ฉันขอเป็นหนุ่มคนนั้นไปเสิร์ฟด้วยนะ” ชิดชไมสะบัดเสียงก่อนควงอารียาไปนั่งรอยังโต๊ะที่ระเบียง
แม้น้ำเสียงไม่เข้าหู อีกทั้งกิริยาที่ทั้งคู่แสดงออกจะบอกให้รู้ว่าไม่ญาติดีกับเธอ ถึงกระนั้นฐิตารีย์ก็ยังยิ้มรับ
ฮาเซนัท ลาเต้ และจิงเจอร์เบรดค็อฟฟี่ ที่หนุ่มในชุดผ้ากันเปื้อนนำมาเสิร์ฟด้วยใบหน้าไม่ยินดียินร้าย กลับทำให้หนึ่งในสองสาวถึงกับฉุนขาด แต่ที่ทำได้คือเพียงนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจเท่านั้น

“วันนี้ลูกพ่อทำดีมากๆ”
กำนันพูดกลั้วหัวเราะ โดยไม่ได้มองบุตรชายแม้แต่น้อยว่าสีหน้าเป็นเช่นใด
“พ่อเองก็ทำดีเหมือนกันนี่ครับ ถึงขนาดลงทุนไปว่าจ้างสิงโตนั่นมา” อดไม่ได้ที่จะเหน็บบิดา
“งานนี้เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เอาเป็นว่าตั้งแต่นี้ก็ขยันกลับมาทำคะแนนกับหนูตาหน่อยก็แล้วกัน” กำนันสรุป
“พ่อก็ทราบว่าผมมาได้บางอาทิตย์เท่านั้น” เขายังแบ่งรับแบ่งสู้
“ถึงจะอย่างนั้นก็ยังดีกว่าไม่ได้มาให้เห็นหน้าเสียเลยไม่ใช่หรือ อีกอย่างโทรศัพท์เขาก็มี นี่พ่อก็ขอเบอร์มาให้แล้ว” พิรัชยื่นเบอร์ให้บุตรชาย
“สรุปว่าหมั่นโทรฯ ถามสารทุกข์สุขดิบ แล้วก็คอยมาหา เท่านี้เราคงทำให้พ่อได้”

พาครพูดไม่ออกเพราะเขาไม่คิดว่าเรื่องที่คิดว่าเล่นๆ เมื่อวันวาน จะกลายเป็นเรื่องจริงจังเช่นวันนี้ ทั้งครั้งแรกเขาเพียงนึกสนุกเท่านั้น
“ผมถามจริงๆ เถอะ ว่าพ่ออยากได้อะไรจากเทพทัตกันแน่”
กำนันมองลูกชายเพียงแวบเดียว
“ทำไมพ่อต้องลงทุนขนาดนี้ด้วย อีกอย่างผมกับเขาก็เพิ่งรู้จักกัน จะให้ชอบพอขนาดร่วมหอ อย่างที่พ่อหวังมันคงเป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปได้หรือไม่ แกก็คิดดูก็แล้วกัน ว่ายังอยากได้ที่ข้างปั๊มน้ำมันนั่นหรือเปล่า”
บุตรชายได้แต่เมินไปนอกหน้าต่าง วูบหนึ่งที่ภาพเจ้าของร้านเสริมความงามเข้ามาก่อกวนจิตใจ ทำไมเขาจะไม่เห็นภาพนั้น ที่ทั้งสองเกาะเกี่ยวกันต่อหน้าสาธารณชน ภูมิรพี…ชื่อนี้เห็นทีว่าเขาจะประมาทไม่ได้เสียแล้ว

ดวงตะวันที่ยอแสงลงจนลับหมู่เมฆเหนือหุบเขา พาให้อุณหภูมิลดต่ำตามไปด้วย สองหนุ่มสาวที่มาร่วมรับประทานอาหารค่ำยังคฤหาสน์ไม้ซุง เบิกบานกับความสำเร็จจนรอยยิ้มไม่อาจจางจากใบหน้า
“เป็นยังไง ได้ข่าวว่าวันนี้ยอดขายถล่มทลายเลยอย่างนั้นหรือ” ผู้การถามพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นสิ ได้ข่าวว่าขนาดมีสิงโตมาเชิดเรียกเงินเรียกทองกันเลยทีเดียว” เทพทัตกล่าวอีกคน
ครั้งนี้เธอเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึง
“คุณปู่ทราบด้วยหรือคะ”
ผู้สูงอายุได้แต่หัวเราะหึหึ
“อาบอกเองแหละจ้ะ” เจียระไนกล่าวระหว่างตักแกงเผ็ดเป็ดย่างให้บิดา
“ว่าแต่คุณพ่อคิดยังคะ ถึงเชิญคุณภูเข้ามาถึงบ้านนี่”
เรื่องนี้กลับทำให้หลานสาวนึกไม่ถึงยิ่งกว่า

“คุณปู่คิดยังไงคะถึงให้หมอนั่นเข้ามาถึงนี่ได้” น้ำเสียงไม่พอใจ ลืมความรู้สึกดีๆ กับครั้งแรกที่เขาหยิบยื่นเงินให้ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงสายจนหมดสิ้น
“จะพูดจาอะไรระวังหน่อยเถอะยัยตา ไม่น่ารักเลยรู้หรือเปล่า” ผู้อาวุโสที่สุดกล่าวอย่างเหลืออด
“น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก รู้มั้ยว่าหมายถึงอะไร”
คำถามนั้นของคุณปู่ทำให้เธอได้แต่อึดอัดอยู่ในใจ ผิดกับพชรที่ต้องกลั้นยิ้ม เพราะรู้นิสัยเพื่อนดีว่าดื้อดึงขนาดไหน มีหรือที่จะยอมฟังใครง่ายๆ

“เราควรเก็บความไม่พอใจไว้ โดยแสดงแต่ท่าทีที่เป็นมิตร ‘น้ำขุ่น’ คือความไม่พอใจ ความขุ่นข้องหมองใจ ส่วน ‘น้ำใส’ คือมิตรไมตรี จะคิดการใหญ่ก็ควรตัดเรื่องเล็กน้อยไปให้หมด เพราะวันหนึ่งเราอาจต้องพึ่งพาเขาก็ได้”
ไม่น่าเชื่อว่าความเบิกบานเมื่อครู่จะหายเป็นปลิดทิ้ง ซ้ำยำหมูย่างของโปรดก็พาลกลืนไม่ลงคอ น่าโมโหสุดสุด ที่ถูกว่าต่อหน้าเพื่อนรัก ซ้ำเหตุยังมาจากหมอนั่น เห็นทีงานนี้ต้องมีการเอาคืนกันสักตั้ง
เพิ่มสินแม่บ้านใหญ่ได้แต่ลอบมองคุณหนูด้วยความสงสาร
“อีกอย่าง…เขาก็เป็นคนแรกที่ประเดิมกาแฟในวันนี้ด้วยไม่ใช่หรือ”
ครั้งนี้หญิงสาวได้แต่มองผู้สูงอายุอย่างนึกไม่ถึง
“กับกาแฟแก้วแรก ห้าร้อยบาท โดยไม่ต้องทอน อย่างนี้แล้วเราจะไปตั้งแง่กับเขาทำไมอีก”
นี่…คุณปู่รู้ได้อย่างไรกัน แม้ฐิตารีย์มีคำถามในใจทว่ากลับไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปาก

เสียงเพลงเล็ดลอดจากบ้านปีกไม้หลังใหญ่ทำให้ผู้ที่ก้าวเข้ามาประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะน้อยครั้งนักที่เขาจะได้ยินมารดาเปิดเพลงดังขนาดนี้ เช่นเดียวกับผู้เดินเคียงข้างซึ่งหันมาสบตาด้วยความสงสัยเช่นกัน
“มาแล้วหรือคะภู”
น้ำเสียงทักทาย พร้อมๆ กับเข้าประชิดร่าง ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวดีใจขนาดไหน ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าตกประหม่ากะทันหัน ซ้ำแววตาของมารดาและรอยยิ้มนั่นก็ทำให้ถึงกับวางหน้าไม่ถูกไปชั่วอึดใจ
“หนูนิต้ามารอลูกตั้งแต่บ่าย โทรฯ ไปตามก็ปิดเครื่อง” มารดาต่อว่ามาเป็นชุด
“ผมกับภูไปเข้าป่ากันน่ะครับ” ผู้พูดคือหนุ่มร่างสันทัด ‘ณัฐพากย์’ ซึ่งอยู่ในชุดลายพราง
“มิน่า…มาเหนื่อยๆ ทานข้าวกันเถอะจ้ะ หนูนิต้าหิวจะแย่แล้ว” เธอตัดบทระหว่างลุกขึ้น

“งั้น…ฉันกลับก่อนดีกว่า ผมลาเลยนะครับคุณแม่” ณัฐพากย์ไหว้มารดาเพื่อนอย่างงดงาม
“อ้าว จะรีบไปไหน ทานข้าวกันก่อนสิ ไหนว่ามีเรื่องจะคุยต่อไง” ภูมิรพีรีบบอก
“ไว้วันหลังก็ได้ นายมีแขกนี่นา”
“อุ๊ย! นิต้าไม่ใช่แขกที่ไหนหรอกค่ะ ใช่มั้ยคะภู”
เจ้าหล่อนไม่พูดเปล่า แต่ส่งสายตามองอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบเดี๋ยวนั้น
ความเงียบที่เข้ามาแทรกชั่วอึดใจทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นมากะทันหัน
“นายอยู่ก่อน ถือว่าฉันขอร้อง” ภูมิรพีบอกเสียงเข้ม
เพื่อนตัวดีกลับยิ้มในหน้าอย่างมีเลศนัย

“นั่นสิจ๊ะ คนกันเองแท้ๆ อยู่ทานข้าวกันก่อนเถอะนะจ๊ะพากย์” แสงดาวพูดเสียเอง ในใจคิดว่าบุตรชายคงอาย ที่จู่ๆ ก็มีสาวสวยมาปรากฏตัว เธอคงหายห่วงเรื่องที่บุตรชายจะอยู่เป็นโสดเสียทีเพราะในที่สุดความปรารถนาก็สำริดผลแล้ว
‘แอนนิต้า’ งดงามอยู่ภายใต้ชุดเดรส แซมด้วยลูกไม้สีหวาน แม้เธอไม่ใช่ลูกครึ่งแต่กลับละม้ายแขกขาวไม่มีผิด
“ภูจะไม่แนะนำเพื่อนคุณให้นิต้าได้รู้จักบ้างหรือคะ” ผู้พูดปรายตามองหนุ่มในชุดพรางอย่างตั้งใจ
“ผมณัฐพากย์ครับ” ผู้ถูกกล่าวถึงแนะนำตัวเสียเอง
“สริตาค่ะ แต่จะเรียกว่านิต้าเหมือนภูก็ได้นะคะ”
“เป็นอันรู้จักกันแล้ว ทีนี้ก็ทานอาหารกันเถอะนะจ๊ะ” แสงดาวสรุป

ผู้ที่ถือกระเช้าเข้ามาวางคือเด็กหนุ่มชาวเหนือหน้าตาหล่อเหลาคนสนิทของบุตรชาย หนึ่งในสามเซียนที่คอยก่อเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน
“ใครเอามาให้จ๊ะข้าวปุ้น” ประมุขของบ้านสนใจทันที เพราะการประดับตกแต่งแซนวิชหลากหลายใส้ คัพเค้กชิ้นจิ๋ว รวมทั้งน้ำผลไม้สีสดใสน่ารับประทานอย่างยิ่ง
“ผมเอามาเองครับ คุณอาเจียระไนฝากมาให้คุณแม่ เธอบอกด้วยว่าทานแล้วชอบไม่ชอบยังไงก็ให้บอกด้วย จะได้ไปปรับปรุงน่ะครับ” ภูมิรพีพูดเรื่อยๆ
“ต๊าย…แล้วเราก็เพิ่งมาถึงเนี่ยนะ” แสงดาวร้องเสียงหลงเพราะกลัวของเสีย
“นายแม่ให้ผมเอาไว้ที่ไหนดีล่ะครับ” เด็กหนุ่มพูดเช่นนั้นก็จริงแต่สายตากลับไปอยู่ที่แฟนสาวของเจ้านาย
“ในตู้เย็นแน่ะ เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวได้เลย แล้วคืนนี้ไม่ต้องรอฉันแล้วนะ” ผู้ตอบกลับเป็นเจ้านายหนุ่ม

ข้าวปุ้นโค้งรับอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหญิงสาวที่งดงามราวเทพธิดานั้นอีกครั้ง ยังไงเสียเรื่องนี้ก็ต้องนำไปขยายให้เพื่อนๆ ได้รับฟัง เจ้าตัวลอบยิ้มก่อนเดินเลยไปจัดการตามคำสั่งของนายแม่
“คุณพักที่ไหน”
ภูมิรพีเอ่ยปากถามสริตาเมื่อทุกคนพร้อมหน้ายังโต๊ะอาหาร
“แม่ชวนให้หนูนิต้าพักที่ไร่เรานี่ล่ะจ้ะ” มารดาตอบเสียเอง
ภูมิรพีชักสีหน้าไม่พอใจ แต่เพื่อนตัวดีกลับเผลอตัวยิ้มร่า
“เอ่อ…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นิต้าไปพักโรงแรมในตัวจังหวัดก็ได้ค่ะ” ทั้งที่พูดไม่ตรงกับใจ แต่เธอก็เอ่ยไปตามมารยาท
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันจ๊ะ แม่ไม่ยอมหรอกนะ เสียชื่อภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ กันพอดี จริงมั้ยจ๊ะภู”
ทว่าผู้ถูกถามกลับสีหน้าเจื่อนๆ อย่างไรชอบกล

“นั่นสิครับคุณแม่ ยังไม่ถึงฤดูท่องเที่ยว บ้านรับรองแขกที่นี่ก็มีตั้งหลายหลัง ยังไม่เต็มไม่ใช่หรือครับ” ณัฐพากย์หันไปถามคุณแสงดาว
“ยังหรอกจ้ะ อาทิตย์นี้มีแขกเข้าพักสองหลังเท่านั้น”
“เอ่อ…ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ” ถึงพูดเช่นนั้น แต่สริตายังคงหวังว่าผู้ที่เธออุตส่าห์ดั้นด้นมาหาจะเอ่ยปากอะไรออกมาบ้าง
“ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายอะไร เกรงว่าคุณจะผิดหวังซะเปล่าๆ” ในที่สุดภูมิรพีก็เอ่ยออกมาจนได้
“เป็นเพียงบ้านพักธรรมดา ไม่มีห้องสูท หรืออ่างอาบน้ำแบบจากุซซี่ที่คุณคุ้นเคยอีกด้วย”
“อุ๊ย…คุณพูดอะไรอย่างนั้นกันคะ เดี๋ยวคุณแม่คิดว่านิต้าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันพอดี” พูดอย่างที่ใจคิดจริงๆ
“ไม่มีใครคิดอย่างนั้นแน่จ้ะ แต่…เราไม่มีบ้านระดับวีไอพีหรอกนะจ๊ะ”
เพราะคำพูดของบุตรชายเมื่อครู่ทำให้แสงดาวเริ่มเอะใจ และเพิ่งนึกได้ว่าทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าของเธอผู้นี้ล้วนเป็นของแบรนด์เนมที่ขึ้นชื่อทั้งสิ้น

“หนูอยู่ได้ค่ะ ภูเขาล้อหนูเล่นเท่านั้นเองค่ะคุณแม่” รีบบอกทั้งที่ใจเริ่มไม่ดีเช่นกัน
“ผมเพียงแต่…บอกให้คุณทำใจไว้ก่อนเท่านั้น” ภูมิรพีบอกเรื่อยๆ
“ที่สำคัญที่นี่ยังเต็มไปด้วย…สัตว์ป่า ที่คุณอาจคาดไม่ถึง” ภูมิรพีไม่ได้พูดเกินจริง เหตุเพราะไม่มีรั้วรอบขอบชิด มีเพียงแนวต้นไม้ที่บอกอาณาเขตเท่านั้น

ในเวลาเดียวกัน ณ กระทงทอง ร้านอาหารยอดฮิตของจังหวัดเพิ่งเริ่มคึกคักด้วยเสียงเพลงจากนักร้องสาวขึ้นชื่อ
“ทำไมนายต้องนัดที่นี่ด้วยวะ” ธันวินอดไม่ได้ที่จะบ่น
“ทำไม หรือว่านายกลัวคุณเบอร์รี่เธอจะล้มทับเอา” ณัฐพากย์อดไม่ได้ที่จะสัพยอก
“ไอ้บ้า พูดดีไปเถอะ เดี๋ยวเจ้าหล่อนเห็นเข้า มีหวังเราไม่ได้คุยกันแน่ๆ ว่าแต่แกมีเรื่องอะไรก็รีบๆ คุยมาเถอะวะ” ธันวินยังไม่วายหันซ้ายแลขวา
“ฉันก็มีข่าวของเพื่อนรักเราน่ะสิ” ณัฐพากย์ยิ้มอย่างเป็นต่อ
ปลัดหนุ่มสนใจขึ้นมาทันที “ภูมันทำไม”

แล้วเรื่องที่ออกจากปากเพื่อนก็ทำให้ปลัดอยากเห็นหน้าสริตาหรือแอนนิต้าขึ้นมาทันใด
“เป็นใครกันแน่วะ ทำไมถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน” ธันวินพูดได้เพียงนั้น เพราะเสียงนักร้องสาวบนเวทีดังขึ้นมาเสียก่อน
“วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษจริงๆ นะคะ เพราะคุณเบอรี่เจ้าของร้านจะร้องเพลงเพราะๆ ให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านได้รับฟังกันค่ะ”
ณัฐพากย์เบิกตาโพลงอย่างตื่นเต้น เพราะเขามาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีครั้งใดที่สาวเจ้าเนื้อนั่นจะครวญเพลงให้ได้ยินเลยสักครั้ง และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเจ้าหล่อนร้องได้ไพเราะราวกับมืออาชีพ

ธันวินนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าภายใต้ร่างตุ้ยนุ้ยนั้นจะมีของดีๆ ซ่อนอยู่เหมือนกัน ซ้ำบทเพลงที่เจ้าหล่อนเลือกก็กลับไม่ใช่เพลงวัยรุ่นซึ่งได้ยินเป็นประจำหรือเพลงลูกทุ่งที่ไม่ตรงสเปคเขา แต่กลับเป็นบทเพลงสุนทราภรณ์อันไพเราะที่เนื้อเสียงแทบไม่ต่างกับต้นฉบับเก่า ซ้ำบทเพลงต่อมากลับต่างกันจนสุดขั้วเพราะกลับเป็นเพลงสากลประกอบภาพยนร์ดังที่ทำรายได้ถล่มทะลายทุกครั้งที่ออกฉาย

“เป็นยังไงวะ นึกไม่ถึงสิท่า จะว่าไปถ้านายมองข้ามเรื่องรูปร่าง ก็ไม่มีอะไรที่ต้องติเลยนะโว้ย เพราะเจ้าหล่อนเป็นลูกสาวคนเดียว แถมกิจการที่บ้านก็มั่นคงอีกต่างหาก”
“นายสนใจเขาขนาดนี้ก็จีบเสียเองสิวะ” ธันวินบอกยิ้มๆ อดไม่ได้ที่จะปรายตามองสาวเจ้าเนื้อบนเวทีนั้นอีกครั้ง ทั้งไม่อาจปฏิเสธได้ด้วยว่าเป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกที่มีต่อหล่อนได้เปลี่ยนไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เสียงกรีดร้องในเวลาสองยามกว่าไม่ใช่เรื่องปกติ และนั่นก็ทำให้ทั่วทั้งภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ อลหม่านในทันใด
บรรดาสมุนทั้งสามของภูมรพีที่มาชุมนุมยังหน้า ‘กุหลาบไอยรา’ บ้านดินหลังกะทัดรัดต่างมองตากันปริบๆ เหตุเพราะหญิงสาวที่ร่ำไห้ราวจะขาดใจโอบกอดเจ้านายหนุ่มที่หน้าบ้านพักราวกำลังตกอยู่ในห้วงเลิฟซีนไม่มีผิด
“ไม่มีอะไรแล้ว ผมให้คนจัดการกับมันเรียบร้อยแล้ว” เจ้าบ้านบอกน้ำเสียงอ่อนโยน
“ก็นิต้ากลัวนี่คะ” เธอยังไม่วายป้ายน้ำตาป้อยๆ

ภูมิรพีแม้อึดอัดสักเพียงใดกับการกอดรัดของอีกฝ่ายแต่กลับไม่อาจผลักไสให้ไกลตัว แถมเด็กหนุ่มคนสนิทยังอมยิ้มอยู่ไม่ห่าง
“คุณกลับไปนอนเถอะนะ” เขาบอกอย่างใจเย็น
“ภูอยู่เป็นเพื่อนนิต้าก่อนนะคะ นะคะ นิต้ากลัว” เจ้าหล่อนกระเง้ากระงอด
ภูมิรพีได้แต่มองเหล่าสมุนตัวดีที่ทำท่าจะหลบฉาก
“เราแน่ะข้าวปุ้น เข้าไปดูอีกทีไป ว่าข้างในยังมีตัวอะไรอีกหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงได้แต่หัวเราะแหะๆ จำต้องเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“คุณเข้าบ้านก่อนเถอะนะ มีอะไรค่อยคุยกัน” เขาไม่พูดเปล่าแต่หาวออกมาด้วย
ครั้งนี้เจ้าหล่อนกลับทำตามอย่างว่าง่ายซึ่งผิดวิสัยอย่างแรง

“แต่ตะขาบตัวใหญ่ขนาดนั้น…นิต้านอนไม่หลับแล้วล่ะค่ะ”
เธอยังคงเกาะติดภูมิรพีไม่ยอมปล่อย แถมลูกน้องตัวดียังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีเลศนัยอีกต่างหาก
“งั้น…คุณอยากจะทำอะไรล่ะ” ภูมิรพีพยายามข่มอารมณ์อย่างที่สุด เพราะวันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งวัน
“ภูอยากทำอะไรล่ะคะ”
“ผมอยากนอนที่สุด วันนี้ผมเดินขึ้นเขาเกือบหกกิโล” เขาตอบตามตรง
เจ้าหล่อนค้อนควักด้วยขัดใจอย่างยิ่ง
“งั้นภูก็คงต้องนอนที่โซฟานี่แล้วล่ะค่ะ เพราะนิต้าไม่ยอมแน่หากภูจะปล่อยให้นิต้าอยู่คนเดียว” เธอยื่นคำขาด
“งั้นเดี๋ยวผมโทรฯ ตาม ‘บุญกรอง’ ให้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน”
“ใครกันคะ” ถามอย่างหงุดหงิด

“แม่บ้านใหญ่ของที่นี่ คุณจะได้สบายใจด้วย ผมเป็นผู้ชายคงไม่เหมาะเท่าไหร่”
เขาไม่รอให้เจ้าหล่อนมีข้อแม้ใดๆ เพราะโทรฯ ตามแม่บ้านทันที
“เห็นทีคืนพรุ่งนี้คุณไปพักที่โรงแรมจะสะดวกกว่า” ภูมิรพีเปรยเบาๆ
“ผมถึงบอกคุณตั้งแต่แรก ว่าที่นี่ไม่เหมาะกับคุณ”
สริตายิ้มในหน้าอย่างเป็นต่อ คิดจะกำจัดคนอย่างนิต้า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกค่ะภูมิรพี

ในเวลาเดียวกัน ณ ฟาร์มเทพทัต
แม้วันนี้จะแสนเหนื่อยแต่เพราะกลิ่นบางอย่างที่อวลอยู่ทั่วห้องทำให้พชรไม่อาจข่มตาให้หลับ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเพราะกลิ่นนั้นจะทำให้เขาต้องลุกขึ้นมายืนยังระเบียงหน้าบ้านพัก
ภายนอกอากาศเย็นจนสะท้าน ท้องฟ้าที่ดวงดาวยังคงเปล่งประกายนับล้านดวงก็พาให้สดชื่นอย่างประหลาด หากเปลี่ยนตัวกับเพื่อนสาวได้คงดีไม่น้อย เพราะเพื่อนของเธอไม่ปลื้มสถานที่ห่างไกลความเจริญนี้แม้แต่น้อย พชรคิดเรื่อยเปื่อยพลันสายตาจึงได้เห็นภาพหนึ่ง…
หญิงสาวที่เดินผ่านหน้าบ้านพักเขาไปตามถนนอย่างรีบเร่ง ก่อนจะเดินหายเข้าไปยังหลังโคนไม้ใหญ่ ในความมืดสลัวนั่นเขาเชื่ออย่างหนึ่งว่าเธอต้องงดงามอย่างไม่ต้องสงสัย

“อ้าว…คุณ ออกมาทำอะไรตรงนี้กันครับ”
เสียงทักจากผู้ดูแลไร่ทำให้พชรถึงกับสะดุ้งสุดตัว ไม่น่าเชื่อที่หญิงสาวผู้นั้นจะมีแรงดึงดูดจนสามารถดึงเขาเดินตามมาไกลถึงเพียงนี้
ชยุตมองพลางอมยิ้ม
“ใจลอยไปถึงไหนกันครับ อีกสองชั่วโมงก็จะเช้าแล้วล่ะครับ เห็นคุณหนูว่าจะพาคุณไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ‘ผาห่มหมอก’ ไม่ใช่หรือครับ”
“ครับ” พชรตอบรับเก้อๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณบนบ้านก่อนเถอะครับ หาอะไรรองท้องเสียหน่อย ป่านนี้คุณเพิ่มคงสั่งให้เด็กตั้งโต๊ะแล้ว”
พชรจำต้องเดินตามชยุตขึ้นมายังบ้านพัก อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองยังโคนไม้ใหญ่ เขาไม่ได้อุปาทานไปเองแน่ๆ ว่ายังเห็นเสี้ยวใบหน้าของเธอผู้นั้น แต่ครั้นจะถามลุงจ่าก็กลับไม่กล้าเอ่ยปากออกไป



สวัสดีค่ะเพื่อนๆ นักอ่าน
ต้องขออภัยด้วยนะคะที่หายไปเกือบสามเดือน อิอิ เหตุจากน๊อคทางอารมณ์อย่างแรงเพราะเจอน้องน้ำเข้าเต็มๆ ค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ คงยังไม่ลืมกันนะคะ
หวังว่าจะสนุกกับตอนที่ 6 นี้นะคะ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยค่ะ แล้วพบกันในตอนต่อไปนะคะ / ฝากบล็อกของผู้เขียนเช่นเคยค่ะ พบกับการเดินทางของของผู้เขียนในวันที่ที่ท้องฟ้าสดใส ภายใต้ดวงตะวันอันอบอุ่น และเกลียวคลื่นอันงดงามกันนะคะhttp://yupakorn.exteen.com/
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร













ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2555, 09:12:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 16:40:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1614





<< ตอน5 กรยุพา . ยุพากร   7 กรยุพา . ยุพากร >>
anOO 9 ก.พ. 2555, 18:35:44 น.
จำตอนที่แล้วเกือบไม่ได้ ดีนะมีเท้าความให้ด้วย
รอตอนต่อไปค่ะ


nuchababluesky 10 ก.พ. 2555, 04:25:19 น.
จบตอนได้แบบน่าขนลุกจังเลย
ผู้หญิงที่พชรเห็นอ่ะจะใช่คนรึเปล่า บรือออ สยองค่ะ
ภูมิรพีเสนห์แรงจังเลยค่ะรู้สึกว่าสาวๆจะห้อมลอมเยอะอยู่นะ
เริ่มตั้งแต่คุณไหม..ต่อมาก็ยัยนิต้าอีกคน
แต่คนหลังเนี่ยรู้สึกจะเจ้าเลหืและมารยาอยู่มาก
อดคิดถึงตุ๊กแกไม่ได้แฮะดูท่าภูมิจะสลัดยาก
งานนี้ปวดหัวแทนค่ะ
ตอนแรกนึกว่ายัยนิต้าจะสนใจพากษ์ซะอีก

ขำข้าวปุ่นนะคะ จะจุ้นเรื่องของเจ้านายมากเกินไปรึเปล่า
จะแอบเอาเรื่องของเจ้านายไปเม้าท์ด้วยเว้ยเฮ้ย
ข้าวปุ้นถ้าจะเม้าท์เจ้านายก็หันซ้ายหันขวาหน่อยนะ
ไม่งั้นเรื่องถึงหู...ตัวใครตัวมันละกัน
ข้าวปุ้น ถ้าเป็นภาษากลางก็คือ ขนมจีน
อิอิ

ปูของตารู้ได้ไงว่าภูมิให้ค่ากาแฟตั้งห้าร้อยบาท
เหมือนรู้ไปหมดเลยเนาะสำหรับคุณปู่
น่าสนใจในวิชาเวทมนต์ของท่านนะคะ
แต่ไม่อยากเรียนหรอก..

ปลัดธันวินชักจะยังไงๆกับคุณเบอรี่แล้วซิ
แค่เค้าร้องเพลงสุนทราภรณ์ให้ฟังเนี่ยนะ
หลงแล้วเหรอ...ใจง่ายไปไหมคะ คุณปลัดคนหล่อ

พากษ์ไม่มีคู่เหรอคะ
หนุ่มเยอะจริงๆเลยเรื่องนี้
ไรเตอร์จะปวดหัวกับการจับคู่ให้แต่ละคนไหมน้า

พาครตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นคนดีวะอีก
แต่จากการที่เค้าคุยกับพ่อกำนันของเค้ร่วมถึงเรื่องที่อยากจะได้ที่ดินข้างปั๊มน้ำมัน ชักจะเป็นคนที่แลดูน่ากลัวขึ้นมาล่ะ
พ่อลูกร้ายเหมือนกันแน่ๆ
ที่ข้างปั้มน้ำมันมีความสำคัญขนาดไหนพ่อลูกคู่นี้ถึงอยากจะได้ครอบครองซะเหลือเกิน

คำสอนของคุณปู่เทพทัตได้ข้อคิดดีเนาะ
น้ำขุ่นเอาไว้ข้างใน น้ำใสเอาไว้ข้างนอก
นั่นซินะ
เราจะชอบไม่ชอบใครแต่ถ้าต้องทำงานร่วมกันก็ต้องรู้จักที่จะเก็บความรู้สึกเอาไว้
ไม่งั้นเีราคงอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก
ยิ่งอาชีพค้าขายต้องทำหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอๆ
ชอบคำสอนของคุณปู่ค่ะ

ดวงตะวันที่ยอแสง.....
ทำให้คิดถึงบรรยากาศยามเย็นของบ้านที่อยู่ติดภูเขาเนาะ
ได้ความรู้สึกดีจริงๆธรรมชาติมากๆเลยสำหรับนิยายเรื่องนี้
พี่นุชชอบอ่านนิยายแบบนี้นะ

ปล.ยำหมูย่าง โอ๊วว ของชอบเช่นเดียวกันค่ะ
หิวข้าวมาในทันทีเลย

ห่างหายไปนานสามเดือน
คิดถึงมากเลยค่ะ
จอแจสู้ๆนะคะ
หลับฝันดีค่ะ



ยุพากร 10 ก.พ. 2555, 14:49:40 น.
ขอบคุณ คุณanOOมากมายค่ะ อิอิ คิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าต้องลืมแล้วแน่ๆ


ยุพากร 10 ก.พ. 2555, 14:53:12 น.
สวัสดีค่ะ พี่นุช
มาอ่านเร็วดีจังค่ะ ขอบคุณนะคะกับเมนท์ และที่แวะเข้าไปชมบล็อกด้วยค่ะ ชอบรูปเดียวกับแจเลยล่ะค่ะ อิอิ


แม่อุ้ยเกี้ยวหมาก 19 ก.ค. 2555, 02:03:05 น.
สวัสดีค่ะพี่สาว น้องหายไปนานมากเลย ขอโทษด้วยนะคะ T^T แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มลงตัวแล้วล่ะค่ะ อิอิ^^

จะบอกว่าชอบประโยคนี้มากค่ะ 'ทำไม หรือว่านายกลัวคุณเบอร์รี่เธอจะล้มทับเอา'
555555 ฮาดีค่ะ ดูเป็นคนทะเล้นๆ

สู้ๆ ค่ะพี่สาว แล้วจะทยอยอ่านนะคะ^0^


ยุพากร 23 ส.ค. 2555, 21:53:40 น.
ขอบคุณน้องหลิวมากมายค่ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account