รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๕ ชมสวน
สวัสดีครับ...
หง่า...เปิดตอนย้อนหลังไป รู้สึกว่ามีคนกระทืบไลท์ ลดลงเรื่อยๆ สงกะสัยตอนนี้ คงจะมีแค่คนเดียว กระซิกๆ
เอาเถอะนะ เมื่อไม่มีคนอ่านก็ขอเขียนไปให้จบละกัน ฮือๆๆๆ คิดแล้วก็เศร้าใจอ่ะ ไม่รักกันทำไมไม่เม้นท์ล่ะครับ ผิดตรงไหน อยากได้แบบไหนบอกกันจิ แหะๆ (ขอมากไปเปล่าแก)
แต่ก็เถอะนะ มีคนเข้ามาอ่านก็ดีใจแล้วครับผม (อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตามสภาพอาการศ แหะๆ)
ไปดีฟ่า เดี๋ยวคุณผู้อ่านจะว่ากัน ไปนะครับ
ขอให้มีความสุขกับการอ่านเน้อ
พายุ (เอ็ม)
ตอนที่ ๕
หลังพูดคุยจนเข้าขากันเป็นอย่างดี เมยาวีก็พารติกรเดินต่อไปยังโรงเรือนกล้วยไม้ เพื่อจะให้อีกฝ่ายได้มองเห็นความสวยงามของมัน เป็นแซมเปิ้ลแรกที่เธอต้องการจะพรีเซนต์กับแขกในวันนี้
“สวยจังนะคะ มีหลายพันธุ์ที่รติไม่เคยเห็นด้วย” รติกรชื่นชมและตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น
แม้ว่าโรงเรือนจะไม่กว้างสักเท่าไร ทว่าภาพดอกกล้วยไม้ที่กำลังออกช่อดอกหลากหลายสีสลับกันยาวไกลออกไป ก็ทำให้หญิงสาวอดรู้สึกตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นไม่ได้เหมือนกัน
“นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเองนะคะ คุณรติ ด้านในยังมีอีกเยอะค่ะ ทั้งดอกไม้เมืองหนาวหลายๆ พันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเบญจมาศ กุหลาบ ตอนเย็นๆ ฉันจะพาพวกคุณไปดูค่ะ ภาพทุ่งดอกไม้สวยๆ ตัดกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับเหลี่ยมเขามันเป็นภาพที่สวยงามและน่าดูเชียวนะคะ”
“จริงหรือคะ รติอยากจะไปเห็นในเวลานี้จังเลยค่ะ”
“ใจเย็นๆ สิคะ เดี๋ยวก็จะได้ไปกันแล้ว ตอนนี้คุณรติก็ดูกล้วยไม้พวกนี้ไปก่อนนะคะ”
“มันเป็นสิ่งสวยงามที่รติเพิ่งเห็นเป็นที่แรกเลยล่ะค่ะ เมื่อก่อน ตอนออกมาดูตัวสินค้า ส่วนมากคุณจอมมักจะใช้ให้คนอื่นไป นี่มีปัญหานิดหน่อยกับทางสวนดอกไม้อีกเจ้าหนึ่งคุณจอมเลยเดินทางมาดูด้วยตนเองค่ะ”
“ปัญหา...ปัญหาอะไรคะ เอ่อ...ขอโทษนะคะที่เหมยถามมากเกินไป”
ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างใคร่รู้ แต่กระนั้นก็อดที่จะขอโทษไปไม่ได้เมื่อคิดว่ามันคือความลับของบริษัท มันดูเหมือนเธอจะก้าวเกินความลับของอีกฝ่ายมากจนเกินไป ทว่ารติกรกลับคลี่ยิ้มและพูดออกมาในที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...คือพอดีคู่ค้าเดิมของเรา เขาเปลี่ยนนโยบายใหม่ค่ะ อีกทั้งคุณภาพที่เปลี่ยนไป กับพอดีกับคู่ค้าทางต่างประเทศเขาไม่พอใจกับสินค้าที่ได้มา พอจะเปลี่ยนที่ใหม่คุณจอมทัพเลยต้องเข้มงวดกว่าเดิมค่ะ”
“คงจะเป็นเรื่องคุณภาพสินค้า ใช่ไหมคะ” เจ้าของไร่สาวเอ่ยขึ้นเป็นการชวนคุยมากกว่า
“ค่ะ อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็สำคัญมากไม่ใช่หรือคะ”
“ขอบคุณนะคะ ที่คุณรติบอกกับเหมยในเรื่องนี้และเหมยสัญญาค่ะ ว่าจะคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพส่งไปเท่านั้น”
“ยินดีค่ะ แล้วก็ยินดีที่ทางไร่ของคุณเหมยตอบรับเช่นนี้ รติขอขอบคุณแทนคุณจอมทัพด้วยนะคะ”
ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนเมยาวีจะพารติกรเดินไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของกล้วยไม้พันธุ์ใหม่จากไร่ของเธอ
“เอ้อ...ดูทางนู้นสิคะ คุณรติ กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของเรา สวยไหมคะ”
หญิงสาวชี้ไปยังหมู่กระบะกล้วยไม้ที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นพันธุ์ใหม่ที่เธอยินดีแนะนำ นอกจากชุดนี้แล้ว ยังจะมีอีกสองชุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือชุดที่ชัยบอกเธอเมื่อวันวาน
“สวยจังนะคะ ดอกสีส้มสลับกับสีเหลือง เพิ่งเคยเห็นนี่แหละค่ะ”
“พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่น้องชายของเหมยตัดต่อเองเมื่อปีที่แล้วค่ะ ขอบอก มีที่เดียวที่ไร่ของเราเลยนะคะ ชื่อของมันก็ แคทลียา ลีลาวดีค่ะ ดูดอกของมันสิคะ เหมือนดอกของลีลาวดีหรือเปล่า”
“จริงๆ ด้วยค่ะ เหมือนดอกลีลาวดีเลย รติเพิ่งเห็นเป็นที่แรกเลยนะคะ สวยจัง”
รติกรรีบโผเข้าไปเอื้อมมือจับช่อกล้วยไม้ตรงหน้าอย่างเบามือ รู้สึกชื่นชมต่อความสามารถของชัย ชายหนุ่มที่เมยาวีแนะนำเมื่อตอนเช้าพร้อมกันนั้น หัวใจสาวก็พลันสั่นไหวไปด้วย เมื่อปรากฏกรอบหน้าคมเข้มนั้นในห้วงมโนนึก
เมยาวีขยับไปเอากรรไกตัดช่อดอก ก่อนจะตัดกล้วยไม้ช่อหนึ่งแล้วส่งให้กับรติกรด้วยรอยยิ้มสดใส
“เหมยให้ค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ สวยจัง...เดี๋ยวรติจะเอาไปปักในแจกันบนห้องด้วย”
รติกรรับช่อกล้วยไม้จากสาวเจ้าของไร่มาถือเอาไว้อย่างแสนรัก พร้อมกับส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างขอบคุณ
ยิ่งนานเธอและเมยาวี ก็เริ่มจะเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว เพราะรติกรมีหลายส่วนที่คล้ายเธอเมยาวีจึงดูออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอีกคนหนึ่งที่เธอน่าจะคบได้
ไม่เหมือนกับปุณชิกา ที่ไม่เป็นมิตรกับเธอเอาเสียเลย...
***
ช่วงเย็นเมยาวีนำรถจิ๊ปคันเก๋ของตนเองเคลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้าเรือนไม้ ซึ่งบัดนี้จอมทัพ ปุณชิกา และรติกรกำลังยืนรออยู่
“จะไปกันเลยไหมคะ”
เสียงเจ้าของไร่ที่อยู่ในชุดคาวบอยสาวท่าทางทะมัดทะแมงดังมาจากบนรถ เพื่อจะเชื้อเชิญให้คนทั้งหมดขึ้นมา ซึ่งเธอจะได้พาพวกเขาไปยังด้านในของสวนในช่วงเย็นวันนี้
“จะไปกันแบบนี้เลยหรือคะ คุณเหมย” รติกรขยับเข้ามาถามอย่างสงสัย
“ค่ะ หรือว่าคุณจอมทัพจะสะดวกเอารถไปเองได้นะคะ”
เธอบอก ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับเขา ทว่าเมื่อมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆ กับชายหนุ่มกลับได้รับสายตาแบบฟาดฟันกลับมา
เมยาวียิ้มก่อนเอ่ยในที่สุด “เหมยว่าคุณจอมคงอยากจะขับรถไปเองมากกว่า ใช่ไหมคะ”
“ผมว่าคุณเหมยไปรถผมจะดีกว่านะครับ นั่งได้หลายคนดี”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เหมยถนัดขับรถคันนี้ คุณรติจะไปกับเหมยไหมคะ ถ้าไปก็ขึ้นมาเลยค่ะ ถ้าคุณจอมจะเอารถไปเองก็ตามมาให้ทันนะคะ”
รติกรเลือกไปกับเมยาวีจึงก้าวขึ้นรถ เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นแล้วเมยาวีก็เคลื่อนรถออกไปในทันที เพราะดูๆ แล้วจอมทัพก็คงจะถูกปุญชิกาดึงเอาไว้แบบไม่ยอมที่จะให้เขาขึ้นมากับรถของเธอได้แน่
“ทำไมคุณเหมยไม่ให้คุณจอมมาด้วยกันล่ะคะ อย่างนี้ เอ่อ...ช่างมันเถอะค่ะ” หลังรถเคลื่อนออกจากที่ รติกรจึงถามในทันที
ขณะเมยาวีที่คลี่ยิ้มเธอรู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ หมายถึงอะไร จึงพยักหน้าเข้าใจ
“ให้คุณจอมขับรถมาเองจะสะดวกกว่านะคะ อีกอย่างดูอย่างไรแล้วคุณปูเป้เธอก็คงจะไม่ยอมขึ้นรถคันนี้”
“ค่ะ แต่ก็เสียดายนะคะ ที่คุณจอมทัพไม่ได้นั่งรถมากับคุณเหมย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเห็นวิวอย่างกับรติในเวลานี้” รติกรมองภาพตามรายทางอย่างชื่นชมไม่วางตา
“ช่างเถอะค่ะ เอาไว้โอกาสหน้าก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ” เมยาวีตอบด้วยประกายตาแจ่มใส...
สองข้างทางที่รถแล่นผ่านไป บางส่วนมีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกอยู่ตามรายทาง ส่วนมากก็เป็นพวกผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ลำไย และลิ้นจี่ บางช่วงก็เป็นแปลงผัก และบางช่วงก็เห็นเป็นสวนดอกไม้
แม้จะมีอาณาเขตพื้นที่เยอะ แต่ทางไร่ก็จัดเป็นสัดส่วนได้อย่างลงตัว โดยลึกเข้าไปจะเป็นส่วนของสวนดอกไม้ทั้งหมด
“ที่ไร่ของคุณเหมยนี่ ปลูกหลายอย่างจังนะคะ รติคิดว่ามีแค่ดอกไม้อย่างเดียวซะอีก” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น หลังจากมองไปโดยรอบและนึกชื่นชมกับภาพสวยงามที่ลงตัวเป็นยิ่งนัก
“ก็นิดหน่อยค่ะ บางส่วนก็ทำตามทฤษฏีของพระเจ้าอยู่หัว ในไร่ของเหมยใช้คนงานค่อนข้างเยอะ จึงแบ่งพื้นที่ให้ปลูกผัก หรือปลูกต้นไม้ ทั้งเพื่อจะเลี้ยงคนงานภายในไร่และให้ร่มเงาค่ะ ไม่อยากจะปล่อยให้พื้นที่ว่างเปล่าไปเฉยๆ”
“เก่งจังนะคะ คุณเหมยคิดทำเองหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ แต่ก็ได้คำปรึกษาจากยายคีนค่ะ ที่สวนส้มของยายคีนก็แบ่งสัดส่วนแบบนี้เหมือนกัน”
“แหม...เพื่อนของคุณเหมยแต่ละคนเก่งจังนะคะ รวมทั้งคุณเหมยด้วย ยังสาวอยู่แท้ๆ กลับบริหารไร่ทั้งไร่ได้ สุดยอดเลยค่ะ”
รติกรชื่นชมอีกฝ่ายอีกครั้ง จนเมยาวีคลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ขอบคุณมากค่ะคุณรติ แต่ยังไงแล้วเหมยก็ไม่เก่งถึงขั้นที่คุณพูดนักหรอกค่ะ รอให้คุณอยู่ที่นี่ให้นานๆ สิคะจะ
ได้เห็นความเปิ่นและเซ่อซ่าของเหมย”
“คุณเหมยก็พูดไป คนสวยอย่างคุณเหมย ถ้าจะเปิ่น ก็เปิ่นแบบน่ารักๆ น่ะค่ะ”
****
รถจิ๊ปเคลื่อนเข้ามาจอดตั้งนานแล้ว ก่อนรถของจอมทัพจะตามเข้ามาจอดเทียบ คนบนรถเปิดประตูตามกันลงมายืนมองทุ่งดอกไม้หลากชนิดเคียงคู่กับสองสาว ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ปุณชิกาที่ตามลงมาหลังสุด อดที่จะตะลึงกับภาพสวยตรงหน้าไม่ได้ ภาพดอกเบญจมาศสีเหลือง และดอกไม้ชนิดอื่นๆ อีกมากมาย ปลูกเรียงเป็นแปลงยาวห่างไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตาสวยงามเป็นยิ่งนัก
“สวยไหมปูเป้” จอมทัพก้มลงมองและถามคนที่ยืนคล้องแขนของเขา
“ก็งั้นๆ แหละค่ะ ปูเป้เคยเห็นที่เมืองนอก มีทุ่งดอกไม้ที่สวยกว่านี้ซะอีก” เธอพูดเสียงเหยียดและเลื่อนสายตาพิฆาตไปยังเมยาวีที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก
“จริงหรือคะคุณปูเป้...ว้าว ที่ไหนกันคะ เหมยอยากจะไปเที่ยวจัง”
เห็นอีกฝ่ายว่ามา เมยาวีจึงถามกลับไปในทันที
“คนอย่างเธอจะมีปัญญาไปเที่ยวเมืองนอกไหมเนี่ย” ปุณชิกาเอ่ยเสียงเยาะ จนจอมทัพต้องเป็นฝ่ายเข้ามาเบรกในที่สุด
“ปูเป้ จะพูดอะไรให้มันระวังหน่อย”
“ก็มันจริงนี่คะพี่จอม” แล้วก็เชิดหน้ามองไปทางอื่นเสีย
“น่าจะได้นะคะ คุณปูเป้ เพราะขนาดคุณยังไปเห็นได้เลย มันก็คงจะไม่เกินปัญญาของเหมยหรอกค่ะ ใช่ไหมคะ คุณรติ”
“นี่เธอ...”
ได้ยินคำนั้นปุญชิกาจึงหันมาทำตาเขียวปัดใส่คนพูดทันทีและก็เลยไปยังรติกรที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“เชิญทางนี้เลยค่ะ คุณจอมทัพ...” ว่าแล้วแม่สาวร่างบางก็ผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้ตามเธอตรงไปยังแปลงเบญจมาศที่อยู่ตรงหน้า
“มาค่ะ คุณจอม ทางนี้ค่ะ มาสิคะคุณรติ คุณปูเป้”
เมยาวีคลี่ยิ้มกว้างและแนะนำผลงานในสวนของตนเอง ให้กับจอมทัพและรติกรได้ศึกษาและสอบถามอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ฝ่ายจอมทัพหลังจากที่ได้แอบมองกิริยาต่างๆ ของเมยาวีอย่างใกล้ชิด หัวใจหนุ่มก็ยิ่งเต้นแรง ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันที่คิดเช่นนั้น แต่ลึกๆ แล้วความรู้สึกภายในกลับบอกเขาว่ารู้สึกดี
หลังจากที่เดินดูทุ่งดอกเบญจมาศได้ในระยะหนึ่งแล้ว พร้อมกับความมืดก็เริ่มจะโรยตัวลงมามาก อากาศเย็นก็เคลื่อนตัวมาเยือนอย่างรวดเร็ว เมยาวีจึงชวนคนทั้งหมดกลับในเวลาต่อมา
“นี่เป็นแค่เคทแรกเท่านั้นค่ะ ที่ไร่ของเหมยยังมีอีกหลายที่ ที่ยังไม่ได้พาพวกคุณไป เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะคะ วันนี้กลับกันเถอะค่ะ”
คนทั้งหมดกลับมาที่รถ ทว่าในเวลานั้นเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้น เมยาวีมองหน้าจอมทัพคล้ายขอความเห็น
“ตายแล้ว รถคุณยางแบน คงจะไปต่อไม่ได้แล้วล่ะค่ะ” เมยาวีกระวีกระวาดมาดูสิ่งที่เกิดขึ้น “สงสัยจะไปเหยียบตะปูแถวนี้แน่ๆ เลย”
“ไร่ของเธอนี่ ไร้ความปลอดภัยจริงๆ นะ แค่รถเคลื่อนเข้ามาวันเดียวเท่านั้นก็เจอดีเข้าซะแล้ว”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คงจะเพราะรถเดินทางมาไกลอยู่แล้ว เมื่อมาเจอถนนลูกรังอีกจึงเกิดมีปัญหาได้” เมยาวีพูดด้วยประกายตาชนิดหนึ่ง ในยามที่มองไปยังปุณชิกา ซึ่งอีกฝ่ายก็เชิดหน้าให้อย่างท้าทาย
“ใช่ครับ ผมว่าผมคงจะต้องทิ้งรถเอาไว้ที่นี่เสียแล้วล่ะ”
“เห็นจะต้องเป็นอย่างนั้นล่ะค่ะคุณจอม ทิ้งเอาไว้ที่นี่ไม่เป็นไรหรอก ในไร่ของเหมยปลอดภัยค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้เหมยจะให้คนงานมาเปลี่ยนยางให้นะคะ ส่วนตอนนี้เหมยว่า เราคงจะต้องนั่งเบียดกันกลับแล้วล่ะค่ะ หวังว่าจะไม่รังเกียจนะคะ คุณปูเป้”
ประโยคท้าย หันไปทางปุณชิกาที่ยืนแบะปากอยู่ไม่ห่างนัก
“ย่ะ...” อีกฝ่ายตอบแต่เพียงสั้นๆ
“หรือว่าคุณปูเป้จะเดินกลับก็ได้นะคะ ถ้าไม่สะดวก”
“เอ่อ...ก็ได้ สะดวกก็สะดวก”
“เชิญสิคะ นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ไปค่ะ คุณจอม”
หญิงสาวขยับเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับอย่างเคย รติกรเชื้อเชิญให้จอมทัพนั่งคู่ตรงหน้า ส่วนหล่อนก็ขยับไปนั่งทางด้านหลัง ทว่าจอมทัพก็มีน้ำใจพอ ให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งคู่กับคนขับสาว ส่วนตัวเองก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่แถวหลังและดูเหมือนว่าคนที่มีปัญหามากที่สุดจะเป็นปุณชิกาเพราะเธอไม่รู้ว่าขึ้นไปนั่งได้อย่างไร
“แล้วจะให้ฉันขึ้นตรงไหน ยังไง”
“ก็ขึ้นแบบที่คุณจอมทัพขึ้นยังไงล่ะคะ” คนขับสาวเอ่ยบอกมาจากด้านหน้า ในใจยังนึกขำกับสีหน้าของอีกฝ่าย
“พี่จอมคะ อุ้มปูเป้ด้วยสิคะ ปูเป้ขึ้นไม่เป็น” เธอหันมาขอความช่วยเหลือจากจอมทัพที่นั่งลงบนเบาะได้ไม่นาน จอมทัพเห็นว่าญาติผู้น้องขึ้นไม่ได้จริงๆ จึงลงไปช่วยให้ปุณชิกาขึ้นมานั่งได้จนสำเร็จ
“พี่จอม...ดูมันแกล้งปูเป้สิคะ ว้าย...”
ประโยคท้ายเปลี่ยนมาเป็นเสียงร้องด้วยความตกใจ เมื่อเมยาวีกระชากรถออกจากที่อย่างรวดเร็ว เมื่อสุดที่จะคัดค้าน หรือพูดอะไรได้ ปุณชิกาจึงได้แต่เกาะราวเหล็กเอาไว้แน่น ส่วนอีกมือก็พยายามจับผมของตนเองที่มันปลิวว่อน
“คุณรติเก็บผมของตนเองให้ดีๆ นะคะ เหมยหิว จะสปีดละ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็เหยียบคันเร่ง พารถจิ๊ปพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องลั่นแข่งกับเสียงรถของปุณชิกา
เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที รถเคลื่อนเข้ามาจอดที่เรือนไม้ คนทั้งหมดก้าวลงจากรถ เมยาวีมองไปทางปุณชิกาก็อดที่จะนึกขำไม่ได้ ก่อนจะหันมาทางจอมทัพที่ทำหน้ายู่ไม่แพ้กัน
“คุณจอมคะ ขอโทษจริงๆ นะคะ พอดีเหมยหิวค่ะ ก็เลยรีบไปหน่อย อาบน้ำก่อนเถอะนะคะ อีกสิบห้านาทีเจอกันที่โต๊ะอาหาร เหมยขอตัวก่อนค่ะ” ว่าแล้วแม่สาวจอมบู๊ก็กระโดดขึ้นรถและขับออกไปในทันที
จอมทัพมองตามร่างนั้นก็ได้แต่คลี่ยิ้ม นึกแปลกใจกับตัวเองเหมือนกันที่ไม่คิดโกรธกับเกมการเล่นของเมยาวีสักนิด ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไม้ไปอย่างเงียบๆ
รติกรหันมาทางปุณชิกานิดหนึ่ง เห็นผมของอีกฝ่ายฟูฟ่องอย่างกับตัวตลก เธอกลั้นยิ้มเมื่อมองเห็นใบหน้าแหยของปุณชิกา แต่กระนั้นกลับถูกอีกฝ่ายมองมาด้วยดวงตาเขียวปัดจนต้องรีบเก็บอาการอย่างรวดเร็ว
“ขำอะไร” ปุณชิกาเค้นถามเสียงเข้ม
“เปล่าค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ รติก็หิว”
แล้วก็ก้าวตามจอมทัพขึ้นเรือนไปทิ้งให้ปุณชิกายืนเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ ก่อนที่เธอจะเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างโกรธแค้นสุดๆ
“อ๊าย ย ย ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ”
***
หลังเข้ามาในบ้านเมยาวีจึงเปิดเสียงหัวเราะกออกมาในทันที เมื่อนึกถึงสภาพผมทรงใหม่ของปุณชิกา ที่ดูอย่างไรแล้วก็เหมาะสมกับอีกฝ่ายอย่างที่เธอต้องการให้เป็นมากที่สุด
หลังจากหัวเราะไปสักระยะหนึ่งภาพของจอมทัพก็เคลื่อนเข้ามาแทนที่ในห้วงมโนนึก เธอคลี่ยิ้มอย่างเปี่ยมสุข เมื่อนึกถึงตอนที่ได้แอบมองหน้าของเขาในครั้งที่อยู่ข้างแปลงดอกไม้อย่างโรแมนติกเมื่อชั่วโมงก่อน
เขาจะรู้ไหมนะ ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา...
“คุณจอม...” เธอเรียกชื่อจอมทัพด้วยประกายตาชวนฝันและยกมือขึ้นกุมกัน ทำท่ากระโดดโลดเต้นอย่าง
ถูกใจแบบสุดๆ
หง่า...เปิดตอนย้อนหลังไป รู้สึกว่ามีคนกระทืบไลท์ ลดลงเรื่อยๆ สงกะสัยตอนนี้ คงจะมีแค่คนเดียว กระซิกๆ
เอาเถอะนะ เมื่อไม่มีคนอ่านก็ขอเขียนไปให้จบละกัน ฮือๆๆๆ คิดแล้วก็เศร้าใจอ่ะ ไม่รักกันทำไมไม่เม้นท์ล่ะครับ ผิดตรงไหน อยากได้แบบไหนบอกกันจิ แหะๆ (ขอมากไปเปล่าแก)
แต่ก็เถอะนะ มีคนเข้ามาอ่านก็ดีใจแล้วครับผม (อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตามสภาพอาการศ แหะๆ)
ไปดีฟ่า เดี๋ยวคุณผู้อ่านจะว่ากัน ไปนะครับ
ขอให้มีความสุขกับการอ่านเน้อ
พายุ (เอ็ม)
ตอนที่ ๕
หลังพูดคุยจนเข้าขากันเป็นอย่างดี เมยาวีก็พารติกรเดินต่อไปยังโรงเรือนกล้วยไม้ เพื่อจะให้อีกฝ่ายได้มองเห็นความสวยงามของมัน เป็นแซมเปิ้ลแรกที่เธอต้องการจะพรีเซนต์กับแขกในวันนี้
“สวยจังนะคะ มีหลายพันธุ์ที่รติไม่เคยเห็นด้วย” รติกรชื่นชมและตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น
แม้ว่าโรงเรือนจะไม่กว้างสักเท่าไร ทว่าภาพดอกกล้วยไม้ที่กำลังออกช่อดอกหลากหลายสีสลับกันยาวไกลออกไป ก็ทำให้หญิงสาวอดรู้สึกตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นไม่ได้เหมือนกัน
“นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเองนะคะ คุณรติ ด้านในยังมีอีกเยอะค่ะ ทั้งดอกไม้เมืองหนาวหลายๆ พันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเบญจมาศ กุหลาบ ตอนเย็นๆ ฉันจะพาพวกคุณไปดูค่ะ ภาพทุ่งดอกไม้สวยๆ ตัดกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับเหลี่ยมเขามันเป็นภาพที่สวยงามและน่าดูเชียวนะคะ”
“จริงหรือคะ รติอยากจะไปเห็นในเวลานี้จังเลยค่ะ”
“ใจเย็นๆ สิคะ เดี๋ยวก็จะได้ไปกันแล้ว ตอนนี้คุณรติก็ดูกล้วยไม้พวกนี้ไปก่อนนะคะ”
“มันเป็นสิ่งสวยงามที่รติเพิ่งเห็นเป็นที่แรกเลยล่ะค่ะ เมื่อก่อน ตอนออกมาดูตัวสินค้า ส่วนมากคุณจอมมักจะใช้ให้คนอื่นไป นี่มีปัญหานิดหน่อยกับทางสวนดอกไม้อีกเจ้าหนึ่งคุณจอมเลยเดินทางมาดูด้วยตนเองค่ะ”
“ปัญหา...ปัญหาอะไรคะ เอ่อ...ขอโทษนะคะที่เหมยถามมากเกินไป”
ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างใคร่รู้ แต่กระนั้นก็อดที่จะขอโทษไปไม่ได้เมื่อคิดว่ามันคือความลับของบริษัท มันดูเหมือนเธอจะก้าวเกินความลับของอีกฝ่ายมากจนเกินไป ทว่ารติกรกลับคลี่ยิ้มและพูดออกมาในที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...คือพอดีคู่ค้าเดิมของเรา เขาเปลี่ยนนโยบายใหม่ค่ะ อีกทั้งคุณภาพที่เปลี่ยนไป กับพอดีกับคู่ค้าทางต่างประเทศเขาไม่พอใจกับสินค้าที่ได้มา พอจะเปลี่ยนที่ใหม่คุณจอมทัพเลยต้องเข้มงวดกว่าเดิมค่ะ”
“คงจะเป็นเรื่องคุณภาพสินค้า ใช่ไหมคะ” เจ้าของไร่สาวเอ่ยขึ้นเป็นการชวนคุยมากกว่า
“ค่ะ อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็สำคัญมากไม่ใช่หรือคะ”
“ขอบคุณนะคะ ที่คุณรติบอกกับเหมยในเรื่องนี้และเหมยสัญญาค่ะ ว่าจะคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพส่งไปเท่านั้น”
“ยินดีค่ะ แล้วก็ยินดีที่ทางไร่ของคุณเหมยตอบรับเช่นนี้ รติขอขอบคุณแทนคุณจอมทัพด้วยนะคะ”
ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนเมยาวีจะพารติกรเดินไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของกล้วยไม้พันธุ์ใหม่จากไร่ของเธอ
“เอ้อ...ดูทางนู้นสิคะ คุณรติ กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของเรา สวยไหมคะ”
หญิงสาวชี้ไปยังหมู่กระบะกล้วยไม้ที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นพันธุ์ใหม่ที่เธอยินดีแนะนำ นอกจากชุดนี้แล้ว ยังจะมีอีกสองชุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือชุดที่ชัยบอกเธอเมื่อวันวาน
“สวยจังนะคะ ดอกสีส้มสลับกับสีเหลือง เพิ่งเคยเห็นนี่แหละค่ะ”
“พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่น้องชายของเหมยตัดต่อเองเมื่อปีที่แล้วค่ะ ขอบอก มีที่เดียวที่ไร่ของเราเลยนะคะ ชื่อของมันก็ แคทลียา ลีลาวดีค่ะ ดูดอกของมันสิคะ เหมือนดอกของลีลาวดีหรือเปล่า”
“จริงๆ ด้วยค่ะ เหมือนดอกลีลาวดีเลย รติเพิ่งเห็นเป็นที่แรกเลยนะคะ สวยจัง”
รติกรรีบโผเข้าไปเอื้อมมือจับช่อกล้วยไม้ตรงหน้าอย่างเบามือ รู้สึกชื่นชมต่อความสามารถของชัย ชายหนุ่มที่เมยาวีแนะนำเมื่อตอนเช้าพร้อมกันนั้น หัวใจสาวก็พลันสั่นไหวไปด้วย เมื่อปรากฏกรอบหน้าคมเข้มนั้นในห้วงมโนนึก
เมยาวีขยับไปเอากรรไกตัดช่อดอก ก่อนจะตัดกล้วยไม้ช่อหนึ่งแล้วส่งให้กับรติกรด้วยรอยยิ้มสดใส
“เหมยให้ค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ สวยจัง...เดี๋ยวรติจะเอาไปปักในแจกันบนห้องด้วย”
รติกรรับช่อกล้วยไม้จากสาวเจ้าของไร่มาถือเอาไว้อย่างแสนรัก พร้อมกับส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างขอบคุณ
ยิ่งนานเธอและเมยาวี ก็เริ่มจะเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว เพราะรติกรมีหลายส่วนที่คล้ายเธอเมยาวีจึงดูออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอีกคนหนึ่งที่เธอน่าจะคบได้
ไม่เหมือนกับปุณชิกา ที่ไม่เป็นมิตรกับเธอเอาเสียเลย...
***
ช่วงเย็นเมยาวีนำรถจิ๊ปคันเก๋ของตนเองเคลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้าเรือนไม้ ซึ่งบัดนี้จอมทัพ ปุณชิกา และรติกรกำลังยืนรออยู่
“จะไปกันเลยไหมคะ”
เสียงเจ้าของไร่ที่อยู่ในชุดคาวบอยสาวท่าทางทะมัดทะแมงดังมาจากบนรถ เพื่อจะเชื้อเชิญให้คนทั้งหมดขึ้นมา ซึ่งเธอจะได้พาพวกเขาไปยังด้านในของสวนในช่วงเย็นวันนี้
“จะไปกันแบบนี้เลยหรือคะ คุณเหมย” รติกรขยับเข้ามาถามอย่างสงสัย
“ค่ะ หรือว่าคุณจอมทัพจะสะดวกเอารถไปเองได้นะคะ”
เธอบอก ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับเขา ทว่าเมื่อมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆ กับชายหนุ่มกลับได้รับสายตาแบบฟาดฟันกลับมา
เมยาวียิ้มก่อนเอ่ยในที่สุด “เหมยว่าคุณจอมคงอยากจะขับรถไปเองมากกว่า ใช่ไหมคะ”
“ผมว่าคุณเหมยไปรถผมจะดีกว่านะครับ นั่งได้หลายคนดี”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เหมยถนัดขับรถคันนี้ คุณรติจะไปกับเหมยไหมคะ ถ้าไปก็ขึ้นมาเลยค่ะ ถ้าคุณจอมจะเอารถไปเองก็ตามมาให้ทันนะคะ”
รติกรเลือกไปกับเมยาวีจึงก้าวขึ้นรถ เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นแล้วเมยาวีก็เคลื่อนรถออกไปในทันที เพราะดูๆ แล้วจอมทัพก็คงจะถูกปุญชิกาดึงเอาไว้แบบไม่ยอมที่จะให้เขาขึ้นมากับรถของเธอได้แน่
“ทำไมคุณเหมยไม่ให้คุณจอมมาด้วยกันล่ะคะ อย่างนี้ เอ่อ...ช่างมันเถอะค่ะ” หลังรถเคลื่อนออกจากที่ รติกรจึงถามในทันที
ขณะเมยาวีที่คลี่ยิ้มเธอรู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ หมายถึงอะไร จึงพยักหน้าเข้าใจ
“ให้คุณจอมขับรถมาเองจะสะดวกกว่านะคะ อีกอย่างดูอย่างไรแล้วคุณปูเป้เธอก็คงจะไม่ยอมขึ้นรถคันนี้”
“ค่ะ แต่ก็เสียดายนะคะ ที่คุณจอมทัพไม่ได้นั่งรถมากับคุณเหมย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเห็นวิวอย่างกับรติในเวลานี้” รติกรมองภาพตามรายทางอย่างชื่นชมไม่วางตา
“ช่างเถอะค่ะ เอาไว้โอกาสหน้าก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ” เมยาวีตอบด้วยประกายตาแจ่มใส...
สองข้างทางที่รถแล่นผ่านไป บางส่วนมีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกอยู่ตามรายทาง ส่วนมากก็เป็นพวกผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ลำไย และลิ้นจี่ บางช่วงก็เป็นแปลงผัก และบางช่วงก็เห็นเป็นสวนดอกไม้
แม้จะมีอาณาเขตพื้นที่เยอะ แต่ทางไร่ก็จัดเป็นสัดส่วนได้อย่างลงตัว โดยลึกเข้าไปจะเป็นส่วนของสวนดอกไม้ทั้งหมด
“ที่ไร่ของคุณเหมยนี่ ปลูกหลายอย่างจังนะคะ รติคิดว่ามีแค่ดอกไม้อย่างเดียวซะอีก” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น หลังจากมองไปโดยรอบและนึกชื่นชมกับภาพสวยงามที่ลงตัวเป็นยิ่งนัก
“ก็นิดหน่อยค่ะ บางส่วนก็ทำตามทฤษฏีของพระเจ้าอยู่หัว ในไร่ของเหมยใช้คนงานค่อนข้างเยอะ จึงแบ่งพื้นที่ให้ปลูกผัก หรือปลูกต้นไม้ ทั้งเพื่อจะเลี้ยงคนงานภายในไร่และให้ร่มเงาค่ะ ไม่อยากจะปล่อยให้พื้นที่ว่างเปล่าไปเฉยๆ”
“เก่งจังนะคะ คุณเหมยคิดทำเองหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ แต่ก็ได้คำปรึกษาจากยายคีนค่ะ ที่สวนส้มของยายคีนก็แบ่งสัดส่วนแบบนี้เหมือนกัน”
“แหม...เพื่อนของคุณเหมยแต่ละคนเก่งจังนะคะ รวมทั้งคุณเหมยด้วย ยังสาวอยู่แท้ๆ กลับบริหารไร่ทั้งไร่ได้ สุดยอดเลยค่ะ”
รติกรชื่นชมอีกฝ่ายอีกครั้ง จนเมยาวีคลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ขอบคุณมากค่ะคุณรติ แต่ยังไงแล้วเหมยก็ไม่เก่งถึงขั้นที่คุณพูดนักหรอกค่ะ รอให้คุณอยู่ที่นี่ให้นานๆ สิคะจะ
ได้เห็นความเปิ่นและเซ่อซ่าของเหมย”
“คุณเหมยก็พูดไป คนสวยอย่างคุณเหมย ถ้าจะเปิ่น ก็เปิ่นแบบน่ารักๆ น่ะค่ะ”
****
รถจิ๊ปเคลื่อนเข้ามาจอดตั้งนานแล้ว ก่อนรถของจอมทัพจะตามเข้ามาจอดเทียบ คนบนรถเปิดประตูตามกันลงมายืนมองทุ่งดอกไม้หลากชนิดเคียงคู่กับสองสาว ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ปุณชิกาที่ตามลงมาหลังสุด อดที่จะตะลึงกับภาพสวยตรงหน้าไม่ได้ ภาพดอกเบญจมาศสีเหลือง และดอกไม้ชนิดอื่นๆ อีกมากมาย ปลูกเรียงเป็นแปลงยาวห่างไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตาสวยงามเป็นยิ่งนัก
“สวยไหมปูเป้” จอมทัพก้มลงมองและถามคนที่ยืนคล้องแขนของเขา
“ก็งั้นๆ แหละค่ะ ปูเป้เคยเห็นที่เมืองนอก มีทุ่งดอกไม้ที่สวยกว่านี้ซะอีก” เธอพูดเสียงเหยียดและเลื่อนสายตาพิฆาตไปยังเมยาวีที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก
“จริงหรือคะคุณปูเป้...ว้าว ที่ไหนกันคะ เหมยอยากจะไปเที่ยวจัง”
เห็นอีกฝ่ายว่ามา เมยาวีจึงถามกลับไปในทันที
“คนอย่างเธอจะมีปัญญาไปเที่ยวเมืองนอกไหมเนี่ย” ปุณชิกาเอ่ยเสียงเยาะ จนจอมทัพต้องเป็นฝ่ายเข้ามาเบรกในที่สุด
“ปูเป้ จะพูดอะไรให้มันระวังหน่อย”
“ก็มันจริงนี่คะพี่จอม” แล้วก็เชิดหน้ามองไปทางอื่นเสีย
“น่าจะได้นะคะ คุณปูเป้ เพราะขนาดคุณยังไปเห็นได้เลย มันก็คงจะไม่เกินปัญญาของเหมยหรอกค่ะ ใช่ไหมคะ คุณรติ”
“นี่เธอ...”
ได้ยินคำนั้นปุญชิกาจึงหันมาทำตาเขียวปัดใส่คนพูดทันทีและก็เลยไปยังรติกรที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“เชิญทางนี้เลยค่ะ คุณจอมทัพ...” ว่าแล้วแม่สาวร่างบางก็ผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้ตามเธอตรงไปยังแปลงเบญจมาศที่อยู่ตรงหน้า
“มาค่ะ คุณจอม ทางนี้ค่ะ มาสิคะคุณรติ คุณปูเป้”
เมยาวีคลี่ยิ้มกว้างและแนะนำผลงานในสวนของตนเอง ให้กับจอมทัพและรติกรได้ศึกษาและสอบถามอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ฝ่ายจอมทัพหลังจากที่ได้แอบมองกิริยาต่างๆ ของเมยาวีอย่างใกล้ชิด หัวใจหนุ่มก็ยิ่งเต้นแรง ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันที่คิดเช่นนั้น แต่ลึกๆ แล้วความรู้สึกภายในกลับบอกเขาว่ารู้สึกดี
หลังจากที่เดินดูทุ่งดอกเบญจมาศได้ในระยะหนึ่งแล้ว พร้อมกับความมืดก็เริ่มจะโรยตัวลงมามาก อากาศเย็นก็เคลื่อนตัวมาเยือนอย่างรวดเร็ว เมยาวีจึงชวนคนทั้งหมดกลับในเวลาต่อมา
“นี่เป็นแค่เคทแรกเท่านั้นค่ะ ที่ไร่ของเหมยยังมีอีกหลายที่ ที่ยังไม่ได้พาพวกคุณไป เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะคะ วันนี้กลับกันเถอะค่ะ”
คนทั้งหมดกลับมาที่รถ ทว่าในเวลานั้นเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้น เมยาวีมองหน้าจอมทัพคล้ายขอความเห็น
“ตายแล้ว รถคุณยางแบน คงจะไปต่อไม่ได้แล้วล่ะค่ะ” เมยาวีกระวีกระวาดมาดูสิ่งที่เกิดขึ้น “สงสัยจะไปเหยียบตะปูแถวนี้แน่ๆ เลย”
“ไร่ของเธอนี่ ไร้ความปลอดภัยจริงๆ นะ แค่รถเคลื่อนเข้ามาวันเดียวเท่านั้นก็เจอดีเข้าซะแล้ว”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คงจะเพราะรถเดินทางมาไกลอยู่แล้ว เมื่อมาเจอถนนลูกรังอีกจึงเกิดมีปัญหาได้” เมยาวีพูดด้วยประกายตาชนิดหนึ่ง ในยามที่มองไปยังปุณชิกา ซึ่งอีกฝ่ายก็เชิดหน้าให้อย่างท้าทาย
“ใช่ครับ ผมว่าผมคงจะต้องทิ้งรถเอาไว้ที่นี่เสียแล้วล่ะ”
“เห็นจะต้องเป็นอย่างนั้นล่ะค่ะคุณจอม ทิ้งเอาไว้ที่นี่ไม่เป็นไรหรอก ในไร่ของเหมยปลอดภัยค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้เหมยจะให้คนงานมาเปลี่ยนยางให้นะคะ ส่วนตอนนี้เหมยว่า เราคงจะต้องนั่งเบียดกันกลับแล้วล่ะค่ะ หวังว่าจะไม่รังเกียจนะคะ คุณปูเป้”
ประโยคท้าย หันไปทางปุณชิกาที่ยืนแบะปากอยู่ไม่ห่างนัก
“ย่ะ...” อีกฝ่ายตอบแต่เพียงสั้นๆ
“หรือว่าคุณปูเป้จะเดินกลับก็ได้นะคะ ถ้าไม่สะดวก”
“เอ่อ...ก็ได้ สะดวกก็สะดวก”
“เชิญสิคะ นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ไปค่ะ คุณจอม”
หญิงสาวขยับเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับอย่างเคย รติกรเชื้อเชิญให้จอมทัพนั่งคู่ตรงหน้า ส่วนหล่อนก็ขยับไปนั่งทางด้านหลัง ทว่าจอมทัพก็มีน้ำใจพอ ให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งคู่กับคนขับสาว ส่วนตัวเองก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่แถวหลังและดูเหมือนว่าคนที่มีปัญหามากที่สุดจะเป็นปุณชิกาเพราะเธอไม่รู้ว่าขึ้นไปนั่งได้อย่างไร
“แล้วจะให้ฉันขึ้นตรงไหน ยังไง”
“ก็ขึ้นแบบที่คุณจอมทัพขึ้นยังไงล่ะคะ” คนขับสาวเอ่ยบอกมาจากด้านหน้า ในใจยังนึกขำกับสีหน้าของอีกฝ่าย
“พี่จอมคะ อุ้มปูเป้ด้วยสิคะ ปูเป้ขึ้นไม่เป็น” เธอหันมาขอความช่วยเหลือจากจอมทัพที่นั่งลงบนเบาะได้ไม่นาน จอมทัพเห็นว่าญาติผู้น้องขึ้นไม่ได้จริงๆ จึงลงไปช่วยให้ปุณชิกาขึ้นมานั่งได้จนสำเร็จ
“พี่จอม...ดูมันแกล้งปูเป้สิคะ ว้าย...”
ประโยคท้ายเปลี่ยนมาเป็นเสียงร้องด้วยความตกใจ เมื่อเมยาวีกระชากรถออกจากที่อย่างรวดเร็ว เมื่อสุดที่จะคัดค้าน หรือพูดอะไรได้ ปุณชิกาจึงได้แต่เกาะราวเหล็กเอาไว้แน่น ส่วนอีกมือก็พยายามจับผมของตนเองที่มันปลิวว่อน
“คุณรติเก็บผมของตนเองให้ดีๆ นะคะ เหมยหิว จะสปีดละ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็เหยียบคันเร่ง พารถจิ๊ปพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องลั่นแข่งกับเสียงรถของปุณชิกา
เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที รถเคลื่อนเข้ามาจอดที่เรือนไม้ คนทั้งหมดก้าวลงจากรถ เมยาวีมองไปทางปุณชิกาก็อดที่จะนึกขำไม่ได้ ก่อนจะหันมาทางจอมทัพที่ทำหน้ายู่ไม่แพ้กัน
“คุณจอมคะ ขอโทษจริงๆ นะคะ พอดีเหมยหิวค่ะ ก็เลยรีบไปหน่อย อาบน้ำก่อนเถอะนะคะ อีกสิบห้านาทีเจอกันที่โต๊ะอาหาร เหมยขอตัวก่อนค่ะ” ว่าแล้วแม่สาวจอมบู๊ก็กระโดดขึ้นรถและขับออกไปในทันที
จอมทัพมองตามร่างนั้นก็ได้แต่คลี่ยิ้ม นึกแปลกใจกับตัวเองเหมือนกันที่ไม่คิดโกรธกับเกมการเล่นของเมยาวีสักนิด ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไม้ไปอย่างเงียบๆ
รติกรหันมาทางปุณชิกานิดหนึ่ง เห็นผมของอีกฝ่ายฟูฟ่องอย่างกับตัวตลก เธอกลั้นยิ้มเมื่อมองเห็นใบหน้าแหยของปุณชิกา แต่กระนั้นกลับถูกอีกฝ่ายมองมาด้วยดวงตาเขียวปัดจนต้องรีบเก็บอาการอย่างรวดเร็ว
“ขำอะไร” ปุณชิกาเค้นถามเสียงเข้ม
“เปล่าค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ รติก็หิว”
แล้วก็ก้าวตามจอมทัพขึ้นเรือนไปทิ้งให้ปุณชิกายืนเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ ก่อนที่เธอจะเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างโกรธแค้นสุดๆ
“อ๊าย ย ย ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ”
***
หลังเข้ามาในบ้านเมยาวีจึงเปิดเสียงหัวเราะกออกมาในทันที เมื่อนึกถึงสภาพผมทรงใหม่ของปุณชิกา ที่ดูอย่างไรแล้วก็เหมาะสมกับอีกฝ่ายอย่างที่เธอต้องการให้เป็นมากที่สุด
หลังจากหัวเราะไปสักระยะหนึ่งภาพของจอมทัพก็เคลื่อนเข้ามาแทนที่ในห้วงมโนนึก เธอคลี่ยิ้มอย่างเปี่ยมสุข เมื่อนึกถึงตอนที่ได้แอบมองหน้าของเขาในครั้งที่อยู่ข้างแปลงดอกไม้อย่างโรแมนติกเมื่อชั่วโมงก่อน
เขาจะรู้ไหมนะ ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา...
“คุณจอม...” เธอเรียกชื่อจอมทัพด้วยประกายตาชวนฝันและยกมือขึ้นกุมกัน ทำท่ากระโดดโลดเต้นอย่าง
ถูกใจแบบสุดๆ
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2555, 09:51:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.พ. 2555, 16:25:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 1810
<< ตอนที่ ๔ สู่ไร่ศีตกรรณ | ตอนที่ ๖ ฤดูหนาวรัก >> |
teesaparn 9 ก.พ. 2555, 12:05:53 น.
อารมณ์ชวนฝันแบบนี้ก่อเคยมี สู้ๆๆเจ้า ถึงบ่ะมีคนเม้นท์แต่ก่อมีคนเข้ามาอ่านนา ^^
อารมณ์ชวนฝันแบบนี้ก่อเคยมี สู้ๆๆเจ้า ถึงบ่ะมีคนเม้นท์แต่ก่อมีคนเข้ามาอ่านนา ^^
anOO 9 ก.พ. 2555, 17:01:30 น.
ว้าวๆๆๆๆ ยัยเหมยแอบฝันหวานซะด้วย
ดูที่ยอดคนอ่านน่าจะดีกว่านะค่ะ บางทีเค้าอ่านแต่ไม่เป็นสมาชิก
ก็เม้นท์ไม่ได้ ไลท์ไม่ได้เหมือนกัน สู้ๆ ค่ะ
ว้าวๆๆๆๆ ยัยเหมยแอบฝันหวานซะด้วย
ดูที่ยอดคนอ่านน่าจะดีกว่านะค่ะ บางทีเค้าอ่านแต่ไม่เป็นสมาชิก
ก็เม้นท์ไม่ได้ ไลท์ไม่ได้เหมือนกัน สู้ๆ ค่ะ