เสน่หา ซาตานลวง
ความรักมีค่าเสมอสำหรับคนที่เห็นค่า
แต่มันจะไร้ค่า หากรักที่ให้...ถูกเขาทิ้งขว้าง
เห็นความรักของเราเป็นแค่เพียงอะไรที่ไร้ความหมาย
ขณะนั้น...เจ็บ ร้องไห้ เจียนขาดใจ
และไม่เข้าใจในสิ่งที่ถูกกระทำ
วันและคืนผ่านไป...
ความรู้สึกหลายๆ อย่างยังอยู่ในความทรงจำ...
ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจ ที่เขาคนนั้นก็อาจคาดไม่ถึง...
คำสัญญาจากเขา...ก่อให้เกิดเรื่องราวเรื่องหนึ่งขึ้นมา....
ทุกๆ ความรู้สึกมีที่มา และสุดท้ายก็จบลง
ด้วยเหตุผล....ที่ต่างคนต่างเข้าใจ...และยอมให้อภัย

สายรุ้งเจ้าแวววับ พราวทับแผ่นฟ้า
ดาริกาเจ้าคืนคำอธิฐาน
รักที่ฝากไว้กับรุ้งเคยร้าวราน
เมื่อพบพานคนที่รัก...สุดหัวใจ
รักที่ฝากไว้ ขอคืนนะ....สายรุ้งเอย

....................

ขอฝากนิยายเรื่องที่สองด้วยนะคะ
กำลังตีพิมพ์กับ สนพ.สมาร์ทบุ๊ค
ภายใต้ชื่อเรื่องใหม่ แต่ยังไม่ได้ชื่อเรื่องใหม่เลยค่ะ แหะๆๆ

ขอบคุณๆๆนะคะ

นัฐชา
4/1/55
ลวท.5.37
Tags: เก็บรักไว้ที่ปลายรุ้ง,นัฐชา,สมาร์ทบุ๊ค,rimnamta,Natcha

ตอน: บทที่ 2 ที่พักพิง(ตีพิมพ์-สนพ.สมาร์ทบุ๊ค)

บทที่ 2 ที่พักพิง

เรือนไม้สองชั้น กลางเก่ากลางใหม่ ที่อยู่ลึกเข้าไปภายในสวน เด่นอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ ถึงกับทำให้ปลายรุ้งยิ้มกว้าง ออกอาการตื่นเต้น เรนเหลือบมองเพื่อนใหม่อมยิ้ม ก่อนที่จะเอื้อมไปจูงมือ พอปลายนิ้วสัมผัสผิวที่เย็นเยือก เรนถึงกับหนาวสะท้าน นึกแปลกใจ ตะกี้มือนุ่มของคุณเธอยังอุ่นอยู่เลย เพียงเวลาไม่ถึงชั่วโมง ทำไมซีดเซียวเย็นยังกับน้ำแข็งก็ไม่ปาน

“รุ้ง ทำไมมือเย็นจัง” คำถามของเรน ปลายรุ้งสะดุ้งเฮือก หลุดจากอาการตื่นเต้นทันที

“ก็...ก็เรนพารุ้งตากลมมาตลอดนี่” นัยน์ตาพิรุธกระพริบถี่ให้เรน ก่อนที่จะทำเป็นเฉไฉ มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่เรนไม่หยุด...แค่นั้น

“แค่ตากลมแค่นี้เนี่ยนะ...รุ้ง” คนขี้สงสัยถามเสียงดัง แต่จริงๆ เป็นห่วงมากกกว่า

“อืม” ตอบสั้นๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ดึงมือกลับ แต่เรนขืนมือไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องหน้าซีดเซียวของคุณหนูอกหักนิ่ง คนที่ถูกจ้องถึงกับคลี่ยิ้มที่มุมปาก เห็นอาการแปลกใจของเรนอยู่เต็มดวงตา ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้านสวนในฝัน เห็นทีต้องจัดการอะไรสักอย่าง...แล้ว

“เหอะน่าเรน เดี๋ยวก็หายเย็นเองแหล่ะ” เรนทำหน้าไม่เชื่อ

“จริงๆ” ปลายรุ้งกล่าวย้ำ ประกายแวววับจากนัยน์ตาสีนิลจ้องตาของคนตรงหน้านิ่ง แต่มีผลทำให้เจ้าของดวงตาวูบไปนิด และเพียงชั่วอึดใจ ความอบอุ่นจากปลายนิ้วของปลายรุ้งก็ค่อยๆ ถ่ายทอดมาสู่เรนอย่างช้าๆ

เรนยิ้มนิดๆ ที่มุมปากเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นปกติของปลายรุ้ง

“เห็นไหมเรน...รุ้งบอกแล้ว” เรนพยักหน้า กวาดสายตามองดวงหน้าขาวใส ที่บัดนี้เริ่มมีสีเรื่อๆ อมชมพูขึ้นมาบ้างแล้ว ให้นึกแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อย แต่เรนก็มักจะเป็นเช่นนี้ แค่สงสัย ก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง...

“อืม ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นเข้าบ้านกัน เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักกับแม่ฝนของเรา” ว่าแล้ว ก็ออกแรงฉุดปลายรุ้งหวังจะให้เดินตาม แต่คราวนี้กลับเป็นสาวรุ้งที่ขืนมือ

เรนหยุดและหันมามอง “อะไรอีกล่ะรุ้ง”

ปลายรุ้งไม่ตอบ แต่สีหน้ามีแววกังวลคล้ายกลัวเกรงอะไรสักอย่าง สายตาสีดำสนิทมีประกายเรืองรองมองข้ามเจ้าของคำถามไป เรนมองตามก็ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้นานาพันธุ์ที่รายล้อมบ้านไม้สองชั้นของตัวเธอเอง

แต่กับปลายรุ้ง ไม่ใช่สิ่งที่เรนเห็นเพียงอย่างเดียว แต่ในความเลือนรางนั้นกลับมีหญิงสาวสวยรูปร่างสมส่วนในชุดไทยโจงกะเบนสไบเฉียงสีใบตองยุคสมัยโบราณ เรือนผมยาวสีดำสนิทที่ปล่อยยาวเคลียไหล่ ดวงหน้าขาวผ่องมองปลายรุ้งอยู่เงียบๆ ปากซีดไร้การแย้มยิ้ม ปลายรุ้งมองตอบ รู้สึกได้ถึงความล้ำแดนของตัวเธอเอง
ปลายนิ้วของคนล้ำแดนเหยียบเย็นขึ้นอีกครั้ง เรนถึงกับสะดุ้งรีบปล่อยมือทันที
สายตาของเจ้าของร่างเลือนรางในชุดไทยสงบนิ่ง มีเพียงสายลมที่กรรโชกแค่เพียงเสี้ยววินาที หางตาของเจ้าของดินแดนเหลือบไปทางเรือนไทยหลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ไม้ไม่ห่างมากนักจากเรือนไม้สองชั้น ปลายรุ้งมองตาม ก่อนที่จะหันมายิ้มให้อย่างขอบคุณ ร่างเลือนรางนั้นคลี่ยิ้มยะเยือกก่อนที่จะหมุนตัวกลับและหายแวบไปในหมู่แมกไม้
“รุ้ง เป็นอะไรหรือเปล่า” ปลายรุ้งไม่ตอบคำถาม แต่กลับหันไปมองบ้านเรือนไทยหลังเล็กกะทัดรัดที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หลากขนาด เรนมองตามถึงกับยิ้มอย่างรู้ทัน
“นั่นน่ะ เป็นเรือนของยายเราเอง” ปลายรุ้งหันมายิ้มรับ ก่อนที่จะหันไปมองเรือนไทยหลังเล็กนั่นนิ่ง เสี้ยวหน้าของคุณหนูอกหักที่เรนเห็น ดูมีความสุข ดวงหน้าผ่องภายใต้ผมยาวระบายยิ้มทั้งใบหน้า สงสัยคุณเธอจะชอบเรือนไทยของคุณยายทวดเสียแล้วล่ะ ก็ดีเหมือนกัน พาเพื่อนใหม่ไปรู้จักกับยายก่อนก็คงจะดี

คิดได้ดังนั้น ก็ไม่รอช้า เอื้อมไปฉุดมือเพื่อนสาว พอปลายนิ้วสัมผัสกัน ความอบอุ่นก็ถูกถ่ายทอดมาทันที เรนถึงกับฉุกคิด เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวอุ่น อะไรกันนะนี่....ยัยคุณหนูรุ้งเอ๊ย แต่ก็คงเดิม แค่สงสัยตามสไตส์ของนักเขียนเรน...เท่านั้น

ร่างบางของปลายรุ้งปลิวไปตามแรงดึงของเพื่อน ตามเส้นทางเล็กๆ ที่ปูด้วยพื้นหญ้าสีเขียว เม็ดฝนยังคงพราวติดที่ยอดหญ้าเป็นประกายเมื่อยามต้องแสงตะวัน ต้นไม้น้อยใหญ่แผ่กิ่งก้านร่มรื่น ปลายรุ้งตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมในขณะนี้เหลือเกิน ไม่คิดด้วยซ้ำไป ว่ายังจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ในตัวเมืองกรุงเทพอีก

สองสาวมาหยุดนิ่งตรงเรือนไทยหลังเล็กสีน้ำตาลแก่ ตัวเรือนยกขึ้นจากพื้นเพียงนิด บ้านเรือนไทยนั้นมีระเบียงสำหรับนั่งเล่นไม่ถึงกับกว้างมากนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับนั่งเล่นกันได้หลายคน มีบันไดแค่เพียงสี่ขั้นที่ใช้ขึ้นเรือนเท่านั้น ซึ่งมีโอ่งใส่น้ำดินเผาตั้งอยู่ข้างๆ แต่ที่ทำให้ปลายรุ้งสะดุดตาอย่างที่สุด ก็คงจะเป็นชิงช้าไม้สีขาวหม่นที่มีพนักพิงที่อยู่ถัดไปจากตัวเรือน ตัวชิงช้าถูกผูกยาวลงมาจากต้นไม้ใหญ่ ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าของชิงช้าคงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเรนเพื่อนใจดีของเธอ ปลายรุ้งเผลออมยิ้ม

“เป็นไงรุ้ง...ชอบล่ะสิ” ปลายรุ้งหันมายิ้มพยักหน้าให้คนถาม ก่อนที่สายตาสีรัตติกาลจะหันไปยังเรือนไทยหลังเล็กนั้นอีกครั้ง หญิงชราผู้ที่เป็นเจ้าของเรือนมองมาอยู่ก่อนแล้ว ประดุจเหมือนกับว่ากำลังรอคอยอยู่ก็คงไม่ผิดนัก…
ปลายรุ้งสบสายตายายทวดของเรนอย่างอ่อนน้อม ก่อนที่สองมือจะพนมไหว้ขอฝากตัว โดยที่ไม่ได้รอให้เรนแนะนำ หลานสาวของคุณยายทวดถึงกับทำตาโตใส่ แต่ปลายรุ้งก็ไม่ใส่ใจกับอาการของเรน แต่กลับเดินขึ้นไปบนเรือนหลังน้อย เมื่อคุณยายทวดของเรนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ทำเอานักเขียนเรนยืนมองการกระทำของปลายรุ้งอย่างงงงัน ก่อนที่จะตามขึ้นไปบนเรือนอย่างแปลกใจนิดๆ
เรนปราดเข้าไปเกาะแขนคลอเคลียคุณยายทวดเหมือนลูกแมวน้อย โดยไม่สนใจสายตาของเพื่อนใหม่ หอมแก้มเหี่ยวย่นฟอดใหญ่ก่อนที่จะผละมานั่งข้างๆ กับปลายรุ้ง จึงได้ยินเสียงหัวเราะอย่างขำๆ เรนได้แต่ยิ้มแหยๆ หยักคิ้วหลิ่วตาให้เป็นการแก้เขิน ก่อนที่จะหันไปหาคุณยายทวดอีกครั้ง

“ยาย...เพื่อนของเรนค่ะ” ยายทวดพยักหน้า “ชื่อ...” ยังไม่ทันจะได้แนะนำชื่อ คุณยายทวดก็ทำให้คนที่เป็นหลานประหลาดใจได้อีก

“ปลายรุ้งใช่ไหม” เรนถึงกับตกใจ ทำตาโตใส่หญิงชรา รอยยิ้มใจดีระบายเต็มใบหน้าของยายทวด คนเป็นหลานถึงกับกระพริบตาถี่ๆ นึกสงสัยยายทวดรู้ได้อย่างไรกันนะ หันมามองคุณหนูอกหัก ก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่ซ่อนหัวเราะไว้เท่านั้นเอง
แต่จะรู้ด้วยวิธีไหนคงไม่สำคัญ แค่เพื่อนใหม่ของเธอรู้สึกสบายใจกับการได้มาเยือนบ้านสวนของเธอ แค่นี้เรนก็คงจะโล่งใจเสียมากกว่า ความคิดในหัวของเรน ปลายรุ้งรับรู้ได้ทั้งหมด หญิงสาวถึงกับหันมาหาและอมยิ้มให้อย่างขอบคุณ และเรนก็ยิ้มรับอย่างงงๆ

คุณยายทวดเอื้อมมาจับมือของปลายรุ้ง ก่อนที่จะค่อยๆ ผูกเชือกสีรุ้งเส้นเล็กไว้ที่ข้อมือขวา แววตาอ่อนโยนและคุ้มครองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีราตรีนั้นนิ่ง สายลมพัดพลิ้วเข้ามาสัมผัส จนผมยาวหยิกของเรนยุ่งเหยิง แต่ที่น่าแปลกใจ สายลมที่อยู่ๆ ที่พัดมาไม่ได้ทำให้ผมนุ่มของคุณหนูนั่นปลิวแม้แต่นิดเดียว...อะไรกันนี่
กลิ่นดอกแก้วที่มียามราตรีกลับโชยกลิ่นหอมเย็นมาในเรือนไทยอย่างผิดเวลา ซ้ำอากาศที่กำลังดีๆ ก็กลับเย็นยะเยือกขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนถึงกับทำให้เรนเอามือกอดอกเพราะความหนาว แต่น่าแปลก...ยายทวดกับปลายรุ้ง กลับดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับรู้ถึงสภาวะรอบๆ กายเหมือนกับที่เรนสัมผัสอยู่เลย...
คุณยายทวดปิดเปลือกตาลง มือเหี่ยวย่นสัมผัสฝ่ามือของปลายรุ้งไปมา เรนถึงกับมองยายทวดอย่างแปลกใจ แต่กับเจ้าของฝ่ามือกลับสงบนิ่ง พริ้มตาหลับ ใบหน้าขาวเนียนกลับมาซีดเซียวอีกครั้ง ความหมองหม่นครอบครองดวงหน้า เรนมองภาพนั้นอย่างนึกสงสาร ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจของปลายรุ้งถูกถ่ายทอดมาให้เรนโดยไมรู้ตัว ในขณะที่คุณยายทวดกลับรับรู้เพียงแค่เหตุผลบางประการว่าทำไมปลายรุ้งถึงตามเรนมา นอกเหนือจากนั้นกลับเกินจิตสัมผัสที่คุณยายทวดจะมองเห็นในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ

ทั้งสองลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีนิลที่มีน้ำใสประดับ มองยายทวดอย่างอ้อนวอน รอยยิ้มเศร้าสร้อยนั้นฉาบเรียวปากซีดประหนึ่งคำขอร้อง ยายทวดยิ้มให้อย่างมีเมตตาจิต เอื้อมมือมาลูบผมของปลายรุ้งแผ่วเบา

“ยายอนุญาต” ยายทวดลดมือลงเมื่อกล่าวคำนี้

ปลายรุ้งก้มลงกราบ น้ำใสที่คลอหน่วยตาถึงกับรินไหล ที่พักพิงสำหรับปลายรุ้งอยู่ที่นี่แล้ว อีกนานแค่ไหนหญิงสาวก็ไม่อาจให้คำตอบใครได้...ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังคงค้างคา จะได้รับการไขให้กระจ่าง

“ไม่ว่านานแค่ไหน...ก็ได้” ยายทวดพูดขึ้น เหมือนกับจะล่วงรู้ความในใจของปลายรุ้ง

“อะไรกันคะยาย ทำยังกับว่ารุ้งจะมาอยู่กับเราอย่างงั้นแหล่ะ” เรนพูดแทรกขึ้นมา หลังจากที่มองดูการกระทำที่แปลกๆ ของทั้งคู่อยู่นาน ยายทวดหัวเราะเบาๆ
เรนทำหน้าทะเล้น เมื่อยายทวดพยักหน้าหงึกๆ แอบคิดในใจ ปลายรุ้งคุณหนูเสียขนาดนี้ ฐานะทางบ้านคงรวยล้นฟ้า บ้านก็คงจะใหญ่โตมโหฬาร และแน่นอนคนรับใช้คงเดินกันเต็มไปหมด ชีวิตนี้ของคุณหนูอกหักเคยทำอะไรด้วยตัวเองหรือเปล่าน๊า....คิดมาตรงนี้เรนก็อมยิ้มกับตัวเอง โห นักเขียนอย่างเรนเท่านั้นแหล่ะ ที่คิดได้ขนาดนี้...

แต่ถ้ามาอยู่ด้วยกันจริงๆ เรนก็ยินดีต้อนรับ...ด้วยความเต็มใจ

ปากเซียวหันมายิ้มให้กับเรน สัมผัสพิเศษของคนนั่งเคียงทำให้รุ้งรับรู้ความรู้สึกของเจ้าตัวได้ไม่ยากนัก หากตราบใดที่เจ้าของสัมผัสพิเศษอย่างเรนควบคุมมันไม่ได้ ความลับของเรนก็คงไม่เป็นความลับของปลายรุ้งเช่นเดียวกัน...อ่า เรนแย่แล้วสิเนี่ย
คิดมาถึงตรงนี้ ปลายรุ้งก็ถึงกับหัวเราะคิกคัก น้ำตาจากความยินดีเหือดแห้งไปแล้ว เรนถลึงตามองคนที่หัวเราะใส่อย่างคาดโทษ

“เราไม่ใช่ลูกคุณหนูเสียหน่อยนะเรน” เสียงเบาๆ ดุจเสียงกระซิบลอยมาเข้าหู เรนถึงกับสะดุ้งเย็นวาบพยายามเพ่งมองรีมฝีปากของปลายรุ้งก็เห็นรอยยิ้มจางๆ ฉาบไว้ ให้นึกแปลกๆ คิดในใจแล้วคนตรงหน้ารู้ได้อย่างไร…?

“ไม่เห็นยากเลย อาการของเรนดูง่ายจะตายไป” คำอธิบายถึงสิ่งที่เรนคิดในใจ ทำความแปลกใจให้กับเรนอีกรอบ คราวนี้ความเย็นกระจายไปทั่วทั้งร่าง แต่ก่อนที่จะเกิดความสงสัยไปมากกว่านี้…

“รุ้ง...” ยายทวดเรียกเบาๆ สายตาที่ส่งมาให้ปลายรุ้งมีแววตำหนิแต่ยังคงเต็มไปด้วยความเมตตา ปลายรุ้งสบตานั้นนิ่ง ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยคำขอโทษ...ในจิต

ยายทวดหันมาหาหลานสาวที่ยังคงทำท่าคิดกับความคิดในใจของตัวเอง ที่โดนปลายรุ้งรู้ทัน ยายทวดยิ้มน้อยๆ เพราะคงอีกไม่นานหลานสาวก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง...

ยายทวดเหลือบมามองเชือกสีรุ้งที่ผูกติดไว้ที่ข้อมือซ้ายของหลานสาว ก็เผลอถอนหายใจ ถึงเวลาแล้วสินะ ที่สัมผัสพิเศษของเรนจะช่วยใครสักคน ที่มีดวงชะตาเดียวกัน....

ชะตาของความ...รัก

ยายทวดปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ภาวนาอยู่ในจิต ขอให้ผู้มีดวงชะตาเดียวกันของทั้งสอง นำพากันและกัน ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ตลอดรอดฝั่ง อย่าได้มีสิ่งใดมาขัดขวาง แต่คุณยายทวดก็ถอนหายใจอีกครา เมื่อนึกถึงว่าไม่มีหนทางใดก้าวไปโดยไม่มีขวากหนาม ความดีงามในตัวของหลานสาว จะช่วยให้ปลายรุ้งก้าวไปสู่ความต้องการได้ในที่สุด แต่จะได้แค่ไหน อนาคตคือสิ่งที่ยายทวดมองไม่เห็น

ความเจ็บปวดในใจของอาคันตุกะมีมากเหลือเกิน มากเสียจนคุณยายทวดกลับเป็นกังวล ว่าความรู้สึกนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด สายรุ้งผู้มีชะตาร่วม จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา...ได้แค่ไหน
ปลายรุ้งมองยายทวดอย่างเงียบๆ รับรู้ถึงความกังวลใจในจิตทั้งหมด แต่ไม่สามารถให้คำตอบในสิ่งที่หญิงชราเป็นกังวล ความเมตตาปราณีของยายทวด อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง...ที่ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดในใจของปลายรุ้งจะไม่แปรเปลี่ยนไปในทางที่...ยายทวดเป็นกังวล
แต่ก็นั่นแหล่ะ อนาคตเป็นเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง
หากอะไรมันจะเกิด...ก็คงจะเกิด
คงไม่มีใครห้ามได้...เว้นเสียแต่ว่า...

ยายทวดลืมตา เอื้อมมาจับมือหลานสาว ก่อนที่จะมือเหี่ยวย่นอีกข้างจะเอื้อมไปจับปลายรุ้ง สายตาของหญิงชราเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังดี ค่อยๆ มองทั้งสองสลับไปมา

“อะไรกันคะยาย” เรนอดถามไม่ได้จริงๆ

“ปลายรุ้งจะมาขออยู่กับเราสักพัก” คำตอบของยายทวด ถึงกับทำให้เรนร้องฮ่ะ เหลือบไปมองร่างบางที่นั่งข้าง ก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่เรียบเฉย

“รุ้งไปขอยายตอนไหนหรือคะ” เรนเว้นช่วง มองไปมองมา “เรนไม่เห็นเลยนะ”

ถึงตอนนี้ ปลายรุ้งแอบอมยิ้ม คุณยายทวดก็มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่ไม่มีความจำเป็นอันใด ที่จะอธิบายในคำถามของหลานสาว เพราะคงอีกไม่นาน ทุกๆ อย่างเรนจะรู้และเข้าใจไปเอง
มือของทั้งสองมาวางทับกัน สองมือของคุณยายทาบทับ สัมผัสแผ่วเบา ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดมาให้ แต่ความอบอุ่นนั้นถึงกับทำให้เรนสะท้านไปทั้งกาย
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากคุณยายทวด มีแค่เพียงสายตาของความเมตตาที่สื่อออกมา ปลายรุ้งยังคงยิ้มรับดุจเดิม แต่กับคนที่เป็นหลาน กับทำหน้าไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น

“ตกลงว่า รุ้งจะมาอยู่กับเราหรือคะยาย” เรนยังคงถามซ้ำ คุณยายทวดพยักหน้า

“แล้วที่บ้านของรุ้งล่ะ” คราวนี้คนขี้สงสัยหันมาถามต้นเหตุ “ไม่ว่าอะไรหรือ”

คุณยายทวดมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อได้ฟัง ก่อนที่จะปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่กันตามลำพัง แต่กับปลายรุ้งนั้น ใบหน้าเนียนนั้นเศร้าหมองลงมาในทันที นัยน์ตาหม่นจับจ้องอยู่ที่มือตัวเอง เนิ่นนานเหลือเกินที่เรนรอคำตอบ สายลมพัดมาเพียงเบาๆ นกที่ยายทวดนำมาปล่อยไว้ในสวนต่างพากันส่งเสียงขึ้นมาเหมือนกับจะดึงความสนใจของเรนไปจากปลายรุ้ง
และก็ดึงได้สำเร็จ เรนไม่สนใจแล้วกับคำตอบที่เฝ้ารอคอย เมื่อปลายรุ้งอยากมาอยู่ด้วย และคุณยายทวดก็อนุญาตแล้ว ไม่มีเหตุผลใด ที่เจ้าของบ้านคนหนึ่งอย่างสายรุ้งจะปฏิเสธคนที่ต้องการทั้งเพื่อนและกำลังใจอย่างปลายรุ้ง
แต่เจ้าของบ้านยังมีอีกคนนี่น่า...
คิดมาถึงตรงนี้ ก็เกิดรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้าของคนผมหยิก สองมือเอื้อมไปดึงมือให้ปลายรุ้งลุกขึ้นตาม

“ไปหาแม่ฝนกัน” ยังไม่ทันที่คนถูกดึงขึ้นมาจะได้ทันตั้งตัว ร่างบอบบางของคุณหนูที่เรนชอบเรียกก็ปลิวไปตามแรงดึงเสียแล้ว

ทั้งสองคนกึ่งเดินกึ่งวิ่ง จนมาถึงหน้าบ้านเรือนไม้สองชั้น
ร่างเลือนรางที่ปลายรุ้งเห็นแต่แรก แวบเข้ามาสู่สายตา ประหนึ่งกำลังรอคอยการกลับมา ดวงหน้าขาวซีดเซียวของร่างที่อยู่ในชุดโจงกระเบนสไบเฉียงเหลือบต่ำไปมองสองมือที่มีเชือกสีรุ้งเส้นเล็กผูกติด เกาะกุมกระชับกันมา เกิดรอยยิ้มอย่างยินดีที่มุมปาก ก่อนที่ใบหน้าขาวผ่องนั้นจะค่อยๆ เหลือบไปทางบ้านใหญ่เป็นเชิงอนุญาต ปลายรุ้งก้มศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ พอเงยหน้าขึ้นมา ร่างเลือนรางก็หายไปเสียแล้ว
เกิดประกายแสงเรืองรองเลือนรางรอบๆ ข้อมือที่ผูกเชือกสีรุ้งของทั้งคู่ โดยที่เรนไม่ทันได้เห็น
ลมที่สงบเงียบ กรรโชกขึ้นอีกครั้ง แค่เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะสงบนิ่งดุจเดิม
อาคันตุกะสาวกระชับมือเรนแน่นขึ้น

เพราะนั่นคือ ใบเบิกทางที่จะพาผู้มิใช่มนุษย์เช่นเธอเข้าบ้านได้ตลอด...นับแต่นี้ไป


..........................

ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
ยินดีรับคำแนะนำ และจะไปปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้นนะคะ

นัฐชา
10/2/55
เวลา 5.32 น.





นัฐชา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2555, 05:32:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.พ. 2555, 05:32:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1546





<< บทที่ 1 เรนโบว์ (Rainbow)   บทที่ 3 เลือนราง(ตีพิมพ์สนพ.สมาร์ทบุ๊ค) >>
นัฐชา 10 ก.พ. 2555, 05:34:34 น.
อรุณสวัสดิ์นะคะ

ขอฝากนิยายรักหวานๆ เย็นๆ เยือกๆ
ไว้ช่วยเป็นกำลังใจด้วยนะคะ

ขอขอบคุณน้องขวัญ
และน้องเทียนจันทร์ ที่แวะมาเป็นกำลังใจนะคะ

น่ารักๆๆ


anOO 10 ก.พ. 2555, 16:53:47 น.
รุ้งเป็นผีไปแล้วเหรอ หรือแค่วิญญาณหลุดออกจากร่างเฉยๆ


นัฐชา 10 ก.พ. 2555, 19:28:00 น.
อิอิ คุณแอนคะ
รุ้งจะเป็นอะไร ต้องรบกวนคุณแอนติดตามแล้วล่ะคะ
แต่รับรองได้....ไม่น่ากลัว จริงๆ นะ นัฐชารับประกัน

ขอบคุณนะคะคุณแอน แวะมาแล้ว บทต่อไป ต้องแวะมาอีกนะคะ ...อิอิ




เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account