พร่างเสน่หา
ทุกอย่างเริ่มต้นในรุ่งสาววันหนึ่งกลางฤดูหนาวที่ซานเรโม เมื่อชายหนุ่มนักธุรกิจมือพนันระดับพระกาฬพบหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาขี้ริ้วรูปร่างอ้วนท้วนล้มลงนอนสลบขวางหน้าม้าตัวโปรดที่เขาควบขี่มากลางลู่ด้วยสภาพเปียกปอนปางตาย เหรียญทองนำโชคที่ติดตัวมาจึงถูกโยนขึ้นกลางอากาศเป็นการเดิมพันตัดสินชะตาชีวิตผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นให้อยู่รอดต่อไป หลังจากวันนั้นอเล็กซิสถึงรู้ว่า ภาพลักษณ์ของหญิงสาวความจำ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑

---- แวะคุยกันก่อน ----
หายไปนานมาก ลืมกันหรือเปล่าค่ะ
อย่าเพิ่งลืมนะ ช่วงนี้งานเยอะ
เลยไม่ได้เขียนมาลงซะที
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
จะพยายามเขียนลงให้สม่ำเสมอค่ะ
-----------------------
บทที่ ๑

ควันสีเทาเจือกลิ่นใบยาสูบคละคลุ้งทั่วคลับที่แออัดด้วยผู้คนที่สนุกสนานกับการดื่มถูกแสงเลเซอร์หลากสีจากบนเพดานและผนังสาดเป็นลำตัดเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงดนตรีเร้าอารมณ์ชวนให้โยกย้ายขยับกาย และหากใครเมื่อเดินฝ่าฝูงชนลึกเข้าไปถึงด้านในสุดของคลับจะพบกับแสงไฟนวลตาลอดมาท่ามกลางความมืด เพียงก้าวเท้าผ่านบานประตูโค้งนั้นไปจะพบกับคาสิโนขนาดย่อมที่ลักลอบจัดขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต

ตรงโต๊ะทรงกลมตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องมีกลุ่มคนทั้งหญิงชายยืนล้อมเป็นวงเฝ้าดูการเล่นไพ่ระหว่างเจ้าของคลับหนุ่มกับชายร่างสูงใหญ่ที่ซ่อนศีรษะและหน้าใต้ฮู้ดของเสื้อสีเทาแขนยาว

ทันทีที่พนักงานหัวโต๊ะพลิกไพ่ใบสุดท้ายที่คว่ำอยู่ตรงหน้าเป็นคิงโพดำชายลึกลับผู้นั้นก็โบกมือผ่านตาของตัวเองไปปล่อยให้พนักงานหันไปถามผู้ร่วมเล่นอีกคนต่อ

เจ้าของคลับหันไปจูบแก้มสาวสวยผมสีบรูเน็ตที่นั่งขนาบข้างพลางมองคู่ต่อสู้ของตนเองด้วยแววตามุ่งมาดเช่นผู้ใกล้กำชัยชนะก่อนจะดันกองชิพตรงหน้าตนเองทั้งหมดรวมเข้าไปในกองชิพที่พูนสูงกลางโต๊ะ

“ ไหนๆฉันก็จะเลิกเล่นแล้ว เพื่อความตื่นเต้นฉันจะเอารถของฉันเดิมพันด้วย นายจะสู้หรือเปล่า ” เขาถามท้าทายพร้อมโยนกุญแจรถตามลงไปในกองชิพด้วย

ด้วยประโยคที่จงใจใช้น้ำเสียงหยามกันอยู่ในทีทำให้ชายที่เร้นหน้าในใต้เงาขยับศีรษะที่ก้มอยู่เงยไปทางผู้พูด ใช้เวลาเพียงครู่เขาก็ตัดสินใจโกยชิพที่สะสมมาจากการเล่นรูเล็ตและโป๊กเกอร์รอบก่อนหน้าที่โต๊ะอื่นก่อนจะถูกเชิญให้มาร่วมเล่นกับเจ้าของคลับทั้งหมดสมทบลงไป

“ เปิดไพ่ครับ ” พนักงานประจำโต๊ะคนเดิมผายมือเชิญให้เจ้านายตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อน นิ้วเรียวก็หงายไพ่คิงโพแดงกับคิงหัวใจขึ้นมาให้เห็น

“ ตองคิง ” เสียงนั้นประกาศไพ่คิงโพดำถูกดันขึ้นไปสูงจากแถวไพ่หน้าใบที่วางเรียงกันทำให้เจ้าของไพ่ได้ฟังเหยียดริมฝีปากกว้างกอดกระชับเอวบางของหญิงสาวในเดรสสีแดงแนบแน่นก่อนจะเร่งให้อีกฝ่ายเปิดไพ่บ้าง

คนตรงข้ามยกมือขึ้นประสานบนโต๊ะคล้ายกำลังสวดภาวนาคล้ายเรียกปาฏิหาริย์ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้เจ้าของคลับว่าอย่างไรเสียชัยชนะย่อมไม่หนีไปไหนแน่ ทว่าในวินาทีที่เห็นนิ้วเรียวของคนตรงข้ามพลิกไพ่เอจโพแดงกับโพดำขึ้นมาให้เห็นรอยแยกเหยียดตรงริมฝีปากก็ขยับหุบลง ขณะที่กลุ่มคนซึ่งเฝ้าดูการเล่นมาตั้งแต่ยังมีนักพนันรวมเล่นครบวงจนเหลือแข่งกันเพียงสองคนต่างครางฮือให้กับแต้มที่เฉือนชนะกันเฉียดฉิว

ผู้ชนะลุกจากเก้าอี้ทันทีที่เผยไพ่ให้ทุกคนเห็นก่อนจะเอื้อมมือไปยังกองชิพกลางโต๊ะหยิบเพียงกุญแจรถขึ้นมาจากนั้นก็เดินพ้นจากโต๊ะออกไปจากห้องโดยไม่สนใจชิพมูลค่านับแสนยูโรหรือสายตาคนทั้งที่มองมาทางเขากันเป็นตาเดียว

เจ้าของคลับมองแผ่นหลังที่ห่างสายตาออกไปพลางกัดริมฝีปากด้วยความโกรธแน่น...ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงต่อธารกำนัลทำให้เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกโทรเรียกการ์ดทุกคนให้ออกไปดักรอคนที่กำลังเดินไปยังลานจอดรถเพื่อชิงสมบัติส่วนตัวของตนคืน

ชายใต้ฮู้ดแทรกตัวผ่านฝูงชนแออัดออกมายืนสูดอากาศหน้าภายนอกสักพักจึงเดินต่อไปยังลานจอดรถที่ค่อนข้างมืด มีแสงสลัวจากเสาไฟริมถนนพอให้แยกแยะรถแต่ละคันได้ ทว่าช่วงที่เขาเสียบกุญแจเปิดประตูรถคันหรูที่ได้จากเกมพนันการ์ดตัวใหญ่ก็ขยับพ้นจากความมืดใต้เงาอาคารตรงรี่มาหา

ชายผู้นั้นเสียบกุญแจคาไว้แล้วยกขาพร้อมตัวพลิกกลับไปเตะก้านคอการ์ดคนแรกเต็มแข้งจนสลบเหมือด ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบหมัดของการ์ดอีกคนแล้วคว้าหมับเอาลำแขนทั้งท่อนพับหักไปด้านหลังจนกระดูกข้อต่อแตกแขนห้อยร่องแร่ง อีกคนที่รุมหาเรื่องถูกกำปั้นกระแทกข้างแก้มเต็มข้อฟันหลุดร่วงลงไปนอน

การ์ดอีกสี่คนที่เหลือเห็นดังนั้นต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอยู่นานก็ตัดสินใจกระโจนเข้าใส่คนที่ยืนกระดิกนิ้วเรียกให้มาหา ผลสุดท้ายจึงถูกอัดน่วมลงไปนอนเกลือกสมทบเกลื่อนพื้น จากนั้นชายผู้นั้นก็เปิดประตูก้าวขึ้นรถสปอร์ตเปิดประทุนคันงามขับออกจากลานมาจอดรอใครบางคนอยู่หน้าคลับ

ชายหนุ่มเจ้าของคลับรีบร้อนเดินผ่านประตูในสถานบันเทิงยามค่ำคืนของตนเองเพราะไม่ได้ยินสัญญาณตอบรับจากการ์ดที่ส่งมาลอบกัดแต่เมื่อออกมาเห็นชายผู้ชนะพนันตนเองยืนโบกมือพิงรถคันหรูของตนเองอยู่ก็รู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจึงชักปืนที่เหน็บเอวด้านหลังรี่เข้ามาหาหมายจะเอาชีวิต

หากทันทีที่ปลายกระบอกปืนยื่นมาอยู่ห่างจากปลายจมูกไม่ถึงนิ้วฝ่ายคนที่ไร้อาวุธกลับใช้มือเรียวใหญ่ทั้งสองข้างตะปบข้อมือของคนตรงหน้าแล้วหักเข้าด้านในอย่างแรงจนเป็นฝ่ายแย่งปืนมาได้ จากนั้นจึงใช้เท้าเตะผ่าหมากอัดเข้ากลางกล่องดวงใจของอีกฝ่ายจนจุกทรุดลงไปนอนกุมส่วนสำคัญ

ชายผู้ไม่ยอมเปิดเผยหน้าตามาตลอดย่อตัวลงไปนั่งมองชายหนุ่มผมบลอนด์ที่ร้องโอดโอยบนพื้นแล้วจึงดึงฮู้ดของเสื้อที่คลุมศีรษะออกเผยให้เห็นดวงหน้าเรียวยาวของชายหนุ่มผู้ซึ่งมีคิ้วเข้มเรียวยาว นัยน์ตาสีเขียวอ่อนคมกริบที่ทอดมองมาอย่างเย็นชาแลลึกลับกับจมูกโด่งเป็นสัน ส่วนไรหนวดที่อยู่เหนือริมฝีปากบางทรงกระจับและรอบคางรวมทั้งผมสีน้ำตาลอมทองที่ตัดสั้นดูดิบเถื่อนช่วยให้ใบหน้าหล่อเหลาเข้มคมที่มีเสน่ห์มากอยู่แล้วยิ่งดูน่าหลงใหลชวนค้นหา

“ การ์ดฝีมือห่วยพอกับฝีมือการเล่นของนายเลยนะ ” เขาพูดขึ้นเหลือบตามองปืนในมือแล้วเอ่ยต่อ “ รถคันนี้มันก็ราคาพอกับชิพที่ฉันทิ้งไว้บนโต๊ะนี้นะ แต่ถ้านายอยากได้รถคืนนักก็ไปทวงคืนสิ ฉันอยู่ที่ฟาร์มเลี้ยงม้าไม่ไกลจากท่าเรือ แต่ถึงตอนนั้นแล้วนายยังไม่มีปัญหาเอารถคืนอีก ฉันจะพังมันทั้งรถทั้งนายเลย ”

ชายหนุ่มทิ้งท้ายพลางแสยะยิ้มให้แล้วก็ผละกลับขึ้นไปบนรถใหม่ หากเมื่อขับรถออกไปได้ไม่ไกลจากผับเท่าไหร่สายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผมสีบรูเน็ตสวมเดรสสั้นอวดทรวดทรงองค์เอวคนเดียวกันกับที่ถูกชายเจ้าของคลับกอดรัดยืนกวักมือเรียกจึงหยุดรถ

เจ้าหล่อนเดินนวยนาดพอมาถึงตัวชายหนุ่มก็โน้มร่างเข้ามาใกล้ส่งสายตาหวานวาบหวามเย้ายวนให้

“ ไปส่งฉันหน่อยได้ไหมคะ ” หล่อนร้องถามยังคงชม้ายชายตามาอย่างมีชั้นเชิง

“ ผมไม่ชอบไปส่งใคร ” เขาหยุดพูด...ปรายมองไปยังเนินอกสล้างที่เบียดชิดกันอย่างเฉยชาแล้วพูดต่อ “ นอกจากมันจะมีอะไรที่คุ้มค่ากับการไปส่ง ผมถึงจะไป ”

“ งั้นถ้าฉันจะบอกว่า ฉันมีขนมหวานให้คุณชิม คุณจะอยากไปส่งฉันหรือเปล่าคะ ” เสียงหวานกระเซ้าถามข้างหูปล่อยกลิ่นน้ำหอมจากเรือนกายให้อีกฝ่ายสูดดม

“ แล้วของหวานที่คุณจะให้ผมชิมเนี่ยมันเป็นของหวานที่มีป้ายปักว่ามีเจ้าของแล้วหรือเปล่าล่ะ ” ชายหนุ่มถามกลับ ใช้ปลายนิ้วเรียวแข็งปัดเรือนผมหยักศกที่ตกลงมาระลำคอขาวเนียนไปไว้ด้านหลังให้

ดวงตาสีฟ้าคู่สวยประสานเข้ากับดวงตาสีเขียวอมเทา...ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันเนิ่นนานก่อนที่หญิงสาวผมสีบรูเน็ตจะตัดสินใจเดินอ้อมกระโปรงรถเปิดประตูขึ้นไปนั่งเคียงข้างคนขับ จากนั้นรถหรูคันงามก็ทะยานออกไปเบื้องหน้าทิ้งไว้เพียงฝุ่นจากพื้นถนนและควันจากท่อไอเสียให้ตลบอบอวล
---------------------------------------------------------

รถแลมโบกินีสีบรอนซ์เงินเคลื่อนจากประตูรั้วอิฐสีน้ำตาลอมแดงฝ่ากลุ่มหมอกจางยามรุ่งสางที่ครอบคลุมพื้นที่ฟาร์มเลี้ยงม้าและสนามแข่งกว้างไปยังลานน้ำพุทำจากหินอ่อนที่มีรูปปูนปั้นเหล่าทวยเทพกรีกถือคนโทอยู่กลางสระซึ่งอยู่หน้าคฤหาสน์โบราณหลังงามซึ่งยังคงสถาปัตยกรรมแบบบาโรกดั้งเดิมไว้ทุกประการได้เครื่องยนต์จึงดับสนิทลง

ทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผึ่งผายสวมเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีเทากับกางเกงยีนส์ขายาวสีเข้มเปิดประตูลงจากรถ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหน้าคมเข้มเชื้อสายอิตาลีเต็มขั้นสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีแดงสลับน้ำตาลก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าอิดโรยเหมือนอดนอนมานานหลายคืน

“ หลายวันมานี้คุณอเล็กซ์หายไปไหนมาครับ รู้ไหมครับว่าวันนี้ต้องส่งเอกสารที่บริษัททางเมืองจีนส่งมาให้เซ็นต์กลับไปนะครับ ” เขาร้องถามเป็นภาษาอิตาลีด้วยสีหน้าวิตกกังวล ครั้นเมื่อดวงตามองไปเห็นรถที่จอดอยู่เข้าก็ตกใจถามขึ้นมาอีก “ แล้วนี่ไปเอาแลมโบกินี่ใครเขามาขับครับ ”

ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกไม่ตอบเพียงแต่เหลือบมองหน้าคนถามแล้วยิ้มตรงมุมปากให้ครั้งหนึ่ง

“ นี่ อย่าบอกนะครับว่าไปได้มาจากในคาสิโน ปกติกฎคาสิโนเขาไม่ให้เอาทรัพย์สินอื่นมาเดิมพันไม่ใช่เหรอครับ แล้วอีกอย่างผมก็จำได้ว่าคาสิโนในซานเรโม่ห้ามคุณอเล็กซ์เข้า แล้วไปเล่นมาได้ยังไงครับ ”

คนถูกถามยังคงยิ้มไม่พูดจาเพียงแค่โยนกุญแจรถคันหรูนั้นไปให้อากาศให้รับไว้แล้วจึงเดินจ้ำขึ้นบันไดหินอ่อนที่ทอดสู่ซุ้มประตูบานโค้งเหมือนจะหายเข้าไปในตัวคฤหาสน์แล้วแต่ก็หยุดเดินเสียดื้อๆ

“ ฉันส่งเอกสารไปเมืองจีนแล้วนะ...ส่วนรถนะ ฉันยกให้ ”

พอเอ่ยจบก็ไม่รีรอให้ถามต่อรีบก้าวเท้าเข้ามาภายในตัวบ้านที่ตกแต่งไว้อย่างวิจิตรด้วยสีทองและสีขาวเป็นหลัก...ผ่านโถงกว้างที่เชื่อมต่อไปยังทุกห้องรวมถึงบันไดของบ้านซึ่งมีภาพวาดสีน้ำมันเล่าเรื่องราวของม้าศึกขนาดใหญ่ติดประดับผนังขึ้นบันไดทำจาไม้มะฮอกกานีหายลับไปหลังบานประตูไม้ที่แกะลายเถ้ากุหลาบทั้งบานบนชั้นสองของตัวบ้าน

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอมทองถอดเสื้อแขนยาวตามด้วยเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์โยนไปบนเตียงสี่เสาทำจากทองเหลืองโบราณขนาดแปดฟุตเผยให้เห็นเรือนกายท่อนบนเต็มไปด้วยมัดกล้ามกำยำรับกับช่วงเอวสอบและท่อนขาแข็งแรงสูงยาวดูราวกับรูปปั้นเทพบุตรในตำนานกรีก ก่อนจะฉวยผ้าเช็ดตัวจากเสาแขวนผ้าทองเหลืองเข้าไปในห้องน้ำ

เสียงน้ำไหลจากฝักบัวเริ่มดังขึ้นไม่ขาดสาย...นัยน์ตาคมสีเขียวอ่อนคู่สวยบนใบหน้าเรียวได้รูปที่มีจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักเป็นองค์ประกอบสำคัญเหลือบมองเบอร์โทรศัพท์ที่คู่นอนคืนเดียวเขียนทิ้งไว้ด้วยลิปสติกบนอกซ้ายอย่างเฉยชาใช้สายน้ำชำระล้างร่างกายทุกส่วนไม่ถึงสิบนาทีก็หยิบผ้าขนหนูสีดำพันกาย

เขาหยิบเสื้อยืนสีดำกับกางเกงยีนส์มาสวมซ่อนร่างเปลือยแข็งแกร่งหยิบเหรียญทองจากกระเป๋ากางเกงตัวเก่ามาเช็ดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงตัวใหม่ จากนั้นก็ออกจากห้องเดินลงบันไดผ่านไปยังโถงใหญ่อีกครั้งจึงได้พบกับชายหนุ่มลูกครึ่งหน้าดีผิวขาวจัดหอบเอกสารกองโตไว้ในอ้อมแขนเดินสนทนากับหญิงสาวเอเชียมัดผมหางม้าท่าทางทะมัดทะแม่งด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจแต่เคยได้ยินทั้งคู่ใช้คุยกันมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เขาอนุญาตให้พักอาศัยในที่พักของเขาได้

เมื่อชายหนุ่มคนนั้นหันมาเห็นเขาเข้าก็โบกมือพร้อมยิ้มให้อย่างมีอัธยาศัยผิดกับอีกคนที่ทำหน้ามุ่ยใส่ทันที

“ กลับมาแล้วเหรอ ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษผ่านริมฝีปากบาง

เจ้าของบ้านหนุ่มแลใบหน้าของคนตรงข้ามที่มีชื่อตามพาสปอร์ตว่าศิระ ครอมเวล แต่ทุกคนต่างเรียกเขาว่า โคร์ว ตามชื่อของผู้เป็นบิดาซึ่งเป็นปู่คนโตของตระกูลครอมเวลที่เสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว

โครว์ถือเป็นสมาชิกใหม่ในตระกูลที่เพิ่งเข้ามาเป็นที่รู้จักเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความจริงแล้วทราบว่ามีญาติเพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะตระกูลครอมเวลถือว่าเป็นตระกูลมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งในโลก ถือครองกิจการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรมรวมถึงการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในธุรกิจสำคัญที่ให้ผลตอบแทบมหาศาลอีกทั่วโลก อีกทั้งยังใช้การแต่งงานเพื่อสายสัมพันธ์อันแน่นเฟ้นกับผู้มีชื่อเสียงในทุกวงการไม่เว้นกระทั่งผู้นำหลายประเทศจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีทายาทมากมายกระจายกันอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เนื่องจากทุกคนในตระกูลเห็นปู่โคร์วผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมให้ทุกบริษัทในเครือครอมเวลครองตัวเป็นโสดมาตลอดจนกระทั่งวันที่เสียชีวิต เมื่อโคร์วปรากฏตัวขึ้นมาอ้างสิทธิ์ความเป็นลูกทางสายเลือดอย่างถูกต้องตามกฎหมายจึงกลายเป็นเรื่องแปลก หากนั้นก็ยังไม่สร้างความตกใจได้มากเท่ากับการที่นายใหญ่ผู้กุมบังเหียนกิจการในเครือของครอมเวลทั้งหมดอย่าง คอยด์ ครอมเวล มีลูกสาวแถมตอนนี้ยังย้ายไปอยู่ด้วยกันในประเทศไทยอีก

...ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าหลานชายที่อยากขึ้นแท่นเป็นนายใหญ่ต่างพากันสร้างผลงานสุดฤทธิ์ให้ทันการเกษียณตัวเองของปู่ในอีกสองปีข้างหน้า และในสายตาเขาโคร์วก็คงเป็นหลานที่กระโจนลงสนามแข่งเพื่อแย่งตำแหน่งเหมือนกัน

“ นายเจอฟาบิโอหรือยัง หมอนั่นนะเขารอนายกลับบ้านไม่ยอมหลับยอมนอนหลายคืนเลยนะ ” โคร์วเอ่ยถึงผู้จัดการฟาร์มเลี้ยงม้าและรับตำแหน่งเลขานุการยันเสมียนพ่วงท้ายที่เป็นกังวลกับการหายไปของเจ้านายจนไม่เป็นอันทำอะไรทั้งๆที่การหายไปอย่างลึกลับในลักษณะนี้ของคนตรงหน้าก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น

แม้ว่าเขาจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของผู้เป็นอาได้ไม่ถึงสามเดือน ทว่าจากการเฝ้าสังเกตดูความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มที่นับกันตามศักดิ์แล้วต้องเป็นหลานของเขาก็รู้ว่า ไม่ใช่คนประเภทที่ใครจะเข้าถึงได้โดยง่าย

อเล็กซิส ครอมเวลหรือทุกคนในตระกูลขนานนามว่าเป็นกบฏแห่งครอมเวลผู้นี้มีตัวตนซับซ้อนเกินที่ใครจะควบคุม คาดเดา หรือเข้าใจ เขาสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์รอบด้านทั้งหลายมากกว่าการปรับตัวเข้าหา ไม่นิยมทำตามคำสั่งหรืออาศัยบารมีใครเพื่อขึ้นเป็นใหญ่เพียงแต่ใช้ความสามารถส่วนตัวจนมีธุรกิจโรงแรมคาสิโน ธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลในอิตาลีและฟาร์มเลี้ยงม้า กระทั่งถือหุ้นในกิจการสำคัญในประเทศจีน ตะวันออกกลางในนามและเงินทองของตัวเองล้วนๆ จึงไม่เคยได้รับคำครหาว่าใช้อำนาจของตระกูลดันขึ้นมา

นอกจากนั้นแล้วดูเหมือนว่าอเล็กซิสจะไม่แยแสหรือยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวภายในตระกูลคล้ายกับตัดตัวเองออกมาแล้ว แต่สิ่งที่ยังผูกมัดให้เป็นคนของครอมเวลอยู่นอกจากนามสกุลก็คงเป็นความสัมพันธ์กับปู่ที่แม้บางครั้งก็เหมือนเคารพยำเกรง บางคราก็หักหาญน้ำใจได้แทบไม่เหลือเยื่อใย แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เคยถูกตัดออกจากความเป็นหลาน

“ ไม่ไปทำงานเหรอ ” แทนที่จะตอบคำถามเจ้าของบ้านกลับเป็นฝ่ายถามด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน

“ วันนี้วันหยุด แต่ฉันมีเอกสารต้องทำความเข้าใจเยอะนะเลยเอาจากที่ทำงานมาอ่านต่อ พอดีอยู่ในห้องทำงานแล้วอึดอัดก็เลยว่าจะออกมาอ่านหนังสือสูดอากาศในสวนนะ ”

อเล็กซิสเหลือบมองแฟ้มเอกสารในอ้อมแขนของโคร์วด้วยดวงตาเรียบเฉยที่อีกฝ่ายเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร

“ ถ้าแค่จะหาประสบการณ์ ไม่ต้องยอมเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์กับปู่ขนาดนั้นหรอก ” เขาพูดอย่างเย็นชา หากการเหยียดมุมปากเล็กน้อยคล้ายกับจะเยาะกันนั้นก็ทำให้หญิงสาวที่ร่วมวงอยู่ได้ยินเข้าถึงกับโมโห

เจ้าหล่อนหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนเคียงกันมีใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็ยิ่งหงุดหงิด พอตั้งท่าจะรับฝีปากด้วยเสียหน่อยกลับถูกมือใหญ่เอื้อมมาบีบมือไว้ให้เงียบจึงจำใจต้องปล่อยให้เจ้าของบ้านเดินผ่านหน้าออกไปข้างนอกคฤหาสน์เสียเฉยๆ

“ คุณจะบ้าหรือไง หมอนั่นพูดใส่ขนาดนี้ยังจะไปยิ้มให้อีก ” หล่อนแว้ดใส่เป็นภาษาไทยเสียงดังพร้อมเท้าสะเอวมองอย่างอารมณ์เสีย

“ แล้วจะให้ผมทำหน้ายังไงล่ะ ” เขาถามกลับ

“ ก็ทำท่าโกรธ ไม่ก็พูดเหน็บกลับไปก็ได้ ไม่ใช่เงียบแบบนี้ ”

“ ผมว่าไม่เห็นจำเป็นเลย...สิ่งที่เขาพูดมันก็ไม่ได้เรื่องผิดอะไรนี่ ”

“ ผิดสิ ความจริงคุณไม่ได้มาทำงานให้อาคุณเพราะอยากขึ้นตำแหน่งแทน คุณแค่มาทำงานหาประสบการณ์กลับไปบริหารงานโรงแรมที่เมืองไทย...ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอาคุณถึงให้มาอยู่ที่นี่ ทั้งที่โรงแรมก็มีที่ให้พัก แล้วไอ้หมอนี่ก็ไม่รู้เกลียดอะไรคุณนักหนา ถึงได้พูดจาหรือทำอะไรจิกคุณตลอดเลย นี่ ฉันยังจำได้เลยนะว่าวันแรกน่ะเขาทำกับคุณไว้ยังไง ” หล่อนเอ่ยแล้วคิดย้อนถึงวันที่ศิระถูกสั่งให้ปฏิบัติตนเยี่ยงทหารพรานอยู่สามวันสามคืนเต็มกว่าที่เจ้าของบ้านหนุ่มจะยอมให้เข้ามาพักอาศัยด้วย

ศิระก้มหน้ามองหญิงสาวที่ตามติดไปด้วยกันทุกหนแห่งตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุน...มือใหญ่ยกลูบหน้าผากที่ยับย่นจากอารมณ์อันขุ่นมัวหมายจะลบมันให้หายไป

“ ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าย่นสิ เดี๋ยวแก่เร็วนะ ” เขาหยุดหยอกเพื่อหัวเราะให้กับอาการหน้าง้ำงอของอีกฝ่ายก่อนจะต่อ “ ผมจะบอกให้นะ อเล็กซ์นะเขาไม่ได้เกลียดผมหรอก เพราะถ้าเขาเกลียดนะเขาไม่ให้ผมอยู่ที่นี่แล้ว ”

“ หมอนั่นนะดูยากจะตาย แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้เกลียดคุณ...ฉันว่าที่เขายอมให้เราอยู่ด้วยก็เพราะกลัวคำสั่งอาคุณมากกว่า พวกขี้อิจฉาสงสัยจะกลัวอาคุณเอ็นดูคุณมากไปแล้วตัวเองจะชวดเก้าอี้ของอาคุณนะสิ ”

“ ถ้าเขากลัว เขายิ่งต้องต้อนรับผมเป็นอย่างดีสิ แต่นี่คุณก็เห็นว่าเขาออกจะเฉยๆกับผมด้วยซ้ำ อีกอย่างอาผมก็บอกด้วยนะว่า อเล็กซ์นะไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหัวให้ใครแม้แต่อาผมเขาก็ไม่ แล้วธุรกิจที่คุณเห็นอยู่เป็นสิ่งที่เขาสร้างมาเองไม่ได้อาศัยครอมเวลเลยนะ เพราะฉะนั้นถ้าเขาอยากเป็นนายใหญ่ของครอมเวลเขาคงไม่ทำตัวแบบนี้ ”

“ โอเค...ถ้างั้นฉันขอเปลี่ยนคำถามแล้วกัน เอาเป็นว่าสรุปแล้วอาคอย์ดของคุณเนี่ยให้คุณมาอยู่ที่นี่ทำไม ”

“ ฝึกความอดทนมั้ง...เอาน่า จะให้มาทำอะไรก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่มีคุณอยู่กับผมด้วยก็พอแล้ว ” เขาตอบอย่างอารมณ์ดียังคงยิ้มแจ่มใสเหมือนมีความสุขพอแล้วกับชีวิตที่มีหล่อนเคียงข้าง

รสาเห็นเขาเป็นเช่นนั้นก็อดจะยิ้มตอบให้ไม่ได้...ถึงแม้สถานภาพในตอนนี้ระหว่างหล่อนกับเขาจะค่อนข้างคลุมเครือคล้ายกับเป็นคนรักหรือเพื่อนสนิทก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็พอใจที่ได้แบ่งเบาความสุขความทุกข์ร่วมกัน

“ ประสาทรับประทานกันทั้งอาทั้งหลาน ” หล่อนบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังหันไปส่งรอยยิ้มกว้างให้ก่อนจะส่งมือให้คนตัวใหญ่กว่าจับแล้วเดินออกไปหาที่นั่งในสวนช่วยกันอ่านเอกสารที่มีทั้งหมดอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก

กลุ่มหมอกหนาที่โอบคลุมโดยรอบเมื่อรุ่งสางถูกแสงอาทิตย์สาดส่องเพิ่มความอบอุ่นจึงจางลงไปมาก และความขมุกขมัวที่หายไปนั่นเองทำให้สวนดอกไม้งามนานาพันธ์ที่ปลูกล้อมคฤหาสน์และตามสองข้างทางเดินก็ปรากฏขึ้นแก่สายตา มีเสียงคลื่นน้ำสาดกระทบฝั่ง มีลมโชยพัดมาให้เย็นสบายกายมากกว่าจะหนาวยะเยือกทั้งที่อยู่ในฤดูหนาว

ซานเรโม่เป็นเมืองตากอากาศริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตกของแคว้นลิกูเรียในประเทศอิตาลี ดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น เมืองแห่งบุปผชาติแห่งริเวียร่า* และด้วยความเป็นเมืองค่อนข้างสงบมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่งดงามรวมถึงอากาศที่ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไปจึงกลายเป็นเมืองที่มีราชวงศ์และเศรษฐีทั่วทุกแห่งมาพักผ่อน อีกทั้งที่นี่เป็นสถานที่พักฟื้นสำหรับผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี

และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อเล็กซิสตัดสินใจทิ้งความวุ่นวายในมิลานเดินทางมาทำธุรกิจฟาร์มเลี้ยงม้าและเรือท่องเที่ยวทางทะเล หากช่วงใดที่ไม่มีธุระเร่งด่วนต้องไปดูแลกิจการอื่นที่ถือครองเป็นเจ้าของเขาจะปักหลักอยู่ที่นี่เป็นส่วนใหญ่

อเล็กซิสผลักประตูรั้วไม้สูงสีขาวที่ใช้กั้นอาณาเขตฟาร์มเลี้ยงม้าที่ห่างจากตัวคฤหาสน์ค่อนข้างมาก ก่อนจะก้าวเท้าตัดสนามหญ้ากว้างผ่านสนามดินที่ใช้สำหรับฝึกซ้อมประลองฝีเท้าความเร็วของม้าไปยังคอกม้าขนาดใหญ่ซึ่งมีคนงานหนุ่มฉกรรจ์จำนวนหนึ่งกำลังสุมหญ้าสดกับหญ้าแห้งให้อาหารม้ากันอย่างขันแข็ง

ทันทีที่ฟาบิโอละสายตาจากการผสมอาหารเสริมบำรุงเหล่าอาชาทั้งหลายเห็นเจ้านายเดินตรงเข้ามาก็หยุดมือเดินเข้าไปหาเพื่อรายงานถึงเรื่องที่ทางตะวันออกกลางติดต่อขอซื้อแม่พันธุ์ม้าแข่งชั้นดีก่อนจะถามถึงการหายไปรวมทั้งรถแลมโบกินี่ที่ค้างคาใจมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี

“ ได้มาระหว่างเดินเล่น ” เขาตอบกำกวมด้วยสายตาราบเรียบทำเอาคนฟังถึงกับกุมขมับ

นับจากวันแรกที่พบกันระหว่างเติมน้ำมันในมิลาน แม้ว่าฟาบิโอจะไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนแต่อเล็กซิสกลับเดินเข้ามาถามด้วยประโยคสั้นๆว่าชอบม้าไหม และหลังจากนั้นมาเขาก็กลายมาเป็นเลขานุการอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ดูแลฟาร์มม้าและบ้านพักในซานเรโม่ให้ถึงสี่ปีเต็ม แต่ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะเข้าใจในตัวของเจ้านายมากขึ้น

ถึงเขาจะเป็นคนแปลกที่ยากต่อการทำความเข้าใจ ทว่าความที่เป็นคนไม่จุกจิก ไม่กดขี่เอาเปรียบ เข้าใจนิสัยของลูกน้องแต่ละคนได้โดยไม่ต้องบอก ไม่สนใจเรื่องแบ่งชั้นวรรณะ แถมยังตรากตรำลุยงานหนักไม่เกี่ยงสถานภาพนายจ้างทำให้คนงานทุกคนเคารพและซื่อตรงต่อเขาไปโดยปริยาย

“ ไม่ต้องรู้หรอกว่าได้มายังไง แค่รู้ว่าฉันหามาให้นายลองขับเล่นได้ก็พอ ” คนเป็นนายเอ่ยถึงความปรารถนาที่เคยได้ยินฟาบิโอพูดกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น มือเรียวใหญ่ลูบแผงขนม้าสีดำทะมึนดุจปีกการูปร่างใหญ่สง่างามก่อนจะดึงถุงมือขี่ม้าสีดำเนื้อหนาออกมาสวมแล้วจูงม้าตัวนั้นเดินออกมาสูดอากาศ

“ ฉันจะทดสอบฝีมือเอรีส...คอยจับเวลาด้วย ” เขาบอกจากนั้นจึงจับสายบังเหียนเหยียบโกลนปีนขึ้นบนนั่งบนหลังม้าพาออกวิ่งเหยาะๆไปบนสนามหญ้าจนถึงสนามแข่งม้ารอกระทั่งเลขานุการหนุ่มยืนรอตรงขอบรั้ว

ทันทีที่เห็นฟาบิโอยกธงส่งสัญญาณให้ออกตัว อเล็กซิสก็กระตุกบังเหียนพาเอรีสควบทะยานออกจากลู่ไปอย่างรวดเร็ว รับแรงสัมผัสของลมที่ปะทะเข้าใบหน้าพร้อมสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ไปอย่างรื่นรมย์

ขณะที่พยายามเร่งจังหวะทำความเร็วเพิ่มพลันนัยน์ตาสีเขียวคู่สวยก็เหลือบเห็นใครคนหนึ่งปีนข้ามรั้วเข้ามาในลู่วิ่ง...เจ้าของร่างอ้วนใหญ่เปียกโชกไปด้วยน้ำและเลือดหันหน้าที่ถูกเรือนผมยาวยุ่งเหยิงปิดบังมามองก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้นห่างออกไปไม่กี่ร้อยฟุต

ช่วงจังหวะอันกระชั้นชิดทำให้ชายหนุ่มไม่อาจชะล่อความเร็วฝีเท้าของม้าคู่ใจได้ด้วยวิธีปกติจึงตัดสินใจกระชากบังเหียนพาเอรีสกระโดดข้ามร่างนั้นไปจนสามารถหยุดการวิ่งได้จึงหันหลังกลับไปมอง

เลขาหนุ่มสวมสายคล้องนาฬิกาจับเวลาไว้บนคอแล้วปีนข้ามรั้วกระโจนมาประคองหญิงสาวตัวอ้วนใหญ่ที่ชุ่มด้วยน้ำและเลือดทั้งตัวใช้มือปัดเส้นผมพ้นจากหน้าที่เปรอะเปื้อนจนยากจะแลให้ชัดว่ามีรูปพรรณสัณฐานอย่างไรแล้วใช้นิ้วอังใต้จมูกรับรู้ถึงลมหายใจอันรวยรินจึงแนบหูลงไปฟังเสียงชีพจรก็เต้นอ่อนคล้ายหัวใจอ่อนล้าจนพร้อมจะหยุดได้ทุกเมื่อ

อเล็กซิสลงจากหลังม้าเดินเข้ามาใกล้ทอดสายตาเขม่นมองผู้หญิงแปลกหน้าสภาพปางตายรับฟังลูกน้องพูดกรอกหูให้ช่วยอยู่ไม่กี่ครั้งก็ผละถอยไป

“ ผมจะพาเธอไปหาโนอานะครับ ” ฟาบิโอร้องพยายามจะช้อนร่างนั้นมาอุ้มแต่ถูกเจ้านายยกมือห้ามไว้

“ ไม่ต้อง...วางไว้ตรงนั้นแหละ ”

“ แต่เธอกำลังจะไม่หายใจนะครับ...ขืนปล่อยไว้ตรงนี้เธอได้ตายแน่ ”

“ คนตายก็มีทุกวันนี้ ” เสียงแหบต่ำว่าขึ้นยังคงไล้สายตามองหญิงผู้นั้นอย่างเย็นชา “ จะปล่อยให้ตายเพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ”

“ คุณอเล็กซ์ ” คำนั้นหลุดออกมาพร้อมอาการฉงนก่อนจะละล่ำละลักพูดเพิ่มอีก “ ผมรู้ครับว่าคนตายนะมีทุกวัน แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ยังไม่ตาย เราจะน่าจะช่วยเธอนะครับ ”

“ นายจำเรื่องเมื่อปีก่อนที่นายช่วยผู้หญิงคนหนึ่งไว้ได้ไม่ใช่เหรอ...ผู้หญิงที่พยายามใช้ความขี้สงสารของนายเพื่อสืบหาความลับในตัวฉันนะ...อย่างที่รู้นายเป็นคนใจอ่อนกับเด็ก ผู้หญิงและคนชรา เพราะฉะนั้นคนนี้อาจถูกส่งมาเป็นสปายอีกก็ได้ ” อเล็กซิสทบทวนความจำช่วงปีกลายที่ลูกน้องหนุ่มได้ช่วยผู้หญิงผมแดงแสนสวยคนหนึ่งไว้ จนเกือบจะสานสัมพันธ์ในเชิงคนรัก โชคดีที่เขามองจุดประสงค์ของเจ้าหล่อนออกแต่แรกจึงซ้อนแผนจัดงานเลี้ยงจนสามารถสาวไปถึงต้นตอผู้ว่าจ้าง

“ ถ้าเธอเป็นสปายจริง คงไม่จำเป็นต้องลงทุนเจ็บปางตายขนาดหรอกครับ ผมขอร้องนะครับช่วยเธอเถอะ ขอแค่ได้ช่วยเธอก่อนแล้วเรื่องต่อจากนั้นจะเป็นยังไงผมจะรับผิดชอบเอง ”

“ แน่ใจนะ ” เจ้านายหนุ่มถามแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์หยิบเอาเหรียญทองโบราณเหรียญหนึ่งออกมาถือไว้แล้วถามอีก “ เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะใช้เหรียญนี้พนันดู ถ้าฉันโยนเหรียญขึ้นไปแล้วมันตกลงมาเป็นหัวฉันจะให้นายพาเธอไปหาโนอา แต่ถ้าลงมาเป็นก้อยฉันขอสั่งให้นายพาผู้หญิงคนนั้นออกจากอาณาเขตของฉันแล้วหลังจากนั้นนายจะเรียกรถพยาบาลหรืออะไรมารับเธอก็ตามสะดวก ”

เพราะไม่มีอะไรจะต่อรองได้ฟาบิโอตัดสินใจพยักหน้ารับแล้วเฝ้ามองเหรียญทองที่ถูกโยนขึ้นไปบนฟ้ากระทั่งมันตกลงมาบนพื้นก็ยิ้มออกจึงถลกแขนเสื้อเตรียมสอดมือเข้าไปอุ้มร่าง กลับถูกคนที่ก้มเก็บเหรียญจับข้อมือไว้มั่น

“ เดี๋ยวฉันอุ้มไปหาโนอาเอง...ส่วนนายไปดูให้รอบที่นี่ดีกว่าว่ามีอะไรผิดปกติไหม ” ชายหนุ่มบอก ถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ยัดใส่มือเสร็จก็อุ้มหญิงอ้วนใหญ่ผู้นั้นขึ้นจากพื้น แปลกที่เมื่อเขายกร่างนั้นมาอยู่ในอ้อมแขนเขากลับไม่รู้สึกถึงความหนักอย่างที่ควรจะเป็น

อเล็กซิสเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้หญิงแปลกหน้าที่เปื้อนเปรอะเครื่องสำอาง รอยฝุ่นดินและเลือดมอมแมมเปียกชื้นหายใจรวยรินแทบไม่เหมือนมนุษย์ด้วยแววตาเรียบเฉยไม่รู้สึกรู้สา ผิดกับภายในอกที่ครุ่นคิดถามตัวเองไปตลอดทางด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

...เดี๋ยวนี้เวลาจะเข้ามาเป็นสปายเขาต้องลงทุนมากขนาดนี้เชียวหรือ...



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.พ. 2555, 16:32:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.พ. 2555, 20:35:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1885





<< บทนำ   บทที่ ๒ >>
violette 11 ก.พ. 2555, 20:00:56 น.
กลับมาแล้ววว คิดถึงมากๆๆค่า


เทียนจันทร์ 11 ก.พ. 2555, 20:04:24 น.
เข้ามาสวัสดีรุ่นพี่ค่ะ เขียนเก่งจังเลยนะคะ
ยังไงก็ขอคำแนะนำบ้างนะคะ


คิมหันตุ์ 11 ก.พ. 2555, 23:53:21 น.
คุณใหญ่ ก็มาอยู่ในฉากด้วยแฮะ


อริสา 12 ก.พ. 2555, 01:59:19 น.
น่าติดตามอย่างมาก เย้ ได้เจอคุรใหญ่กะรสาด้วย


lovemuay 12 ก.พ. 2555, 10:18:17 น.
แหมคุณพระเอกของเราดูจะขี้ระแวงเสียจริง


Zephyr 13 ก.พ. 2555, 18:27:55 น.
ตามมาอ่านต่อจากเรื่องที่แล้ว สนุกมากเลยค่ะ เราอ่านรวดเดียว 36 ตอนเลย แต่เหมือนนามสกุลพี่ภาคแรกๆเป็นวิสุทธิ์สุนทร ทำไมหลังๆมันเป็นบรมพิศาลกุลล่ะคะ
เรื่องนี้จะเครียดและพันกันยุ่งเหมือนเรื่องนู้นมั้ยน้า คนตระกูลครอมเวลนี่เข้าใจยากและแปลกกันทุกคนรึป่าว


anOO 4 มี.ค. 2555, 15:11:41 น.
ว้าวๆๆๆ นางเอกเราคงไม่ใช่สปายหรอก ของมันแน่อยู่แล้ว


วนัน 22 เม.ย. 2555, 17:05:22 น.
ชมตอนต่อไปคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account