พร่างเสน่หา
ทุกอย่างเริ่มต้นในรุ่งสาววันหนึ่งกลางฤดูหนาวที่ซานเรโม เมื่อชายหนุ่มนักธุรกิจมือพนันระดับพระกาฬพบหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาขี้ริ้วรูปร่างอ้วนท้วนล้มลงนอนสลบขวางหน้าม้าตัวโปรดที่เขาควบขี่มากลางลู่ด้วยสภาพเปียกปอนปางตาย เหรียญทองนำโชคที่ติดตัวมาจึงถูกโยนขึ้นกลางอากาศเป็นการเดิมพันตัดสินชะตาชีวิตผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นให้อยู่รอดต่อไป หลังจากวันนั้นอเล็กซิสถึงรู้ว่า ภาพลักษณ์ของหญิงสาวความจำ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒

----- แวะคุยกันก่อน -----

TT_TT สวัสดีค่ะก่อนอื่นต้องกราบขออภัยด้วยนะคะ
ที่ลงเรื่องนี้ไว้แล้วหายไปนานมั่กๆๆๆ ที่หายไปเพราะ
มีภารกิจยุ่งยากรัดตัวให้ปวดหัวสมองเหลือเกินค่ะ
แต่ตอนนี้มีเวลากลับมาเขียนแล้ว สัญญาว่าจะลงอย่าง
สม่ำเสมอ(อีกล่ะ) ยังไงก็ช่วยติดตามให้กำลังใจกันด้วย
นะคะ TT_TT

--------------------------------
บทที่ ๒

เหยี่ยวสีน้ำตาลตัวใหญ่สยายปีกกว้างแข็งแรงสง่างามทะยานจากบนเรือเร็วที่กำลังแล่นเข้าจอดยังท่าเรือบินไปเกาะบนปลอกแขนของชายเจ้าของเรือนผมหยักศกสั้นสีน้ำตาลเข้มที่เร้นดวงตาไว้หลังแว่นกันแดดซึ่งเบื้องหลังนั้นยังมีชายชาวตะวันตกผิวขาวร่างสูงใหญ่ติดตามมาด้วยอีกสองคน

ชายผิวดำร่างยักษ์ก้าวเท้าเหยียบขึ้นมาบนท่าเรือพร้อมพรรคพวกชาติเดียวกันอีกสี่คนก็พาเดินตรงมาหาเจ้าของเหยี่ยวที่ยืนรออยู่ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ

“ พบไหม ” เสียงอันดุดันทรงอำนาจเอ่ยเป็นภาษาอิตาลีอย่างเนิบช้า

“ พวกเราขับเรือตามหามาหลายวันแล้วแต่ก็ยังไม่พบ ผมคิดว่าศพของเธออาจจะจมอยู่ใต้ทะเลแล้วก็ได้ครับ ”

ชายผมหยักศกรับฟังรายงานจากลูกน้อง หากใบหน้ากลับไปทางสัตว์เลี้ยงพลางยกมืออีกข้างลูบขนปีกหนาใหญ่นั้นอย่างหลงใหลอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมา

“ ถ้าอย่างนั้นก็ตามหาต่อไปจนกว่าจะพบศพ...หาให้พบก่อนที่คนอื่นหรือตำรวจจะพบก็แล้วกัน ” เขาสั่งการณ์เท่านั้นก็หันหลังเดินห่างจากท่าเรือไปยังรถมาเซราติคันหรูโดยมีคนขับรถสวมเครื่องแบบสีกรมท่ารีบก้มศีรษะพร้อมเปิดประตูรถด้านหลังให้

ทันทีที่เดินมาถึงรถชายผู้สวมแว่นตาได้ส่งเหยี่ยวให้กับบอดี้การ์ดที่ตามคุ้มกันคนหนึ่งนำไปเก็บยังรถอีกคันที่จอดอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ก้าวเข้าไปนั่งข้างชายหนุ่มเชื้อสายอิตาลีผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำหน้าตาคมคายสวมสูทสีดำเนื้อดีซึ่งรออยู่ในรถมาพักใหญ่แล้ว

“ ฉันบอกแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตายหรอก ” เสียงเข้มจากคนที่รออยู่ก่อนกล่าวขึ้น

“ ฉันรู้ ”

“ ทั้งที่รู้ก็ยังเกณฑ์ลูกน้องตระเวนออกเรือตามหาศพต่ออีกเหรอ ”

“ ถึงจะมั่นใจว่ายังไม่ตาย แต่เปอร์เซ็นต์การตายมันก็ยังมี เพราะฉะนั้นการตามหาศพไว้ก่อนมันย่อมดีกว่าปล่อยให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามารู้เห็นเรื่องนี้ ”

“ แล้วจะจัดการกับผู้หญิงคนนั้นยังไงต่อดีล่ะ ”

“ ฉันเชื่อว่าด้วยสภาพของผู้หญิงคนนั้นถ้าจะขึ้นฝั่งก็คงจะเป็นชายฝั่งอิตาลีมากกว่า...เพราะฉะนั้นถ้าจะล่าตัวให้เจอคงต้องเรียกพวกเดนิสกีมาทำงานนี้ ยังไงฝากนายช่วยติดต่อให้ด้วยแล้วกัน ”

“ รับทราบ ”

สิ้นประโยคนั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของคนถามก่อนที่รถมาเซราติสีดำคันงามจะแล่นออกจากบริเวณท่าเรือไปตามท้องถนน
********************

ประตูกระจกของห้องปลอดเชื้อที่ใช้สำหรับการผ่าตัดถูกผลักให้เปิดออกก่อนที่เตียงสีขาวที่มีร่างหนึ่งนอนอยู่ใต้ผ้าห่มสีเดียวกันจะถูกพยาบาลวัยกลางคนเข็นหายเข้าไปในห้องพักฟื้นที่อยู่ใกล้กัน โดยมีแพทย์ผู้ทำการรักษาจะเดินออกมาด้านนอกเป็นคนสุดท้ายแล้วจึงทรุดลงนั่งบนม้านั่งพร้อมพิงศีรษะกับผนังอย่างเหนื่อยล้า

ฟาบิโอผลักประตูไม้แกะสลักบานใหญ่เข้ามาภายในสถานพยาบาลกึ่งไม้กึ่งอิฐชั้นเดียวแต่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มีเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับทำการรักษาครบครันไม่ต่างจากโรงพยาบาล อันเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่ต้องการให้คนงานหรือแม้แต่ตัวเองไม่ต้องระเห็จไปรักษาตัวที่ไหนไกล

“ อาการเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว ” ชายหนุ่มเอ่ยกับคนที่นั่งพักสายตาอยู่บนม้านั่งถึงหญิงสาวแปลกหน้าที่ถูกพามาให้รักษาเมื่อหลายวันก่อนและยังไม่มีโอกาสได้เข้าเยี่ยมเพราะแพทย์ผู้ทำการรักษาห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าในห้องปลอดเชื้อที่ใช้ในการผ่าตัด

ฝ่ายคนที่แทบไม่ได้พักเลยมาหลายวันขยับศีรษะกับแผ่นหลังจากผนังแล้วหันใบหน้านวลและนัยน์ตาสีฟ้าคู่งามไปทางชายหนุ่มผู้มาใหม่ ก่อนที่มือข้างหนึ่งดึงเอายางที่รัดผมออกเผยให้เห็นเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลที่ยาวเคลียไหล่...องค์ประกอบโดยรวมภายนอกมีเสน่ห์ชวนให้บุรุษเพศเหลียวมอง หากไม่ได้ยินเสียงแหบต่ำที่ตอบกลับเป็นภาษาอิตาลีเจือสำเนียงฝรั่งเศสเข้าคงเข้าใจว่าเป็นผู้หญิง

“ ตอนนี้ฉันย้ายเธอจากห้องปลอดเชื้อไปอยู่ห้องพักฟื้นแล้ว ”

“ ถ้างั้นฉันขอเข้าไปดูเธอหน่อยแล้วกันนะ ” เลขานุการหนุ่มแห่งฟาร์มเลี้ยงม้าอเล็กเซียคาร์วาโลพูดเท่านั้นก็ขยับเท้าก้าวผ่านร่างของคนที่ยังนั่งอยู่ แต่ไม่ทันพ้นไปไหนก็ถูกมือเรียวนุ่มแต่แข็งแกร่งยึดข้อมือตรึงไว้ให้หยุดอยู่กับที่

“ ไปชงกาแฟให้ฉันก่อน แล้วฉันจะให้เข้าไป ”

“ อีกแล้วเหรอ...ทำไมทุกครั้งที่ฉันมาที่นี่นายถึงต้องใช้ฉันไปชงกาแฟอยู่เรื่อย...พยาบาลของนายก็มีทำไมไม่บอกให้ไปชงเล่า ”

“ ก็นายชงอร่อย ” คำตอบสั้นห้วนแต่มีรอยยิ้มบางเจือมา

“ ฉันก็เลยต้องการเป็นบาริสต้าให้นายงั้นสิ ”

“ ใช่...ตกลงจะชงหรือไม่ชงล่ะ ถ้าไม่ชงก็กลับไป ไว้มาพร้อมบอสเมื่อไหร่จะให้เข้าเยี่ยม ” ด้วยความที่รู้ดีถึงอุปนิสัยของเลขานุการส่วนตัวของผู้เป็นนายดีว่ามีจิตใจดีและเอื้ออารีต่อคนรอบข้างเสมอ ยกเว้นในทางธุรกิจ ทำให้รู้ดีว่าจะบัญชาคำตอบของอีกฝ่ายได้ด้วยวิธีใด จึงแกล้งบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ในแววตากลับเปล่งประกายคล้ายจะรวนกันอยู่ในที

ฟาบิโอจ้องหน้าชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสผู้ที่ทุกคนในฟาร์มต่างเรียกขานอย่างสนิทสนมว่า โนอาห์ ซึ่งยกขานั่งไขว่ห้างพลางเลิกคิ้วสูงมองตอบมาอย่างเป็นต่อ...สำหรับเขาแล้วในบรรดานายแพทย์ที่เขาเคยพบและเคยได้รับการรักษามา เขาก็ไม่เคยเห็นใครพูดห้วนและเป็นนักต่อรองเก่งแถมกวนประสาทเป็นเยี่ยมเหมือนกับคนตรงหน้ามาก่อน

“ ฉันไปชงให้ก็ได้ ” สุดท้ายคนถูกสั่งก็ถอนหายใจยอมทำตามความประสงค์จนได้

“ ก็แค่นั้น ” โนอาห์ว่าพร้อมยักไหล่ทั้งที่ยังยิ้มพราวก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินตามแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในห้องครัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเลยจากห้องพักฟื้นไปไม่ไกล

เพียงไม่กี่นาทีที่ชายหนุ่มทั้งสองหายเข้าไปในห้องครัวบานประตูกระจกสเตนกราสก็ถูกมือใหญ่ผลักให้เปิดออก จากนั้นชายหนุ่มรูปงามที่ซ่อนร่างกำยำสูงใหญ่ไว้ใต้เสื้อเชิ้ตสีดำที่สอดอยู่ใต้กางเกงยีนส์สีเข้มคาดทับด้วยเข้มขัดหนังจะปรากฏตัวขึ้น

ทันทีที่นางพยาบาลวัยกลางคนมากประสบการณ์เปิดประตูจากห้องพักฟื้นมาเห็นผู้มาใหม่ก็ก้มศีรษะพลางยิ้มให้แทนคำทักทาย

“ คุณหมอย้ายเธอมาที่ห้องนี้แล้วนะคะ ” ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม นางพยาบาลผู้นั้นก็บอกให้ชิงบอกเสียก่อน

อเล็กซิสพยักหน้ารับแล้วผลักประตูเข้าไปในห้องอันกว้างที่ค่อนข้างโปร่งสบายจากหน้าต่างหลายบานที่เปิดรับลมอยู่เสมอ ส่วนเตียงนอนสีขาวที่ตั้งเรียงกันแต่เว้นช่องว่างระหว่างเตียงห่างกันดูเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านเช่นเดียวกับผ้าม่านที่ใช้สำหรับให้คนไข้รูดปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวถูกรูดรวมไว้อยู่ด้านขวาของทุกเตียง

หลังจากที่อุ้มผู้หญิงแปลกหน้าเจ็บหนักคนนั้นมาให้โนอาห์รักษา เขาก็กระโจนขึ้นเรือไปเป็นกัปตันเรือนำเที่ยวอันเป็นธุรกิจส่วนตัวพานักท่องเที่ยวล่องชมทัศนียภาพเลียบเมืองชายฝั่งอิตาลีริเวียร่าอยู่หลายวันจนเมื่อกลับมาที่ฟาร์มถึงนึกเรื่องของผู้หญิงคนนี้ออก

ชายหนุ่มกวาดสายตาไปในห้องที่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงคลื่นสาดกระทบท่าเรือแว่วข้างหูไปยังเตียงที่อยู่ริม
หน้าต่างบานใหญ่จึงได้เห็นว่ามีร่างหนึ่งนอนมีผ้าห่มคลุมตัวจึงย่างเท้าเข้าไปหา

ทว่าคนที่นอนหลับสนิทหาใช่หญิงตัวอ้วนใหญ่มอมแมมเช่นที่พบกันในครั้งแรก หากแต่เป็นหญิงสาวผิวขาวจัดและเรือนผมยาวสีน้ำตาลอมแดงหยักเป็นลอนคลื่นแผ่สยายอยู่บนหมอนและเคลียคล้ายจะล้อมกรอบใบหน้าเรียวได้รูปให้เด่นชัด ผมหน้าม้าถูกปัดไปด้านข้างเผยให้เห็นหน้าผากและเส้นคิ้วที่แม้จะบางหากก็เรียงตัวสวยรับกับแพขนตางอนหนา...จมูกโด่งมีปลายเชิดเล็กน้อยดูดื้อรั้น ขณะที่ริมฝีปากอิ่มนั้นเป็นสีชมพูอ่อนธรรมชาติ

รอยช้ำเขียวปรากฏอยู่บนพวงแก้มเป็นรอยฝ่ามือเช่นเดียวกับลำคอระหงที่สวมสร้อยเส้นหนึ่งไว้ก็ขึ้นรอยนิ้วเป็นจ้ำ ขณะที่แขนซึ่งวางราบอยู่ข้างลำตัวด้านซ้ายเข้าเฝือกกันกระดูกเคลื่อนใช้รองคล้องไว้กับคอ ส่วนตรงหัวไหล่จนถึงท่อนแขนด้านขวาพันผ้าพันแผลสีขาว

ถึงจะรู้แก่ใจว่า คนตรงหน้าปลอมตัวเข้ามาในฟาร์มด้วยสภาพเจ็บสาหัสต้องมีจุดประสงค์เคลือบแฝง ทว่าการได้เห็นร่องรอยบาดเจ็บบนดวงหน้างามกลับทำให้ความรู้สึกอยากปกป้องท้นขึ้นมาในใจอย่างประหลาดจนมิอาจละสายตาไปที่ใดได้

นับแต่เขาตัดสินใจหันหลังให้กับความสุขสบายในตระกูลเพื่อมาใช้ชีวิตของตัวเองจนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะการความสามารถในการเล่นพนัน แต่เป็นเขาโชคดีที่มีเก็งกำไรสิ่งใดไม่เคยพลาด พยายามลุยทำงานทุกอย่างได้ไม่ต่างจากคนงาน บวกกับความมุ่งมั่นที่จะก้าวให้พ้นเงาความสำเร็จของครอมเวลต่างหากที่ผลักดันให้ประสบความสำเร็จ

การได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเองตั้งแต่ยังหนุ่มดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ทำให้มีศัตรูคู่แข่งคอยจ้องหาโอกาสจากความผิดพลาดกระทั่งส่งคนเข้ามาล้วงความลับ โดยหารู้ไม่ว่าความสามารถและโชคไม่ใช่สิ่งที่จะฉกฉวยไปจากใครได้ กระนั้นการที่มีสปายถูกส่งมาให้พบเจออยู่เรื่อยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะการได้เป็นฝ่ายล้วงความลับกลับไปสามารถสาวถึงตัวผู้บงการเป็นเรื่องสนุกที่สุดสำหรับเขา

ในช่วงที่คิดคำนึงถึงเรื่องราวของตนเองดวงตาคมสีเขียวคู่งามที่จดจ่ออยู่กับหญิงสาวผู้หมองเศร้าอันเรียบเย็นกลับอ่อนลงอย่างประหลาด...เขายืนกอดอกอยู่ข้างเตียงเช่นนั้นเพียงไม่ถึงเสี้ยวนาทีก็สังเกตเห็นกายของคนบนเตียงกระตุก ลำคอและศีรษะหันกระสับกระส่ายรุนแรงจนเหงื่อไหลซึมก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะเริ่มขมุบขมิบ

“ ไม่...นีนไม่หนี นีนทิ้งพ่อไว้ที่นี่ไม่ได้ ไม่...ไม่ ” เสียงแหบพร่าแผดร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดทรมานทั้งที่เจ้าตัวยังหลับสนิท จากนั้นมือข้างขวาก็ยกป่ายคล้ายคว้านหาบางสิ่งก่อนจะคว้าเอาลำแขนกำยำของคนข้างเตียงไว้แน่น

“ เรายังตายไม่ได้ ตายไม่ได้ ” หล่อนยังคงพร่ำเป็นภาษาที่เขารู้จักเพราะเคยได้ยินญาติใช้สนทนากับคนรัก แต่ไม่เคยเข้าใจในความหมายเหล่านั้น

คนเจ็บดิ้นรนหนักเหมือนกับกำลังต่อสู้กับใครสักคนในความฝัน...เล็บจิกลึกลงบนเนื้อแข็งจนชายหนุ่มเกือบจะกระชากมือเล็กนั้นออกแต่พอเหลือบเห็นรอยข่วนถลอกปอกเปิกเต็มข้อมือก็ทำให้ถึงกับชะงัก

“ บ้าจริง ” เขาสบถออกมา...พยายามใช้มือแกะนิ้วเรียวซีดที่เกาะแน่นนั้นแต่ความที่กลัวออกแรงมากอีกฝ่ายจะนิ้วเดาะขึ้นมาอีกเลยไม่รู้จะทำอย่างไร และในเวลานั้นเองเขาก็เห็นน้ำตาของคนเจ็บรินจากหางตาหยาดลงหมอนพร้อมกับเสียงสะอื้นฮักแทบขาดใจก็ดังแทนที่เสียงกรีดร้อง

ชายหนุ่มย่นหน้าผากให้กับความแปรปรวนที่เกิดขึ้นกับคนบนเตียง...สิ่งที่เขาเกลียดรองลงมาจากการอยู่ใต้บารมีคนอื่น คือ การไม่สามารถควบคุมหรือเข้าถึงความคิดของคนรอบข้าง หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่ลังเลที่จะดึงมือให้พ้นไป แต่ผู้หญิงคนนี้บอบช้ำเกินกว่าจะสร้างบาดแผลใดให้ได้อีก

และจะว่าด้วยความสงสารหรืออะไรก็ตาม โดยไม่รู้ตัวเจ้าของฟาร์มเลี้ยงม้าหนุ่มก็ยกมือใหญ่เอื้อมออกไปลูบศีรษะและเรือนผมนุ่มมือนั้นไปมาคล้ายกับจะกล่อมให้คนเพ้อสงบลง และความอุ่นจากปลายมือเมื่อสัมผัสลงบนหน้าผากอันเย็นชื้นก็คล้ายมีเวทมนตร์ทำให้หญิงสาวที่ทุรนทุรายอยู่ในความฝันผ่อนคลายมือที่จับแขนไว้แน่นในตอนแรกไถลลงมาพาดอยู่บนขอบเหล็กที่ใช้กั้นเตียงกลับมาหลับสนิทได้อีกครั้ง

คนตัวใหญ่ขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันอีกเมื่อเห็นคนบนเตียงสงบลงได้อย่างง่ายดายเพียงถูกเขาสัมผัส...ระหว่างที่ยังประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแพทย์ผู้ทำการรักษาและเลขานุการผู้คอยดูแลงานและความเรียบร้อยในฟาร์มเลี้ยงม้าก็ผลักประตูเข้ามาในห้อง

ทันทีที่โนอาห์และฟาบิโอเหลือบเห็นเจ้านายของตนเองลูบผมพลางทอดสายตายังคนป่วยดูอ่อนละมุนเหลือเกินก็ถึงกับยืนนิ่ง

แทบทุกคนในฟาร์มต่างรู้ดีว่าเจ้านายของตัวเองเป็นคนแปลก บางทีก็เหี้ยมเฉียบขาด บางครั้งก็ลึกลับซับซ้อนเกินจะเข้าใจ บางคราก็เฮฮาลุยไปได้ทุกหนแห่ง บวกกับความหล่อเหลาทำให้มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเสนอตัวให้ไม่ขาดสาย แต่ไม่เคยมีใครเห็นเขาให้ความสนใจเกินคืนเดียวหรือแม้แต่แสดงความอ่อนโยนกับผู้หญิงคนไหนก็ยังไม่มี

“ บอสมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ”

คำถามภาษาฝรั่งเศสที่ลูกน้องหนุ่มมักใช้ยามสนทนาด้วยกันแทนภาษาอิตาลีดังเข้ามาในหูทำให้อเล็กซิสละสายตาจากร่างบนเตียงหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะค่อยๆยกมือที่ลูบศีรษะของคนบนเตียงกลับมาอยู่ข้างลำตัวตามเดิม

“ มาเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ” เขาตอบอย่างเย็นชาแล้วเป็นฝ่ายถามบ้าง “ ผู้หญิงคนนี้อาการหนักแค่ไหน ”

“ เธอถูกทำร้ายมาหนักอยู่เหมือนกันนครับ...ถูกยิงที่ไหล่ซ้าย กระดูกแขนขวาหัก มีรอยถลอกแล้วก็มีอาการช้ำใน โชคดีที่ไม่มีอวัยวะภายในช้ำหนักหรือฉีดขาด กว่าจะหายดีก็คงต้องใช้เวลาเป็นเดือน ” โนอาห์ว่าพลางเดินไปหาผู้เป็นนายโดยมีฟาบิโอเดินตามหลัง

แต่นาทีที่เลขานุการหนุ่มเดินไปเห็นใบหน้าของคนเจ็บที่ยังหลับสนิทอยู่ก็ถึงกับตะลึงหลุดอุทานออกมาเสียงดังก่อนจะละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ

“ เธอไม่ใช่...ไม่ใช่คนเดียวกันกับวันนั้น ”

“ แปลกใจเหรอ...ฉันเองก็แปลกใจนะ เพราะ ตอนผ่ากระสุนออกฉันก็เห็นเธอเป็นอย่างที่นายเห็นตอนแรกนั้นแหละ แต่พอให้พยาบาลมาล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ถึงรู้ว่าเธอมีหน้าตายังไง เออ แล้วพยาบาลยังบอกด้วยนะว่าเธอแต่งหน้าหนามาก กว่าจะล้างทั้งคราบเลือดกับเครื่องสำอางออกก็เป็นชั่วโมง แล้วที่น่าสนใจก็คือเธอสวมอะไรสักอย่างไว้ใต้เสื้อผ้าเพื่อให้ตัวเองดูอ้วนกว่าตัวจริงสามสี่ไซส์ แต่ก็นะ เพราะเธอใส่ชุดนี้ตอนที่โดนทำร้ายเลยไม่กระเทือนถึงอวัยวะภายใน ”

คำบอกเล่าจากปากของแพทย์ผู้รักษาทำให้ฟาบิโอย่นหน้าผากพลางหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจ้านายหนุ่มด้วยคำนึงถึงคำเตือนที่เคยได้รับในวันแรกที่ตัดสินใจช่วยหญิงสาวผู้นี้ แต่ถึงอย่างนั้นจากสภาพอันบาดเจ็บขนาดนี้ก็ทำให้เขายังเชื่อว่า เธอน่าจะหนีคนร้ายมามากกว่าจะเป็นสปายที่เข้ามาสืบความลับจากที่นี่

“ แล้วพอจะรู้ไหมว่าเธอเป็นใคร ” เสียงแหบต่ำของผู้เป็นนายทำให้แพทย์หนุ่มรีบหยิบเอาพาสปอร์ตสองเล่มจากในกระเป๋าเสื้อกราวน์ส่งให้

“ พยาบาลเจอนี่ห่อพลาสติกกันน้ำ ซ่อนอยู่ในช่องลับข้างในชุดคนอ้วนที่เธอสวมนะครับ ”

อเล็กซิสพลิกพาสปอร์ตเพื่อดูรายละเอียดภายในจึงได้เห็นรูปถ่ายของหญิงสาวหน้าตกกระกระดำกระด่าง ส่วนผมยาวสีน้ำตาลอมแดงถูกรวบตึงไว้ด้านหลังปล่อยให้หน้าม้าตกลงมาปกหน้าผาก สัญชาติที่ระบุทำให้รู้ว่าเธอถือทั้งสัญชาติอิตาลีและไทย

“ นีนนารา โคเลอร์ ” ชายหนุ่มรำพึงชื่อนั้นออกมาแผ่วเบาก่อนจะเหลียวกลับมามองผู้หญิงแปลกหน้าที่จมดิ่งอยู่ในห้วงนินทรารมย์ด้วยแววตาเย็นชาหากในประกายตากลับมาบางสิ่งที่ยากจะอ่านแฝงอยู่...
************************************
ภาพเหตุการณ์มากมายที่เกิดจากจิตใต้สำนึกที่ยังระลึกนึกถึงสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในความฝันให้รู้สึกเจ็บปวดทรมานมิวางวาย ยิ่งยินเสียงคลื่นที่สาดกระทบฝั่งสะท้อนก้องอยู่ตลอดเวลาก็พาให้นึกฝันไปถึงยามตะเกียกตะกายขึ้นจากทะเลอันหนาวเหน็บ

เปลือกตาของหญิงสาวบนเตียงสีขาวลืมโพล่งพลางหอบหายใจแรงขึ้นมามองโคมไฟโบราณที่สาดแสงสีนวลตาให้ตาพร่าจึงจำต้องหลับไว้ดังเก่า แต่แล้วอาการปวดศีรษะรุนแรงกลับเข้าเล่นงาน ใจนึกอยากจะยกมือมาคลึงขมับความรู้สึกเจ็บร้าวถึงแก่นกระดูกก็เข้าเล่นงานจนมิอาจเคลื่อนไหว

ทันใดนั้นความหวาดระแวงเกรงว่าสิ่งสำคัญที่พ่อฝากไว้จะสูญหายก็แทรกเข้ามาให้กังวล ทำให้สุดท้ายหล่อนก็กลั้นใจฝืนยกแขนข้างที่พอขยับไหวขึ้นมาคลำหาสร้อยคอเพื่อกำจี้กุญแจที่คล้องอยู่ไว้ในอุ้งมือแน่น ดวงตาได้ฤกษ์เปิดขึ้นมาอีกคราพร้อมกับขาทั้งสองข้างที่ค่อยๆขยับชันขึ้น

...ที่นี่ที่ไหน...

นีนนาราถามตัวเองในใจขณะใช้แขนข้างที่ใช้การได้พยุงตัวเองขึ้นมานั่งพลาวเพ่งมองไปยังเตียงนอนว่างเปล่าที่วางเรียงรายเป็นแถวจนเต็มห้องพลันภาพการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างหล่อนกับพ่อก็ผุดขึ้น ตามมาด้วยภาพของพ่อที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่ในสภาพอ่อนระโหยและปิดท้ายด้วยภาพที่หล่อนสู้กับคนขับเรือร่างยักษ์จนตกน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ยามคิดถึงพ่อความทุกข์ทนก็ท่วมท้นจนหล่อนอยากซบหน้าร้องไห้ให้กับความขลาดเขลาของตัวเองที่หลงเล่ห์กลของคนอื่นที่ใช้หล่อนเป็นสะพานเพื่อทอดไปถึงพ่อ แต่เพราะรู้ว่าน้ำตาจากความอ่อนแอไม่อาจช่วยให้อะไรดีขึ้นจึงได้แต่กล้ำกลืนมันลงไปในอกแล้วพยายามใคร่ครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากตะกายขึ้นมาบนท่าเรือสำเร็จ

ในความเลือนรางของสติหล่อนจดจำได้ว่าตัวเองวิ่งไปข้างหน้า วิ่งอย่างไม่รู้ทิศทางและก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงมีเทพบุตรขี่ม้าสีดำทะมึนปรากฏตัวให้เห็น

...เราตายหรือเปล่า...หล่อนถามตัวเองพลางจ้องมองชายภาพม่านผ้าที่พลิ้วไสว เริ่มไม่แน่ว่าตัวเองเป็นมนุษย์หรือวิญญาณ และ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองหนีรอดหรือถูกพวกที่มุ่งทำร้ายพ่อลากตัวกลับมาได้ ความสับสนวุ่นวายในใจทำให้หล่อนหอบสังขารอันบอบช้ำลงจากเตียงด้วยพละกำลังที่พอจะหลงเหลือ

ก้าวแรกที่เท้าสัมผัสกับพื้นกระเบื้องช่างเย็นเยือกอาศัยคำฝากฝังของพ่อเป็นลูกฮึดได้เดินต่อไปข้างหน้าแม้กายจะซวนเซแทบล้มก็คว้าเหล็กกั้นปลายเตียงช่วยประคองจนพ้นมานอกห้อง จากนั้นจึงอาศัยแสงไฟจากโคมโบราณรายทางเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบานสวยแล้วใช้หลังดันให้ตัวเองหลุดออกมาภายนอก

พระจันทร์เต็มดวงสุกสกาวทอแสงทาบทาทั่วพื้นทะเลดำมืดกลายเป็นสีเงินยวงเปล่งประกายระยิบระยับงามจับตา สายลมโชยอ่อนเย็นเยือกหอบพัดกลิ่นน้ำเค็มเจือกลิ่นหอมของดอกไม้มากมายที่ปลูกอยู่สองข้างทางเดิน มีเสียงหวีดหวิวของต้นไม้ใบหญ้าเสียดสีระคนไปกับเสียงเกลียวคลื่นดังบทเพลงแห่งธรรมชาติขับกล่อม

หญิงสาวย่างเท้าเปล่าพาร่างอันบาดเจ็บเดินไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมายดังคนละเมอ...นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดไปยังพื้นดินร้างผู้คน จึงได้ประสบพบเข้ากับม้าตัวใหญ่ยืนสง่างามกลางสนามอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เจ้าม้าตัวนั้นสะบัดหัวสะบัดหางพลางส่งเสียงร้องอย่างพึงใจ ทันใดนั้นก็มีบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเพียงกางเกงนอนขายาวแต่เปิดเปลือยลำตัวช่วงบนให้เห็นแผงอกอันกำยำและท่อนแขนล่ำแข็งแกร่ง

อเล็กซิสยกมือลูบไปตามใบหน้าของม้าประจำตัวอย่างนุ่มนวลประหนึ่งสหายชิดใกล้ก่อนจะคว้าสายบังเหียนจูงมันให้กลับไปสู่คอก ทว่าขณะก้าวเดินออกไปเขากลับรู้สึกเหมือนมีสายตาของใครสักคนจับจ้องมาจึงเหลียวไปมองหาจึงหญิงสาวดวงหน้าหวานผุดผาดสวมชุดผู้ป่วยยาวกรอมเท้าจ้องตอบมาด้วยนัยน์ตากลมโตอมโศกเศร้าแลคล้ายเทพธิดาผู้ต้องคำสาป

ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องสะท้อนทั้งสองต่างประสายสายตากันอยู่ในความเงียบสงัดนิ่งนานราวกับต้องมนตรา

ใบหน้าอันหล่อเหลาปานรูปสลักทำให้นีนาราเหมือนตกอยู่ในห้วงเหวลึก แต่พอรู้สึกตัวลมหายใจก็หอบกระชั้นถี่ เพราะจดจำได้แล้วว่า เทพบุตรรูปงามตนนี้เป็นตนเดียวกันกับที่เห็นก่อนสิ้นสติ ผู้ที่อาจถูกส่งมาให้นำดวงวิญญาณของเธอไปสำเร็จโทษทัณฑ์

“ ไม่...ฉันยังตายไม่ได้ ยังตายไม่ได้ ฉันจะให้เขามาเอาวิญญาณฉันไปตอนนี้ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ” หล่อนรำพึงอย่างตื่นกลัวลืมสิ้นอาการปวดระบม รู้แค่เพียงต้องหนีและเมื่อหมุนตัวกลับได้ก็ออกวิ่งเตลิดไปไม่มีทิศทาง

หญิงสาวหันไปมองบุรุษที่ทิ้งสายบังเหียนแล้ววิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิดอยู่เป็นระยะ โดยครั้งสุดท้ายที่หันไปมองนั้นก็เห็นมือใหญ่นั้นเอื้อมมาใกล้ถึงตัว และความกลัวว่าวิญญาณจะถูกพล่าผลาญทำให้หล่อนผวากรีดร้องออกมาสุดเสียงแล้วทุกสิ่งในโลกก็พลันหมุนคว้างดับวูบไป



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2555, 00:22:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2555, 19:56:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1639





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
Auuuu 13 มี.ค. 2555, 00:39:30 น.
ไอ๊หย่ะะะะ นางเอกหนีใครมาหว่า???
นางเอกหนีพระเอกซะแล้ว :D


konhin 13 มี.ค. 2555, 01:43:16 น.
เอ่อ คิดว่าพระเอกเป็นยมทูตซะงั้น


violette 13 มี.ค. 2555, 10:48:42 น.
โอยยย ชอบชื่อนางเอกมากกกกค่ะ เพราะจังเลย
พระเอกออกแนวปกป้องนางเอกใช่มั้ยคะ ฮืออ อยากอ่านต่อ


Zephyr 13 มี.ค. 2555, 19:47:55 น.
อ่าว นีน เอ้ย ตาอเล็กซ์หวังดีนะ คิดว่าเค้าเป็นมัจจุราชซะงั้น


lovemuay 13 มี.ค. 2555, 19:47:58 น.
นางเอกฟื้นแล้ว อิอิ


ling 14 มี.ค. 2555, 15:37:15 น.
รอๆๆเท่านั้น อิอิ


อริสา 29 มี.ค. 2555, 06:49:59 น.
ตื่นเต้น น่าติดตาม


วนัน 23 เม.ย. 2555, 14:44:54 น.
น่าตื่นเต้นคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account