กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 17

ตอนที่ ๑๗

พีรพัฒน์เลี้ยวรถกลับเข้ามาที่บ้านสุริยะธาดาอีกครั้งก็เมื่อตอนเกือบหกโมงกว่าแล้ว นางบัวศรียังคงทำหน้าที่แม่บ้านได้ดีเยี่ยมเมื่อออกมายืนรับหน้าเจ้าบ้านอย่างกระตือรือร้นเฉกเช่นทุกวัน และทันทีที่ดับเครื่องยนต์สนิทชายหนุ่มก็เปิดประตูรถออกมา

“ช่วยเอาแฟ้มพวกนี้ไปไว้ที่ห้องทำงานให้ผมหน่อยนะป้าบัวศรี” พีรพัฒน์บอกเนือยๆขณะเปิดประตูรถด้านหลังแล้วหยิบแฟ้มเอกสารสองสามแฟ้มส่งให้นางบัวศรีช่วยถือ วันนี้เขามีเอกสารหลายฉบับที่ต้องทำความเข้าใจ ก็เกี่ยวกับโครงการการสร้างอาคารชุดริมชายหาดที่พยายามจะทำความเข้าใจตั้งแต่ตอนกลางวันนั่นละ

“ค่ะ ได้ค่ะ ว่าแต่คุณพีจะทานข้าวเลยหรือเปล่าคะ ป้าจะได้ตั้งโต๊ะให้”

พีรพัฒน์ไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่เขากลับย้อนถาม

“แล้ววริณสิตาล่ะ ยังไม่กลับมาหรือ”
“ค่ะ” นางบัวศรีตอบเพียงสั้นๆ ชายหนุ่มก็พยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ เพราะหลังจากที่เขาตามไปดูเด็กคนนั้นเพราะความเป็นห่วงของนางบัวศรี เขาก็ได้โทร.มาบอกนางแล้วว่าวริณสิตาสบายดี แต่...ก็มีเหมือนกัน...สิ่งที่ไม่ได้บอก

“เอ่อ...ไม่ว่ารู้คุณรักเธอพาเจ้าจิ๊บไปถึงไหนนะคะ จะมืดจะค่ำแล้วยังไม่กลับกันมาเลย” นางบัวศรีเปรย เป็นห่วงไปตามประสาคนที่สูงวัยกว่า

“ไม่เป็นไรหรอกป้า” ชายหนุ่มดันประตูหลังรถยุโรปคันหรูให้ปิดลง “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเขาก็กลับ”
แต่แม้จะบอกอย่างนั้น ลึกๆแล้วพีรพัฒน์ก็รู้สึกตะหงิดๆนิดๆเหมือนกัน เพราะแม้จะมั่นใจได้ล้านเปอร์เซ็นว่าไร้อันตราย แต่...

ไอ้เพื่อนของเขาเนี่ย มันพาวริณสิตาไปซื้อเสื้อผ้ากันถึงไหนต่อไหน ทำไมถึงยังไม่กลับสักที!?

พีรพัฒน์ไม่รู้และรู้สึกหงุดหงิดใจ เพราะหลังจากที่หทัยรักบอกว่าตนไม่สามารถเลือกสรรเสื้อผ้าให้ถูกใจวริณสิตาได้ และเสนอให้สมศักดิ์ช่วยแทน

มันก็ดูเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่จู่ๆสมศักดิ์ต้องมารับหน้าที่หาซื้อเสื้อผ้าให้เด็กในปกครองของเขา แต่นาทีนั้นพีรพัฒน์กลับไม่รู้ว่าจะค้านความคิดนั้นอย่างไร ในเมื่อตัวเด็กในปกครองของเขาเองนั่นละ ที่ไม่พูดอะไรสักคำว่าทำไมถึงไม่เลือกเสื้อผ้าอะไรสักตัวที่หทัยรักพาไปซื้อ

แล้วหลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่หทัยรักเสนอ สมศักดิ์พาวริณสิตาไปหาซื้อเสื้อผ้า ส่วนเขาที่เคยบอกไปตอนที่ขอให้หทัยรักช่วยดูแลวริณสิตา ว่าตัวเขาไม่สันทัดในเรื่องเสื้อผ้าของผู้หญิง เขาจึงถูกหทัยรักดึงไปด้วยกันกับเธอแทน และเรื่องต่อจากนั้นมันก็ยิ่งอิหลักอิเหลื่อในความรู้สึกหนักกว่าเก่า เพราะหทัยรักไม่ได้กลับเข้าบริษัทเพื่อทำงาน แต่เธอกลับลากเขาไปเดินตามหาคุณอมร สีหน้าเจ้าหล่อนสุดแสนจริงจังยามแจงเหตุผลให้เขาฟังเสียงเครียดว่า

‘รักเห็นคุณพ่อเดินอยู่กับผู้หญิงค่ะ!’

อือ...แล้ว?

แม้นึกอยากจะถามไปตามนั้น เพราะไม่เข้าใจอยู่หน่อยๆว่าถ้าหทัยรักเห็นคุณอมรเดินอยู่กับผู้หญิงแปลกหน้า แล้วคนนอกอย่างเขาจะเกี่ยวอะไร แต่แน่ละ พีรพัฒน์ไม่ได้พูด เรื่องแบบนี้ถึงแม้จะรู้สึกว่ามันออกจะไร้สาระนิดๆที่ต้องมาเดินตามหาคุณอมรไปด้วย แต่สำหรับหทัยรักมันอาจร้ายแรงต่อความรู้สึกก็ได้ เขาจึงยอมตามไป แต่ท้ายสุดหทัยรักก็ไม่พบใคร และกว่าที่สาวสวยจะยอมถอดใจกลับเข้าไปบริษัทได้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม ทว่านั่นก็ไม่มีประโยชน์เพราะเรื่องของคุณอมรทำให้เจ้าหล่อนไม่มีสมาธิทำงานอีกต่อไป เพราะอย่างนั้นที่พีรพัฒน์เคยตั้งใจว่าจะปรึกษาเรื่องโครงการฯจึงต้องหยุดไว้ และนั่นก็เป็นเหตุให้เขาต้องหอบเอาเอกสารกลับมาทำความเข้าใจเองต่อที่บ้านอย่างนี้

“อ่า...คุณพีคะ” จู่ๆคนที่เดินตามเขามาข้างหลังก็เอ่ยเรียก พีรพัฒน์หันมากลับ เลิกคิ้วขึ้นทำนองถามว่านางบัวศรีต้องการอะไร

“สรุปแล้วคุณพีจะให้ป้าตั้งโต๊ะเลยหรือเปล่าคะ?”

“เอาไว้ก่อนละกัน” เขาตอบเช่นนั้น “เอาแฟ้มไปไว้ให้ผมในห้องทำงานก็พอ เดี๋ยวผมจะทำงานต่ออีกหน่อย แล้วถ้าหิวผมจะลงมาบอกเองก็แล้วกัน”


พีรพัฒน์เงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหิว ชายหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาเรือนใหญ่สีทองอร่ามที่แขวนบนผนัง เห็นเข็มยาวเข็มสั้นบอกเวลาว่าทุ่มกว่าๆ ชายหนุ่มหรี่ตา เกือบชั่วโมงแล้วที่เขากลับมาและนั่งทำงานต่อในห้องนี้ ทว่าก็ยังไม่มีเสียงรถใครแล่นเข้ามาในบ้านสุริยะธาดาสักคัน และความจริงข้อนั้นก็ชักจะทำให้เขาหงุดหงิด!

ไอ้ซ้ง! มันไม่คิดจะโทร.มาบอกกันบ้างหรือไง ไปถึงไหน!

พีรพัฒน์กระแทกแฟ้มเอกสารที่อ่านอยู่ให้ปิดลงอย่างค่อนข้างแรงเมื่อรู้สึกว่านี่มันชักจะเกินไปหน่อยแล้ว เขาฉวยมือถือขึ้นมา ฮึ่มๆอยู่ในใจว่าแม้จะเป็นเพื่อนรัก แต่งานนี้ก็ต้องด่ากันสักหน่อยแล้ว แต่ไม่ทันที่พีรพัฒน์จะกดโทร.ออก เสียงรถที่แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านก็แว่วเข้าหู

ชายหนุ่มเด้งผลุงลุกขึ้นจากโต๊ะทันที เขาก้าวยาวๆมาหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง รถญี่ปุ่นสีบอร์นเงินก็เพิ่งแล่นเข้ามาจอดอยู่ตรงทางหน้าบ้าน อึดใจเดียวร่างบางๆก็เปิดประตูออกมา วริณสิตาก็ยังคงอยู่ในชุดเสื้อผ้าตัวเก่า แต่หนนี้ในมือของเด็กสาวหอบหิ้วถุงหลายใบ เรียกได้ว่าพะรุงพะรังทีเดียว

เขาเฝ้าดูนิ่งๆอย่างนั้น ไม่เกินนาทีพีรพัฒน์ก็เห็นเด็กในปกครองของตัวเองกระพุ่มมือไหว้ ปิดประตูรถ แล้วไม่ถึงอึดใจไฟท้ายรถสมศักดิ์ก็เลี้ยวออกประตูใหญ่ของบ้านสุริยะธาดาไปลิบเสียเฉยๆ

ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วมุ่นทันที

อะไรของมันวะนี่ อย่างนี้ที่ตั้งใจว่าจะด่าสักหน่อยก็ไม่สำเร็จน่ะซี!

คนนึกรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ในที จึงกดมือถือในมือออกไปและรอให้คนอีกฝ่ายรับสาย ซึ่งก็ไม่ได้กินเวลามากมายไปกว่าเสียงสัญญาณที่ดังเพียงสองครั้งแค่นั้น

“เออ ว่าไง” สมศักดิ์รับสาย และแน่นอนพีรพัฒน์ก็ไม่ได้รอช้าสักนิด

“นี่ใจคอเอ็งนี่ ไม่คิดจะเข้ามาทักทายเจ้าของบ้านเขาหน่อยรึไง ฮึ?” ชายหนุ่มเปิดฉากเหน็บทันที แต่คำตอบที่เพื่อนซี้ตอบกลับนี่สิ...ชักแอบจะสร้างปัญหา!

“เฮ้ยเออ! โทษทีว่ะ ไม่ได้เข้าไปหา ข้ารีบ”

พีรพัฒน์ได้แต่เหลือกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆ ก็ไอ้น้ำเสียงแบบนี้ ประโยคแบบนี้ แบบวาจาพาซื่อไร้การสะทกสะท้านนี่ พีรพัฒน์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะไอ้ฝ่ายถูกเหน็บมันจะคิดไม่ทันหรือมันจงใจจะยวนกันแน่!

“แล้วจะรีบอะไรนักหนา บิดาหายรึงะ!”

“อ่ะ!” หนุ่มตี๋หัวเราะหึๆมาตามสายเมื่อจับได้กับอาการฟาดหางเล็กๆ “เออ! เอ็งก็เดาเกือบถูกแล้วล่ะไอ้พี แต่พอดีมันผิดตรงที่ไม่ใช่บิดาโว้ย” สมศักดิ์ว่า “มารดาต่างหาก มารดาข้าโทร.ตามเรียกตัวกลับบ้านแล้ว เลยต้องรีบ เข้าใจ๋?”

“เฮอะ! ก็เล่นหายหัวไปซะครึ่งค่อนวัน” กับประโยคบวกน้ำเสียงแบบนั้น ก็ไม่ยากเลยที่หนุ่มตี๋จะรู้ได้ว่าไอ้คนพูดนั้นคงฉุนอะไรอยู่ไม่น้อยเชียว ซึ่ง...ก็ตามประสานั่นแหละ รู้แล้วก็อดจะแหย่ไม่ได้!

“ทำไม” หนุ่มตี๋แสร้งย้อน “อารมณ์หวงลูกสาวหรือไงไอ้คุณพี”

“บ้านเอ็งน่ะสิ!” แล้วก็ถูกบริภาษเข้าให้ แต่สมศักดิ์ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร กลับหัวเราะร่าอย่างถูกใจที่สามารถแหย่คนเล่นได้สำเร็จ พีรพัฒน์เลยได้แต่ต้องพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดขัดหูไว้

“มันไม่ใช่อารมณ์หวงเหิงอะไรเว้ย” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “แต่เอ็งต้องนึกบ้างว่ามันควรหรือเปล่าที่หายหัวไปโดยไม่มีการโทร.มาบอกอะไรสักคำ”

“อ้อเหรอ” หนุ่มตี๋ลากเสียงยาวแบบสื่อความหมาย...เชื่อเหตุผลที่เอ็งบอกไปเสียเต็มประดาแหละ!

พีรพัฒน์ได้แต่กระแทกลมหายใจอย่างหงุดหงิดแล้วจงใจเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วซื้ออะไรไปบ้าง จ่ายเงินไปเท่าไหร่ ข้าจะได้จ่ายคืนให้เอ็งถูก”

แต่ทว่า...

“เฮ้ย! เรื่องงงเรื่องเงินอะไรไม่ต้องหรอกว่ะ จิ๊บจ๊อย ถือซะว่าข้าซื้อให้เป็นของรับขวัญหนูจิ๊บก็แล้วกัน”

“เท่าไหร่...ไอ้ซ้ง” คราวนี้ถึงกับกัดฟัน แต่ผลก็มิได้ต่างไปเพราะเมื่อผู้ปกครองยิ่งเสียงเข้ม อีกฝ่ายก็ยิ่งหัวเราะขำ!

“หึๆๆ...”

“ไม่มีอะไรตลกเลยไอ้ซ้ง” พีรพัฒน์ว่า “เอ็งซื้อเสื้อผ้าอะไรให้วริณสิตาบ้างบอกมา ข้าจะได้คำนวณราคาคร่าวๆแล้วจ่ายเงินคืนให้”

“เอ้อ!” สมศักดิ์ไม่วายจะแสร้งถอนใจ “ถ้าจะให้ข้าจาระไนว่าซื้ออะไรให้หนูจิ๊บบ้างเนี่ยก็คงบอกง่ายๆให้ว่า...ทั้งหมดแหละ!”

แต่พีรพัฒน์ไม่เข้าใจประโยคนั้นเอาเสียเลย เขาคิดว่าอีกฝ่ายควรจะต้องตอบว่าซื้อเสื้อไปกี่ตัว กระโปรงกี่ตัวหรือกางเกงกี่ตัว ไม่ใช่เหมารวมด้วยคำว่า ‘ทั้งหมด’ ซึ่งจะทำให้เขาประเมินอะไรไม่ได้แบบนี้!

“หมายความว่าไงวะไอ้ซ้ง ทั้งหมดของเอ็งเนี่ย”

“เอ้า! ไอ้นี่” หนุ่มตี๋ร้องเสียงสูง “ทั้งหมดก็คือทั้งหมดสิวะ คนเราใส่เสื้อผ้าอะไรที่ไหน ข้างนอกข้างใน ข้าก็ช่วยซื้อให้หนูจิ๊บทั้งหมดแหละ ครบเลย วันหลังจะได้ไม่เดือดร้อนไง”

เท่านั้นละ กระจ่างแจ้ง! ผู้ปกครองถึงกับร้อง ‘อะไรนะ!’ เสียงหลง

“นี่ นี่หมายความว่าเอ็งซื้อ”

แต่ไม่ทันจะโวยจบหนุ่มตี๋ก็ส่งเสียงขัด

“เฮ้ย! ไอ้พี สายซ้อนว่ะ แค่นี้ก่อนนะ หม่าม้าโทร.จิกแล้ว”

“เดี๋ยวสิไอ้ซ้ง! ไอ้ซ้ง!” และก็ไม่ทันแล้วเพราะสมศักดิ์ตัดสายเขาทิ้งไปไวเสียยิ่งกว่าใช้เวลาในการจะจามสักหนึ่งฮัดเช้ยเสียอีก!

พีรพัฒน์งุ่นง่านกลับมากระแทกตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างหงุดหงิด

คนเราใส่เสื้อผ้าอะไรที่ไหน ข้างนอกข้างใน ข้าก็ช่วยซื้อให้หนูจิ๊บทั้งหมดแหละ...

“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มได้แต่ฮึดฮัดขัดใจยามนึกถึงใบหน้าแบบที่ยิ้มๆเป็นประจำร่วมกับคำพูดของอีกฝ่าย นึกแล้วเขาบอกไม่ได้เลยว่านั่นคือเรื่องจริงหรือเป็นสิ่งที่สมศักดิ์แค่แหย่เล่น! ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกไปอีกพรืดใหญ่เพื่อระบายความอัดอั้นก่อนเอ่ยปากอนุญาต

“ครับ เชิญครับ” แล้วก็กลับไปวางท่าตั้งใจกับแฟ้มงานตรงหน้าก่อนที่บานประตูห้องทำงานจะถูกเปิด ร่างเจ้าเนื้อของนางบัวศรีเดินเข้ามาพร้อมกับถาดใส่จานแซนวิชและถ้วยกาแฟ

“ป้าเอาของว่างมาให้ค่ะ ไม่เห็นว่าคุณพีจะลงไปสั่งให้ป้าตั้งโต๊ะสักที ก็เลยกลัวว่าคุณพีจะทำงานเพลินจนลืมเวล่ำเวลาไปหรือเปล่า” นางบัวศรีกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบๆตามวิสัย ขณะที่คนมีศักดิ์เป็นนายไม่ได้เงยหน้าหรือหลุดจากมาดนักธุรกิจบ้างานสักนิด

“อืม...ไม่หรอก” พีรพัฒน์แสร้งบอกปัด “ผมยังไม่หิวน่ะ ขอบคุณมากนะ” ได้ยินอย่างนั้นนางบัวศรีก็ได้แต่ลอบถอนใจ นึกในใจว่าอย่างนี้นั่นแหละคนหนุ่มๆ ช่วงร่างกายแข็งแรงก็มักจะโหมทำงานหนักเข้าไปไม่ใส่ใจสุขภาพ แต่อย่างว่าละ ไอ้คนแก่ๆแถมเป็นแค่บ่าวรับใช้อย่างนางนี่จะไปว่าอย่างไรเจ้านายเขาได้ นอกจากจะห่วงใยอย่างกรายๆเท่านั้น

“อ่า...ถ้างั้นป้าวางของว่างไว้ให้ตรงนี้ก็แล้วกันนะคะ” ว่าแล้วนางบัวศรีก็จัดแจงวางจานแซนวิชพร้อมถ้วยกาแฟไว้ให้บนโต๊ะทำงานของพีรพัฒน์ เรียบร้อยก็ตั้งท่าจะปลีกตัวไป แต่ยังไม่ทันจะได้ออกพ้นประตู เสียงทุ้มๆก็เอ่ย

“เดี๋ยวก่อน”

“ขะ...คะ?” นางบัวศรีนั้นขานรับได้ไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ก็เพราะท่าทีนิ่งๆตึงๆของคนเป็นเจ้านายนั่นแหละ

“วริณสิตากลับมาแล้วใช่มั้ย ผมเหมือนได้ยินเสียงว่ามีรถเข้ามาเมื่อกี้”

“อ่า...ขะ...ค่ะ กลับมาแล้วล่ะค่ะ แต่ว่า...” นางบัวศรีอึกอักอยู่เมื่อคิดจะแจ้งต่อไปว่าใครเป็นคนมาส่งสาวน้อย ด้วยนางเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร ก็สุดแสนจะแปลกใจที่เมื่อกลางวันวริณสิตาออกไปกับคนหนึ่งแต่ตอนค่ำดันกลับมากับอีกคนหนึ่ง และนี่หรือเปล่าที่ทำให้ชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายดูนิ่งๆขึงๆอยู่ตอนนี้ แต่ตรองไปตรองมาอีกทีคุณพีเขาก็คงต้องรู้กันสิน่า! ในเมื่อตอนที่นางถามเมื่อเย็นเขาก็ไม่เห็นจะพูดอะไร มิหนำซ้ำอารมณ์ยังดูไม่ตึงขนาดนี้เลย

ไฮ้! เรื่องของพวกเจ้านายนี่ ชักจะวุ่น!

“แต่อะไร?” พีรพัฒน์ถามซ้ำเมื่อเห็นนางบัวศรีอ้ำอึ้ง

“อ่า...คือ...ป้าจะบอกว่า คนที่มาส่งเจ้าจิ๊บน่ะ ไม่ใช่คุณรักนะคะ แต่เป็นคุณ...”

“อืม! ผมรู้แล้วล่ะว่าเขากลับมากับใคร”

แล้วก็เท่านั้นเองที่คนที่นิ่งขึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจ้องเอกสารอยู่นานก็ได้ฤกษ์จะเงยหน้า “แต่ตอนนี้ รบกวนป้าช่วยไปตามเขามาพบผมหน่อย เดี๋ยวนี้เลย!”


วริณสิตาหยุดยืนประจันหน้ากับประตูไม้สักบานใหญ่ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในชีวิตเลย อึดใจหนึ่งที่แว่บขึ้นมาคือความรู้สึกว่าไม่อยากเคาะหรือเปิดเข้าไปเจอคนด้านใน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถจะทำได้ เพราะตอนที่นางบัวศรีมาตามก็หน้าเครียด บอกให้รีบๆมาพร้อมแย้มอยู่เลาๆว่า คนที่อยู่ในห้องดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

อารมณ์...ไม่ค่อยดีเท่าไหร่...

สาวน้อยลอบถอนใจ นึกบ่นตัวเองอยู่ว่าจะรู้สึกปอดๆทำไมในเมื่อจากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน เธอก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

ใช่...ก็อาจหาญไปสร้างความไม่พอใจให้คนสำคัญของเขานี่...

วริณสิตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอีกทีก่อนเงื้อมือเคาะประตูสองครั้ง และเมื่อเสียงทุ้มๆของคนในห้องเอ่ยปากอนุญาต สาวน้อยก็เปิดประตูเข้าไป ห้องทำงานนี้ก็ไม่ต่างไปจากห้องอื่นๆของคฤหาสน์ใหญ่หลังนี้ ที่มีพื้นที่โอ่โถงกว้างขวาง และงดงามเพราะตกแต่งด้วยเครื่องเรือนของประดับชั้นดีหรูหรา หากไม่ติดว่าตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะไม่ค่อยมั่นใจในชีวิตล่ะก็ วริณสิตาคงตื่นตากับความสวยหรูของห้องทำงานนี้มากแน่ๆ

สาวน้อยค่อยๆไล่สายตาไปกระทั่งได้พบ ว่าคนที่นึกเกรงๆอยู่ตอนก่อนเธอจะเข้ามาเขาก็นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดของห้อง และตอนนี้เขาเองก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ใบหน้าคมเข้มนั้นเรียบเฉยไร้รอยยิ้ม

เขาคงโกรธเธอ...เรื่องคุณหทัยรักจริงๆนั่นแหละ

วริณสิตารู้สึกโหวงๆกับความจริงข้อนั้น สาวน้อยหลุบสายตาลงต่ำ ไม่อาจหาญมองหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ

“มานี่ซิ” เสียงเขาสั่งสั้นๆ และถึงแม้จะสั่งห้ามตัวเองแล้ว แต่หัวใจสาวน้อยก็ยังเต้นโครมๆไปตลอดทางด้วยความรู้สึกหวั่นๆที่ห้ามไม่ได้ ปกติแล้ววริณสิตาไม่เคยหวั่นเกรงกับการถูกตำหนิต่อว่าหรือลงโทษชนิดไหน และเธอพร้อมจะอธิบายด้วยถ้าตัวเองมิใช่ฝ่ายผิด แต่มันไม่ใช่กับกรณีนี้เลย!

วริณสิตาบังคับตนเองให้ยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ตลอดเวลาสายตาจ้องพื้นเบื้องล่างกระทั่งเสียงทุ้มๆต้องเอ่ยถาม

“ไง ไปซื้อของกับคุณซ้งมา เป็นยังไงบ้าง?” แม้ฟังดูประโยคนั้นจะเป็นแค่การไถ่ถามธรรมดา ทว่ากระแสเสียงที่ใช้ก็มิได้ฟังดูแล้วอบอุ่นในหัวใจอย่างที่เคย

แน่ละ! ก็คุณพีเขาโกรธเธอนี่ แล้วนาทีนี้เธอยังจะคิดให้เขามาทำเสียงใจดี อบอุ่นเอื้อเอ็นดูกับคนที่สร้างความขุ่นใจให้คนสำคัญของเขาได้อย่างไร คนคิดสูดหายใจเข้าปอดยาวๆเพื่อขับไล่ความรู้สึกโหวงๆข้างใน

“ก็...ดีค่ะ” วริณสิตาไม่รู้จะตอบยังไงได้นอกจากคำนั้น แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่คำที่เข้าท่าเท่าไหร่ สีหน้าผู้ปกครองที่แค่นิ่งเฉยเลยชักจะบึ้งๆ

“แล้วไปกันถึงไหน ได้อะไรมาบ้าง?”

“ก็...ได้เสื้อผ้า...เจ็ดชุดค่ะ” วริณสิตายังคงก้มหน้าตอบอุบอิบ เพราะหลังจากความจริงข้อนี้ สาวน้อยก็คิดว่า คุณพีอาจจะไม่ได้โกรธเธอแค่เรื่องคุณหทัยรักแล้ว แต่อาจโกรธไปถึงเรื่องที่เธอไปได้เสื้อผ้ามาถึงเจ็ดชุดด้วย!

ก็เสื้อผ้าสวยๆใหม่ๆตั้งเจ็ดชุด! นั่นอาจมากเกินไปสำหรับเด็กยากจนที่มาขอพึ่งพิงอาศัยใบบุญเขาแล้ว!

แต่วริณสิตาก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะตอนที่ไป คนที่ช่วยเลือกซื้อให้เขาดูจะมีความสุขและสนุกมากกับการเลือกซื้อชุดให้เธอ

‘อุ๊ย! เหมือนได้เล่นแต่งตัวให้ตุ๊กตาไง อีกอย่างนะ เรื่องช่วยช็อปเสื้อผ้าน่ะ ขอให้บอก สุ่ยชอบจะตาย’

นั่นเป็นเหตุผลที่ สุภาวดี น้องสาวของสมศักดิ์ให้ก่อนพาเธอเดินเข้าเดินออกร้านเสื้อผ้าแล้วซื้อกระจายอยู่ตั้งหลายห้างโดยไม่มีการเหนื่อยแม้แต่นิด ส่วนวริณสิตาที่ถูกลากไปก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ คอยหันมามองสมศักดิ์อย่างไม่ค่อยมั่นใจว่าเธอจะมีสิทธิ์ซื้อนู้นซื้อนี่ได้ตามที่คุณสุ่ยเลือกให้ได้อย่างไร แต่สมศักดิ์ก็ยิ้ม บอกให้วางใจ

‘ไอ้พีมันไม่ว่าอะไรหรอกเชื่อผมสิ แต่ถ้ามันว่านะ หนูจิ๊บก็บอกไป ว่าเสื้อผ้าพวกนี้ผมจ่ายให้ รึถ้ามันยังไม่ยอมอีก ก็บอกไปว่าไม่รู้ ราคาเท่าไหร่คุณซ้งเขาไม่ได้บอก เดี๋ยวมันก็มาคุยกับผมเองแหละ’

และนั่นก็เป็นที่มาของเสื้อผ้าเจ็ดชุดที่ใส่ได้พอดีสัปดาห์ ที่จริงตั้งเจ็ดชุดนี่ สุภาวดีก็ยังมีข้อกังขา

‘อ๊าย! แล้วงี้วันจันทร์จะใส่อะไรล่ะ จริงๆควรต้องมีอย่างน้อยสักสิบห้านะ ถึงจะพอ’
‘เฮ้ย! เกินไป หนูจิ๊บเขาไม่ได้ครึ่งเดือนซักผ้าทีนะโว้ย’
‘แหมเฮีย!’ สุภาวดีไม่ยอมเลย ‘ผู้หญิงนะ จะให้เราใส่แต่เสื้อผ้าจำเจได้ไง มาพูดดักอีหรอบนี้ นิสัยเค็มคงกำเริบ กลัวงบบานแล้วน่ะซี้’

‘เอ่อ คุณสุ่ยคะ’ วริณสิตาก็ต้องรีบขัด เพราะไม่ใช่แค่สมศักดิ์หรอก ตัวเธอเองก็เกรงจะแย่ ‘แค่เจ็ดตัวก็เกินพอแล้วล่ะค่ะ เสื้อผ้าเก่าของจิ๊บก็มี’
‘แหม! หนูจิ๊บก็อีกคน’ และแม้ว่าสุภาวดีจะมีทีท่าฮึดฮัดเล็กๆเมื่อถูกขัดใจ แต่สาวหมวยก็ยอมยุติให้ ‘อ่ะๆ เสื้อน่ะแค่เจ็ดก็ได้ แต่อย่างอื่น ต้องมากกว่าเจ็ดนะ’
‘เหอ อะไรของแก อย่างอื่น’
‘อ้าว...’ สุภาวดีลากเสียงยาว นัยน์ตาพราวระยับ ‘ก็ชุดข้างใน ของใช้ส่วนตั๊วส่วนตัวของผู้หญิงไง!’

นึกขึ้นมาวริณสิตาก็หน้าร้อนวูบ เพราะอยู่กับยาย ยายก็สอนเสมอว่าไม่ให้พูดอะไรน่าอายในที่โจ่งแจ้ง แต่สุภาวดีก็ดูมั่นใจยามพูดถึงความจำเป็นของการซื้อ ชุดข้างใน ซึ่ง...มันก็จริงอยู่หรอก แต่วริณสิตาก็ยังกระดากอยู่ดี!

ยังนับว่าดีที่ท้ายสุดแล้วสุภาวดีเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดรวมถึงเรื่องจ่ายเงินค่า ‘ชุดข้างใน’ ให้ก่อนด้วย ไม่งั้นวริณสิตาไม่ยอมเอาด้วยแน่!

“แล้วมีแค่นั้นรึ เสื้อผ้าเจ็ดตัว?” เสียงทุ้มๆเจือแววกรุ่นๆดึงเธอกลับมา แต่นั่นก็ทำให้วริณสิตายิ่งก้มหน้าหนักลงไปอีก เพราะการโกหก ไม่บอกความจริงนี่ก็ใช่ เป็นสิ่งที่ยายห้ามนัก!

“เอ่อ...คือ...” สาวน้อยอ้ำอึ้ง ผิวหน้าแดงปลั่ง และนั่นละ! เท่านั้นก็พอแล้ว!

“เอาล่ะพอๆ!” พีรพัฒน์สวน เขาไม่นึกอยากจะได้ยินบางคำที่กำลังจะหลุดออกมา “แล้วเขาพาไปถึงไหน” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง แต่คำตอบสั้นๆที่ได้รับก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนักเลย

“ไม่ทราบค่ะ”

พีรพัฒน์พ่นลมหายใจออกไป

“เขาพาไปห้างไหน ชื่ออะไรเธอไม่รู้รึ?”

“ไม่ทราบค่ะ”

“แค่แถวไหนของกรุงเทพฯ เธอก็ไม่รู้?”

“ไม่ค่ะ”

และนั่นก็ทำให้ความอดทนของคนบางคนสิ้นสุด ชายหนุ่มโพล่ง

“ไม่ทราบค่ะ! ไม่ทราบค่ะ! นี่ถ้าหากเขาหลอกพาไปขายเนี่ย เธอจะทราบบ้างมั้ย ฮึ?!”

นานนิ่งชั่วอึดใจหลังหลุดโพล่งประโยคหงุดหงิดออกไป ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ! กระทั่งเกือบนาทีเต็ม เสียงอ่อนๆก็เอ่ย

“ไม่ทราบค่ะ”

“เฮ่อ!” พีรพัฒน์กระแทกลมหายใจออกไปแรงๆ บ้าชะมัด! เขาไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดจนเผลอขึ้นเสียงใส่ใครแบบนี้มาก่อนเลย ชายหนุ่มฉวยแซนวิชในจานขึ้นมาเมื่อนึกถึงว่า ไอ้อาการฉุนเฉียวนี่อาจเกิดจากภาวะการณ์โมโหหิวก็เป็นได้!

ใช่! เพราะนาทีนี้คงมีเขาแค่คนเดียวเท่านั้นแหละมั้งที่ยังไม่ได้กินข้าว! คิดแล้วก็กัดแซนวิชหงับๆอย่างหงุดหงิดใจและเลี่ยงจะไม่มองใครที่อยู่ตรงหน้าให้นึกโมโหด้วย แต่ทว่า...

“ดิฉัน...” จู่ๆเสียงอ่อนๆของวริณสิตาเอ่ยขึ้น ดวงหน้าที่เคยก้มต่ำ บัดนี้เชิดรั้น และแววตามุ่งมั่นแบบเมื่อครั้งแรกพบนั้นก็ปรากฎเด่นชัด

“ดิฉันไม่ทราบจริงๆค่ะ ว่าที่ๆคุณซ้งกับคุณสุ่ยพาไปคือห้างอะไร อยู่ที่ไหน เพราะไม่เคยไปไหนมาไหนในกรุงเทพฯมาก่อนเลย จึงไม่รู้จักชื่อห้างอะไรแม้แต่นิดเดียว” คำอธิบายอย่างเป็นทางการนั้นยังกระแทกโสตประสาทไม่ชัดเท่ากับชื่อแปลกปลอมอีกชื่อที่สาวน้อยเพิ่งเอ่ย พีรพัฒน์ขมวดคิ้ว

“อะไรนะ คุณสุ่ยรึ?”
“ใช่ค่ะ” วริณสิตาตอบชัด “ดิฉันเคยอยู่แต่บ้านนอกกับยาย ไม่รู้จักถนนหนทางอะไรในกรุงเทพฯที่คุณซ้งกับคุณสุ่ยพาไปหรอกค่ะ”

เท่านั้นเองอารามโมโหก็ลดฮวบ และถูกควบแทนด้วยอาการพูดไม่ออกกะทันหัน ก็เพิ่งจะรู้ว่าสองคนเขาไม่ได้ไปกันตามลำพังสักนิด! คิดไปคิดมาก็น่าจะใช่ เพราะไอ้ซ้งมันคงไม่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นไปได้เพียงเพราะแค่พูดว่า สาวเปรี้ยวๆชอบใส่กระโปรงสั้นหรอก!

เวรเอ๊ย!

“เอ่อ...” พีรพัฒน์เหมือนจะรู้สึกผิด เขานึกอยากพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ดูเหมือนเด็กสาวตรงหน้าจะไม่เปิดโอกาสเลย สาวน้อยยังคงเชิดหน้าอย่างไว้ตัว

“ดิฉันต้องขออภัย เพราะไม่ทันนึกว่าคุณพีอาจจะต้องการรู้ชื่อสถานที่ และพอดีว่าคุณซ้งคุณสุ่ยก็จะต้องรีบกลับไปทานอาหารเย็นกับที่บ้านด้วย เลยไม่ทันได้ถามไว้ หากคุณพีจะโกรธหรือไม่พอใจก็เป็นความผิดของดิฉันเองล่ะค่ะ”

“อะไรนะ...” และหนนี้พีรพัฒน์ก็ถึงกับคราง เพราะนั่นก็ยิ่งหนักไปอีก!

ที่ไอ้ซ้งมันรีบ เพราะจะกลับไปกินข้าวกับที่บ้าน! ถ้างั้นแล้วคนที่เชิดหน้า ยืนอธิบายใส่เขาเป็นชุดๆนี่เล่า

“เอ่อ...งั้น...เธอก็ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลยใช่ไหม?”

คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร แต่เรื่องแบบนี้ใครก็เดาได้ พีรพัฒน์เลยได้แต่กะพริบตา มองแซนวิชในมือที่ตัวเองซัดหงับๆไปเสียเกือบหมดอันแล้ว

โธ่เว้ย! บ้าชิบ! พีรพัฒน์จัดแจงจะลุกจากโต๊ะทันที “งั้นก็ไป เราลงไปทาน”

แต่ทว่า...

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” วริณสิตาว่า “ดิฉันไม่ได้หิวมากนัก”

เท่านั้นคนชวนก็ชะงัก ความรู้สึกผิดชักจะอันตรธานเมื่อรู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้านี่น่ะ

ชักจะอวดดีเกินไปแล้ว!

“อ่อ!” พีรพัฒน์แค่นยิ้ม “ดี! ในเมื่อเธอบอกว่ายังไม่หิวก็ดี งั้นฉันก็มีเรื่องจะคุยกับเธอต่อเหมือนกัน!”
......................



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 เม.ย. 2554, 09:50:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2554, 09:50:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 3462





<< ตอนที่ 16   ตอนที่ 18 >>
สะเรนี 21 เม.ย. 2554, 12:28:08 น.
หนุกๆ


panon 21 เม.ย. 2554, 12:50:20 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


เจ้าหญิงสุเอะ 22 เม.ย. 2554, 01:01:16 น.
โล่งอกไปเนอะคุณพี มีคนอื่นไปด้วย


ปั้นฝัน 22 เม.ย. 2554, 22:18:29 น.
ชักจะหวงเค้าแล้วอ่ะเด้..อิ อิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account