กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 18

ตอนที่ ๑๘

คนพูดกระแทกตัวกลับลงนั่งบนเก้าอี้ คว้าเอกสารขึ้นมาและสองตาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับวริณสิตาอีกต่อไป
“เรื่องเรียนของเธอ” เขาพูดสั้นๆ แต่คำนั้นส่งผลให้หัวใจเด็กสาวเต้นไหวอยู่วูบๆ นั่นเพราะ ‘นั่น’ คือสิ่งสำคัญและเป็นเหตุผลตั้งต้นทุกอย่างที่ทำให้เธอต้องมายืนอยู่ตรงนี้ด้วย

...ใช่ เรื่องการเรียนต่อของเธอ...

‘โอโฮ้! หนูจิ๊บสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วด้วย เก่งจัง’

‘ไม่หรอกค่ะ’ สาวน้อยจำได้ว่าตัวเองตอบอุบอิบไปอย่างนั้นตอนที่สมศักดิ์ถามและเล่นชมเสียจนรู้สึกกระดากเล็กๆ
วริณสิตาไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจอะไรเลย แต่เพราะความที่ไม่อยากทำให้ยายต้องเสียใจ สาวน้อยจึงตั้งใจเรียนสม่ำเสมอ อาจารย์สมร อาจารย์ประจำชั้นม. ๖ ของเธอจึงให้ความเอ็นดูและช่วยเหลือเธอทุกๆอย่างเกี่ยวกับการสอบตรงเพื่อเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่สมัครให้ จนถึงขั้นพามาสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ ซึ่งวริณสิตาเองก็สอบผ่าน เธอจึงเหลือแค่รอวันรายงานตัวเข้าเป็นนักศึกษาเท่านั้น ความฝันกับการเรียนระดับปริญญาดูเป็นรูปร่างขึ้นเกือบชัด กระทั่งทุกอย่างต้องหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อยายไม่สบายมากจนจากไปในที่สุด

แล้วเรื่องเรียนของเธอก็กลับมาเป็นเรื่องเลือนลางไม่มีความแน่นอนอีกครั้ง

‘นี่! รู้มั้ย’ สมศักดิ์ว่า ขยิบตาให้ ‘ผมกับไอ้พีก็จบมาจากมหาวิทยาลัยนั้นนะ แต่จบจากคณะวิศวะฯน่ะ ไม่ใช่คณะที่หนูจิ๊บสอบเข้าไป’

และนั่นก็ทำให้วริณสิตาได้รู้ว่าพีรพัฒน์เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยที่เธอเลือกสอบตรงเข้าไปเรียน แต่ความจริงข้อนั้นก็ไม่ได้ยืนยันว่าอนาคตเธอจะได้เข้าไปเป็นรุ่นน้องของเขา เพราะการสอบตรงนั้นเป็นการตัดสินใจเลือกเรียนตามใจของตัวเธอเองก่อนที่ยายจะเสียไป ซึ่งนาทีนี้คุณพีเขาอาจไม่เห็นดีด้วยก็ได้

“สำหรับเรื่องเรียนของเธอ” เสียงทุ้มๆเอ่ย “ฉันคิดดูแล้วว่าเรียนบริหารหรือไม่ก็การบัญชีน่าจะเหมาะ” ประโยคนั้นฟังดูเด็ดขาด คำพูดของสมศักดิ์วกกลับเข้ามาในความคิดของวริณสิตาอีกครั้ง

‘ดูท่ามันนิ่งเหมือนดุๆนะ แต่จริงๆแล้วไอ้พีมันไม่ใช่คนใจร้ายหรอก เพียงแต่หนูจิ๊บต้องกล้า กล้าพูด กล้าบอกมันเท่านั้น รับรองมันไม่ใช่คนชอบบังคับใครแน่’

“แต่ฉันไม่บังคับหรอกนะ” เสียงทุ้มๆยังคงว่า “ก็ให้ขึ้นกับเธอ ว่าสองอย่างอยากจะเลือกเรียนอะไร แต่ถ้าเป็นบริหารเธอก็คงหาที่เข้าเรียนได้ง่ายหน่อย เพราะคุณรักเขาจบด้านนั้น แล้วเขาก็มีเพื่อนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนหลายที่ คุณรักเขาคงช่วยเธอได้เรื่องเลือกมหาวิทยาลัยที่เรียน”

วริณสิตารู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผาก นี่น่ะหรือที่เรียกว่าไม่ชอบบังคับ หากแต่ที่สุด สาวน้อยก็ยังพยายาม เค้นคำที่อยากจะพูดออกมา

“ดิฉัน...ไม่อยากเรียนบริหารค่ะ” ประโยคนั้นเบาหวิว ทว่ากระนั้นก็ยังก็ก่อปฎิกิริยาแทบจะทันควันเมื่อนัยน์ตาคมปลาบตวัดจากเอกสารบนโต๊ะทำงานขึ้นมองหน้าเธอทันที คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันอย่างเอาเรื่องและ...ดูเคืองโกรธ

“ดิฉัน?” พีรพัฒน์ย้อนเสียงสูง “เธอคิดว่าตัวเองอายุห่างกับฉันสักกี่ปี่กันฮึ วริณสิตา?!”

ใบหน้าวริณสสิตาร้อนเห่อ แน่นอน! เธอรู้ว่าเขาคงอายุมากกว่าเธอไม่ต่ำกว่าหนึ่งรอบหรอก!

“ต่อไป เวลาพูดกับฉันให้แทนตัวเองว่าหนู หรือไม่ก็ชื่อเล่นของเธอ เข้าใจมั้ย!” คำสั่งเสียงเข้มนั้นเด็ดขาดและทรงอำนาจตามเคย วริณสิตาฝืนกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากเย็น

“ค่ะ”

“ดี! งั้นลองบอกมาใหม่ซิ ถ้าไม่อยากเรียนบริหาร แล้วเธออยากจะเรียนอะไร?”

“เกษตรค่ะ” เสียตอบนั้นก็ยังคงแผ่ว ทว่าเจือแววหนักแน่นจริงจังนัก

พีรพัฒน์หรี่ตาลงทันที

จริงสิ ครั้งแรกที่เจอกัน เด็กคนนี้ก็เคยบอกชัดแล้วว่าอยากทำการเกษตร... ชายหนุ่มนิ่งไปอย่างครุ่นคิด และท่าทีเช่นนั้นก็สร้างความไม่มั่นใจให้วริณสิตาจนเต็มเปี่ยม

“คือดิฉั...” ริมฝีปากบางต้องรีบหุบฉับเมื่อเกือบพลัดหลุดสรรพนามแสนสุภาพไม่เข้าท่าให้อีกฝ่ายได้ขมวดคิ้วจ้องตาเป๋ง วริณสิตารีบก้มหน้างุด “...เอ่อ...คือ...หมายถึง...หนู...” สาวน้อยตัดสินใจใช้สรรพนามว่าหนูในที่สุด เพราะหากคำสุภาพอย่าง ‘ดิฉัน’ ให้ความห่างเหินไม่เหมาะสม ถ้าอย่างนั้นคำว่า ‘หนู’ อย่างที่เขาว่า ก็อาจเหมาะกับสถานะผู้ปกครองกับเด็กในปกครอง ที่อายุต่างกันไม่ต่ำกว่ารอบก็เป็นได้

“หนู...อยากเรียนคณะเกษตรค่ะ คุณพี...อาจจะยังไม่ทราบ แต่ว่า...หนูสอบตรงติดคณะนี้แล้วค่ะ เหลือแค่...ไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยเท่านั้น” แล้ววริณสิตาก็เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยไป ใจตุ๊มๆต่อมๆว่าคนตรงหน้าจะคิดอย่างไรที่รู้ว่าเธอสอบติดในสถาบันที่เขาจบมา และมันจะทำให้เขาใจอ่อนไหมว่า...เธอจะเรียนที่นั่น...ในคณะเกษตรที่ต้องการได้ แต่ทว่า...

“อืม!” พีรพัฒน์ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยทีท่าแสนสบาย “แต่ฉันไม่คิดนะ ว่าการเรียนเกษตร ปลูกพืชปลูกผักมันจะเป็นประโยชน์อะไรกับฉันหรืองานของฉันได้” เขาพูด แสร้งเลิกคิ้วถาม “จริงมั้ย?”

ใช่! ก็ธุรกิจของป้าอังคืองานด้านอสังหาริมทรัพย์ เพราะงั้นการเรียนการสอนของคณะเกษตรคงไม่ช่วยอะไร!

พีรพัฒน์คลี่ยิ้มมุมปาก แอบนึกขันๆเมื่อเห็นสาวน้อยที่เขารู้สึกว่าเธอไม่ค่อยจะยอมแพ้ได้แต่นิ่ง

แน่ละ! พีรพัฒน์แน่ใจ ว่าวริณสิตาคงนึกสรรหาคำมาหักล้างเขาไม่ได้ ชายหนุ่มส่งแซนวิชที่เหลืออีกครึ่งอันเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ถึงนาที เสียงอ่อนๆก็เอ่ย

“ค่ะ มันอาจไม่มีประโยชน์กับงานของคุณพี แต่ว่า...” สาวน้อยหลุบตา ถามกลับเรียบๆว่า “เวลาหิว คุณพีทานเอกสารงานบนโต๊ะพวกนี้แทนข้าวได้ไหมล่ะคะ”

“อะไรนะ?” พีรพัฒน์คราง ก็ทั้งโลกน่ะ มีผู้หญิงแค่คนเดียวเท่านั้นที่เคยย้อนถามเขาด้วยคำถามประมาณนี้...

คุณดวงทิพย์!


ฝนหลงฤดูที่โปรยปรายมาเมื่อคืนส่งผลให้พื้นสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่นั้นดูเขียวสดและฉ่ำไปด้วยน้ำ ต้นหมากรากไม้ต่างๆรวมถึงแนวกุหลาบโทรมๆที่ขนาบไปกับแนวกำแพงบ้าน ยามได้รับหยาดน้ำจากพระพิรุณก็เริ่มคืนชีวิต แตกใบอ่อนกลับขึ้นมาด้วยความสดใส

วริณสิตาย่อตัวลงนั่งยองๆ จ้องมองยอดอ่อนแตกใหม่ของกุหลาบที่เคยโทรมจนเหลือแต่ก้าน ต้นนี้พิเศษนิดตรงที่มีดอกตูมเล็กๆติดอยู่ตรงปลายที่แตกใหม่ด้วย มันกำลังเริ่มจะออกดอกแล้ว สาวน้อยคลี่ยิ้มเบาบาง หากไม่ใช่เวลาที่มีเรื่องว้าวุ่นใจอยู่มากอย่างนี้ กุหลาบตูมเล็กๆนี่คงทำให้เธอยิ้มกว้างอย่างมีความสุขได้

วริณสิตาผ่อนลมหายใจยามเอื้อมมือไปสัมผัสดอกตูมอ่อนนั่นแผ่วๆ สามวันแล้วหลังจากที่พีรพัฒน์เรียกเธอเข้าไปคุย แม้วริณสิตาจะไม่ได้ถูกเขาดุด่าว่ากล่าว หรือจะเล่าให้ถูกก็คือเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เธอไปทำให้หทัยรักโกรธเลย วริณสิตาคิดว่าเขาลืม เพราะ...เขาคงโกรธเธอด้วยเรื่องอื่นมากกว่าไปแล้ว!

‘เวลาหิว คุณพีทานเอกสารงานบนโต๊ะพวกนี้แทนข้าวได้ไหมล่ะคะ’ วริณสิตาผ่อนลมหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ที่ย้อนถามไปเธอไม่ได้คิดจะยียวนกวนประสาทอะไรเลยจริงๆ วินาทีนั้นเธอก็แค่คิดสรรหาเหตุผลที่จะทำให้เรื่องงานเกษตรกลายเป็นสิ่งจำเป็นสุดๆต่อชีวิตมวลมนุษย์

และแน่ละ สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่คิดได้ ก็คือมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารที่เอาไว้กินเพื่อดำรงชีวิตไง

สาวน้อยพูดความจริง แต่มันคงเป็นสิ่งไม่เหมาะหู

แม้นาทีนั้นพีรพัฒน์จะแค่ไล่เธอออกมาและไม่ได้ด่าว่าอะไรกับความจริงที่เหมือนกวนประสาทนั่น แต่นั่นอาจเป็นเค้ารางเลวร้ายมากยิ่งกว่าก็ได้ เพราะตั้งแต่วันนั้นมาพีรพัฒน์ก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเรียนของวริณสิตาอีกเลย

และพรุ่งนี้ก็จะถึงกำหนดวันรายงานตัวแล้ว ซึ่งตามระเบียบการ มีประกาศไว้ชัด หากใครไม่ไปรายงานตัวก็ถือว่าสละสิทธิ์!

แต่คิดไปคิดมา วริณสิตาก็คิดว่าตัวเองท่าจะบ้า ก็หลังจากที่ปากไม่ดีย้อนเขาไปแบบนั้นแล้ว เธอยังจะมีหน้าไปคิดห่วงเรื่องรายงานตัวอีก เด็กบ้านนอกไร้สัมมาคารวะอย่างเธอ แม้แต่บริหาร เขาก็อาจไม่อยากส่งเสียให้เรียนแล้ว

“ยายจ๋า จิ๊บขอโทษนะจ๊ะ” วริณสิตาพึมพำแผ่วเบา ในใจหวิวไหวขึ้นมายามนึกถึงว่า สุดท้ายอนาคตเธอก็คงไม่ได้ร่ำเรียนให้สูงอย่างที่ยายอยากให้เป็น

“ทำอะไรรึ?” เสียงทุ้มๆที่เอ่ยถามจากด้านหลังส่งผลให้คนถูกถามต้องรีบดันตัวลุกขึ้นแล้วหันไปมองคนเป็นต้นเสียง เมื่อเจอ วริณสิตาก็ได้แต่ก้มหน้าจ้องมองรองเท้าและไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้สนใจนัก พีรพัฒน์ก้าวเข้ามาใกล้ก่อนชะโงกไปหน้ามองจุดที่สาวน้อยเพิ่งลุกขึ้นมา

“ดูกุหลาบหรือ?” แล้วเขาก็ถามอีก หนนี้คงกลายเป็นการไม่มีมารยาทอย่างเต็มที่หากจะนิ่งไม่ตอบอีก วริณสิตาจึงพยักหน้า สายตาไม่ได้ละจากปลายเท้าแม้แต่นิด

“ค่ะ กุหลาบพวกนี้มันแตกยอดใหม่แล้ว แล้วต้นนี้ก็มีดอกตูมเล็กๆออกมาด้วย”

ที่จริงวริณสิตาก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมตัวเองถึงต้องไปบอกเขาด้วยเรื่องกุหลาบออกดอก มันคงออกจะงี่เง่าและไม่น่าสนใจสำหรับเขาหรอก แต่นั่นล่ะ เธอจะทำอย่างไรได้ในเมื่อเผลอพูดไปแล้ว วริณสิตาได้แต่ก้มหน้าหลุบตาลงกว่าเก่า

“อือ!” สาวน้อยได้ยินเสียงเขาฮืมฮัม ก่อนร่างสูงๆนั้นจะย่อตัวแล้วชะโงกหน้าไปมองกุหลาบใกล้ๆ “ต้นนี้สินะ เห็นโกร๋นๆ นึกว่าจะตาย ที่ไหนได้ออกดอกซะแล้ว”

ชั่วเสี้ยวนาที สีหน้าของพีรพัฒน์ตอนพินิจพิจารณาดอกตูมบนต้นกุหลาบ ดูเหมือนเขาก็จะเห็นว่ามันเป็น...สิ่งมหัศจรรย์...เช่นเดียวกันกับเธอ สาวน้อยค่อยๆกะพริบตา

“ว่าแต่” พีรพัฒน์ยืดตัวลุกขึ้นมาและไม่ได้มีทีท่าสนใจกับสิ่งมหัศจรรย์ในความคิดของวริณสิตาอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและจ้องมอง “ทำไมฉันถึงไม่เห็นเธอใส่เสื้อใหม่ที่ไปซื้อกับคุณซ้งวันนั้นเลย ทำไมล่ะ หรือมันไม่สวย ไม่ชอบอีกงั้นรึ?”

กับคำถามนั้น ก็รีบส่ายหน้า ปฎิเสธเบาๆ

“เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไมถึงไม่เห็นเธอใส่?” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่วริณสิตาไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะมันก็คือเหตุผลเดิมๆ ว่าของดีมีราคาวริณสิตาไม่คุ้น สาวน้อยไม่เคย ไม่ชิน ไม่แน่ใจและเหนือสิ่งอื่นใด...

แม้พีเขาจะบอกว่าจะอุปการะเธออย่างน้องสาว แต่จงคิดให้หนักๆเชียว สำเหนียกตัวเองไว้ให้ดีด้วยว่า ไอ้คนที่ยากจนจนต้องมาขอความอุปการะจากเขาน่ะมันควรจะอยู่ในฐานะอะไร!

“อืม! เอาเถอะ” เมื่อเห็นเด็กสาวเอาแต่นิ่งเหมือนไม่อยากตอบ พีรพัฒน์ก็ตัดบท “จะเพราะอะไรก็ช่าง มันเป็นเรื่องของเธอ แต่ตอนนี้” คนพูดเน้นคำเต็มที่ “ฉันสั่ง ให้เธอไปเปลี่ยนชุดมา เสื้อผ้าที่คุณซ้งซื้อให้ เพราะฉันจะให้เธอไปข้างนอกกับฉันหน่อย เดี๋ยวนี้เลย”

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอยู่นิดในชั่วเสี้ยวของวินาทีก่อนเสียงอ่อนๆจะเอ่ยรับ

“ค่ะ” คำนั้นสั้นๆและฟังแสนสุภาพ ทว่าโทนเสียงราบเรียบที่ใช้นั้นกลับสื่ออะไรให้คนฟังได้มากกว่าภาษาพูด พีรพัฒน์มองตามร่างบอบบางของเด็กในปกครองที่หมุนตัวหันหลัง แล้วก้มหน้าก้มตาก้าวออกไปจากสนามเพื่อจะไปปฏิบัติตาม ‘คำสั่ง’ ของเขาด้วยท่าทีจริงจัง

เห็นแล้วผู้ปกครองก็ได้แต่ลอบถอนใจ ใช่ว่าชายหนุ่มจะไม่สังเกตว่าวริณสิตาเซื่องซึมลงไปกว่าเดิมขนาดไหน แม้เด็กคนนี้จะยังมิได้ให้ความสนิทสนมถึงขนาดจะกล้าพูดคุยสนุกสนานกับผู้ปกครองอย่างเขา แต่พีรพัฒน์ก็เคยเห็น ยามที่ลอบสังเกตเองอยู่เงียบๆ คราใดที่แม่สาวน้อยได้หยิบจับช่วยนางบัวศรีหรือนายก้านทำงานบ้าง แววสุกใสก็ฉายชัดในดวงตา

ทว่าแววนั้นจะหายไปสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

และก็ใช่ว่าพีรพัฒน์จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขารู้ ว่าแม่สาวน้อยก็คงคิดหวั่นไม่มั่นใจอนาคตตัวเองอีก
จะได้เรียนในสิ่งที่ใฝ่ฝันไหม พีรพัฒน์ยังไม่ได้ให้คำตอบ

ความจริงมิใช่เขาจะกลั่นแกล้งให้สาวน้อยไม่สบายใจ แต่ตลอดสองมาวันนี้พีรพัฒน์ยุ่งมหาศาล ชายหนุ่มมีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำมากมาย ไหนจะงานของพีแอลเอสที่เขาต้องไปคู่กับสมศักดิ์ เพราะต้องช่วยกันจัดการวางระบบรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายให้บริษัทของลูกค้าซึ่งรายนี้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ แล้วไหนจะงานบริหารของเอพีกรุ๊ปที่มีสาระสำคัญมากกว่าแค่การเข้าประชุมหรือหลับหูหลับตาเซ็นชื่อลงบนเอกสารอีก นั่นเพราะการเซ็นแต่ละครั้งมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในธุรกิจมูลค่ามหาศาล การไตร่ตรองทำความเข้าใจให้รอบครอบจึงสำคัญ

และพีรพัฒน์เองก็รู้สึกว่าตนยังไม่สันทัดธุรกิจของเอพีกรุ๊ปนักด้วย งานนี้จึงถือว่าหนักสำหรับเขา แม้ช่วงต้นจะมีคนปวารณาตัวช่วย แต่ดูเหมือนช่วงนี้สาวสวยคนนั้นจะกลัดกลุ้มวุ่นวายกับปัญหาผู้หญิงแปลกหน้าของบิดาเสียจนไม่มีแก่ใจจะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจงานของเอพีกรุ๊ปเลย ดังนั้นสองวันมานี้ พีรพัฒน์จึงต้องดูเอาเองล้วนๆ

และนอกเหนือจากงานบริษัทที่ทำแล้ว เขายังต้องจัดการเรื่องในบ้านอีก

พีรพัฒน์ตัดสินใจย้ายห้องของตนเองจากปีกซ้ายไปอยู่ห้องทางปีกขวาของดนัยวัฒน์แทนเมื่อรู้สึกว่าอาจไม่เหมาะนักที่ห้องนอนของเขาจะอยู่ฟากเดียวกับเด็กสาวในปกครอง เพราะถึงแม้เขาจะบริสุทธิ์ใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำครหานินทาจากคนภายนอกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายแสนง่ายกับเรื่องประเภทนี้ แล้วก็นั่นล่ะ เหล่านั้นคืองานราษฎร์งานหลวงที่ทำให้พีรพัฒน์แทบจะไม่มีเวลาคุยอะไรเพิ่มเติมกับวริณสิตาเลย แต่ถึงแม้จะยุ่งขนาดไหน คนหนึ่งคนที่พีรพัฒน์ให้ความสำคัญและคุยด้วยเสมอแทบทุกวันก็คือ...คุณดวงทิพย์

ใช่! เพราะแม้งานจะยุ่ง เรื่องจะเยอะจนไม่มีเวลาในช่วงปกติธรรมดาสักแค่ไหน คนเป็นแม่จะไม่เคยต่อว่าเลยถ้าลูกจะโทร.หาดึกๆดื่นๆ ดังนั้นพีรพัฒน์จึงคุยกับคุณดวงทิพย์เสมอ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวริณสิตา

ชายหนุ่มยังจำได้ว่าคุณดวงทิพย์ร้อง ‘ฮ้า!’ แล้วหัวเราะนักหนาตอนที่เขาเล่าว่าเด็กคนนั้นย้อนถามเขาด้วยคำถามอะไร

‘เวลาหิว คุณพีทานเอกสารงานบนโต๊ะพวกนี้แทนข้าวได้ไหมล่ะคะ’

มันคล้ายกับตอนที่คุณดวงทิพย์เคยถามสมัยที่เขายังเรียนอยู่ตอนปีสามไม่มีผิด

‘แม่ถามจริงๆ เวลาหิวน่ะ พีจะกินเครื่องคอมฯของพีแทนข้าวได้มั้ย’ คำถามนั้นกลายเป็นสิ่งฝังใจเพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่พีรพัฒน์ทำให้แม่โกรธด้วยการเอาแต่ขะมักเขม้นกับการฝึกเขียนโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์เสียจนไม่สนใจข้าวปลาที่คุณดวงทิพย์อุตส่าห์ยกมาให้ด้วยความห่วง

‘หึๆ สงสัยพีต้องหาเวลาพาแม่หนูคนนี้มาหาแม่บ้างแล้วล่ะ’ และนั่นเป็นคำเปรยๆของคนเป็นแม่ที่พีรพัฒน์ตั้งใจแน่ๆว่าจะทำ


รอไม่เกินสิบนาทีเด็กในปกครองของพีรพัฒน์ก็กลับมาหน้าบ้านอีกครั้งด้วยชุดใหม่ ชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ตรงชุดรับแขกที่สนามได้แต่กะพริบตา ยอมรับเลยว่าถ้าชุดนี้สมศักดิ์เป็นคนเลือก เขาก็คงมีเพื่อนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งตัวให้เข้าท่าอย่างไม่รู้ตัวไปแล้ว

วริณสิตาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีส้มอ่อนธรรมดาๆ กับกางเกงผ้าห้าส่วนสีเทาที่เข้ารูปเล็กน้อย ไหล่บางๆคล้องกระเป๋าผ้าทรงกลมใบน้อยไว้หนึ่งใบ และ...ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ใช่! ไม่มีอะไรมากกว่านั้น สาวน้อยไม่ได้สวยเลิศชวนตะลึงอย่างนางฟ้า ทว่ากลับตรึงสายตาเพราะความน่ารักและสิ่งที่เรียกว่าการแต่งกายที่งามสมวัย

“อืม! ก็เข้าท่าดีนี่” พีรพัฒน์ดันตัวลุกจากเก้าอี้ “ชุดนี้คุณซ้งเลือกให้รึ?”

“เปล่าค่ะ” วริณสิตาตอบ “ชุดนี้คุณสุ่ยเป็นคนเลือกค่ะ”

เท่านั้นผู้ปกครองก็ยิ้มละไม

“อือ! งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ว่าแล้วเขาก็เดินนำหน้าวริณสิตาไป สาวน้อยก็ได้แต่ก้มหน้าน้อยๆเดินตามต้อยๆ กระทั่งขึ้นมานั่งอยู่คู่กันในรถยุโรปคันหรู เด็กในปกครองของพีรพัฒน์ก็ยังไม่พูดไม่ถามอะไรสักนิด

นี่ไม่ได้คิดจะอยากรู้เลยรึว่าเขาจะพาตัวเองไปไหน คนคิดได้แต่นึกขำ แล้วก็อดไม่ได้

“นี่ไม่คิดจะถามเลยหรือไง ว่าจะพาไปไหน หากฉันหลอกพาเธอไปขายเนี่ย จะทำยังไงฮึ?” เขาถามแหย่ แต่ทว่า...

“ก็...คงทำอะไรไม่ได้” เสียงอ่อนๆบอก “เพราะต้องแล้วแต่ผู้ปกครองค่ะ”

“อ้อ! งั้นถึงที่แล้ว เธอก็ค่อยรู้แล้วกัน!”
.......................

สวัสดีค่ะ!

ขออภัยจริงๆจ้า อาทิตย์นี้ติดงานอบรมที่ทำงานตลอด ๕ วัน ไม่สะดวกจะลงนิยายอย่างที่คุยไว้อย่างสิ้นเชิง (แงๆ เสียใจ)

เจอกันใหม่อาทิตย์หน้าค่ะ จะพยายามเข็นตอนที่ ๒๙ มาให้ด้วยจ้า สัญญาเลย



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2554, 21:51:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 เม.ย. 2554, 21:51:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 4110





<< ตอนที่ 17   ตอนที่ 19 >>
Gingfara 26 เม.ย. 2554, 21:57:48 น.
ในที่สุดก็มาแล้วนะคะ^^
แล้วเจอกันนนะคะ จะรอค่ะ


ree 26 เม.ย. 2554, 22:30:06 น.
ตามมารอด้วยคนจ้า


เจ้าหญิงสุเอะ 27 เม.ย. 2554, 01:54:29 น.
จะรออาทิตย์หน้าค่ะ


wii 27 เม.ย. 2554, 09:14:07 น.
มีผู้ปกครองอย่างนายพีก็น่าตบกะโหลกจริงๆทำอะไรไม่นึกถึงจิตใจของคนอื่นมั่งเล๊ย


panon 27 เม.ย. 2554, 16:00:16 น.
จะรอนะจ๊ะๆๆๆๆๆ


ปูสีน้ำเงิน 27 เม.ย. 2554, 23:48:40 น.
^o^


HoneyPuifai 10 ก.พ. 2556, 19:49:01 น.
ตานี่! แกล้งเด็กนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account