ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๐๓

เรือนชายน้ำของบ้านเจ้าคุณอเนกคุณากร เป็นเรือนแฝดปลูกบนแพลูกบวบ มีฝาขัดแตะกั้นไว้สองด้าน ไม่มีหน้าต่างแต่มีไม้ไผ่สานเป็นตารางห่างๆ พอให้เป็นช่องระบายลม ด้านที่เปิดโล่งนั้นหันออกยังลำคลองสายใหญ่ ที่มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี

หน้าแพยังกั้นทุ่นบอกอาณาเขต ปลูกทั้งบัวขาวและบัวแดง กินพื้นที่ไปถึงกลางธารน้ำ บนแพมีตั่งใหญ่ตั้งไว้โดดๆ สำหรับประกอบการกิจสารพัด

พอเห็นว่าผู้เป็นบิดาติดธุระจะต้องไปสะสาง อุ่นเรือนจึงชวนให้ทรงธรรมมาหัดดนตรีกับตน ที่เรือนแพแสนสบายหลังนี้

สำหรับชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าในอาภรณ์สตรี อุ่นเรือนยิ่งสวยงามจับใจ เขาก็ยิ่งหมายมั่นว่า จะต้องได้ผูกสมัครรักใคร่ ร่วมหอลงโลง อยู่กินฉันสามีภรรยากับเธอให้จงได้

ขณะที่อุ่นเรือนนั้นก็มอบใจให้กับทรงธรรมตั้งแต่แรก ที่ชวนมาพักอยู่ด้วยกันที่เรือนนี้ ก็เพราะอยากให้เห็นว่าตนนั้นมีฐานะและรูปโฉมงดงาม เหมาะสมกับเขาเพียงไร

"ต้องสอนใกล้ชิดขนาดนี้เชียวหรือคะพี่ธรรม์"

อุ่นเรือนแกล้งเอียงอายไปอย่างนั้น เพราะก็พอใจกับสัมผัสของชายหนุ่ม ที่อ้อมโอบประคองมือ ให้หัดกดหัดดีดสายจะเข้ตัวใหญ่

"ใช่ซีจ๊ะ ไม่จับมือสอนจะเป็นเมื่อไร หรือว่าแม่อุ่นรังเกียจพี่"

พูดจบเขาก็ถือโอกาส เคลียจมูกลงตรงข้างแก้มของหญิงสาว

อุ่นเรือนหลบเลี่ยงพอเป็นพิธี แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวเขาอย่างไร ยังดีที่ก่อนจะเกิดการเลยเถิดไปมากกว่านั้น เจ้าคุณบิดาก็มากระแอมกระไอให้ได้ยิน

ทรงธรรม์ดีดตัวออกจากหญิงสาวได้ทันที ขณะที่เธอหันไปค้อนให้บิดา

"เจ้าคุณพ่อละก็ อุ่นกำลังให้พี่ธรรม์เขาสอนจะเข้ ไม่เห็นหรือคะ"

"ให้แม่สายมาสอนให้ก็ได้กระมัง หรือจะให้แม่ครูของท่านเทววงศ์ พ่อจะได้ไปเรียนเชิญ"

ผู้เป็นบิดาตอบคำอย่างรู้ทัน เขม้นมองทรงธรรมอย่างไม่พอใจ

"ขอรับท่านเจ้าคุณ เรากำลังหัดจะเข้กันอยู่"

"ไม่ต้องพูด ข้าเห็นอยู่กับตา! ยังคิดจะแก้ตัวอีกหรือไร"

"พี่ธรรม์เขายังไม่ได้แก้ตัวอะไรเลยนะคะเจ้าคุณพ่อ แล้วก็เป็นอุ่นเองที่ขอร้อง..."

"ข้าให้ไอ้วงศ์ไปติดต่อที่พักไว้ให้แล้ว เรื่องเสื้อผ้าก็สั่งให้จัดหา ไปเสียตอนนี้เลย ตรงข้ามวังบูรพา ไอ้วงศ์มันเตรียมรถรออยู่"

ผู้มากวัยไม่ฟังคำบุตรี หันไปพูดกับทรงธรรมล้วนๆ ด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แสดงให้เห็นเจตนาได้ชัดๆ แล้วเจ้าคุณก็เดินนำกลับไป

พอลับตัวบิดาไปแล้ว อุ่นเรือนก็โมโหใหญ่ แม้ทรงธรรมจะพยายามประคองสองแขนให้เริ่มหัดจะเข้ต่อไป เธอก็สะบัดออก

"ไม่หัดมันละ"

"เอาน่า แม่อุ่นจะโมโหไปไย มีลูกสาวสวยขนาดนี้ เจ้าคุณท่านก็ห่วงก็หวงเป็นธรรมดา"

ชายหนุ่มพยายามโอ้โลม แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนัก

"ก็ดูซิ เจ้าคุณพ่อจับตา จ้องจับผิดอยู่อย่างนี้ จะมีอารมณ์หัดได้ยังไงล่ะ"

อุ่นเรือนเลยพลอยใส่อารมณ์เอากับเขา

"เบื่อชะมัดเลย กลับมาถึงเรือน แทนที่จะได้ทำอะไรๆ ได้ตามใจ"

เธอขยับมาทรุดตัวแช่ขากับสายน้ำตรงมุมหนึ่ง โดยมีทรงธรรมตามมาติดๆ

"แม่อุ่น ถามจริงๆ แม่อุ่นไม่พอใจพี่หรือเปล่า"

"พุทโธ่! พี่ธรรม์ ไม่อย่างนั้นข้าจะชวนพี่มาทำไม... ก็เพราะอยากให้เราได้อยู่ใกล้ๆ กัน"

ออกจะกระดากใจอยู่เหมือนกัน แต่อุ่นเรือนเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองเกินกว่าสตรีสมัยเดียวกันอยู่มาก จึงกล้าเอ่ยออกไปตรงๆ โดยยังไม่หันไปสบตากับคนที่พูดด้วย

ทรงธรรมได้ฟังก็ยิ้มกว้าง สมใจนักที่หญิงสาวประกาศเจตนาแจ่มแจ้งขนาดนี้

"ก็ถ้าจะลำบากแม่อุ่นสักนิด แล้วเรายังจะได้เจอกันต่อไปเล่า..."

"พี่ธรรม์จะพูดว่ากระไร"

หญิงสาวหันกลับมาทันที

"ที่พักที่เจ้าคุณจัดหาไว้ให้นั่นอย่างไร แม่อุ่นก็ลอบออกไป เราพบกันที่นั่น ไกลหูไกลตา อยากจะทำอะไรๆ ก็ย่อมได้ทั้งนั้น"

"จริงสิ อย่างเจ้าคุณพ่อ จะให้พี่ไปพักที่ซอมซ่อก็คงจะไม่ แถวนั้นใกล้เยาวราช ราชวงศ์ ของกินอร่อยๆ เยอะแยะ แต่ก็ใกล้สำเพ็ง ข้ากลัวแต่พี่ธรรม์จะ..."

ไม่ทันจะได้แสดงความห่วงใยหรือหึงหวง ก็มีอีกเสียงมากระแอมขัดคอ

คราวนี้เป็นนายวงศ์ บ่าวคนสนิทของบิดา

"รู้แล้วละน่ะ ทำไมต้องเร่งกันด้วย"

อุ่นเรือนหันไปตวาด แล้วก็ลุกขึ้นสะบัดไป ทรงธรรมได้แต่มองตาม กิริยามรรยาทขนาดนี้ หากไม่มีสมบัติอัครฐาน จะมีใครกล้ามาสู่ขอ

เธอคงตามไปโวยวายบิดา เขาเห็นว่านายวงศ์ก็มองตามไปด้วยความละเหี่ยใจไม่แพ้กัน

เมื่อบ่าวชราหันมาสบตากับเขาอีกครั้ง สายตานั่นก็ส่งมาอย่างรู้ทัน ว่าทำไมทรงธรรมถึงอยากจะตกร่องปล่องชิ้นกับธิดาของเจ้านายของตนขนาดนั้น





ที่พักที่เจ้าคุณเตรียมไว้ให้หรูหราเกิดคาด โรงแรมนี้เป็นตึกฝรั่งใหม่เอี่ยมที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบบริบูรณ์ และดูออกจะมากเกินไปตรงที่ มีห้องหับสำหรับชมการแสดง มีส่วนสำหรับให้นั่งจิบสุรายาเมา กระทั่งมีหญิงงามเมืองแต่งตัวอร่ามตา นั่งรอท่าอยู่อย่างเปิดเผย

"หรือเจ้าคุณคิดจะลองใจเรา... เป็นไงก็เป็นกันสิ ในเมื่อลูกสาวเขาก็มีใจกับเราถึงขนาดนั้น"

ที่ทรงธรรมคิดดังนั้น ก็เพราะตนเป็นคนรักการสนุกสนาน ชอบหาความบันเทิงเริงใจเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อยิ่งได้ตกมาอยู่ในอีกอันจะเสพสุขได้ขนาดนี้ มีหรือที่จะไม่ชอบใจ

พอนายวงศ์ขอตัวกลับไป เขาก็เกร่ไปทางพนักงานต้อนรับ

"ทุกอย่างเจ้าคุณให้ลงบัญชีไว้ทั้งหมดขอรับ"

พนักงานที่ฝึกหัดมาอย่างดี ไม่ต้องรอให้เขาถาม ก็ตอบได้อย่างใจ

ถึงสองวันสองคืนเลยทีเดียว ที่ทรงธรรมใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมแห่งนี้อย่างสบายอุรา จนกระทั่งสายๆ ของวันที่สาม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

"คุณทรงธรรมขอรับๆ"

เพียงไม่กี่วัน พนักงานทั้งหมดก็รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขากันทั่วไป

"มีอะไรหรือ อย่าบอกนะว่าจะมาคิดค่าเช่าค่าบริการอะไร"

เขางัวเงียออกมา ถามในสิ่งที่ตนยังอดระแวงแคลงใจไม่ได้

"หามิได้ขอรับ กระผมมีเรื่องอยากจะเตือน"

"มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ถ้าไม่ใช่เรื่องอัฐ"

"คือว่าเมื่อครู่มีคนกลุ่มหนึ่งมาถามหา หน้าตาเหมือนตั้งใจจะมาหาเรื่อง กระผมเป็นห่วง เลยมาเตือนให้ระวังตัว"

"อ๋อ!..." ทรงธรรมลากเสียงยาว ใจนึกไปสารพัด ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง มีความวิตกเข้ามาแทนที่ในฉับพลัน แต่ก็ต้องฝืนยิ้ม

"ไอ้น้องชาย คนอย่างพี่นี้ ขนาดผียังไม่กลัว นับประสาอะไรกับจะกลัวคน"

แล้วก็รีบผลักให้พนักงานผู้นั้นกลับลงไป ก่อนที่จะได้เห็นสีหน้าหวาดหวั่นที่แท้จริงของตนเอง

ทรงธรรมกลับเข้าห้อง แล้วรีบแต่งตัว ตั้งใจจะต้องตามลงไปดู ว่าพวกที่มาตามหาเขานั้นเป็นใครกัน ซึ่งก็แทบเอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง เพราะพวกที่เคยถูกเขาทำลายแผนการตกทองนั่นเอง ที่ยังตามล่าล้างแค้นไม่สร่างซา ดีที่ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมแห่งนี้ยอดเยี่ยม เขาจึงยังตั้งหลักอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายๆ

อีกทั้งในโรงแรมมีสรรพสิ่งครบครันตามที่กล่าว เขาจึงยิ่งรู้สึกว่า ได้เก็บตัวอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

"คุณท่านนี่เก่งสังคมจริงๆ นะเจ้าคะ"

สาวงามเมืองนางหนึ่งที่ถูกตาต้องใจทรงธรรมเป็นพิเศษ เอ่ยขึ้นในมื้อค่ำอันแสนยาวนาน ที่เขาเชิญหล่อนมานั่งเป็นเพื่อนกิน

"สุราไหนดีท่านก็รู้จัก เพลงไหนไพเราะท่านก็คลอได้ อะไรดีไม่ดีท่านก็รู้หมด"

"เขาเรียกว่าผู้ดีมีการศึกษาไงเล่า ชีวิตคนเราจะอยู่ไปได้สักกี่วันเดือนปี สู้หาความสุขสำราญเอาไว้ให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมา ไม่ดีหรอกหรือ"

"ใครว่าชีวิตต้องหาแต่ความสุขสำราญ!"

เสียงหนึ่งขัดขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงที่คุ้นๆ แต่ทรงธรรมต้องหันไปดูถึงจะจำได้

พอเห็นหน้ากัน คนที่มาใหม่ก็ชี้หน้าใส่เขาทันที

"ไอ้... ไอ้..."

เป็นหมอเกตุอาคม ที่กำลังเมาและเดินโซเซเข้ามา คงหมายจะมาหานางงามเมืองสักคนนั่นเอง

"จะไอ้อะไรก็ช่างเถอะ มาๆ นั่งก่อนๆ"

"ข้าไม่นั่งกะเอ็ง ไอ้คนไม่กลัวผีไม่เกรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเอ็ง ข้าไม่ร่วมโต๊ะด้วย!"

หมอผีหนุ่มแม้จะมึนเมาสักแค่ไหน ก็ยังไม่ลืมเรื่องเก่า

"โธ่! เรื่องล้อกันเล่นแค่นั้น ทำไมถึงเก็บมาฝังใจ คนบำเพ็ญนุ่งขาวห่มขาวใครเขาใจแคบกันอย่างนี้บ้าง คราวก่อนมีผู้หญิงอยู่ต่อหน้า ข้าก็อวดเก่งไปอย่างนั้นเอง จะไปจริงจังอะไรมากมาย"

เขาลากให้หมอผีอริเก่านั่งลงจนได้

"แต่ข้าจริงจัง ข้าเป็นหมออาคม ข้าก็ต้องจริงจัง"

แต่ปากของหมอเกตุก็ยังไม่ยอมลงรอยด้วยอยู่นั่นเอง

"เอาละๆ พูดก็พูดเถอะนะ ข้าก็ยังไม่เห็นหมอผีที่ไหนเหมือนเอ็ง รู้สึกถูกชะตาเสียแล้ว มาเถอะ ให้ข้าเลี้ยงเหล้าสักมื้อ"

เพราะเห็นว่าหมอเกตุอาคมทำท่าเหมือนได้กลิ่นเหล้าที่คลุ้งอยู่ ทรงธรรมถึงรีบใช้เครื่องล่อที่ถูกใจ เวลานี้สร้างมิตรย่อมดีกว่าเพิ่มศัตรู

แต่แม้จะยกแก้วให้ชน จัดสุราอย่างดีให้ดื่ม หมอผีหนุ่มก็ยังไม่ยอม กระทั่งต้องเรียกหญิงอีกคนมาช่วยป้อนนั่นละ เขาถึงจะยอมกลืนสุราลงคอ

ถูกป้อนติดต่อกันด้วยสุราชั้นเลิศอีกสามสี่แก้ว หมอเกตุถึงเริ่มเป็นมิตรมากขึ้น

"ที่บอกว่าทำเก่งอวดสาว ก็หมายความว่าเอ็งรู้ตั้งแต่แรกว่าไอ้หน้าอ่อนนั่นเป็นผู้หญิง อย่างนั้นรึ แล้วทำไมแกล้งทำเป็นไม่รู้เสียเล่า"

"ก็ความลับคนอื่น เอามาเปิดเผยมันใช่เรื่องดีเสียที่ไหน"

ทรงธรรมตอบกลับไป ด้วยคำตอบที่ตระเตรียมไว้เพื่อคำถามเช่นนี้โดยเฉพาะ

"สำหรับข้าแล้ว แกล้งทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า ทำให้นางเชื่อถือข้ามากกว่า"

"ที่เอ็งทำอย่างนี้แสดงว่ามีเจตนาแอบแฝงงั้นละซี"

หมอผีหนุ่มยังไล่เรียงต่อไป

"เอาเถอะ ข้าพูดแค่นี้ก่อนละ เอาไว้ให้สนิทกันมากกว่านี้ แล้วจะค่อยๆ บอก"

"ก็ได้ๆ อย่างนั้นก็มาดื่มกันต่อ"

พอถึงแก้วที่เจ็ดที่แปด จึงกลับเป็นหมอเกตุที่ชวนดื่ม

"ว่าแต่เอ็งเถอะ ทำไมถึงเมามายขนาดนี้ หรือว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ"

"เอ็งจะมารู้เรื่องอะไรกะข้า"

"อย่าลืมสิ ว่าข้าน่ะมาพักที่นี่ในนามของเจ้าคุณอเนกคุณากร ข้าเป็นแขกสำคัญของเจ้าคุณเชียวนา"

น้ำเสียงมีเลศนัยนั้น ทำให้หมอเกตุชะงัก เพราะพอจะมองเห็นหนทางแก้ไขปัญหาของตน

"ข้าจะบอกให้ การจับผีน่ะมันไม่ใช่เรื่องเล็ก เครื่องไม้เครื่องมือมากมาย แต่อีผีบ้านนั้นมันเฮี้ยนนัก เล่นเอาข้าเปิดแน่บจนข้าวของของปู่ย่าตาทวดติดอยู่ที่นั่น"

แล้วก็กระดกสุราเข้าไปอีกจนหมดแก้ว ก่อนจะพูดต่อไป

"เอาอย่างนี้ไหมล่ะ จะให้ไม่ถือสาหาความเรื่องเก่า เอ็งไปเอาของพวกนั้นออกมาให้ข้าได้ไหมเล่า"

"เรื่องแค่นั้นทำไมจะไม่ได้ ไว้เป็นธุระของข้าเอง แต่ตอนนี้เรามาดื่มกันก่อนดีกว่า เหล้าดีๆ ทิ้งไว้นานๆ จะเสียรส"




ยังไม่สร่างดีหรอกตอนที่สองคนพากันมาที่บ้านอเนกคุณากร แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่แสงอรุณก็ไม่ค่อยได้ช่วยให้หมอเกตุอาคมอุ่นใจขึ้นสักเท่าไร

"เข้าทางประตูใหญ่มันไม่ประเจิดประเจ้อไปหน่อยหรอกหรือ"

ทรงธรรมออกความเห็น

"ไหนเอ็งบอกเป็นแขกสำคัญ"

"ก็สำคัญสิ แต่เป็นแขกสำคัญของเรือนนั้น ไม่ใช่ตึกนี้"

"อะไรวะ หรือว่าดีแต่ขี้ปาก"

"เอาน่า ข้าเคยเห็นว่ามีประตูข้าง เข้าทางนั้นดีกว่า"

เพราะเรือนตึกหรือคฤหาสน์บ้านอเนกคุณากรสร้างอย่างสมัยใหม่ จึงหันหน้าออกถนนตัดใหม่ ไม่หันออกแม่น้ำเหมือนเรือนไทยที่เจ้าคุณอเนกอยู่อาศัย แม้เช้าๆ อย่างนี้ ที่พลุกพล่านจะเป็นตรงฟากแม่น้ำลำคลอง ที่จะมีพระคุณเจ้าพายเรือออกรับบาตร แต่ถนนด้านหลังนี่ก็เริ่มมีหลายคนสัญจรผ่านแล้วเช่นกัน

ทรงธรรมจึงลากหมอเกตุมาที่ประตูข้าง ซึ่งถือเป็นโชคดีที่มันไม่ได้ลงกลอน

พอเข้ามาภายในบริเวณบ้านอเนกคุณากร เขาก็เห็นว่ามีร่องรอยของการปัดเป่าร่ายมนตราปัดรังควานหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเศษข้าวสารที่เกลื่อนพื้น ใบปลิวแผ่นยันต์ภาษาขอม ยันต์ท้าวเวสุวรรณ กระทั่งสายประคำก็ยังเห็นห้อยค้างอยู่บนพุ่มต้นโกสน

"นี่ของเอ็งหรือเปล่า"

เขาฉวยเอาประคำสายนั้นยื่นให้หมอผีหนุ่ม

"เส้นนี้ไม่ใช่ แต่ข้าเก็บไว้ให้เจ้าของเขาก็ได้"

"ไม่ใช่เอ็งคนเดียวรึที่มานี่"

"สาม... แต่ก็เปิดแน่บกันหมด ตรงนั้นละ ที่นังผีพวกนั้นโยนไอ้หมอเฒ่าสองคนนั่นโครมลงมา"

หมอผีหนุ่มชี้ให้ดูตรงประตูหน้า ซึ่งเป็นหน้ามุกยืนออกมา และยกพื้นให้สูงจากดินขึ้นไปหลายขั้นบันได

"พูดเกินไปหรือเปล่า"

ทรงธรรมยังไม่อยากจะเชื่อ

"เห็นสภาพโต๊ะเครื่องเซ่นพวกนี้หรือเปล่าล่ะ นี่เป็นฝีมือพวกนางทั้งนั้น แล้วพวกของเซ่นของไหว้หายไปไหนหมด ก็ต้องพวกนางปิศาจพวกนั้นแหละเอาไปกิน"

หมอเกตุชี้ไปรอบๆ พร้อมกับเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจริงจัง ปากคอสั่นเพราะยังจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง มันเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อนาทีที่แล้วมานี้เอง

"จะพูดจาเหลวไหลไปกันใหญ่แล้ว มีที่ไหนผีสางจะหอบเอานั่นนี่ไปกิน เราไปดูข้างในกันดีกว่า"

แล้วทรงธรรมก็เดินนำไปทางประตูใหญ่ ก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนไปโดยไม่รออีกคนที่หันรีหันขวางอยู่ข้างหลัง

สองหนุ่มที่คนหนึ่งก็นึกอยากจะมาทำธุระให้เสร็จๆ ไป กับอีกคนที่อย่างไรๆ ก็ทำใจให้เหยียบกลับเข้ามาภายในตัวเรือนอีกครั้งไม่ได้ ต่างไม่เห็นเลยว่า แม้ดวงตะวันจะขึ้นเกือบพ้นยอดไม้ไปแล้ว แต่ยังมีดวงวิญญาณหนึ่ง ไม่ยอมกลับไปยังที่พักผ่อน เพลินซนเพลินเล่นอยู่ตนเดียว ซึ่งตอนนี้ดวงวิญญาณนั่น กำลังจ้องมองสองหนุ่มอย่างไม่วางตา

"ต้องรีบไปบอกคุณแส"

แล้ววิญญาณของเด็กชายก็ตัดสินใจ เพราะตนคนเดียวคงรับมือไม่ไหวแน่

"แย่แล้วๆ ตื่นๆ พี่ๆ ทุกคน"

วูบเดียวเขาก็เคลื่อนขึ้นบน ทะลุขึ้นถึงห้องทึมทึบ ที่เหล่าดวงวิญญาณอื่นๆ ใช้เป็นที่พักผ่อนกบดาน

"มีอะไรหรือเจ้าหลง"

คุณแสถามขึ้นก่อน ขณะที่ผีตนอื่นๆ ค่อยทยอยปรากฏตัวจากรูปภาพเก่า ที่แขวนเรียงกันอยู่บนข้างฝา ซึ่งที่จริงก็ต่างไม่ใช่รูปของตัวเอง เพียงแค่ใช้เป็นหลักหมาย สำหรับสถิตดวงวิญญาณของตนเพียงแค่นั้น

"มีคน มีคนมาขอรับคุณแส"

ได้ยินคำนั่น ทุกตนก็หันมองกันไปมา ส่วนใหญ่นึกไม่ชอบใจ ที่คนพวกนี้มารบกวนไม่เป็นเวล่ำเวลาเอาเสียเลย

"ไปดูกันทีรึ แต่พวกเจ้าต้องระวังตัวให้ดี หลบตัวให้พ้นแสง"

พูดจบคุณแสก็เคลื่อนนำลงมาก่อน จากชั้นบนนั่น แค่พริบตาเดียว ก็ลงมาถึงห้องโถงใหญ่

"ดูซีๆ ของดีๆ มีราคาทั้งนั้น ดูตู้พระธรรมหลังนี้... จุ๊ๆๆ... ปิดทองล่องชาดงามจัดนักหนา"

พอลงมาก็เห็นทรงธรรมกำลังพิจารณาตู้หลังใหญ่ ที่ตั้งอยู่ข้างกันกับประตูทางเข้า

"จะมีผีอยู่ในนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่างมัวพูดมากเลย รีบช่วยข้าหาของดีกว่า"

เพราะหมอผีหนุ่มรู้สึกเย็นวาบๆ อีกแล้ว จึงต้องเร่ง

"อะไรกัน ในที่อย่างนี้น่ะหรือจะมีผีสางมาสิงสู่ เอ็งดูเสียให้เต็มตา ดูไว้เป็นบุญตา ของตกแต่งพวกนี้น่ะ ล้วนหาค่าไม่ได้"

ระหว่างพูด ทรงธรรมก็เร่มาทางโต๊ะเดี่ยวตัวกลมตรงมุมหนึ่ง เป็นโต๊ะขาเดียวมีเชิงแผ่อยู่ด้านล่าง ทำจากไม้มะเกลือสลัก ลงรักประดับมุกลายละเอียดยิบ ด้านบนตั้งไว้ด้วยชุดเชี่ยนหมากประดับมุกเป็นลายเครือวัลย์ แม้ฝุ่นจะจับเขรอะแต่คุณค่าความงามก็ไม่ได้พร่องลงไปสักนิด

"อย่างนั้นเอ็งก็รออยู่ในนี้ก็แล้วกัน ข้าจะอ้อมไปด้านโน้น"

แม้จะไม่อยากแยกกัน แต่หมอเกตุอาคมเห็นว่า หากอ้อยอิ่งอยู่อย่างนี้จะไม่เป็นการดีแน่ๆ จึงต้องจำใจแยกตัวออกไป

"มีใครแปลกหน้ามาด้วย ท่าทางไม่ใช่หมอผี"

"หน้าตาเหมือนพวกบัณฑิตมีภูมิปัญญาเสียมากกว่ากระมังคะ"

กระถิน ผีสาวที่ห่มสไบเขียวเข้มออกความเห็น

"ข้าว่าเขาน่ารักดีนะ เพิ่งมีเขานี่ละที่ชมว่าบ้านนี้สวย"

แสงเพ็งแลตามทรงธรรมไม่วางตา นึกแปลกในอยู่มาก ที่ข้าวของรกรุงรัง ฝุ่นจับหนาขนาดนี้ เขายังมีสายตาชื่นชมสิ่งต่างๆ อยู่ได้

"เราต้องรีบไล่พวกเขาออกไป จำไว้นะ ว่าตอนกลางวันนี่เราต้องระวังตัวเองให้มาก"

เสียงคุณแสจริงจัง

"แสงเพ็ง โดยเฉพาะเจ้า อย่าซนให้มาก เจ้าเป็นผีใหม่ มีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้"

"ฉันรู้หรอกค่ะ ก็อย่างถ้าโดนแสงแดดดวงวิญญาณจะสูญสลาย ถ้าปรากฏตัวให้ใครเห็น เราจะเดือดร้อน ไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป"

"เจ้ารู้ก็ดี ระวังตัวด้วยล่ะ"

คุณแสยังกำชับ เพราะสีหน้าเริงรื่นของแสงเพ็งนั้นบอกชัด ว่ารักสนุกไม่ใช่น้อย

"เอาละ กับเจ้าหมอผีจอมปลอมนั่น สะกิดแค่นิดคงจะเผ่นไม่คิดชีวิต กระถินลองไปไล่เจ้าหนุ่มหน้าคมคนนี้ดูซิ"

จบคำ กระถินก็เลื่อนตัวตรงเขาไปทันที นางตวัดลิ้นยาว หมายจะพันคอทรงธรรม แล้วเหวี่ยงมาด้านหลัง ซึ่งเป็นท่าถนัดของนาง

แต่ชายหนุ่มกลับก้มลงในฉับพลัน จนลิ้นนั้นตวัดเข้ากับเสาต้นหนึ่ง บวกกับแรงกระตุก ทำให้ร่างของผีนางกระถิน ถูกลิ้นของตนดึงไปกระแทกกับเสาเข้าเต็มรัก

"อะไรบ้างล่ะที่ไอ้หมอนั่นมันต้องการ"

ทรงธรรมยังพึมพำ ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกจ้องเล่นงาน

เขาค่อยก้าวต่อไปข้างหน้า ลึกเข้าไปใต้ชั้นลอย ซึ่งมีผีสาวอีกตนตั้งท่ารออยู่ เป็นนางผีมาลี ที่เตรียมจะกระโดดลงมาคร่อมให้เขาต้องเข่าทรุด

แต่ชายหนุ่มกลับเปลี่ยนทิศทางเดินอย่างกะทันหันอีกครั้ง เพราะเขาเห็นภาพติดผนังบานหนึ่ง ที่สวยงามจนต้องพุ่งเข้าไปพินิจพิจารณา

ขณะที่หางตาของทรงธรรมเหลือบไปเห็นบางอย่างส่องประกายล้อแสงอยู่อีกมุม ผีสาวอีกตนที่ชื่อผกาผู้ห่มสไบสีเหลืองอ่อน ก็ยื่นมือยาวออกมาหมายจะบีบคอ

คราวนี้พอดีกับที่ชายหนุ่มยกคันฉ่องเงินขึ้นพอดี

แสงอาทิตย์ที่สาดย้อน แทงเฉียดลำแขนของนางผีผกาจนต้องรีบหดกลับ

การจู่โจมของบรรดาผีสาวพลาดไปเช่นนี้อยู่อีกหลายครั้ง โดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะว่าเขาเป็นคนดี ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ก็ไม่น่าจะใช่ ทั้งหมดจึงคิดไปในทางที่ว่า เพราะเป็นยามกลางวันแสกๆ ทำให้พละกำลังของพวกตนอ่อนล้าลงไปนั่นเอง

ทรงธรรมยังก้มๆ เงยๆ หาสิ่งที่น่าจะเป็นอุปกรณ์ปราบผีต่อไป พร้อมๆ กับที่หยุดพิจารณาภาพเขียนหรือประติมากรรมชิ้นงามอยู่เป็นระยะๆ โดยมีบรรดาผีสาว เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ด้วยพวกนางย่อท้อเสียแล้วว่า ชายหนุ่มผู้นี้น่าจะพกของดีติดตัวมาแน่ๆ

กระทั้งเขาเดินพ้นชายคาเรือนออกมาอีกครั้ง คราวนี้ทรงธรรมก้มลงเก็บอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาดู

"หวี หวีเงินนั่นเป็นของข้า"

แสงเพ็งเกือบถลาออกไปจากร่มเรือน ดีว่าคุณแสกับเจ้าหลงรั้งตัวเอาไว้ได้

"หวีนั่นแม่ข้าให้มา"

คนพูดพยายามปลดมือของคุณแสออกจากตัว

"ถ้าออกไปตอนนี้ ถูกแสงพระอาทิตย์เข้า ดวงวิญญาณของเจ้าจะต้องมอดไหม้นะ"

คุณแสกล่าวเตือนสติ และผีสาวอีกสามสี่ตนก็เข้ามาช่วยรั้งตัวแสงเพ็งเอาไว้อีกแรง

"หวีเงินสลัก ฝีมือช่างเมืองพะเยาว์ ราคาต้องไม่ใช่น้อยๆ"

ทรงธรรมประเมินค่าฝีมือ นึกชื่นชมไม่น้อย ว่าเรือนหลังนี้ช่างมีของมีคุณค่าเกลื่อนกลาดอยู่มากมาย

เขาเดินกลับเข้าร่มอีกครั้ง บรรจงวางหวีเงินอันนั้นไว้ตรงข้างๆ กับคันฉ่องที่เห็นในตอนแรก

"ดูนี่สิทรงธรรม ข้าได้ของมากมายเลย"

เป็นหมอเกตุที่หอบนั่นนี่พะรุงพะรังเข้ามาทางประตูข้าง

"ทำไมหรือ... โอ้โฮ! นี่ของเอ็งทั้งหมดเลยรึ"

ทรงธรรมต้องแปลกใจ เพราะถ้าลองต้องหอบข้าวของมาขนาดนี้ จะเอาท่าไหนไปปราบผีได้

"ไม่ใช่หรอก ส่วนใหญ่เป็นของคนอื่น แต่ถ้าเอาไปเลหลัง ก็คงได้อีกหลายเงิน"

สำหรับหมอเกตุอาคม เรื่องเงินนั้นเป็นเรื่องใหญ่ของเขาเสมอ

"แต่ว่า เอ็งบอกให้ข้ามาตามหาของที่เผลอทิ้งไว้เท่านั้น"

ทรงธรรมไม่ยอมเห็นดีเห็นงามไปด้วย

"หมายความว่ายังไง"

หมอเกตุก็ยังแกล้งไม่เข้าใจ

"ก็หมายความว่า ของพวกนี้ไม่ใช่ของเอ็ง เป็นคนอย่างน้อยมันต้องมีศีลห้าเป็นพื้นฐาน จะมาหยิบฉวยของใครไปเฉยๆ ได้ยังไงกัน"

"เอ็งมันก็ดีแต่พูด"

"ก็ลองดูซี จะเอาไปคืนที่ไหมเล่า ถ้าไม่ ข้าจะได้ข้ามฟากไปบอกท่านเจ้าคุณ"

"อะไรวะ คนมาด้วยกัน"

"จะเอาไปคืนก็รีบไป ข้าจะเดินสำรวจรอบๆ เรือนนี้อีกประเดี๋ยว"

คำท้าย ราวกับเขาสั่งความกับเด็กรับใช้ก็ไม่ปาน

แล้วสองหนุ่มก็แยกกันไปอีกครั้ง หมอเกตุกลับไปทางเดิม ขณะที่ทรงธรรมเดินเลยไปทางห้องใต้บันได

แสงเพ็งตรงมายังหวีเงินของตนเองทันที เธอยกมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ดีใจนักที่ได้กลับคืนมา ในใจก็คิดไปว่า ชายหนุ่มที่หมอผีนั่นเรียกชื่อว่า "ทรงธรรม" ช่างมีคุณธรรมสมชื่อจริงๆ

"ที่นี่ทั้งดูโอ่โถง ทั้งสงบเงียบ ทิ้งร้างไว้อย่างนี้ ไม่เสียดายบ้างหรือไงนะ"

ได้ยินเสียงคนที่กำลังรู้สึกชื่นชม ดังผ่านออกมาจากห้องหนึ่ง

"โอ้โฮ สวยจังเลย สวยๆ ทั้งนั้นเลย ชุดเบญจรงค์นี่ ฝีมือช่างหลวงชัดๆ"

แสงเพ็งรีบตามเข้ามา พอเห็นสภาพการณ์ภายในห้องแล้วก็ต้องถึงกับหัวเราะ

เพราะผีสาวทั้งหลาย ราวกับถูกสะกด ให้กระจุกรวมตัว นั่นนิ่งอยู่ต่อหน้าของชายหนุ่ม ที่กำลังยกชามเบญจรงค์ขึ้นพิจารณาทีละใบๆ

อีกเป็นนานกว่าเขาจะชื่นชมจนครบทั้งชุด ก่อนจะผละกลับไปยังห้องโถงใหญ่

"ใครๆ ไม่เคยไล่ยากเย็นขนาดนี้เลยนะเจ้าคะคุณแส"

มาลีที่ห่มสไบสีชมพู ทำท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้น

"แล้วอย่างนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ"

ผีบุปผาที่ห่มสไบสีตองอ่อนถามขึ้นบ้าง

"แสงเพ็งไงล่ะ เจ้าหลอกคนเก่ง หาวิธีหลอกได้แปลกๆ ไปแสดงฝีมือให้ดูหน่อยซี"

กระถินแนะนำ

"ไม่นะ ข้าว่าเขาไม่ใช่คนเลว ไม่สู้เราลองคุยกับเขาดูไม่ดีกว่าหรือ"

แต่ผีสาวไม่เห็นด้วย เพราะยังนึกชื่นชมเขาอยู่ไม่วาย

คุณแสคงเริ่มรำคาญจึงว่า

"ช่างเถอะ ข้าจัดการเอง"

แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป จากดวงหน้าหวานละมุนระคนเศร้า ก็กลับเหี้ยมเกรียม ดวงตาลึกโบ๋ มีสายเลือดหยาดย้อยออกมาทั้งจากตาหูจมูกปาก

โดยมีผีสาวที่เหลือตามมาเป็นขบวน

ตอนนี้ทรงธรรมกำลังยืนพิจารณาภาพถ่ายบานหนึ่ง เป็นภาพของหญิงชาวบ้านท่าทางเขินอายที่จะต้องตกเป็นแบบให้ตากล้อง มุมล่างของภาพนั้น มีตราอักษรย่อประจำรัชกาลประทับกำกับ

ผีสาวทั้งนั้น พอเห็นคุณแสออกโรงเอง ก็พากันยืดเขี้ยวเล็บ หมายจะหลอกให้หัวโกร๋นไปเลยทีเดียว

แต่เสียงโวยวายด้วยความกลัวกลับดังมาจากด้านหลัง

พวกนางผีทั้งหมดหันขวับ แยกเขี้ยวแสยะยิ้มให้กับหมอเกตุอาคมพร้อมๆ กัน

"ผี! ช่วยด้วย ผีเป็นฝูงเลย ผีทั้งฝูงเลย ช่วยด้วย ช่ว..."

ไม่ทันได้จบคำท้าย หมอผีหนุ่มก็มีอันต้องเป็นลมล้มพับลงตรงนั้นเอง

ทรงธรรมหันกลับมาเพราะเสียงโวยวาย ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่เห็นมีผีสักตัวในคลองสายตา

"ไอ้หมอ ไอ้หมอเกตุ เอ็งจะมานอนตรงนี้ไม่ได้นะ"

เขาพยายามเขย่าปลุก แต่คนหมดสติจะรู้ตัวขึ้นมาก็หาไม่

ชายหนุ่มรู้สึกเย็นวูบๆ ที่ต้นคอ เพราะคุณแสยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ

แต่พอหันกลับ กลับเป็นสาวงามมาปรากฏตัวให้เห็น

แสงเพ็ญยิ้มให้กับชายหนุ่ม อยากจะขอบคุณที่เขาหยิบหวีมาให้ แต่ก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไร

ทรงธรรมเองก็ตกตะลึง เพราะหญิงงามตรงหน้า จริตท่าทางดูละมุนละไมยิ่งนัก พอเขานิ่งมอง นางก็หลบสายตา เผลอเปิดโอกาสให้เขาพิจารณาเธอได้จนหมดจด

"เจ้า... มาได้อย่างไรกัน"

เขาไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้

"ข้า... เอ่อ... ดิฉันมาเก็บหวีที่ทำตกไว้"

เสียงนั้นหวานปานระฆังแก้ว เสนาะเย็นราวกับน้ำค้างยามเช้าคราวเมื่อตกกระทบกับธาราใส

"ในที่อย่างนี้ เจ้า... เธอ...เอ่อ เข้ามา..."

"ดีฉันก็อยู่แถวนี้ เลยมาเดินเล่นที่นี่บ่อยๆ อ้อ... ท่าน... เขาว่าที่นี่มีผีด้วยนะ คุณท่านไม่กลัวหรือ"

ประโยคท้าย เพราะเห็นว่าบรรดาผีที่เหลือ รวมทั้งคุณแส ยังรวมกลุ่มกันจับจ้องอยู่ห่างๆ อย่างไม่วางตา

"โธ่เอ๋ย... ข้าน่ะไม่ค่อยจะเชื่อหรอกว่าโลกนี้น่ะมีผี แล้วกลางวันอย่างนี้ จะมีอะไรน่ากลัว"

ทรงธรรมยิ้มกริ่ม รู้สึกถูกชะตากับสตรีผู้นี้ยิ่งนัก กิริยาวาจาเวลาเจรจากับบุรุษ ก็พอเหมาะพองาม จะเอียงจะอายก็ดูเข้าท่าเข้าทางไปเสียทั้งหมด

"ที่แท้ท่านเป็นคนไม่กลัวผีนั่นเองซีนะคะ... แต่ว่า เพื่อนของท่าน"

แสงเพ็งแกล้งปรายตาไปทางหมอเกตุที่ยังนอนไม่ได้สติ

"ไอ้นี่น่ะหรือ"

ทรงธรรมหันตาม เอามือเขี่ยๆ คนที่มาด้วยกัน อย่างขอไปที

ทว่าพอหันกลับมา หวังว่าจะสานต่อบทสนทนา ให้รู้จักถึงตำแหน่งแห่งที่อยู่

นางผู้งดงามกว่าใครที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต ก็หายลับไปเสียแล้ว


...................




นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มี.ค. 2555, 16:24:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มี.ค. 2555, 16:24:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1383





<< บทที่ ๐๒   บทที่ ๐๔ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account