ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๖

เตชิตหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กเดินออกจากห้องลงบันไดมายังพื้นที่ด้านล่างอันแสนเงียบเหงา เพราะเวลานี้ นอกจากเขาก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว เนื่องจากพี่สาวต่างบิดาเกลี้ยกล่อมมารดาให้ไปอยู่ด้วยกันจนสำเร็จ และพากันออกไปทำธุระข้างนอก ส่วนบ้านหลังนี้มารดายังไม่แน่ใจว่าจะถูกขายหรือให้เช่า เพราะตัวเขานั้น ชีวิตยังคงต้องผูกติดอยู่กับโมรียาไปจนกว่าจะถึงวันที่ถูกปลดปล่อย

ชายหนุ่มขับรถถึงบ้านอนาวิน และตรงเข้าห้องนอนเดิมของตนที่ชั้นล่าง ซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่บ้านหลังใหญ่ไม่ใช่บ้านอีกหลังที่อยู่ถัดไปของบรรดาลูกน้อง และขณะที่กำลังนำเสื้อผ้าใส่ตู้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนจะถูกเปิดออกด้วยมือของโจ้ ที่เพียงยื่นหน้าเข้ามาบอก

“ลุงไมค์มาแล้วครับ”

“แล้วคุณจิลล่ะ”

“ผมกำลังจะขึ้นไปตาม”

เตชิตพยักหน้ารับรู้ และเลื่อนปิดตู้ในจังหวะเดียวกันกับที่โจ้ผละเดินขึ้นบันไดไป


อนาวินเดินออกจากห้องนอนของน้องสาวในชุดสูททำงาน และขยับลูกบิดเปิดประตูห้องนอนของตนแผ่วเบาเพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวจากภายในซึ่งยังคงสงบเงียบเชียบ เนื่องจากหญิงสาวที่เขาอนุญาตให้ครองห้องนี้ยังคงหลับสนิท ร่างสูงก้าวเดินเข้าไปหยุดนิ่งข้างเตียง สองมือซุกลงกระเป๋ากางเกง เพราะขืนไม่ทำเช่นนั้น เขาคงอดใจไม่ไหวที่จะไล้ปลายนิ้วสัมผัสความนุ่มเนียนที่ตามรังควานจิตใจเขาจนไม่เป็นอันหลับอันนอน และยามนี้ ใบหน้าสวยซึ้งกระจ่างชัดท่ามกลางแสงแดดละมุน แม้ร่องรอยบอบช้ำจะยังคงอยู่ที่ซีกแก้ม แต่ก็ไม่สามารถบดบังความเย้ายวนของคนที่กำลังหลับพริ้มได้เลย..และหากเป็นไปได้ เขาอยากยึดครองเธอไว้ให้นอนอย่างนี้ อยู่บนเตียงของเขาทุกค่ำคืน..

โจ้เดินขึ้นมาบนห้อง และเห็นสีหน้าอ่อนโยนของเจ้านายหนุ่มยามทอดมองใบหน้าของผู้ที่กำลังหลับใหลชัดเจน เขาไม่ได้เอ่ยเรียก แต่เคาะกับบานประตูที่เปิดค้างไว้เบาๆ จนชายหนุ่มหันมอง เขาจึงบอก

“ลุงไมค์มาครับ”

อนาวินจึงหันเดินออกจากห้องและปิดประตูตามหลังแผ่วเบา โดยมีสายตาของคนสนิทยังมองค้าง ก่อนแสร้งอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อเมื่อเห็นราโมน่ากำลังนอนอยู่บนเตียงของเจ้านายหนุ่ม

“ว้าว !”

อนาวินหันมองรอยยิ้มทะเล้นนั้น ก่อนกระแทกศอกใส่เสียหนึ่งพลั่กให้อีกฝ่ายสะดุ้งโหยงพร้อมหัวเราะครืน เมื่อรู้ว่ากำลังถูกเจ้านายหนุ่มแสดงอาการหวงของใส่


ไมค์และเตชิตกำลังยืนพูดคุยกันกลางห้องโถง ต่างหันมาเมื่อร่างของอนาวินเดินนำคนสนิทตรงเข้ามาหยุดตรงหน้า ผู้ที่อาวุโสมากสุดจึงรายงานออกไป

“เรารู้ตัวพวกนั้นแล้วครับ..หนึ่งในสามเคยเป็นหัวหน้าคนงาน แต่ถูกไล่ออกเมื่อต้นปีที่แล้ว เพราะถูกจับได้ว่าโกงค่าแรงคนงาน แล้วก็แอบอ้างชื่อบริษัทไปหลอกกินหัวคิวกับผู้รับเหมารายย่อยครับ”

อนาวินขมวดคิ้วยุ่ง
“คนของเราจริงๆเรอะ”

“อดีตครับ..” ไมค์แก้ให้ และแสดงความคิดเห็นออกมา “ดูเหมือนว่ามีคนกำลังสร้างสถานการณ์ให้เราชนกับพวกรัตนากรอย่างจังเลยนะครับ”

ชายหนุ่มคิดตาม เพราะหากสำเร็จตามแผนที่พวกมันวางไว้ กระแสข่าวคงแพร่ออกไปอย่างปิดไม่อยู่ ทางชนาธิปคงเป็นเดือดเป็นแค้นมากทีเดียว และถ้าหากคนร้ายถูกจับได้ ฝ่ายเขาก็คงปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก ว่าคนร้ายไม่ใช่คนของเขา

“พวกมันเลือดเย็นมากนะ ที่คิดจะใช้ราโมน่ามาเป็นตัวจุดชนวน” อนาวินแค่นเสียงเจ็บแค้นออกมาโดยไม่รู้ตัว พลางห่วงกังวลในความปลอดภัยของหญิงสาวเป็นทวีคูณ “เห็นที ผมจะปล่อยราโมน่ากลับไปตอนนี้ไม่ได้เสียแล้วล่ะ”

อีกสามคนที่เหลือมองผู้พูดเต็มไปด้วยความกังขา และไมค์รีบแย้งเมื่อพอจะเดาตามความคิดของเจ้านายหนุ่มได้ทัน
“เราจะเก็บตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ไม่ได้นะครับ ถ้าพวกรัตนากรรู้เข้าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ แล้วยังเสี่ยอีกยังไงเสี่ยก็ไม่มีทางยอมให้คุณทำแบบนี้เด็ดขาด”

“เราจะไม่ให้พวกรัตนากรรู้ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ป๊ายังเจ็บหนักไม่รู้เรื่องอะไร..และผมก็คิดว่าจะเก็บราโมน่าแค่ชั่วระยะเวลาเท่านั้น ให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความบาดหมางของทั้งสองฝ่ายอีก จากนั้นค่อยปล่อยไป”

ไมค์สบสายตาหนักแน่นของอีกฝ่ายที่แสดงชัดว่า ต่อให้เขาชักแม่น้ำสายหลักทั้งประเทศไทยมาหว่านล้อม ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะรับฟังเด็ดขาด เพราะคนที่อนาวินจะยอมรับฟังมีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือนายใหญ่!

“ถ้าคุณจิลคิดว่านั่นคือวิธีที่ดีที่สุด ผมก็คงพูดอะไรไม่ได้..แต่หวังว่า ผู้หญิงคนนั้นจะยอมร่วมมือนะครับ”

“ผมจะพยายามพูดให้เขาเข้าใจ..ส่วนเรื่องเจ้าสามคนนี่ ลุงสั่งคนของเราให้ควานหาตัวมันให้เจอ ผมอยากรู้ว่าใครเป็นคนสั่งพวกมันทำเรื่องนี้ มันอาจจะเกี่ยวโยงมาถึงพวกที่ลอบถล่มป๊าด้วยก็ได้”

“ครับ”

อนาวินก้มมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งเขาจะต้องออกไปพบลูกค้าในไม่ช้านี้แล้ว
“งั้นผมจะพูดเรื่องนี้กับราโมน่าเลยก็แล้วกัน” พูดจบก็หันเดินขึ้นห้องอีกครั้ง ทิ้งให้ไมค์มองตามด้วยความหนักใจ เพราะดูเหมือนว่าเจ้านายหนุ่มกำลังก่อปัญหาใหญ่ขึ้นอีกระลอก โดยไม่รู้ตัว



ราโมน่าสะดุ้งตื่นกับเสียงเคาะประตูเบาๆ เธอนิ่วหน้ากับอาการปวดระบมเล็กน้อยขณะลุกขึ้นนั่ง ใช้มือเสยปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทางก่อนขยับลงจากเตียง แต่บานประตูก็เปิดเสียก่อน ตามด้วยร่างสูงเพรียวสะดุดสายตาในชุดสูททำงานเรียบหรูก้าวเข้ามา

“ความจริงพี่ก็อยากให้โม้นานอนพักผ่อนอีกหน่อยนะ..แต่เผอิญเรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกันเร่งด่วน ก่อนที่พี่จะออกไปพบลูกค้า”

บอกพร้อมกับหันไปลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงหน้าหญิงสาว ซึ่งกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาต้องการพูด
“หนึ่งในคนร้ายสามคนนั่นเคยทำงานในบริษัทของพี่จริงๆ แต่ถูกไล่ออกไปเป็นปีแล้ว มันจึงไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่พวกนั้นจะคิดแก้แทนให้กับเจ้านายที่ไล่ตัวเองออก..โม้นาเห็นด้วยไหม”

“เอ่อ..ค่ะ”

“พี่คิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับโม้นาน่ะ มีมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ให้ลุงของโม้นาเข้าใจฝ่ายพี่ผิด และถ้าพวกมันทำสำเร็จ รับรองว่าสองฝ่ายต้องปะทะกันแน่”

หญิงสาวกะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าตนเองจะถูกลากเข้ามาพัวพันในการขัดแย้งระหว่างสองตระกูลด้วย

“พี่มาคิดดูแล้ว เพื่อความปลอดภัยของโม้นาและเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายมากไปกว่านี้ พี่จะขอให้โม้นาอยู่ที่นี่เงียบๆสักระยะหนึ่งก่อน”

ดวงตาสีเขียวใสเบิกค้าง
“ให้โม้นาอยู่ที่นี่หรือคะ!”

“ใช่”

“ไม่นะคะพี่จิล โม้นาจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไง ถ้าเกิดคุณลุงรู้เข้าได้โกรธโม้นาจนควันออกหูแน่..แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่จำเป็นด้วย โม้นากลับไปอยู่บ้านคุณลุงก็ปลอดภัยแล้ว”

“ยังไงพี่ว่า มันก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี” เขาแย้งเสียงเข้ม “แล้วเรื่องนี้โม้นาก็ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้น ขืนบอกไปลุงของโม้นาก็ไม่เชื่อหรอก ว่าไม่ใช่ฝีมือของฝ่ายพี่น่ะ ในเมื่อไอ้คนร้ายนั่นมันก็เคยเป็นคนของพี่..เพราะถ้าหากเป็นพี่ พี่ก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”

“เหมือนกับที่พี่จิลไม่เคยเชื่อ ว่าลุงของโม้นาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบทำร้ายพ่อของพี่ใช่ไหมคะ”

ราโมน่ายอกย้อนด้วยความน้อยใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ..คนอื่นจะคิดอย่างไรเธอไม่สนใจเท่าไหร่ แต่กับเขา เธออยากจะให้เขาเชื่อคำพูดของเธอบ้าง เหมือนที่เธอยอมเชื่อคำพูดของเขาจนหมดใจ

อนาวินเถียงไม่ออก เพราะอคติที่มีต่อฝ่ายตรงข้าม มันทำให้เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้บรรดาลูกน้องของบิดากำลังตามสืบกันเองโดยไม่หวังพึ่งพาตำรวจ และหากรู้แน่ชัดถึงตัวผู้บงการเมื่อไหร่ เขาจะไม่รีรอที่จะเอาคืนพวกมันอย่างสาสม

“เรื่องพ่อของพี่ไม่เกี่ยวกัน..ตอนนี้พี่แค่อยากให้โม้นาทำตามที่พี่ขอเท่านั้น มันคงใช้เวลาไม่นานหรอก”

“แต่โม้นาต้องทำงานนะคะ แล้วถ้าพี่ให้โม้นาอยู่ที่นี่ มีหวังพวกนักข่าวรู้แน่ แล้วคุณลุงก็ต้องรู้ด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นโม้นาก็ต้องหาเรื่องพักงาน โดยไม่ให้คนอื่นสงสัย” อนาวินบอกพร้อมก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ก่อนลุกขึ้นยืน “โม้นาคิดไปว่าจะบอกผู้คนยังไง ไม่ให้สงสัยในการหายตัวไปชั่วคราว รวมทั้งลุงของโม้นาด้วย..หรือจะรอพี่กลับมาช่วยคิดก็ได้ คงประมาณช่วงบ่ายๆเย็นๆนั่นล่ะ”

“โม้นาไม่ยอมอยู่ที่นี่หรอกนะพี่จิล” หญิงสาวยืนกรานก่อนที่เขาจะหันเดินออกจากห้อง

ชายหนุ่มถอนใจเฮือก เอ่ยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ถ้าอย่างนั้น พี่จะสั่งขังโม้นา”

“พี่จิล!” หญิงสาวเบิกตาค้าง

อนาวินเดินกลับมาใกล้อีกครั้ง
“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ..เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่พี่คิดว่าดีที่สุด และปลอดภัยที่สุดสำหรับโม้นาด้วย..ช่วยเข้าใจแล้วก็ทำตามที่พี่ขอร้องหน่อยเถอะนะ ราโมน่า”

คนตรงหน้าครุ่นคิดไม่กี่อึดใจก็พยักหน้ายอมรับง่ายดาย..อนาวินหยัดยิ้มอย่างรู้ทัน เมื่อเห็นถึงสายตาขุ่นเคืองแฝงด้วยความดื้อรั้นที่ซุกซ่อนภายในดวงตาสีเขียวน้ำทะเล บ่งบอกว่าไม่มีวันยอมเชื่อฟังอย่างที่รับปากเป็นแน่..และก็เป็นจริงตามคาด เพราะขณะนี้ราโมน่ากำลังคิดว่า..หากคนของเขาเผลอเมื่อไหร่ เธอจะหนีเมื่อนั้น!



หลังจากที่อนาวินออกไปแล้ว ราโมน่าเดินออกจากห้องตรงไปยังระเบียงด้านหน้ามองหาทางหนีทีไล่ ซึ่งรอบตัวบ้านห่างออกไปเห็นแนวกำแพงสูงปกคลุมด้วยไม้เลื่อยเขียวขจีเกาะเต็มกำแพง และหน้าประตูรั้วที่เห็นไกลๆมีป้อมยามซึ่งคาดว่าน่าจะมีคนของเขาคอยเฝ้าดูอยู่ภายในป้อมนั้น และเรียวคิ้วพลางขมวดมุ่น เมื่อก้มมองลงยังพื้นที่ด้านล่างมีชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตกระจายอยู่ตามมุมต่างๆใต้ร่มไม้รอบบริเวณ แถมยังมีบรรดาเจ้าสุนัขหน้าโหดวิ่งเล่นไปมาอีกเป็นฝูง

“บ้าจริง! นี่เราเข้ามาอยู่ในดงมาเฟียรึไง”

หญิงสาวพึมพำอย่างหงุดหงิดระคนหนักใจ เพราะสภาพแวดล้อมภายในบ้านของอนาวินนั้นต่างจากบ้านลุงชัชของเธอลิบลับ ซึ่งถึงแม้ลุงจะมีลูกน้องอยู่ในบ้านแต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และแต่ละคนก็ดูไม่น่ากลัวเหมือนคนเหล่านี้ด้วย..แล้วอย่างนี้เธอจะหาช่องทางหนีได้อย่างไร!

และสายตากวาดไปเห็นรถของเธอจอดอยู่ภายในโรงรถ แสงแห่งความหวังสว่างวาบขึ้นในหัว
“ถ้าได้ขึ้นรถ โอกาสหนีน่าจะมีนะ ราโมน่า”

หญิงสาวปลอบใจตัวเอง พลางหันเดินกลับเข้าภายในหันลงบันไดอย่างระแวงระวัง..และคิดว่าหากเธอหนีไปได้ เธอคงไม่บอกเรื่องนี้ให้ลุงของเธอรู้ตามที่อนาวินขอ เพราะไม่แน่ใจเช่นกันว่า คุณลุงของเธอจะเชื่ออย่างที่เธอหวังให้เชื่อหรือเปล่า และหากไม่เป็นไปตามที่เธอวาดหวัง เรื่องราวอาจจะลุกลามบานปลายให้ความบาดหมางทั้งสองตระกูลยิ่งร้าวลึกลงไปอีก..และเหตูผลที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ อนาวินนั้นเป็นตัวอันตรายต่อหัวใจของเธอ แค่ทุกวันนี้ หัวใจของเธอก็หวั่นไหวมากเกินพอแล้ว หากขืนเข้าใกล้เขามากกว่านี้ เขาจะนำมหันตภัยร้ายมาสู่หัวใจ โดยที่เธอคงไม่สามารถต้านทานได้เช่นกัน..หลังจากนั้น ชีวิตของเธอคงจมอยู่ในแต่ความทุกข์ตรม ที่ไม่มีวันหลุดพ้นไปชั่วชีวิต

ราโมน่าลงมาถึงโถงชั้นล่าง และขณะที่กำลังหันรีหันขวาง จู่ๆเสียงห้าวทุ้มเอ่ยทัก
“จะไปไหนครับ” ทำให้เธอสะดุ้งโหยงหันขวับไปตามเสียง เห็นชายหนุ่มร่างใหญ่โตคนหนึ่งกำลังทำหน้าเหี้ยมใส่ ให้เธอขวัญผวา ต้องรีบคิดหาข้ออ้างเสียงตะกุกตะกัก

“อะเอ่อ..คือ..ฉันหิวน่ะ”

“งั้นเชิญที่ห้องอาหารเลยครับ”

ชายหนุ่มผายมือไปยังห้องอาหารให้หญิงสาวก้าวตรงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่วางสอดเรียงกันหลายตัวใต้โต๊ะอาหารไม้ฝังมุกตัวใหญ่อย่างเป็นระเบียบ ภายในห้องกว้างสะอาดตาซึ่งยังคงการตกแต่งแบบสถาปัตยกรรมโบราณผสมไทย-จีน และเนื่องจากเธอเติบโตมากับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เครื่องเรือนเครื่องใช้ทุกอย่างมีสไตล์เข้ากับยุคสมัย แต่จู่ๆได้เข้ามานั่งภายในห้องนี้ ทำให้รู้สึกแปลกๆราวกับหลุดเข้ามาอยู่อีกโลก แต่กลิ่นอายที่ลอยอวลอยู่ภายในห้องนี้กลับชวนให้รู้สึกถึงความอบอุ่นของคำว่า ครอบครัว อย่างแท้จริง

และนั่งรอไม่นาน..หญิงรับใช้ที่ยังอยู่ในวัยสาวรุ่นก็ประคองถาดอาหารเช้ามาให้ ขณะที่สายตาคอยชำเลืองมองแขกของนายหนุ่มด้วยความตื่นตะลึงที่ได้เห็นตัวจริงของดารานางแบบสาวคนดังอย่างใกล้ชิด

“เอ่อ..ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็สั่งได้นะคะ”
เด็กสาวบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่อยู่

“ขอบใจจ้ะ” ราโมน่ายิ้มให้ ก่อนจะเริ่มหันมาสนใจอาหารตรงหน้า เพราะเธอเองขณะนี้ก็หิวจนไส้กิ่วแล้วเช่นกัน..ขอเติมพลังให้เต็มที่ก่อน เรื่องหนีค่อยว่ากัน!


หลังจากที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็เดินออกไปหน้าบ้าน พบกับชายคนเดิมที่ยืนอยู่บริเวณนั้น และเขาก็หันมามองทันที
“คุณต้องการอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“คือ..ฉันจะไปเอาเสื้อผ้าที่คอนโด..เลยอยากได้กุญแจรถน่ะ ไม่รู้ว่าอยู่ไหน”

“อยู่กับคุณเต้ครับ” ตอบพร้อมชี้ไปที่ชายหนุ่มสวมชุดดำนั่งหันหลังอ่านหนังสืออยู่ภายในสวนใต้ต้นโมกใหญ่

“เหรอ..ขอบใจนะ”

เธอยิ้มให้เขาหวังผูกมิตรเต็มที่ก่อนหันเดินตัวปลิวไปยังเตชิต ซึ่งชายหนุ่มเหลือบสายตาอย่างระแวงตามสัญชาตญาณทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาย่ำบนผืนหญ้าตรงมาหยุดยืนข้างตัว ก่อนน้ำเสียงกังวานใสจะเอ่ยขึ้น

“เอ่อ..หวัดดี..คือฉันอยากได้กุญแจรถน่ะ..เมื่อกี้เพื่อนของนายบอกว่า นายเป็นคนเก็บกุญแจไว้”

หญิงสาวบอกถึงเจตนาพลางขยับก้าวถอยหลัง เมื่อร่างของคนตรงหน้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหันมาให้เธอเห็นใบหน้าชัดเจน ซึ่งราโมน่าพอจะจำได้ ว่าเขาเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ยืนหน้าประตูห้องของอนาวินเมื่อคืนนี้ และแม้ว่าเขาจะมีใบหน้าและบุคลิกชวนมองมากกว่าผู้ชายคนที่เธอพูดคุยเมื่อครู่หลายเท่า แต่รังสีเย็นเยือกที่แผ่กระจายรอบตัวเขากลับให้ความรู้สึกถึงอันตรายมากกว่าผู้ชายคนเมื่อครู่เสียอีก

“คุณต้องการกุญแจรถไปทำไม”

“..ก็พี่จิลบอกว่าฉันต้องอยู่ที่นี่..ฉันเลยว่าจะออกไปเอาเสื้อผ้า แล้วก็พวกของใช้ส่วนตัวที่คอนโดน่ะ”

ดวงตาคมกริบสีน้ำตาลอ่อนใสมองสบครู่เดียว ร่างสูงเพรียวขยับห่างไม่มากนักเพื่อหันมาต่อสัญญาณโทรศัพท์มือถือถึงอนาวิน และรอเพียงครู่ เสียงจากปลายสายก็เอ่ยรับ

“มีอะไรเรอะ”

“แขกของคุณต้องการกลับไปเอาเสื้อผ้าที่คอนโด”

อนาวินนิ่งไปอึดใจ
“งั้นนายช่วยไปกับเขาที..ฉันต้องการความมั่นใจที่สุดว่าเขาจะหนีไปไหนไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าเขายังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่”

“..ครับ”
เตชิตรับคำก่อนหันกลับมายังหญิงสาวที่ยืนรออย่างใจจดจ่อ และเอ่ยทันทีที่เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง

“พี่จิลอนุญาตแล้วใช่ไหม..งั้นขอกุญแจรถด้วย” พร้อมแบมือยื่นไปตรงหน้าเขา

“ผมจะพาคุณไปเอาเสื้อผ้าเอง” เสียงทุ้มเอ่ยตอบราบเรียบ ก่อนก้าวผ่านหน้าเธอตรงไปยังโรงเก็บรถ..ราโมน่าหันก้าวตามพลางครุ่นคิดถึงหนทางหนีรอด แต่ก็ต้องทักท้วงอีกครั้ง เมื่อเขากดรีโมทปลดล็อกรถยนต์คันสีดำ

“นั่นไม่ใช่รถของฉัน..ฉันต้องการนั่งรถของฉันนะ”

“รถของคุณสะดุดสายตาเกินไป” ชายหนุ่มหันมาตอบ พร้อมเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับ โดยไม่สนใจจะเปิดประตูให้หญิงสาว “ถ้าไม่ไป ก็ไม่ต้องไป”

ราโมน่าข่มกลั้นอารมณ์ขุ่นเคือง..ความจริงเธอก็ไม่ใช่คนถือตัวอะไรมากหรอกนะ แต่น้ำเสียงและกิริยาท่าทางที่เขาแสดงต่อเธอซึ่งถือว่าเป็นแขกของเจ้านาย มันเต็มไปด้วยความอวดดี และไร้มารยาทที่สุด!

“ฉันต้องเอากระเป๋าถือในรถก่อน คีย์การ์ดอยู่ในนั้น”

เตชิตจึงหยิบกุญแจมาปลดล็อกรถสปอร์ตสีแดงเพลิงที่จอดอยู่ไม่ห่าง ให้หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายออกจากรถของตน เดินมาเปิดประตูรถของเขาฝั่งผู้โดยสารตอนหลังเข้าไปนั่งหน้าบึ้งตึง ก่อนออกคำสั่ง

“เอ้า ไปได้แล้ว”

ดวงตาคมกริบของผู้เป็นสารถีตวัดมองผู้โดยสารสาวทางกระจกส่องหลัง ก่อนเคลื่อนตัวรถตรงไปยังจุดหมาย


จนกระทั่ง..ตัวรถเลี้ยวเข้าลานจอดของคอนโดมิเนี่ยมหรูและราโมน่ารีบเปิดประตูลงจากรถ สายตาเปี่ยมหวังเล็งไปยังพนักงานรักษาความปลอดภัยทันที..ในเมื่อเธอสามารถกลับมาถึงถิ่นของตนเองแล้ว เรื่องอะไรจะต้องกลับไปอยู่ในสถานที่ที่อันตรายมากที่สุดอีก

แต่ไม่ทันไร..ร่างของเธอถูกประกบติดด้วยร่างสูงพร้อมเรียวนิ้วแกร่งยึดแน่นกับต้นแขนเธอก่อนขู่ด้วยน้ำเสียงแค่นกระซิบ
“ถ้าไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายมากไปกว่านี้ อย่าทำอะไรแผลงๆเด็ดขาด..และคนที่เดือดร้อนที่สุดจะเป็นคุณอนาวิน”

คำพูดของเขาสะดุดใจจนทำให้คนฟังหันขวับเงยขึ้นสบกับดวงตาคมกริบส่องประกายวาววับเย็นเยือก..เหมือนว่าเขาอ่านความคิดของเธอออกไปเสียหมดทุกอย่าง
“หวังว่าคุณคงไม่อยากให้ความหวังดีของคุณอนาวิน กลับกลายเป็นปัญหาให้เขาเดือดร้อนนะ”

หญิงสาวครุ่นคิดตามคำพูดของเขาชั่วนาที ก็สะบัดแขนออกจากมือเขา ก่อนหันเดินเข้าไปยังพื้นที่ด้านในด้วยสีหน้าปกติผ่านสายตาสอดรู้สอดเห็นของพนักงานต้อนรับเดินเข้าตัวลิฟต์..ไม่กี่อึดใจราโมน่ากลับเข้ามายืนอยู่ภายในห้องชุดของเธออีกครั้ง โดยมีร่างสูงเพรียวกำยำของคนแปลกหน้าก้าวตามติดและจับจ้องไม่วางตา หญิงสาวหยิบกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมออกมาเปิด และหยิบเสื้อผ้าใส่ลงไปไม่กี่ชุดพอเป็นพิธีเท่านั้นเพราะไม่คิดว่าตนจะได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นจริงๆ..แต่ขณะนี้ปัญหาใหญ่กำลังก่อกวนขึ้นในใจ เมื่อเธอพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่า ตัวเองนำกุญแจสำรองรถยนต์ไปไว้ไหน..หรือว่าเธอเก็บไว้ที่บ้านของลุงชัช โดยไม่ได้นำมันมาด้วย

“บ้าจริง!”

และขณะที่เธอกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านตัวเอง สองมือทำท่าจะเลื่อนซิปปิด แต่เตชิตที่กอดอกยืนมองไม่ห่างเอ่ยแย้งออกมา

“คุณควรเอาเสื้อผ้าไปมากกว่านี้นะ เพราะต้องอยู่หลายวันรวมทั้งชุดชั้นในด้วย”

เพราะเขาเห็นเธอหยิบเพียงเสื้อผ้าเท่านั้น ในขณะที่คนฟังหน้าแดงเร่อกับการที่ผู้ชายแปลกหน้ามาพูดถึงของใช้ส่วนตัวของเธอได้หน้าตาเฉย และเธอจำต้องทำตามที่เขาบอก เพื่อให้เขาวางใจ จนกระทั่ง..กระเป๋าเดินทางของเธออัดแน่นด้วยเสื้อผ้าสมใจเขาแล้ว เธอก็หันไปบอกก่อนที่เขาจะทันขยับมาช่วยยกกระเป๋าให้ แต่ราโมน่ารีบหาทักท้วง..เธอยังไม่พร้อมไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะนึกออกว่าเก็บกุญแจสำรองไปไว้ไหน

“ดะ..เดี๋ยวก่อน..ฉันขออาบน้ำก่อน..ตั้งแต่เมื่อคืนฉันยังไม่ได้อาบเลย และฉันก็อยากนอนแช่ในอ่างอาบน้ำของฉันด้วย..นะ”เธอพูดด้วยสีหน้าวอนขอ

“ผมให้เวลาสิบห้านาที”

“โอเค..งั้นนายออกไปคอยข้างนอกก่อนนะ”

“ผมจะคอยตรงนี้” ตอบพลางก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ “ ผมจะเริ่มจับเวลาแล้ว”

ราโมน่าฮึดฮัด หันไปคว้าชุดที่จะเปลี่ยนออกมาจากตู้เสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำและล็อกประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินวนไปวนมาทบทวนความทรงจำ

“บ้าจริง! ถ้าไม่ได้กุญแจรถ ฉันก็ต้องคิดหาวิธีหนีใหม่สิเนี่ย..โอย! ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้เนี่ย” พ่นลมหายใจฟืดฟาด แล้วก็นึกออกออกในวินาทีนั้น ว่าเธอนำมันโยนรวมไว้ในกล่องเครื่องประดับกระจุกกระจิกตอนที่ขนของย้ายมานั่นเอง

และขณะที่กำลังดีใจ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เหลืออีกห้านาที”

หญิงสาวกัดฟันอย่างเข่นเขี้ยว ยกมือเท้าสะเอวหันกลับไปตอบโต้อีกฝ่ายผ่านบานประตู
“นายไม่รู้รึไงว่าผู้หญิงน่ะใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวนานแค่ไหน แค่สิบห้านาทีน่ะมันไม่พอหรอก ขอเหลทหน่อยก็แล้วกัน..อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้รีบไปไหนด้วย” จากนั้นก็ค่อยถอดเสื้อผ้าพาร่างเปล่าเปลือยของตนก้าวผ่านกระจกฝ้าเพื่ออาบน้ำจริงๆเสียที

ในขณะที่เตชิตยืนกอดอกสีหน้าเคร่งเครียด พลางก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ..เธอไม่รีบ แต่เขาต้องรีบกลับให้ถึงบ้านก่อนที่โมรียาจะกลับมาเพื่อทานข้าวพร้อมเขาตามการนัดหมายของเธอทางโทรศัพท์เมื่อเช้านี้ และหากหญิงสาวกลับมาไม่เจอเขาล่ะก็.. ‘งานนี้คงได้ตัวใครตัวมันล่ะ!’

ราโมน่ายังคงถ่วงเวลาอยู่ภายในห้องน้ำไม่สนใจเสียงเร่งของอีกฝ่ายที่ดังมาแล้วถึงสองครั้ง จนเตชิตเหลืออด
“ผมจะนับถึงสาม ถ้าไม่ออกมาผมจะพังประตูเข้าไป..หนึ่ง..”

ร่างของคนที่กำลังบรรจงแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกเงาปรายหางตามองบานประตูเพียงครู่ก็ถอนใจเฮือก เก็บลิปสติกใส่กระเป๋าสำหรับอุปกรณ์แต่งหน้า เมื่อคิดได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถ่วงเวลาให้มากไปกว่านี้..แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปเปิดประตู เธอจำต้องกรี๊ดลั่นอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆบานประตูก็เปิดผัวะมากระแทกกับผนังห้องเสียงดังสนั่น พร้อมตัว ล็อกพังห้อยร่องแร่งด้วยแรงถีบของคนตัวโตที่ยืนผงาดตรงหน้า แววตาวาววับด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธให้เธอพูดอะไรแทบไม่ออก

“นะ..นายกล้าดียังไงที่พังประตูเข้ามาแบบนี้”

“ผมเตือนคุณแล้ว และเราต้องไปเดี๋ยวนี้ เพราะผมมีนัด”

ราโมน่าทำเสียงขึ้นจมูก “ฮึ! ฉันจะฟ้องพี่จิล” และก้าวยาวๆออกจากห้องมาเปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องสำอาง แง้มเปิดกล่องไม้ขนาดกะทัดรัดเห็นกุญแจรถสำรองปะปนกับเครื่องประดับของเธอแล้วจึงปิดพร้อมคว้าออกมาทั้งกล่อง และยอมเดินตามร่างสูงออกจากห้องกลับไปขึ้นรถแต่โดยดี และหญิงสาวต้องนั่งตัวเกร็งไปตลอดทาง กับความเร็วและลีลาการขับรถของเตชิตที่ฉวัดเฉวียงต่างกันลิบลับกับตอนขามา



อนาวินวางสายจากเตชิต เขาก็หันไปพูดคุยกับลูกค้าได้ไม่เท่าไหร่ ลูกค้าก็ขอตัวกลับและนัดหมายว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้งในงานเลี้ยงสังสรรค์คืนนี้ตามคำเชื้อเชิญของจตุพล จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำธุระต่อ โดยอนาวินตรงมายังโรงพยาบาลเพื่อดูอาการคืบหน้าของบิดา..ชายหนุ่มยืนข้างเตียงคนไข้ ทอดสายตาห่วงกังวลมองร่างที่ยังนอนสงบนิ่ง ร่างกายบอบช้ำด้วยบาดแผลฉกรรจ์รายล้อมด้วยอุปกรณ์พยุงชีพอันทันสมัย แต่เนื่องจากบิดานั้นมีอายุมากแล้ว ร่างกายจึงฟื้นตัวได้เชื่องช้าไม่ทันใจเขาเอาเสียเลย

และนับจากนี้ปัญหาต่างๆที่กำลังรุมเร้าทุกด้าน เขาจะต้องเป็นคนตัดสินใจแก้ปัญหาเพียงลำพังโดยไม่มีคำชี้แนะจากบิดาเช่นทุกครั้ง รวมทั้งต้องเผชิญกับศัตรูทั้งในที่ลับและที่แจ้งในฐานะทายาทของผู้นำตระกูล และเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เขาจำต้องวางตัวให้เข้มแข็งเหมาะสมกับฐานะที่ตัวเองดำรงอยู่ให้มากที่สุด ทั้งๆที่ภายในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยวิตกกังวล หวาดหวั่นและความรู้สึกกดดันว่าตนเองจะไม่สามารถทำได้ดีสมกับที่ทุกคนคาดหวังไว้..แต่ในเมื่อมันไม่มีทางเลือก เขาจำต้องตั้งสติให้มั่นและเผชิญหน้ากับสิ่งที่ชะตากำหนดให้ถึงที่สุด!

โมรียาก้าวเข้ามายืนข้างพี่ชาย
“เมื่อเช้าป๊าตื่นมายิ้มให้กับหนูเล็กได้แล้วนะ..แม่ดีใจจนร้องไห้ใหญ่เลย” ใบหน้าขาวเนียนบรรจงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนร้อนแรงพูดพร้อมประกายตาวาวสดใสซึ่งเพิ่งจะปรากฏเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาถึงประเทศไทย เพราะบิดาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆเลย แต่เมื่อเช้าบิดาลืมตามองเธอกับมารดา และประกายตาที่มองสบกันนั้น เหมือนว่าสติที่เลื่อนลอยของบิดาจะเริ่มรับรู้สิ่งรอบตัวแล้ว และยังขยับมุมปากหยัดยิ้มให้เธอกับมารดา ก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง

ชายหนุ่มยกแขนโอบไหล่บอบบางของคนร่างเล็ก และพาหันเดินกลับออกมายังห้องรับรองด้านนอก ซึ่งมารดากำลังนั่งจดรายการที่ต้องการให้ลูกน้องของสามีจัดการหามาให้

“แล้วเราจะอยู่ที่โรงพยาบาลกับแม่ตลอดเลยรึเปล่า”

“หนูเล็กว่าจะกลับบ้านบ้างแล้วล่ะ เพราะเจ่เจ้บอกว่างานเยอะ ขนมาทำที่โรงพยาบาลมันไม่สะดวกเหมือนอยู่ที่บ้านน่ะ”

“ตกลงว่าเราจะช่วยเจ้ขวัญทำงาน แต่ไม่ช่วยงานของเฮียบ้างเรอะ”

“แล้วเฮียจะให้หนูเล็กทำอะไรล่ะ ก็บอกมาสิ ถ้าหนูเล็กทำได้ก็ไม่ขัดอยู่แล้ว”

“หืมม์ น่ารักซะไม่มีล่ะ” ชายหนุ่มกระชับวงแขนกอดแน่นพร้อมโน้มตัวลงหอมแก้มนุ่มของน้องหนักๆ ให้หญิงสาวหัวเราะคิก และบานประตูเปิดเข้ามาโดยร่างเพรียวระหงของพิมพ์ศิริในกระโปรงชุดทำงาน

“อ้าว ขวัญนึกว่าเฮียยังอยู่กับลูกค้าเสียอีก”

“เพิ่งเสร็จเมื่อกี้เอง เลยแวบมาเยี่ยมป๊าหน่อย..แล้วอาเจ็กหลับแล้วเหรอ”

“ยังคุยกับแม่อยู่เลย..วันนี้ตื่นนานหน่อย” ดวงหน้าสวยคมกระจ่างด้วยรอยยิ้มกับอาการที่ดีขึ้นของบิดา แล้วก็หันมาทางเมธิกา“แม่ให้มาถามด้วยค่ะว่าคุณป้าหิวรึยัง จะได้ให้คนสั่งอาหารมาทานเลย”

“อืมม์ ป้าก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน..งั้นสั่งมาเลยก็แล้วกันจ้ะ” ตอบเสร็จก็หันไปทางลูกทั้งสอง “หนูเล็กกับจิลจะทานพร้อมแม่รึเปล่า”

“เดี๋ยวผมกับหนูเล็กจะออกไปทานข้างนอกครับ..อ้อ รวมทั้งขวัญด้วย” อนาวินรีบตอบก่อนที่น้องสาวจะทันได้อ้าปากเสียอีก

“เหรอ ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ทานกับอาน้ำหวานสองคนก็ได้”

“งั้นผมกลับเลยนะครับ..คืนนี้มีนัดสังสรรค์กับลูกค้าด้วย”

“จ้ะ”

อนาวินผละจากน้องสาวมาโน้มตัวลงหอมแก้มมารดา จากนั้นก็หันมาจูงมือสองสาวพาออกจากห้อง


“วันนี้หนูเล็กบอกพี่เต้ว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย เฮียจะกลับไปกินข้าวบ้านพร้อมหนูเล็กไหมล่ะ”
โมรียาบอกพี่ชายเมื่อพ้นออกมาจากห้องแล้ว โดยมีกลุ่มผู้ติดตามเดินตามมาไม่ห่าง

“เรื่องกินข้าวไว้ค่อยว่ากัน แต่พี่มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับหนูเล็กแล้วก็ขวัญด้วย” อนาวินปล่อยมือจากข้อมือบางของสองสาว

“งั้นว่ามาได้เลย” โมรียากอดอกตั้งใจฟังพี่ชายเต็มที่

“คืองี้..ตอนนี้ที่บ้านเรากำลังมีแขกพิเศษที่ต้องให้เราดูแลอยู่คนหนึ่ง”

“ ใคร?”

“คือ..เธอชื่อ..ราโมน่า”

“ราโมน่า!” พิมพ์ศิริอุทานออกมา จ้องเขาอย่างกังขา “คงไม่ใช่ คนคนเดียวกับที่เป็นหลานสาวของ คุณชนาธิปนะคะ”

โมรียานั้นส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตในต่างประเทศจึงไม่รู้จักว่าเป็นใคร แต่เมื่อญาติสาวเอ่ยถึง ชนาธิป เธอก็เขม็งมองพี่ชายอย่างต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้

อนาวินผ่อนลมหายใจยาวก่อนพยักหน้ารับ
“ใช่..หลานของคุณชนาธิป”

สองสาวเบิกตากว้างหันมองหน้ากัน ก่อนหันขวับกลับมาจ้องผู้ชายตรงหน้าสายตาคาดคั้น และโมรียาก็เอ่ยเสียงเครียด
“เฮียพาศัตรูเข้าบ้านเรอะ!”

“ราโมน่าไม่ใช่ศัตรู แต่เธอกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทำให้ฝ่ายเรากับกลุ่มรัตนากรชนกัน”

“หมายความว่าไง”

อนาวินจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้สองสาวฟัง พร้อมบอกเหตุผลที่จำเป็นต้องเก็บตัวราโมน่าไว้
“ไม่เห็นพี่เต้บอกเรื่องนี้กับหนูเล็กเลย” โมรียาพึมพำน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะพูดกับพี่ชายอีกครั้ง “แล้วเฮียคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดแล้วเรอะ”

“เฮียคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดแล้ว..แล้วเฮียก็อยากจะขอร้องให้เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ให้แม่หรือป๊ารู้เด็ดขาด” และหันมาย้ำกับพิมพ์ศิริ “รวมทั้งอาเจ๊กด้วย”

“แล้วเฮียคิดจะกักตัวแม่ราโมน่าอะไรนั่นไว้นานแค่ไหนล่ะ”

“สักสอง-สามอาทิตย์..หรืออาจนานกว่านั้น”

“แค่สองอาทิตย์ก็ถือว่านานเกินพอแล้ว ที่จะให้คนของศัตรูมาเพ่นพ่านในบ้านของเรา” โมรียาบอกเสียงห้วน “งั้นเรารีบกลับบ้านไปทำความรู้จักกับแขกคนสำคัญกันเถอะ”



เมื่อทั้งหมดกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่โมรียากลับฉุนขาด เมื่อคนในบ้านรายงานว่าเตชิตออกไปกับราโมน่า
‘นังนั่นมันกล้าดียังไง ที่บังอาจมาวุ่นวายกับคนของเธอ!’

อนาวินเริ่มอึดอัด เพราะไม่คิดว่าทั้งสองจะไปนานถึงขนาดนี้ และรีบออกรับแทน
“พี่ขอให้เต้ไปกับราโมน่าเอง เพราะเต้เป็นคนที่พี่ไว้ใจมากที่สุด..เอาน่าหนูเล็ก เดี๋ยวพวกเขาก็มากันแล้ว”

และขณะที่อนาวินคิดจะหยิบโทรศัพท์กดหาเตชิต ก็เห็นรถของบุคคลที่เฝ้ารอเลี้ยวเข้ามาภายในอาณาเขตของบ้านพอดี แต่บรรยากาศกลับไม่ช่วยลดความตึงเครียดลงได้เลย เมื่อเหลือบมองสายตาของน้องสาวกำลังวาวโรจน์จ้องเขม็งแสดงชัดถึงความเป็นอริไปยังร่างของราโมน่าที่เปิดประตูผู้โดยสารตอนหลังก้าวลงจากรถ..ซึ่งมันส่งกระแสเตือนถึงอันตรายที่แม้แต่ตัวของอนาวินเองคงต้องใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อปกป้องราโมน่าให้พ้นจากศัตรูที่มองไม่เห็นและวินาทีนี้ก็นับรวมน้องสาวของเขาไปด้วยอีกคน

........................................................................................................

จบตอนค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2555, 20:50:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2555, 20:50:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 2424





<< ตอนที่ ๕   บทที่ ๗ >>
bloomberg 7 มี.ค. 2555, 00:19:13 น.
อื้อหือ... ทําไมหนูเล็กอารมณ์ร้ายขนาดนั้นนะ เตชิดอยู่ด้วยความรักหรือว่าจําใจอ่ะคะไรเตอร์


nunoi 7 มี.ค. 2555, 00:49:25 น.
ขี้หวงจริงๆน่ะหนูเล็ก


Zephyr 7 มี.ค. 2555, 02:06:00 น.
หนูเล็กได้ฉะกะราโมน่าตายกันไปข้าง
โมน่าดื้ออ่ะ หนีออกไปสำเร็จนี่ หลายๆคนจะพากันซวยนะ
แต่แหม โมน่าไม่เชื่อพี่จิลแล้วเหรอ เหตุผลหลักพี่เค้าอยากเก็บไว้ใกล้ตัวไง อิอิ


หมูอ้วน 7 มี.ค. 2555, 07:12:01 น.
หนูเล็ก จะไม่ผูกมิตรกับหนูโม้นาซะหน่อยหรอ


ann 7 มี.ค. 2555, 07:34:24 น.
ตอนแรกก็น่ารักดีนะนู๋เล็ก ตอนหลังชักเริ่มร้ายเกิ๊น อย่างนี้ต้องมีคนมาปลาบ 555


ระรินใจ 7 มี.ค. 2555, 11:40:40 น.
คุณbloomberg === ไม่อย่างนั้น เฮียจิลจะเรียกว่า นางมารน้อย หรือคะ อิอิ..ส่วนเตชิตอยู่ด้วยเพราะอะไร ต้องดูกันไปค่ะ (แต่ในเรื่องนี้ยังไม่มีเฉลยนะคะ ^^)



คุณnunoi === หนูเล็ก หึง หวง เหวี่ยง ครบเลยค่ะ



คุณZephyr=== งานนี้โม้นาอ่วมค่ะ ^^" แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเฮียจิลก็คอยปลอบขวัญให้ หุหุ




คุณ หมูอ้วน === อีกนานค่ะ กว่าจะยอมญาติดีด้วย



คุณann === 55 คงต้องรอกันนานหน่อย กว่าหนูเล็กจะถูกปราบ


anOO 7 มี.ค. 2555, 19:29:05 น.
โม้น่าจะอยู่ได้ไหมเนี้ย ยัยหนูเล็กคงไม่ปล่อยให้อยู่อย่างสบายๆ หรอก


แพม 7 มี.ค. 2555, 22:59:12 น.
แม่เสือหวง


dino 8 มี.ค. 2555, 07:39:08 น.
หนูเล็กจะหวงทำไมค่ะ อนาคตพี่สะใภ้


XaWarZd 8 มี.ค. 2555, 11:42:58 น.
จะรอดมะเนี่ย


ระรินใจ 8 มี.ค. 2555, 15:19:30 น.
คุณ an00 === แรกๆก็ขรุขระนิดหน่อยค่ะ..เดี๋ยวก็ชิน ฮ่า..


คุณ แพม === หนูเล็กนิสัยขี้หวงมากๆค่ะ ไม่ใช่แค่เต้เท่านั้น แม้แต่พ่อกับพี่ก็หวงสุดๆ



คุณdino === แหะๆ ขอหวงไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลัง



คุณXaWarZd === รอดจ้า ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account