ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๗

คนรับใช้นำกระเป๋าเสื้อผ้าของราโมน่าขึ้นไปไว้บนห้องรับรอง ซึ่งอนาวินสั่งให้คนจัดการทำความสะอาดแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า..เตชิตเดินตามราโมน่าไปหาอนาวินที่ยืนมองพร้อมสองสาว และมองเห็นสายตาของโมรียาที่จ้องเขม็งมายังราโมน่านั้น เผยชัดถึงภัยคุกคามที่ไม่มีใครสามารถจะมาหยุดยั้งได้โดยง่าย

และตัวราโมน่าเองก็รับรู้ถึงกระแสเกลียดชังที่ส่งมาจากสองสาว โดยเฉพาะกับผู้หญิงผิวขาวตัวเล็กแลดูบอบบางน่าทะนุถนอม ใบหน้ารูปไข่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเข้มภายใต้กรอบผมยาวสลวยดำขลับส่งให้เจ้าของร่างสวยงามชวนมองไม่น้อย ยกเว้นเพียงดวงตากำลังเรืองโรจน์ด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ราวกับว่าเคยมีเรื่องเคืองแค้นกันมาก่อน ทั้งๆที่เธอเองก็เพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก

จนเมื่อหญิงสาวเดินมายืนใกล้อนาวิน ชายหนุ่มจึงเริ่มเอ่ยคำแนะนำด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หนูเล็ก..นี่ไง แขกคนพิเศษของเรา”

แม้จะรู้ว่าตนไม่เป็นที่ต้อนรับของอีกฝ่าย แต่ราโมน่ายังคงยิ้มอย่างแสดงความเป็นมิตรพร้อมเอ่ยออกมา
“สวัสดีจ้ะ”

เดิมทีโมรียานั้นแค่ไม่พอใจที่คนของเธอต้องตามไปบริการผู้หญิงคนอื่น แต่เมื่อได้เห็นชัดถึงรูปลักษณ์อันสวยงามไร้ที่ติ โดยเฉพาะขนาดของทรวงอกอิ่มที่เกินมาตรฐานหญิงไทยนั้นส่งผลให้เธอเพิ่มความหวาดระแวงในตัวพี่ชายทันที เพราะบรรดาผู้หญิงที่ผ่านๆมาของพี่ชายนั้นล้วนแต่เสป็คนี้ทุกคน และพี่ชายที่ถูกขนานนามว่าเป็น คาสโนวา มีหรือจะยอมปล่อยให้ผู้หญิงตรงหน้านี้ให้หลุดรอดไปโดยที่ไม่ได้แตะต้องลิ้มลอง..ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนของศัตรูก็ตาม และมันคงเป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้

“เธอเป็นแขกของพี่ชายฉันเท่านั้นไม่ใช่ของเราทุกคน เพราะฉะนั้น จงอยู่อย่างเงียบๆและอย่าก่อปัญหา..เพราะฉันไม่รับรองความปลอดภัยของเธอ” น้ำเสียงแข็งกร้าวตอบกลับ และตวัดมองสบสายตาถมึงทึงของพี่ชายก่อนเดินผ่านหน้าไปอย่างไม่สนใจ เพื่อจะหันมาเกรี้ยวกราดใส่คนของเธอ

“พี่เต้ หนูเล็กหิวข้าวจะแย่แล้วนะ”

“ขอโทษครับ..” เตชิตตอบน้ำเสียงราบเรียบ สบสายตาเรืองวาว ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีสดเม้มแน่นแทบเป็นเส้นตรง ก่อนเจ้าตัวจะหันก้าวยาวๆตรงไปยังรถยนต์ของเขาโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีก ชายหนุ่มก็รู้ว่าหญิงสาวได้เปลี่ยนใจจากการทานข้าวบ้าน เป็นออกไปหาอะไรทานข้างนอกแทน

ร่างสูงเพรียวรีบก้าวยาวๆตามติด เพื่อเปิดประตูให้กับร่างบางที่ยืนคอยอยู่ฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ ก่อนเขาจะเดินกลับมาประจำที่คนขับอีกครั้ง และเคลื่อนรถยนต์ไปยังจุดหมายตามคำบัญชาของหญิงสาวที่นั่งข้างกาย


อนาวินผ่อนลมหายใจยาว ก่อนหันมองคนข้างกายที่กำลังแสดงท่าทีอึดอัดกับปฏิกิริยาของเจ้าบ้าน ถึงแม้ว่าใจจริงไม่คิดจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่เธอก็แค่อยากผูกมิตรกับทุกคนที่เธอรู้จัก..ไม่อยากให้ใครๆเกลียดชังในตัวเธออีกเลย

“พี่ขอโทษแทนน้องสาวของพี่ด้วยนะ โม้นา” อนาวินบอกด้วยซุ่มเสียงอาทรพร้อมสบดวงตาคู่สวย โดยลืมไปชั่วขณะว่ายังเหลือญาติสาวยืนอยู่ด้วยอีกคน และพิมพ์ศิริข่มกลั้นอาการแปลบปลาบในใจ ต่อการแสดงออกของเขาที่มันบ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นห่วงเป็นใยในความรู้สึกของบุคคลที่ขึ้นชื่อว่า เป็นคนของศัตรู
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ก่อนเปล่งเสียงออกไปทำลายสายใยภวังค์ที่สองหนุ่มสาวกำลังถักทอถึงกันจนขาดสะบั้น

“เฮียจะกินข้าวไหม”

อนาวินหันขวับ อย่างเพิ่งนึกได้ว่าพิมพ์ศิริยังยืนอยู่ตรงนี้ แล้วแสร้งยิ้มเก้อ
“เอ่อ..อืมม์..กินสิ” แล้วก็หันกลับไปทางราโมน่าอีกครั้ง “แล้วโม้น่าล่ะ หิวรึยัง”

“โม้นาเพิ่งทานไปเองค่ะ ยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย”

ตอบเขาจบก็หันไปยิ้มให้กับพิมพ์ศิริที่เธอพอจะรู้จักแล้วตามงานเลี้ยงและสื่อต่างๆ แต่นั่นก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดตัวตนเช่นครั้งนี้ ซึ่งพิมพ์ศิรินั้นจัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยคมมากทีเดียว แต่ติดตรงที่ว่า สายตาคมปลาบที่มองสบนั้นไม่ได้แสดงถึงความเกลียดชังก็จริง แต่เป็นสายตาของคนที่มีลักษณะเคร่งขรึมค่อนไปทางดุ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้หญิงคนนี้ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกเกรงอกเกรงใจโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นก็รวมถึงตัวเธอด้วยเช่นกัน

“สวัสดีค่ะ คุณพิมพ์ศิริ”

“เรารู้จักกันอยู่แล้ว ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกค่ะ” ตอบรับไมตรีน้ำเสียงราบเรียบแล้วก็หันไปทางอนาวินอีกครั้ง “เดี๋ยวขวัญไปรอที่โต๊ะอาหารนะเฮีย”

“อือ เดี๋ยวเฮียตามไป”

ร่างเพรียวระหงหันเดินเข้าบ้านทันทีที่เขาตอบรับ..อนาวินจึงหันมาทางราโมน่าอีกครั้ง
“พี่ให้คนจัดห้องให้แล้วนะ..แล้วก็..พี่จะขอยึดโทรศัพท์ของโม้นาชั่วคราวก่อน”

“ทำไมต้องยึดด้วย โม้นาไม่บอกใครอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อใจโม้น่านะ เพียงแต่พี่แค่ต้องการความมั่นใจเท่านั้นเอง..ตกลงนะ ราโมน่า” เส้นเสียงปลายประโยคนั้นทุ้มต่ำ สายตาคมปลาบที่ทอดลงมามุ่งมั่นหนักแน่น อย่างไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธจากเธอหรือแม้แต่ข้อโต้แย้งใดๆ หญิงสาวจึงจำใจล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายยื่นให้ แต่เขาไม่ได้รับในทันที

“โทรหาลุงของโม้นาซะ บอกเขาว่า โม้นามีงานที่ต่างจังหวัดประมาณสองอาทิตย์ แล้วก็พิมพ์บอกบรรดาแฟนคลับเหมือนอย่างที่บอกกับลุงของโม้นาด้วย”

ราโมน่ายอมทำตามที่เขาบอกโดยการกดโทรหาลุงชัชของเธอก่อน แต่ขณะที่รอสาย ปากก็พึมพำค่อนขอดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปด้วย

“โกหกนั้นตายตกนรก..”

อนาวินอมยิ้ม และยืนฟังเสียงหวานกังวานใสที่เริ่มเอื้อนเอ่ยถ้อยคำสนทนาตามที่เขากำกับกับบุคคลปลายสาย โดยไม่มีพิรุธใดๆ และหลังจากวางสายแล้ว ราโมน่าก็เข้าโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ด พิมพ์ข้อความลงบนหน้าเว็บเพจตามคำสั่งของเขาจนครบถ้วนกระบวนความ โทรศัพท์ในมือก็ถูกเขายึดไปในทันที

“ขอบใจ ที่ให้ความร่วมมือ..ตอนนี้โม้น่าก็ขึ้นไปพักผ่อนได้แล้วครับ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็บอกคนของพี่ได้เลย”

“ขอบคุณค่ะ”

ราโมน่าตอบเขาก่อนหันเดินตามคนรับใช้ที่ยืนรอเพื่อพาเธอขึ้นไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้ตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่ม

.........

ความเงียบสงบของราตรีกาลโอบคลุมให้ทุกชีวิตหลับใหลในภวังค์..ทว่า ภายในห้องนอนกว้างท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟ ร่างของราโมน่าสวมเสื้อผ้าที่พร้อมจะออกไปข้างนอกยังคงนั่งขัดสมาธิ แม้จะง่วงเต็มทนแต่หญิงสาวพยายามฝืนสังขารเพื่อรอเวลาที่ต้องการ

จนกระทั่ง..เข็มนาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีสาม เธอจึงลุกลงจากเตียงเมื่อคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ผู้คนจะหลับลึกมากที่สุด และเหมาะที่เธอจะแอบขับรถออกไปโดยง่าย โดยเธอได้คิดคำพูดเพื่อหลอกคนของอนาวินที่เฝ้าหน้าป้อมไว้แล้ว เพียงแต่ภาวนาว่า คนเหล่านั้นคงไม่กล้าโทรกลับมาถามอนาวินในเวลาเช่นนี้เท่านั้น..ไม่อย่างนั้น แผนการทั้งหมดเป็นอันจบเห่ !

หญิงสาวคว้าเพียงกระเป๋าสะพายใบเดียวเท่านั้นซึ่งมีกุญแจสำรองรถยนต์ของเธออยู่ข้างในเรียบร้อยแล้ว โดยคิดจะทิ้งสัมภาระที่ขนมาวันนี้ไว้เพื่อความสะดวกในการหลบหนี..ร่างอวบอิ่มแง้มเปิดบานประตูช้าๆเพื่อสอดส่ายสายตาผ่านแสงสลัวของไฟดวงเล็กตามระเบียงทางเดินจนแน่ใจว่าไม่มีใคร จึงก้าวออกจากห้องและปิดประตูอย่างเงียบกริบ ย่องลงตามขั้นบันไดไม้จนถึงชั้นล่าง และตรงไปปลดกลอนประตูบ้านก้าวผ่านออกไปอย่างแผ่วเบาพร้อมๆกับความลิงโลด เมื่อไม่พบลูกน้องของอนาวินเดินเพ่นพ่านเช่นตอนกลางวันเลยสักคน หญิงสาวเดินตรงไปยังรถโรงจอดรถอย่างย่ามใจ โดยไม่รู้เลยว่า ทุกอิริยาบถของเธอถูกจับตามองผ่านกล้องวงจรปิดตั้งแต่เธอก้าวลงบันไดมาถึงชั้นล่างแล้ว

เตชิตลืมตาตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากลูกน้องในบ้านที่รายงานว่า แขกคนสำคัญ กำลังหนี ชายหนุ่มจึงสั่งให้ปิดโรงรถ พร้อมกับสะบัดผ้าห่มออกจากร่างแกร่งกำยำที่สวมเพียงบ็อกเซอร์สีขาวลงจากเตียงเปิดตู้เสื้อผ้า คว้ากางเกงผ้าเนื้อเบาขายาวและเสื้อยืดมาสวมก่อนหันเดินออกจากห้องก้าวยาวๆไปหาบุคคลต้นเรื่องที่ทำความวุ่นวายให้เขาต้องลุกขึ้นมากลางดึก

ราโมน่ากำลังเดินถึงโรงจอดรถอยู่แล้ว พลันสะดุ้งตะลึงงัน เมื่อจู่ๆแผ่นเหล็กจากด้านบนค่อยๆเลื่อนลงปิดทุกทิศทางขวางกั้นไม่ให้เธอเข้าถึงเป้าหมาย
“บ้าจริง! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

และขณะที่ยืนงง งุ่นง่าน เตชิตก็เดินมาถึงตัว
“คุณไม่ควรออกจากห้องตอนนี้นะ”

เสียงเข้มที่ดังมามาจากด้านหลังทำให้เธอสะดุ้งโหยงและหันกลับไป เพื่อที่จะเผชิญกับใบหน้าเคร่งขรึม เย็นเยือก แต่ประกายตาที่มองสบนั้นส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่างให้เธอทำตัวสงบเสงี่ยมให้มากที่สุด และราโมน่าก็แค่นยิ้มเจื่อนพร้อมคำแก้ตัว

“คือ..ฉัน..”

แต่ก็เอ่ยได้เพียงแค่นั้น อีกฝ่ายก็แทรกขึ้น “กลับขึ้นห้องของคุณเดี๋ยวนี้”

หญิงสาวนิ่วหน้ากับคำสั่งของเขา
“นี่..นายน่าจะมีมารยาทกับผู้หญิงบ้างนะ แล้วก็ช่วยฟังเหตุผลของฉันก่อนสิ ว่าทำไม...”

และก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ราโมน่าไม่มีโอกาสได้พูดในสิ่งที่ตั้งใจจนจบประโยค แต่จำต้องส่งเสียงกรี๊ดแหลมอย่างตื่นตกใจแทน เมื่อจู่ๆร่างเขาก็ปราดเข้าประชิดพร้อมยอบตัวลงเพื่อรวบตัวของเธอแบกขึ้นบ่า หันเดินตัวปลิวเข้าบ้าน

“ว้าย! ทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย!”

หญิงสาวผวาเฮือกกับร่างของตนที่ลอยหวือขึ้นสูง ทั้งกำปั้นทั้งกระเป๋าระดมทุบระดมฟาดแผ่นหลังกว้างรัวแรง แต่ดูเหมือนมันไม่สามารถสะกิดผิวกายแกร่งให้สะดุ้งสะเทือนสักนิด และเธอเองก็ไม่กล้าดิ้นรนมากนักยามที่ร่างสูงก้าวยาวๆขึ้นบันไดให้เธอเสียววาบกับความสูงที่โคลงเคลงไปมา และไม่กี่อึดใจเขาก็พาเธอกลับเข้าห้อง ทว่า..มันไม่ใช่ห้องพักของเธอ แต่กลับเป็นห้องนอนของอนาวิน !

ซึ่งเจ้าของห้องที่นอนเปลือยเปล่าคว่ำหน้าใต้ผ้าห่มเพียงเพิ่งจะเงยหัวขึ้นมองตามเสียงเคาะประตูด้วยอาการงัวเงียได้ไม่กี่วินาที บานประตูก็เปิดผัวะให้เขาเบิกตาค้าง เมื่อในแสงสลัวของโคมไฟร่างอวบอิ่มของราโมน่าถูกโยนหงายผึ่งลงมาตรงหน้าด้วยมือคนสนิทของน้องสาว และในความงุนงงนั้น เตชิตยกมือขึ้นเสยเส้นผมยาวที่ตกลงปรกใบหน้าก่อนบอกน้ำเสียงราบเรียบ

“แขกของคุณกำลังจะหนี” จากนั้นก็หันเดินออกจากห้อง ทิ้งภาระให้เจ้าของห้องที่มองตามตาปริบๆสะสางเรื่องราวเอาเอง..ส่วนตัวเขาจะกลับไปนอนต่อ

อนาวินหันสายตาจากบานประตูที่เตชิตปิดตามหลัง บัดนี้..ความงุนงงกระจายหายไปหมดแล้ว ประกายตาที่หันกลับมามองสบอีกคนที่กำลังนั่งยิ้มแหยส่งให้ จึงเครียดเขม็ง

“คิดจะหนีเรอะไง”

“เปล่าเสียหน่อย..โม้นาก็แค่..อยากออกไปขับรถเล่นเท่านั้นเอง”

ราโมน่าตอบไปอย่างนั้น เพราะถึงพูดอะไรออกไป เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี..และรู้สึกเซ็งตัวเองขึ้นมาจับจิตจับใจ ที่ซื่อบื้อ ถูกจับตัวได้ง่ายดายเช่นนี้ จากนั้น อารมณ์หงุดหงิดตัวเองเป็นอันชะงักค้าง เมื่อร่างที่นอนคว่ำโดยใช้ศอกยันค้ำตัวเองไว้กับที่นอนถอนใจเฮือกพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่งให้สายตาของเธอปะทะแผงอกกว้างเปล่าเปลือยเผยให้เห็นถึงผิวสีแทนแกร่งกำยำ รับกับกล้ามเนื้อของช่วงท้องเรียงเป็นลอนสวย ชายผ้าห่มตกร่นลงมากองอยู่ที่เอวปิดเพียงช่วงสะโพกปล่อยช่วงขาเพรียวยาวพ้นชายผ้าออกมา ให้เธอตระหนักถึงสภาพหมิ่นเหม่ของเขาในขณะนี้ และใบหน้าคมคายภายใต้กรอบผมดำยุ่งเหยิงกำลังจ้องมองด้วยประกายตาคมปลาบที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว หัวใจกระโจนโครมครามแทบกระเด็นออกนอกอก ทั้งๆที่ตัวเธอเองก็เคยชินกับสภาพนี้ของบรรดานายแบบหรือตัวละครชายที่เคยร่วมงานกัน แต่กลับไม่เคยรู้สึกอะไรเลย..ซึ่งต่างจากตัวเขา ที่ไม่ว่าจะอยู่ในท่วงท่าอิริยาบถไหนหรือเพียงแค่ชายสายตามามองสบ ก็สามารถเขย่าความรู้สึกของเธอให้หวั่นไหวจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว แล้วยังมาเจอสภาพเช่นนี้ของเขา จิตใจที่แสนอ่อนยวบยาบมันก็ยิ่งเตลิดเปิดเปิงจนทำอะไรไม่ถูกเอาเสียเลย

“พี่เพิ่งได้นอนเองนะราโมน่า แล้วพี่ก็หงุดหงิดง่ายด้วย..เพราะฉะนั้นอย่ามายั่วโมโหพี่”
อนาวินเอ่ยเตือนเสียงเย็นเยือก ราโมน่ารีบพาตัวเองลงจากเตียงไปยืนอึกอัก ยอมรับแต่โดยดี

“ก็..โม้นาไม่อยากอยู่ที่นี่นี่คะ..โม้นาก็แค่อยากกลับไปใช้ชีวิตปรกติสุขของตัวเองก็เท่านั้น”

“แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ได้ปรกติสุข..พี่นึกว่า เราคุยเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วเสียอีก”

แม้ว่าคนฟังจะยังนิ่งเงียบ ไม่โต้เถียงคำใดออกมา แต่สีหน้านั้นยังแสดงถึงความดื้อดึง..อนาวินจ้องมองแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ
“หันไป”

ราโมน่าตวัดสายตามองเขางุนงง ชายหนุ่มจึงขยายความ
“พี่จะลุกขึ้นไปแต่งตัว..หรือโม้นาอยากจะดู”

น้ำเสียงที่เอ่ยถามยั่วเย้า แต่คนฟังหน้าแดงเร่อรีบหันขวับ ปากงึมงำอย่างขัดใจ “ใครเขาอยากจะดู”

ชายหนุ่มหัวเราะขลุกขลักและลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีดำเนื้อบางเบาเข้าชุดกับเสื้อแขนยาวมาสวมก่อนเดินไปเปิดไฟกลางห้อง ราโมน่าจึงหันกลับมาและเห็นเขานั่งบนเก้าอี้บุนวมที่ตั้งข้างประตูแล้ว และเริ่มพูดอย่างจริงจัง

“เรื่องบาดหมางของสองตระกูลที่มีมาหลายปี พี่ไม่อยากให้มันขยายวงกว้างไปมากกว่านี้ พี่ถึงพยายามทำใจเย็นมากที่สุด ที่ไม่ปักใจเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อของพี่เป็นฝีมือลุงของโม้นา และตอนนี้ โม้นากำลังเสี่ยงให้ตัวเองเป็นตัวจุดชนวนให้สองฝ่ายปะทะกัน ซึ่งพี่จะไม่มีวันให้เกิดขึ้นเด็ดขาด..และถ้าขืนโม้นายังดื้อแพ่งแบบนี้ รับรองว่าพี่จะสั่งขังจริงๆด้วย”

ราโมน่าเดินไปนั่งบนปลายเตียง ใบหน้ายังคงบูดบึ้ง..ไม่อยากจะยอมรับความจริงเลย ว่าเธอต้องอยู่ที่นี่และต้องใกล้ชิดกับตัวอันตรายเช่นเขาไปอีกหลายวัน

อนาวินมองอีกฝ่ายที่ยังนั่งครุ่นคิดไม่กี่อึดใจก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างกาย
“พี่รู้ว่าโม้นาต้องลำบากใจที่ต้องมาอยู่ในบ้านของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูกันอย่างนี้..แต่พี่ก็อยากจะขอร้องให้อดทนสักหน่อย มันคงไม่นานนักหรอกที่พี่จะมั่นใจว่า โม้นาจะปลอดภัยและไม่ถูกคนอื่นนำมาใช้เป็นเครื่องมือแบบนี้อีก..หวังว่าโม้นาจะเข้าใจและให้ความร่วมมือกับพี่นะ”

หญิงสาวชำเลืองสายตามองคนพูด ซึ่งเขากำลังจับจ้องรอคำตอบรับจากเธออย่างจริงจัง และสายตาที่ทอดมองสบเต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นเดียวกับน้ำเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ ให้เธอรู้สึกว่าทุกการกระทำและทุกคำพูดของเขานั้นออกมาจากใจจริง ไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด

“สำหรับโม้นา..พี่จิลไม่ใช่ศัตรูนะคะ..”

เรียวคิ้วเข้มที่พาดยาวเหนือดวงตาวาวคมกริบเลิกขึ้นเล็กน้อยมองสบดวงตากลมคู่สวยเพียงครู่ ริมฝีปากเรียบตึงได้รูปหยัดยิ้มละไม
“พี่ก็ไม่เคยคิดว่าโม้นาเป็นศัตรูเหมือนกัน..เพราะฉะนั้นแล้วพี่จะขอร้องในฐานะรุ่นพี่ ให้โม้นาช่วยยอมรับฟังแล้วก็ทำตามคำขอของพี่จะได้ไหมครับ”

ราโมน่ากล้ำกลืนอาการหนักอกหนักใจของตนพร้อมระบายลมหายใจยาว..ก็แววตาของเขานั้นทั้งเว้าวอนและออดอ้อนเสียขนาดนี้ แล้วใครจะปฏิเสธได้ลงคอ..
“หวังว่าเรื่องนี้คงคลี่คลายในเร็วๆนี้นะคะ..โม้นาไม่อยากให้คุณลุงชัชรู้เรื่องนี้”

อนาวินแย้มยิ้มเบิกบาน ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับในคำขอของเขาแล้ว
“พี่ก็คิดว่าคงไม่นานหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้น..โม้นากลับห้องล่ะ” เธอบอกพร้อมลุกขึ้นยืน

อนาวินลุกขึ้นยืนตาม “โม้นานอนห้องนี้ล่ะ”

หญิงสาวเขม็งมองและอ้าปากหมายเอ่ยแย้ง แต่เขาขยับเข้าใกล้จนเงาของร่างสูงทาบทับพาให้รู้สึกถึงการถูกคุกคาม ดวงตาคู่คมพร่างพราวระยิบระยับ ริมฝีปากได้รูปหยัดยิ้มมุมปากชิงพูด เพื่อปิดทุกประตูไม่ให้เธอได้ปฏิเสธ

“พี่ไม่อยากเห็นใครต้องอุ้มโม้นากลับมาอีก..บอกตรงๆ ว่าพี่หวง”

พูดจบก็ถอยห่างหันไปคว้าหมอนหนุนและเดินกลับมาเฉียดร่างของเธอไปล้มตัวนอนบนเก้าอี้ยาวปลายเตียง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นชันเข่า แขนข้างหนึ่งยกขึ้นซุกเข้าใต้หมอนหนุน และหลับตาลงพร้อมพูดกับเธออีกครั้ง

“ช่วยปิดไฟด้วยนะ..กู๊ดไนท์ครับ”

ราโมน่ายืนงันไม่กี่อึดใจก็หันไปทำตามที่เขาขอ และเดินกลับมานั่งบนขอบเตียงกว้างท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงเสียงครางเบาๆของเครื่องปรับอากาศผสานกับเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักโครมครามของเธอกับคำพูดเล่นหยอกเย้า ประดุจว่าตัวเธอมีความสำคัญสำหรับเขา

‘พี่หวง’

แม้จะเข้าใจดีว่ามันเป็นเพียงคำพูดลอยๆ แต่ถ้อยคำนี้ ก็ยังสามารถสร้างความหวั่นไหวให้เธอได้มากมายมหาศาล และมันคงจะดังกังวานอยู่ในความรู้สึกซ้ำไป ซ้ำมา จนกว่าเธอจะสามารถข่มตาให้หลับลงไปในค่ำคืนนี้

..........

โมรียายืนกอดอกใต้มุขหน้าบ้าน สายตาเคืองขุ่นมองตามท้ายรถสปอร์ตของพี่ชายที่แล่นจากไปจนลับตา..ซึ่งอารมณ์ปะทุกรุ่นได้เริ่มตั้งแต่เธอลงจากห้องนอนในตอนเช้าและได้รับรายงานจากลูกน้อง ถึงวีรกรรมของราโมน่า จนทำให้คนของเธอ ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อจัดการเรื่องวุ่นวายอันไร้สาระ..แต่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอทนแล้ว เธอยังต้องรับรู้ถึงพฤติกรรมหมิ่นเหม่ของพี่ชาย ที่กักคนของศัตรูไว้ในห้องนอนทั้งคืน..และจากสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ลงมาร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าด้วยกันก็ช่างเริงรื่น ไม่หลงเหลือความอนาทรร้อนใจใดๆเลยที่ต้องมาอยู่ในบ้านของศัตรูเช่นนี้

ฮึ! เห็นที เธอต้องสั่งสอนให้อีกฝ่ายได้สำนึกเสียบ้าง ว่าตนเองกำลังอยู่ในฐานะใด

ดวงตาเรียวคมตวัดมองร่างอวบอิ่มกลมกลึงกำลังพยายามผูกมิตรกับบรรดาสุนัขในลานหญ้า ด้วยรอยยิ้มสวยกระจ่างเพียงครู่ ก็ชำเลืองสายตากลับไปมองเตชิตที่ยืนไม่ไกลจากตัวเธอนัก ก่อนจะเอ่ยเรียก

“พี่เต้”

ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ “..ครับ”

“เดี๋ยวพี่ไปร้านเสื้อของเจ๊แหม่มให้หน่อยสิ บอกว่า หนูเล็กอยากได้แบบเสื้อชุดราตรีใหม่ๆน่ะ ให้เขาออกแบบมาให้สักสิบชุดนะ แล้วพี่ก็คอยเอามาเลยก็ได้ หนูเล็กอยากเห็นภายในวันนี้น่ะ”

“ตั้งสิบชุด ภายในวันเดียวคงไม่เสร็จหรอก”

“ไม่เป็นไร เอาแค่เท่าที่เขาทำได้น่ะ แต่พี่ช่วยคอยหน่อยก็แล้วกัน หนูเล็กจะได้เห็นแบบหลายๆชุดหน่อย”

เตชิตนิ่วหน้ากับคำสั่งแปลกประหลาดของเธอ ซึ่งขณะนี้เจ้าตัวก็กำลังมองสบทำตาใสแจ๋วและเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน
“นะพี่เต้..รอเอาแบบเสื้อให้หนูเล็กหน่อยนะ”

และเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธเธอได้เช่นทุกครั้ง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า คำสั่งในครั้งนี้มันแฝงไว้ด้วยความไม่ชอบมาพากล
“..ครับ”

เรียวปากสวยแย้มยิ้มพราย จนส่องประกายสุกใสขึ้นไปถึงดวงตา
“ขอบคุณค่ะ..งั้นพี่ไปตอนนี้เลยก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มรับคำอีกครั้ง
“ครับ..แล้วก็อย่าเล่นแรงให้มากนักนะครับ เพราะอย่างไงเสีย ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแขกของคุณจิล” จากนั้นก็หันเดินจากไปทำตามในสิ่งที่เธอต้องการ

โมรียายิ้มค้าง เพราะดูเหมือนว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาจะรู้ทันความคิดของเธออีกแล้ว

หากเป็นในยามปกติ เธอคงไม่ยอมให้เตชิตห่างไปไหน เพียงแต่วันนี้เธอต้องการกระทำในบางสิ่งบางอย่างกับคนของศัตรูเป็นการสั่งสอน จึงไม่อยากให้เขาเข้ามาขัดขวาง และเธอก็คงไม่สามารถออกคำสั่งลงโทษเขาได้ ซึ่งดูเหมือนพี่ชายของเธอนั้นจับจุดอ่อนในข้อนี้ของเธอได้ ถึงได้ฝากฝังแม่นางแบบนั่นให้คนของเธอดูแล

ฮึ! แต่อย่าได้หวังเลย ว่าแม่นั่นจะรอด



ราโมน่าผละจากเจ้าสุนัขหน้าโหดโดยมีผู้ดูแลของมันคอยยืนระวังอยู่ใกล้ หลังจากที่การผูกมิตรไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไหร่ เห็นที คราวหน้าเธอคงต้องหาอะไรติดไม้ติดมือมาเป็นของกำนัลให้มันเสียหน่อยแล้ว และเดินเรียบเรื่อยใต้ร่มไม้ร่มรื่นไปบนสะพานไม้ดูฝูงปลาคาร์ฟสีสดสวยกำลังขยับร่างกายอันใหญ่โตมาว่ายเวียนอออยู่ใกล้ หญิงสาวมองอย่างชื่นชอบและคิดจะให้อาหารมัน แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบขวดใส่อาหาร เธอก็เหลือบเห็นโมรียาเดินนำร่างของชายฉกรรจ์สองคนเข้ามาใกล้ และสายตาที่มองสบมานั้นแสดงถึงภัยคุกคามอย่างไม่ปิดบัง
หญิงสาวหายใจลึก เตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตน และเอ่ยทักอีกฝ่ายที่เดินมาหยุดตรงหน้าอย่างใจเย็น

“มีอะไรกับฉันหรือคะ”

โมรียาตอบถึงวัตถุประสงค์ทันที “เธอควรจะทำประโยชน์ให้กับบ้านนี้บ้างนะ ไม่ใช่เดินลอยไปลอยมาแบบนี้”

“แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไรบ้างล่ะ”

“อย่างน้อย ก็ควรจะไปช่วยคนของฉันทำงานบ้านบ้าง ถือว่าเป็นการแลกข้าวที่เธอกินเข้าไป”

สายตาเย็นเยือกมองสบด้วยความดูหมิ่นดูแคลน และราโมน่าเองก็ไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้โดยง่าย
“ขอโทษ งานพวกนั้นฉันทำไม่เป็น แล้วอีกอย่างฉันอยู่บ้านนี้ในฐานะแขกของพี่จิล ไม่ใช่มาเป็นคนรับใช้ของใคร” และเห็นใบหน้าสวยของอีกฝ่ายกระตุกด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ที่ถูกท้าทายอำนาจ

“เธอมาอยู่ในบ้านของฉัน แล้วยังกล้าอวดดีกับฉันอีกเรอะ”

“ฉันไม่ได้เป็นคนขอที่จะมาอยู่ในบ้านของเธอ แต่พี่จิลต่างหากที่ขอให้ฉันอยู่ เพราะฉะนั้น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่เป็นการแลกข้าวอย่างที่เธอพูด”

โมรียาจ้องเขม็งกับท่าทีแข็งกร้าวของอีกฝ่าย แค่นเสียงเย็นเยือก “เธอเป็นแขกของพี่จิลคนเดียว แต่สำหรับฉันคือศัตรู! แล้วฉันก็คิดว่า ศัตรูอย่างเธอไม่สมควรจะเดินเพ่นพ่านให้รกสายตาของฉัน” และหันไปสั่งลูกน้องน้ำเสียงเฉียบขาด “พาแม่นี่ไปขังไว้ในห้องเก็บของใต้ดิน แล้วก็ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำมัน! เผื่อว่ามันจะลดความอวดดีลงบ้าง”

ราโมน่าเบิกตาค้างพลางถอยกรูด เมื่อร่างใหญ่โตของชายทั้งสองตรงรี่เข้ามาจับกุมเธอตามคำสั่งในทันใด
“ปล่อยนะ! เธอจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ พี่จิลไม่มีวันยอมแน่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” หญิงสาวโวยวายทั้งพยายามดิ้นรน แต่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มเย็นขณะเดินตามลูกน้องทั้งสองที่ช่วยกันลากเธอไปข้างตัวอาคารด้านหลังและเปิดประตูไม้บานเก่าที่ทั้งหนาและหนักและไม่เคยได้เปิดใช้งานมานาน กลิ่นอับทึบโชยเข้าจมูก ก่อนร่างของเธอจะถูกผลักเข้าไปภายในซึ่งเต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นละอองหนาเตอะ

“ที่นี่ล่ะ เหมาะกับเธอที่สุดแล้ว” โมรียาสำทับด้วยรอยยิ้มหยันสะใจ ก่อนบานประตูจะถูกปิดลงตามด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่คล้องกับสายยูและปิดล็อกแน่นหนา

ราโมน่าถลาทุบบานประตูรัวเร็ว กรีดร้องสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อความมืดเข้าครอบงำภายในห้องแคบๆพร้อมๆกับฝันร้ายในวัยเยาว์ที่เคยเกาะกินใจกำลังผุดขึ้นมารุมทึ้งจิตใจของเธอจนไม่เหลือสติที่จะควบคุมตัวเอง

“เปิดประตู! ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ เปิดประตูซี่..ได้โปรดเถอะ ใครก็ได้ช่วยเปิดประตูที ปล่อยฉันไป!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้ที่อยู่ภายในกระตุกใจคนฟังที่ยืนอยู่ด้านนอกให้ไหวยวบ ลูกน้องสองคนหันมองหน้ากัน ก่อนหนึ่งในสองจะเอ่ยกับโมรียา
“เอ่อ..คุณหนูเล็ก จะปล่อยเขาออกมาดีกว่าไหมครับ”

หญิงสาวกล้ำกลืนความรู้สึกผิดและสงสารไว้ภายใน ก่อนตอบเสียงแข็ง
“ปล่อยไว้อย่างนั้นล่ะ ท่าทางอวดดีอย่างนั้น คงไม่ตายง่ายๆหรอก..พวกนายตามฉันมา” และหันเดินนำไปยังศาลาท่าน้ำ..สองหนุ่มหันมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนเดินตามหญิงสาวไป

ขณะที่ร่างสั่นสะท้านของบุคคลภายในห้องทรุดตัวลงนั่งขดเบียดซุกตัวเองกับบานประตู สายตาหวาดระแวงเจิ่งนองด้วยหยาดน้ำตายังคงทะลักทลายไม่ขาดสาย กวาดมองฝ่าความมืดด้วยเกรงว่าจะมีหนูหรือสัตว์เลื้อยคลานเข้ามาทำร้าย ภาพฝังใจทับซ้อนขึ้นมาในความทรงจำ กับน้ำเสียงเกรี้ยวกราด มึนเมาของมารดายามจับเธอโยนเข้าห้องเก็บของใต้บันได

“อยู่ในนั้นล่ะนังราโมน่า อยู่กับพวกหนูพวกแมลงสาบไปน่ะดีแล้ว ให้มันกัดแกให้ตายๆไปเลยชีวิตของฉันจะได้หลุดพ้นจากบ่างเวรบ่วงกรรมเสียที!”

และต่อให้เธอกรีดร้องอ้อนวอนแค่ไหน ประตูบานนั้นก็ยังคงปิดสนิท จนกว่ามารดาจะสร่างเมา เธอถึงจะได้ออกมาจากสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวนั้น..และขณะนี้ เธอกำลังหวนกลับไปอยู่ในสถานที่เดิมๆอีกครั้ง และเธอต้องทนเผชิญต่อความน่าสะพรึงกลัวของความมืดภายในห้องแคบๆที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายที่พร้อมจะเข้ามารุมกัดรุมแทะเธออีกนานแค่ไหน กว่าประตูบานนี้จะเปิดออกให้เธอได้รับอิสระอีกครั้ง

ริมฝีปากสั่นระริกพึมพำซ้ำไปซ้ำมา
“เปิดประตู..ปล่อยฉันออกไป..ปล่อยฉันออกไป..”


..............................................................................................

จบตอนค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2555, 12:45:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2555, 12:45:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 2597





<< บทที่ ๖   บทที่ ๘ >>
หมูอ้วน 15 มี.ค. 2555, 13:05:23 น.
พี่จิลไปไหน กลับบ้านด่วนเลยจ้าา


nariwara 15 มี.ค. 2555, 13:15:11 น.
หนูเล็กไม่น่ารักเลย
สงสารราโมน่าอ่ะ


KipkeLucifer 15 มี.ค. 2555, 13:39:48 น.
เซ๋งจิต หนูเล็กได้นิสัยนางมารมาจากใครอะ สวนอีกคน คงหลงรักเฮียแน่เลยส่งสัยเรื่องนี้จะซับซ้อนน่าดูอะ


nunoi 15 มี.ค. 2555, 14:06:13 น.
น่าสงสารโม้นา หนูเล็กทำเกินไปน่ะ


alecigor 15 มี.ค. 2555, 15:12:26 น.
ทำไมหนูเล็กเป็นแบบนี้ล่ะ เกินไปล่ะ


sai 15 มี.ค. 2555, 15:51:58 น.
สงสารโม้นาอ่ะ


ระรินใจ 15 มี.ค. 2555, 16:42:24 น.
คุณหมูอ้วน === พี่จิลรถติดอยู่บนทางด่วนคร่า ฮ่า..



คุณnariwara === หนูเล็กผีเข้าผีออกค่ะ ^^



คุณKipkeLucifer === นิสัยพ่อของพ่อเต็มๆค่ะ ^^" ส่วนอีกคนก็เป็นอย่างที่คุณคิดนั่นล่ะค่ะ แล้วก็ เรื่องนี้ยังอีกยาวววววไกลค่ะ อิอิ



คุณnunoi === ช่วงนี้หนูเล็กยังอยู่โหมดเหวี่ยงอยู่ค่ะ เพราะหวงพี่ชาย + ไม่ชอบโม้นาเพราะเป็นคนของศัตรู



คุณalecigod === หนูเล็กมีทั้งด้านดี ด้านร้ายเหมือนพ่อค่ะ และนี่ก็เป็นด้านร้ายของหนูเล็ก แหะๆ



คุณsai === เดี๋ยวพี่จิลก็กลับมาปลอบใจแล้วล่ะค่ะ แป๊บบบเดียว


bloomberg 15 มี.ค. 2555, 17:32:06 น.
เตชิต - อารมณ์นิ่งสนิท เขาต้องมีอะไรในใจมากมายแน่ ๆ ถามจริงเหอะ เคยนึกรำคาญหนูเล็กมั่งมั๊ยอ่ะ

พิมพ์ศิริ - เธอจะปล่อยใจให้รักเฮียจิลได้ไง ก็รู้อยู่ว่าเป็นพี่น้องกัน

หนูเล็ก - เธอแรงแบบไม่มีเหตุผลแบบนี้จะทำให้เรื่องไปกันใหญ่


ann 15 มี.ค. 2555, 19:38:34 น.
เหมือนหายไปนานเลยอ้ะค่ะ กลับมาอีกทีลืมตอนที่แล้วแล้วอ้ะ 5555 จะรอซื้อบ่วงพันธการในงานหนังสือน้า ไม่รุ้จะออกทันช่วงวันแรกๆของงานรึป่าว เพราะมีเวลาไปแค่ตอนนั้นอ้ะค่ะ


pattisa 15 มี.ค. 2555, 20:06:46 น.
หงุดหงิดยัยหนูเล็ก หึงไม่เข้าเรื่อง


IAmJin 15 มี.ค. 2555, 22:21:13 น.
คุณหนูเล็ก นี่ลูกคุณหนูขนานแท้เลย และไม่คิดว่าโม้นาจะมีปมแบบนี้


anOO 16 มี.ค. 2555, 10:20:07 น.
ตายแล้วหนูเล็ก ดันไปจี้ปมของโม้นาเข้า
ท่าทางจะอาการหนักกว่าที่คิดจะแกล้งเล่นๆ นะ


แพม 16 มี.ค. 2555, 15:17:22 น.
...เด็ก


Zephyr 16 มี.ค. 2555, 18:05:02 น.
เห็นด้วยกะหลายความเห็นเลยค่ะ หนูเล็กไม่น่ารักเลยแม้แต่นิดเดียว ยังงี้นายเต้ทนได้ไงนะ นายเต้ก็จะนิ่งเกินไปแล้ว ทำตัวมรอารมณ์บ้างก็ได้นะ จะได้เหมือนคนหน่อย ส่วนขวัญ ทำไมไปหลงรักลูกพี่ลูกน้องของตัวเองล่ะ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนะ โม้นาก็อย่าดื้อนักเลย หนีไปน่ะ กลายเป้นสงครามสองตระกูลเลย ดีที่หนีไม่พ้นนะ พี่จิลก็กล้าๆหน่อยนะ มาแอบห่วงแล้วหยอดนิดหยอดหน่อยอย่างงี้ หลุดมือไปซักวันระวังเถอะ


ระรินใจ 16 มี.ค. 2555, 21:51:37 น.
คุณbloomberg ===
เตชิต- เลยจุดที่เรียกว่ารำคาญหนูเล็กไปแล้วค่ะ
พิมพ์ศิริ - เป็นความรู้สึกรักแบบว่า มองจิลเป็นฮีโร่มากกว่าค่ะ และรู้ว่าไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน เลยเผลอปล่อยใจมากไปนิดนึง
หนูเล็ก- หวงพี่ชายค่ะ เลยกะแกล้งเล่นๆ แต่ไม่รู้ว่าไปจี้ปมของโม้นา ก็เลยเป็นเรื่องให้เฮียจิลต้องปลอบกันขนานใหญ่ ^^



คุณann === เค้ามาช้าไปสาม-สี่วันเองนะ ฮี่ๆ..ส่วนบ่วงพันธการก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะเสร็จทันวันแรกๆของงานรึเปล่า เพราะตัวบก.ก็ไม่ได้บอก คนเขียนก็ไม่ได้ถาม อิอิ เลยรู้แต่ว่าเสร็จทันงานหนังสือเท่านั้นเอง



คุณpattisa === ไม่ใช่แค่หึงอย่างเดียวค่ะ แต่พ่วงด้วยอารมณ์หวงพี่ชายเข้าไปด้วย เลยออกมาแรงไปหน่อย



คุณIAmJin === เฮียเล่ยถนอมราวกับไข่ในหินเลยค่ะ หนูเล็กเลยมีนิสัยคุณหนูไปหน่อย ส่วนปมของโม้นาก็เกิดจากแม่ทั้งนั้นล่ะค่ะ โชคดีที่ลุงยังรัก ไม่อย่างนั้นนิยายเรื่องนี้ดร่าม่าแน่ๆเลย ^^



คุณan00=== เพราะไม่รู้ไงคะเลยเป็นเรื่องเป็นราวกันนิดหน่อยให้เฮียจิลควันออกหูเล่นค่า



คุณแพม === เดี๋ยวเด็กก็สำนึกแล้วล่ะค่ะ ^^



คุณZephyr === หนูเล็กแค่มีนิสัยหวงของมากไปหน่อยค่ะ(ทั้งนายเต้ ทั้งพี่ชาย) เรื่องอื่นก็ไม่เท่าไหร่ นายเต้ก็เลยยังทนอยู่ได้ค่ะ ส่วนขวัญก็แค่เผลอใจเพราะเฮียจิลเป็นผู้ชายคนเดียวที่เขาถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ และรู้ว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เลยยิ่งผูกพันค่ะ


ระรินใจ 16 มี.ค. 2555, 21:55:19 น.
เอ้า! ยังพิมพ์ไม่จบเผลอกดซะงั้น_ _"

(ต่อ..คุณข้างบนค่ะ)

ตอนนี้โม้นาก็ไม่ดื้อไม่หนีไปไหนแล้วค่ะ..ส่วนนายจิล อิอิ เค้าเรียกว่า ปล่อยให้เหยื่อตายใจก่อนค่ะ เดี๋ยวนายคนนี้ก็ออกลายแล้วค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account