ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๐๗





ความมึนเมาสร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทรงธรรมเข้าใจว่าตนเองวิ่งเตลิดไร้ทิศทาง แต่การวิ่งมาทางถนนตัดใหม่ ตรงย้อนขึ้นมาทางวัดสระเกศนั่น เพราะจิตใต้สำนึกสั่งการ ให้ยึดบรมบรรพตเป็นที่หมาย วิ่งเข้าหาภูเขาทอง อย่างไรก็ต้องถึงวัด!

แต่พอหนทางเริ่มคุ้นตา ก็เริ่มชะลอฝีเท้า เพิ่งเห็นว่าตนเองกำลังจะผ่านไปทางหน้าตำหนักเทพอาคม

แล้วทรงธรรมก็เร่งฝีเท้า ความกลัวผีนั้นยังไม่ลดลงเลยสักนิด กลับจะยิ่งทวีมากขึ้นด้วย เมื่อนึกฟุ้งซ่านไปว่า หมอเกตุอาคมก็เคยถูกหลอกหลอนมาแล้ว

"ไอ้หมอ! ไอ้หมอเกต! ไอ้หมอเกตุอาคมโว้ย!"

เขาตบประตูหน้าตำหนักเทพอาคม ที่หมอผีหนุ่มใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่เป็นระรัว ปากตะโกนเรียกไม่หยุดหย่อน

ราวกับยาวนานนักหนา กว่าที่คนข้างในจะออกมาเปิดประตูรับ

"อารายยยย..."

หมอเกตุยานคางถาม ท่าทางทั้งงัวเงียทั้งมึนเมา

"ผี ผีหลอกข้า ผีบ้านเรือนตึกมันหลอกข้า"

"หะ! ผี! พี่ว่าผีหลอกเรอะ! ตายหะ!"

แล้วเจ้าบ้านก็ปิดประตูใส่หน้าดังปัง จนทรงธรรมต้องใช้ทั้งมือทั้งเท้าทุบถองเตะถีบนั่นละ หมอเกตุถึงเปิดออกมาอีกครั้ง ด้วยความเกรงว่าประตูจะพังไปเสียก่อน

"ขอหลบหน่อย ช่วยกันหน่อยไม่ได้เรอะ!"

คนคิดจะหนีร้อนมาพึ่งเย็นตะคอกใส่ คราวนี้รีบเบียดตัวแทรกเข้าไป ไม่รอให้คนจำใจเปิดประตูต้องเชื้อเชิญ

"แล้วพี่ธรรม์จะหนีมาบ้านข้าทำไมเล่า"

หมอเกตุแทบจะสร่างไปด้วยอีกคน

"ก็... ขามันพามาที่นี่ ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาไงล่ะ"

"พี่ก็รู้ว่าข้าเก่งแต่ปาก"

คนถูกประชดกลับตอบได้หน้าตาเฉย

"แล้วที่บอกว่าต่อจากนี้จะตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝน"

"ข้ามันคนปัญญาทึบ อ่านอะไรเองจะไปเข้าใจได้ล่ะ"

ผู้สืบทอดตำหนักเทพอาคม และทำให้ตำหนักที่เคยมีชื่อเสียงเรื่องวิทยาอาคม ต้องถึงจุดตกต่ำ พูดเรื่อยๆ เหมือนปลอบใจตัวเองไปด้วย

"เรื่องของข้าน่ะช่างเถอะ ว่าแต่พี่นั่นละ ไปทำเข้าอีท่าไหน"

หมอเกตุพยายามเลิกตื่นตูมตามคนที่เพิ่งเตลิดหนีมา เขาพาทรงธรรมมานั่งอีกด้านหนึ่ง ที่ไกลจากหน้าหิ้งบูชาที่ประดามีไว้ด้วยเครื่องเซ่นสรวงบูชา สิ่งอาถรรพ์สารพัน

เลื่อนป้านน้ำชามาใกล้ แถมรินส่งให้

"แค่ชาสามม้าหรอกนะ ไม่ใช่ชาสำเภา"

ทรงธรรมยอมรับไปจิบแต่โดยดี พอความอุ่นจัดล่วงผ่านลำคอ ทั้งร่างค่อยเหมือนปลอดโปร่งขึ้นบ้าง

"คือ ตอนแรกข้านึกว่าได้เจอกับแม่หญิงสองคน คนหนึ่งก็ที่เคยเจอวันที่เอ็งไปเก็บข้าวของนั่นไงล่ะ"

"แล้วยังไง แล้วยังไงอีก"

ความตื่นเต้นพุ่งขึ้นจนหมอผีหนุ่มผู้มีประสบการณ์มาก่อน อดถามแทรกไม่ได้

"แล้วยังไรล่ะ ก็นังตัวพี่ มันถอดหัวมาหลอกข้าไงล่ะ"

"โอ้โห! ถึงขนาดต้องถอดหัวถอดหูกันเชียวเรอะ"

หมอเกตุพูดไปก็ขนลุกเกรียว นึกอยู่ในใจว่า ถ้าตัวเองโดนอย่างนั้นบ้างจะเป็นยังไง

"เห็นไหมเล่า ข้าบอกพี่ธรรม์แล้วว่ามีผี พี่ก็ไม่เชื่อ ยังจะหาว่าข้าเป็นคนหลอกลวง"

พอตั้งสติได้มั่นคงอีกครั้ง จึงค่อยทำเสียงเข้มๆ ขึ้นมาได้บ้าง

"เออ! ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว"

ทรงธรรมลงทุนยกมือไหว้ ในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอแก่ตัว แบบได้พูดได้คุย ได้ถอดหัวหลอกหลอนกันถึงขนาดนี้

"แล้วยังไร ข้าควรทำอย่างไรดี"

"จะยังไง กลยุทธสุดท้าย เด็ดสุดก็คือ จรลีลี้หาย"

หมอเกตุทำท่าทางจริงจัง แนะนำหนทางที่ดีที่สุด คือหนีออกมาให้พ้น

"พูดน่ะง่าย แต่มันทำยาก เอ็งก็รู้ว่าข้าตั้งเป้าหมายไว้ขนาดไหน ตอนนี้อัฐฬสที่พอมีก็ใช้จ่ายไปจนหมดแล้ว แล้วอีกอย่าง..."

"อีกอย่างน่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ เรื่องแม่หญิงอุ่นเรือนละซี"

"ก็นั่นละ ข้าวสารยังไม่ได้เป็นข้าวสุก ถ้าข้าทำเป็นใจเสาะ แล้วจะได้ตกร่องปล่องชิ้นกะแม่อุ่นได้ยัง"

ทรงธรรมยังคร่ำครวญ ดูเหมือนว่าเขาคงจะเก็บกด กับเรื่องความร่ำรวยมีฐานะอยู่มาก ถึงขนาดจะต้องทำผิดจริยธรรมก็ยอม

"งั้นก็รอประเดี๋ยว"

"เอ็งจะไหน อย่าทิ้งกันอย่างนี้ซี"

แต่หมอเกตุทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินข้ามเรือนไปค้นอะไรกุกกักอยู่ด้านหอพระ หรืออีกนัย คือในห้องบูชาเครื่องรางตนอยู่อีกครู่หนึ่ง

ทรงธรรมได้แต่ชะเง้อชะแง้ ไม่กล้าลุกตามไปดูใกล้ๆ เพราะตอนนี้ หลังจากไปเจอมากับตัวเองชนิดกระจะตา ก็ยอมเชื่อได้ว่า ภูตผีต้องมีจริง แล้วตรงนั้น เต็มไปด้วยเครื่องอาคมของขลัง ไอ้หมอเกตุยังเคยคุยเป็นตุเป็นตะ ว่ามีทั้งรักยมกุมารทอง โหงพรายสารพัด ถ้าผีที่ตนเองได้ไปเจอมามีจริงๆ พวกทั้งหลายที่มันว่ามาก็ไม่น่าจะไม่มี

"นี่ไงล่ะ..."

หมอผีหนุ่มหอบหลายสิ่งมากองให้ตรงหน้า

"นี่มันอะไร"

คนยังไม่เข้าใจค่อยหยิบมาสำรวจทีละชิ้นสองชิ้น

"ก็เครื่องราง ของอาคม ตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นทวดไงเล่า นี่ตำรา"

พร้อมกับที่พูดก็ยื่นคัมภีร์ใบลานผูกหนึ่งให้ทรงธรรม

"เอาไปให้หมดนี่ละ"

"เอ็งเอามาให้ข้าทำไม"

ทรงธรรมยังออกจะงง

"ก็พี่ธรรม์ไปอยู่ในบ้านผีสิง จะหนีก็ไม่ได้ จะอยู่ต่อไปก็ไม่ดี ก็เอาของพวกนี้ไปคุ้มครองป้องกัน"

หมอเกตุทำท่ารำคาญนิดๆ คิดว่าบทจะไม่ฉลาด หนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้าก็ดูโง่ได้อย่างจริงๆ จังๆ

ทรงธรรมพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย แต่แล้วก็ถามขึ้นว่า

"แล้วมันใช่ยังไรล่ะ ต้องมีคาถากำกับอะไรหรือไม่"

"ข้าจะรู้ไหมล่ะ เห็นวางๆ ทิ้งไว้ตั้งแต่ข้าจำความได้ ที่ใช้ไม่เป็นถึงยกให้ไงเล่า"

เจ้าของสิ่งอาคมที่ยื่นให้ตอบหน้าตาเฉย

"อะไร! ขนาดพ่อหมอเองยังไม่รู้แล้วข้าจะรู้รึ"

"ก็นี่ไงตำรา ข้ามันพวกกะโหลกหนาปัญญาทึบ พี่ธรรม์เอาไปศึกษาเองก็แล้วกัน"

"มันจะเป็นไปได้รึ ของแบบนี้เขาว่าต้องมีครูบาอาราจรย์ไม่ใช่เรอะ"

หมอเกตุขี้เกียจจะฟัง โบกไม้โบกมือเหมือนจะไล่ตัวอะไรที่ไต่ตอมให้รำคาญตา

"ไม่เอาละ จวนจะสางอยู่แล้ว ข้าไปนอนก่อน พรุ่งนี้เขาเชิญไปทำพิธีใหญ่เสียด้วย"

"อย่ามามุสากันดีกว่า พรุ่งนี้มีพิธี เมื่อหัวค่ำดันไปกินเหล้า ทำไม พิธีใหญ่อะไรกัน"

ทรงธรรมชักสีหน้าโมโหขึ้นบ้าง ทั้งที่ใจจริงก็นึกขอบใจคนตรงหน้าอยู่มาก

"ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่ดื่มๆ พี่ก็บังคับคะยั้นคะยอ พรุ่งนี้เขาทำบุญเรียกขวัญ ลูกสาวบ้านนั้นเขาหลับไม่ฟื้น ครึ่งเป็นครึ่งตายมาได้เป็นเดือนละ"

"เรื่องหลอกเด็กหรือเปล่า..."

"ข้าไม่พูดกับพี่ธรรม์ละ ไปนอนให้สร่างก่อนเถอะ แล้วค่อยลุกมาพูดจากัน"




วันนี้แสงแดดแผดจ้า ตะวันขึ้นพ้นยอดไม้ไปเกือบถึงครึ่งฟ้า กว่าที่ทรงธรรม์จะกล้าย้อนกลับมาที่บ้านอเนกคุณากร

ฝุ่นผงและความเกะกะรกเรื้อนั้นแทบไม่เหลือให้เห็น ทว่าความเรียบร้อยของบริเวณกลับทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยว ยิ่งเมื่อก้าวเข้ามาในตัวเรือน ความที่ผนังก่อฉาบไว้หนานัก กระไอเย็นจึงยังอวลอยู่ภายใน ถึงจะพกเครื่องรางมาเต็มอัตรา เขาก็ยังอดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้

ยื่นเชือกถักสอดสานลูกตะกั่วทั้งเก้าเข้ามาก่อน เดิมมันคือตะกรุดมหาอุดสำหรับคาบทับผ้าประเจียดลงอาคม มีไว้ให้แคล้วคลาดจากปวงภยันตราย แต่ความหนักถ่วงนั่น ทำให้ทรงธรรมขี้เกียจจะคาดมันไว้ที่สะเอว เหมือนอย่างคนที่เคยใช้มาต่อๆ กัน

ลมเย็นวูบหนึ่งพัดสวนทางออกมา พาให้ประตูหน้าปิดดังปัง!

ทรงธรรมหันขวับ กลัวเหลือเกินว่าหลังประตูจะเต็มไปด้วยภูตผี

แต่ก็เปล่า...

เขาค่อยโล่งใจ ทว่าอึดใจต่อมา บานประตูนั่นก็ค่อยๆ เผยออกช้าๆ จนต้องรีบกระโจนแอบอยู่ตรงหลังผนังข้างกรอบประตู

"สาธุๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ถึงผีจะมีเป็นเรื่องธรรมดา ก็ขออย่าให้ได้เจอะได้เจอ กลางวันแสกๆ จะมาหลอกมาหลอนกันอีกทำไม"

ทรงธรรมไม่ได้ท่องบ่นออกมาดังๆ เพราะเกรงว่าผีจะได้ยิน ได้แต่งึมๆ งำๆ อยู่ในใจ มือกำพวงตะกรุดหวายอ่อนร้อยตะกั่วเก้าเม็ดไว้มั่น หมายจะใช้ฟาดหัวผีให้เต็มรัก

บานประตูเผยเข้ามาเต็มที่ บังเขาไว้เสียจากมุมสายตาของผู้ที่ก้าวเข้ามา ชายหนุ่มได้แต่เห็นเงาแวบๆ ผ่านล่วงไปเงาหนึ่ง พออีกเงาตามมา ก็ฟาดพวงตะกรุดนั้นไปสุดแรง

"โอ๊ย!... คุณ ทำอะไรน่ะ!"

แต่ที่ถูกฟาดถนัดถนี่กลายเป็นนายวงศ์ ผู้ไม่ยอมให้อุ่นเรือนมาที่เรือนตึกนี้ตามลำพังเป็นเด็ดขาด

หญิงสาวหันมาหัวเราะคิก นึกสะใจอยู่ข้างใน ก่อนจะรีบโผเข้าไปพูดจากับคนที่รัก

"เกิดอะไรขึ้นหรือคะ หรือว่าเมื่อคืนมีขโมยขโจร"

อุ่นเรือนพูดไปอีกทางหนึ่ง ทั้งที่ก็พอเดาออกจากท่าทางของเขา ว่าเกิดอะไรขึ้น

"ขโมยขโจรที่ไหน อูย!... ตะกรุดทั้งพวงฟาดมาได้ ข้าไม่ใช่ผีสางแม่นางโกง..."

ทรงธรรมพูดไม่ออก

"กลัวผีละซีขอรับ กระพ้มก็นึกแล้ว"

ทั้งที่มือของนายวงศ์ยังคลำศีรษะป้อย แต่น้ำเสียงกลับแสดงความเป็นต่ออย่างยิ่ง

ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบแก้ตัว

"ใครว่าล่ะ ข้ากลัวที่ไหนกันเล่า ใครจะบ้าเอาของแข็งฟาดหัวผี ก็เมื่อคืนเหมือนมีใครย่องเข้ามา..."

พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปดูสภาพภายในห้อง ตอนแรกแค่คิดว่าจะหาข้ออ้าง กับอะไรสักสิ่งที่มันควรจะไม่อยู่ในที่ทาง แต่ปรากฏว่า ทุกอย่างที่เห็นกลับกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด ที่เป็นดังนี้ก็เพราะฝีมือของพวกผีสาวของคุณแสนั่นเอง

"จริงหรือคะพี่ธรรม์ มันมารื้อค้นอะไรกันเล่า ถึงได้เละเทะถึงเพียงนี้"

"พี่ก็ไม่รู้ได้ เมื่อคืนท่องตำราจนเผลอหลับตั้งแต่ยังไม่ค่ำสนิทดี พอตื่นมาดึกๆ อ่านตำราต่อ ไม่รู้ว่าพวกมันมาตอนไหน พี่เพิ่งได้ล้มตัวนอนตอนใกล้รุ่งนี่เอง"

พอแก้ตัวได้ช่องหนึ่ง ก็เลยถือโอกาสแก้ตัวในเรื่องอื่นๆ ให้จบไปเสียในคราวเดียว ทั้งเรื่องห้องนี้ที่เละเทะ และเรื่องที่ผิดนัดมื้อเย็นกับหญิงสาว

"พี่ธรรม์ปลอดภัยก็ดีแล้ว พวกนี้ปล่อยให้นายวงศ์เก็บกวาด ส่วนเราไปนั่งคุยกันที่ศาลาท่าน้ำดีกว่า"

แล้วอุ่นเรือนก็หันไปย้ำคำสั่งกับบ่าวคนสนิทของบิดาอีกครั้งด้วยสายตา

"แต่กระผม... เอ่อ หรือจะให้เรียกพวก..."

นายวงศ์ขยับจะขัดแย้ง แต่ทรงธรรมรีบชิงจังหวะ

"ไม่ได้นายวงศ์ แล้วจะเรียกให้ข้าเป็นคนเก็บกวาดหรือยังไร"

คนไม่เต็มใจเลยมีอันต้องอับจนถ้อยคำ เริ่มก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดนั้นด้วยตนเอง

"เราไปกันเถอะ ว่าแต่ พี่ถอดประคำนั่นออกเสียก่อนดีไหม แลดูเกะกะพิกล หยั่งกะหมอเกตุอาคมอะไรนั่นแน่ะ"

ทรงธรรม์รีบปลดประคำสายใหญ่ออกจากคอ นึกจะหาคำแก้ตัวเรื่องประคำนี่ต่อไป แต่พอเห็นว่าอุ่นเรือนไม่ได้มีท่าทีจะติดใจอะไรกับมัน ก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พาให้บรรดาผีสาวทั้งหมดมีอันต้องตื่นขึ้นมาในยามสาย และด้วยว่าอดนอนมาหลายวัน จึงบ่นกันเป็นการใหญ่ จนคุณแสได้ทีจะยุให้สมใจ จึงกล่าวว่า

"อย่างนั้นเห็นที่เราจะต้องไล่เขาไปให้พ้นๆ ทั้งที่ยังกลางวันแสกๆ อยู่นี่ละ"




ศาลาริมน้ำของเรือนตึกนี้ ต่างจากเรือนแพของท่านเจ้าคุณอยู่มาก ตั้งแต่ไม่ได้สร้างยื่นลงไปในน้ำ เพราะริมตลิ่งมีเขื่อนหินทิ้งกั้นไว้ตลอดแนว ศาลานี้จึงสร้างล้ำเข้ามา มีขึ้นเสายกพื้น มุงหลังคาเป็นหน้าจั่วสี่มุมด้วยกระเบื้องดินเผา กระทั่งขนาดก็พอให้แค่สี่ห้าคนนั่งล้อมกันพอให้เข่าชนเข่า

กระนั้นศาลานี้ก็ยังไม่คับแคบเกินไปสำหรับสองคน

แต่พออุ่นเรือนนั่งปุ๊บ ทรงธรรมก็เบียดลงปั๊บ

ซึ่งหากเป็นยามปกติ มีหรือที่หญิงสาวจะบ่ายเบี่ยง แต่นี่คือเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของเธอเลยทีเดียว

ทรงธรรมจับสังเกตกับปฏิกิริยานั้นได้จึงต้องเอ่ยถาม

"แม่อุ่นมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"

"มีสิเจ้าคะ... พี่ธรรม์รู้หรือไม่ เจ้าคุณพ่อจะให้อุ่นมีเรือน"

ทีแรกชายหนุ่มยิ้ม แต่อึดใจต่อมาก็ฉุกคิด เลยต้องเริ่มซัก

"แล้ว แม่อุ่นคิดว่าอย่างไร"

"ถ้าฉันรู้ จะมาหาพี่ทำไมเล่า"

อุ่นเรือนตีเบาๆ ลงบนแขนของคนที่ทำเป็นไม่รู้ประสีประสา

"คำสั่งเจ้าคุณพ่อ จะขัดขืนได้ยังไง ทั้งที่... ทั้งที่..."

"ทั้งๆ ที่อะไรจ๊ะ"

ทรงธรรมแกล้งทำหน้าซื่อ

"ก็ทั้งๆ ที่ใจฉันมันขัดแย้งอยู่นักละซี"

"แม่อุ่น พี่จะบอกให้ ชีวิตคนเรา ก็ต้องเลือกคนที่เรารักที่สุด เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่สุดในชีวิต"

เขาพยายามอธิบายอย่างกลางๆ ไม่ผลีผลามบอกไปว่าให้เลือกตนเอง

"ก็นั่นน่ะซี แต่ว่าระหว่างสองคนนั่น ฉันก็ไม่รู้จะถูกใจใคร"

"อะไรนะ ระหว่างสองคนนั่น หนึ่งในนั้นไม่ใช่พี่งั้นรึ!"

พอได้ยินชัดๆ ทรงธรรมก็ตกใจหนัก เพราะคู่แข็งเขาไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่ถึงสอง

"รวมพี่ธรรม์ก็เป็นสาม คนหนึ่งเป็นเสมียนอาลักษณ์ของเสด็จในกรม อนาคตอาจได้ขึ้นเป็นถึงกรมวัง เพราะรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทอยู่นัก อีกคนก็ลูกหลานพระยาจักรี เก่งทางการรบฉกาจฉกรรจ์ ถ้าเป็นเขา ฉันอาจต้องร่อนเร่ไปอยู่รักษาป้อมพระจุลฯ ที่แหลมฟ้าผ่ากับเขา"

น้ำเสียงของอุ่นเรือนเศร้าสร้อยลงไปไม่ใช่น้อย แต่เมื่อเงยขึ้นมาสบตา แววตาของเธอก็พราวพรายขึ้นวิบหนึ่ง

"ฉันก็ไม่อยากจะขัดใจพ่อ แต่ก็บอกไปแล้วละว่า ถึงจะเก่งกาจบุ๋นบู๊ขนาดไหน พี่ธรรม์ก็ไม่เป็นรอง เรื่องวิชาความรู้หมัดมวย โคลงกลอนกาพย์ฉันท์ ไม่แน่ว่าพี่ธรรม์อาจจะเหนือกว่า"

อุ่นเรือนพูดเรื่อยๆ หว่านล้อมแนะช่องทางโดยไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าให้ทรงธรรมไปสมัครเป็นลูกเขยด้วยเสียอีกคน แล้วก็ค่อยจัดวัดความสามารถกันไปให้เห็นถนัด

เธอเองก็สนุกอยู่มาก ด้วยว่าได้นึกไปถึงนิยายปรัมปราสมัยก่อน ที่ต้องมีเจ้าชายต่างเหมือง มาประลองยุทธต่างๆ นานา เพื่อเฟ้นหาผู้เก่งกล้าที่จะได้ตัวนางไป

แต่จนแล้วจนรอด ทรงธรรมก็ไม่ได้ออกปากว่าจะสมัครเป็นคู่แข่ง

"แล้ว... แล้วเจ้าคุณอเนกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร"

"เจ้าคุณพ่อก็เลยให้ฉันมาบอกพี่นี่ไงเล่า ให้ลงประลองด้วย วันพรุ่งจะนัดพวกนั้นมา ให้พี่ไปที่เรือนโน้นได้เลย"

ทรงธรรมตกใจจนหน้าถอดสี กับพวกหัวกากหัวไม้ตามร้านตลาดนั้น จะนักเลงเพลงยาวหรือนักเลงลอยชายที่ไหน ก็ไม่ครณามือหรอก แต่นี้เป็นถึงขุนน้ำขุนนาง คนหนึ่งก็ดีกันไปอย่างหนึ่ง ส่วนตัวเขาเองนั้น พิจารณาไปก็เหมือนเป็ด คือคล้ายๆ จะทำได้ทุกอย่าง ทั้งขัน ทั้งบิน ทั้งว่ายน้ำ แต่ไม่เคยทำอะไรได้ชำนาญจริงๆ เลยสักอย่างเดียว

คิดได้ดังนั้นก็แทบถอดใจ

"พี่ธรรม์ก็แค่ชนะพวกเขาให้ได้ แค่นั้นเอง"

คำสุดท้ายของอุ่นเรือนกลั้วหัวเราะ เพราะลึกๆ ก็มีความสุขอยู่เหลือแสน ว่าตนนั้นมีคุณค่าถึงขนาดต้องให้คนมาประลองเลือก

"เอาแบบแม่รจนาไม่ได้รึ"

"ยังไรคะ"

"ก็แม่อุ่นเป็นคนเสี่ยงพวงมาลัย มาที่เจ้าเงาะคนนี้"

ชายหนุ่มชี้ที่อกตนเอง

"พี่ธรรมก็พูดเรื่อยไป นั่นมันในนิทาน ทำไมล่ะ แสดงว่าพี่ธรรม์ไม่ได้สนใจ... ช่างเถอะ! ถือว่าฉันไม่ได้มาพูดจากเรื่องนี้ก็แล้วกัน"

เห็นท่าทางเหมือนคนกำลังจะเป็นจะตายของทรงธรรมแล้วก็นึกเคือง อุ่นเรือนจึงพูดออกไปเช่นนั้น

"เดี๋ยวสิ ประเดี๋ยวสิแม่อุ่น พี่แค่กำลังคิดหาหนทางว่าจะจัดการกับสองคนนั้นอย่างไรต่างหาก"

ทรงธรรมแทบวิ่งตาม เพราะอุ่นเรือนเดินลิ่วๆ กลับมาทางหน้าเรือน

"คิดให้ตัวแตกตายก็ท่าจะยาก"

เสียงของนายวงศ์เหมือนลอยมาตามสายลม

"ไอ้... นายวงศ์ นอกจากตาต่ำแล้วยังใจแคบอีกนะเอ็ง"

นานทีหรอกที่เขาจะใช้คำพูดทำนองนี้ กับผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า

"เก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็ไปรอข้างนอก ข้ามีเรื่องจะพูดจากับพี่ธรรม์เขา"

พอมีคนอื่นมาเพิ่ม อุ่นเรือนก็กลับไปอยู่ฝ่ายเดียวกับทรงธรรมทันที

"แต่คุณท่านสั่งว่า... ห้ามคุณอุ่นอยู่กันตามลำพังกับ..."

"กล้าไปฟ้องพ่อรึ ถ้านายวงศ์กล้า ข้าก็จะบอก ที่เมื่อคืนมีคนดื่มสุราจนเมามาย แล้วไปมุดมุ้งนังเจือที่เรือนครัวน่ะ"

ไม้นี้ได้ผลที่สุด เพราะทำให้นายวงศ์รีบก้มหน้างุดๆ จากไป

พอเห็นบ่าวชรา ก้างขวางคอชิ้นใหญ่เดินคอตกพ้นไปจากมุมตึกด้านนี้ ทรงธรรมก็เริ่มออดอ้อนต่อไป พร้อมกับประคองหญิงสาวเข้ามานั่งในร่มเรือน ตรงชุดเก้าอี้เหล็กดัดลายโปร่งเบา

"แม่อุ่นจ๊ะ... ถามจริงๆ แม่อุ่นเข้าใจหัวอกพี่ธรรม์คนนี้บ้างหรือเปล่า"

คำถามนั้นส่งมาในระยะที่ริมฝีปากเขาแทบจะแนบชิดกับริมหู

อุ่นเรือนผลักใบหน้าเขาออก

"ทำอย่างกับพี่ไม่รู้ว่าใจฉันคิดยังไรอย่างนั้นละเจ้าคะ"

"ถ้าแม่อุ่นเข้าใจ ทำไมถึงต้องมีการแข่งขันอะไรพรรค์นี้อีกเล่า"

ทรงธรรมยังอ้อนต่อไป

"ถึงฉันเข้าใจ แต่... คนอื่นไม่ยอมเข้าใจ ยังไรเสียพี่ธรรม์ก็ต้องลงแข่ง แพ้ชนะอย่างไร เขาก็จะได้รู้กันว่า พี่ธรรม์พยายามเพื่อฉันมากแค่ไหน"

คราวนี้อุ่นเรือนหันมาเกาะแขนเขาบ้าง

และแม้จะรู้ว่าศึกครั้งนี้แทบจะไม่มีทางชนะ แต่เมื่อหญิงสาวพูดออกมาดังนี้ ทรงธรรมก็จำต้องสมยอม แบบชนิดไม่ให้เสียศักดิ์ศรีเท่าไรนัก จึงกล่าวว่า

"แน่นอน... เรื่องนี้พี่เป็นไม่ยอมให้ใครมาแย่งแม่อุ่นไปจากพี่"

พร้อมกับถ้อยคำ เขาก็สบตานิ่ง ค่อยโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของหญิงสาวที่เต้นอยู่โครมครามนั่นแล้ว นายวงศ์ก็เข้ามาขัดจังหวะอีกจนได้

บ่าวผู้ซื่อสัตย์กระแอบเบาๆ เป็นการเตือน ทำให้อุ่นเรือนต้องรีบผลักใบหน้าของเขาออกห่าง

"บอกว่าให้ไปรอข้างหน้ายังไรเล่านายวงศ์"

"ตอนนี้สายมากแล้ว คุณท่านคงเป็นห่วง คุณอุ่นรีบกลับเรือนดีกว่าขอรับ"

"อย่าไปสนใจเขาเลยน่ะ เรามาว่าธุระกันต่อเถิดแม่อุ่น"

ทรงธรรมทำเป็นไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา พยายามจะสานต่ออารมณ์รัญจวนเมื่อครู่ให้ถึงที่สุด

แต่อุ่นเรือนกลับสะบัดลุก คงนึกขัดใจอยู่นักที่ถูกขัดคออยู่ซ้ำแล้ว พูดสั่งความด้วยอาการเคืองๆ ว่า

"ฉันจะกลับละ พี่ธรรม์ก็อย่าลืมไปตามนัดแล้วกัน วันพรุ่งก่อนเพล"




สุดแสนจะละเหี่ยหัวใจ ไม่นึกเลยว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะเป็นได้ยากเย็นถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสะท้อนใจ เพราะรู้ตั้งแต่แรกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควร แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อแทบจะเป็นหนทางเดียว ที่ทำให้เขาก้าวหน้าได้รวดเร็ว

เจ้าคุณอเนกเป็นคนฉลาด ออกจะแกมโกงด้วยซ้ำ ส่วนลูกสาวก็เอาแต่ใจตัวเองเป็นหนึ่ง หากว่าอุ่นเรือนไม่มีใจให้กับเขาเต็มที่ ทรงธรรมคิดว่าตนจะไม่ทุ่มเทขนาดนี้เลยจริงๆ

สู้อุตส่าห์วางแผนจนได้มาอยู่ใกล้ชิด เจ้าคุณบิดานั่นก็ยังไวกว่า นึกว่าแค่เปรยๆ เรื่องจะจับลูกสาวแต่งงานมีเหย้ามีเรือน ที่ไหนได้ อาจจะแอบไปติดต่อทาบทามกันไว้ก่อนแล้วด้วยซ้ำ

แล้วจะเอาอะไรไปสู้เขาได้ นอกจากรูปร่างหน้าตาที่พอจะเทียบ ต่อให้ความคิดความอ่านจะปราดเปรื่องสักเพียงไหน แต่หากขาดผู้ใหญ่หนุนหลัง คนดีคนเก่ง ก็จะเป็นคนดีหรือคนเก่งที่โลกลืม ก็แค่นั้น

แต่คู่แข่งสองคนนั่น คนหนึ่งก็รับใช้เจ้านายอยู่ในรั้วในวัง อีกคนก็เป็นทหารเอกหัวเมือง ล้วนมีเจ้าใหญ่นายโตให้เกาะก้าว ไม่ทันจะครบสามสิบกระมัง อาจจะได้กินยศเป็นพระยาพานทอง

ส่วนตนเอง จนป่านนี้ก็ยังไม่แล้วรอดไปทางไหน พยายามผลักตัวเองให้ได้มาเรียนกับบาทหลวงมิชชันนารี ก็เพราะคิดว่าช่องทางทางต่างประเทศยังมีอีกกว้างขวาง หลวงพ่อบาทหลวงก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ คงช่วยผลักดันกันให้ไปถึงฝั่งฝันได้บ้าง

แต่นั่นก็เป็นอนาคตอันห่างไกล ซ้ำคู่แข่งเพื่อนร่วมเรียนร่วมชั้นก็มีหลายคน หลวงพ่อจะฝากฝังใครให้ได้ดิบได้ดีในสถานกงสุล ก็คงต้องคัดแล้วคัดอีก นั่นละทรงธรรมถึงหาทางสายที่สองสายที่สาม เป็นหนทางสำรองที่จะช่วยยกพยุงให้ตัวเขาเดินต่อไปข้างหน้า

พออุ่นเรือนปลอมตัวเข้ามาเรียนนั่น เขาก็เห็นทางสว่าง รีบฉวยโอกาสนั้นไว้ตั้งแต่รู้ว่านางเป็นสตรี เฝ้าเพียรปรนนิบัติ จนเธอยินยอมอ่อนข้อให้ถึงขนาดนี้ แต่แล้วเจ้าคุณบิดาก็กลายเป็นตัวแปรสำคัญ

เจ้าคุณอเนกคุณากร แม้ไม่ยิ่งใหญ่มีอำนาจ แต่สายสนกลในกับพวกข้าราชการยังล้นเหลือ เพราะบารมีบุญเก่าของวงศ์ตระกูลยังเป็นที่เกรงอกเกรงใจ เมื่อเจ้าคุณออกปากมีหรือที่บ้านใหญ่บ้านโตจะไม่รีบส่งชายหนุ่มมาร่วมคัดเลือก

ระโหยละเหี่ยจนแทบไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว กระทั่งตอนก้าวกลับเข้ามาแล้วเห็นเงาๆ เพ่นพ่านอยู่ไปมา ก็หาได้ใส่ใจอะไรไม่

จนผีผกากับมาลียื่นหน้ามาจนใกล้ แกล้งแลบลิ้นยาวถึงอก ทรงธรรมยังแค่เมินหน้าหนี

เจ้าหลงแกล้งเด็ดหัวตัวเองออกมายื่นให้ เขาก็ทำท่าจะเตะไปให้ไกล จนผีเด็กชายรีบเก็บหัวแทบไม่ทัน

ทั้งคุณแสและแสงเพ็งต่างแปลกใจ ว่าเขาเป็นอะไร

"นี่คุณทรงธรรมไม่กลัวเราแล้วหรือเจ้าคะ"

ผีสาวยื่นหน้าไปใกล้ กลิ่นหอมชวนชื่น ระรวยรินผ่านเข้าจมูกของชายหนุ่ม

แต่เขาก็ยังหันหนี

"ซ้ำยังกล้ากลับมาอีก"

"ข้าไม่มีเวลาจะไปคิดกลัวพวกผีสางแล้วละน่ะ คนกำลังกลุ้มใจจะตายชัก"

ทรงธรรมตอบอย่างรำคาญๆ

แสงเพ็งก็ชักไม่พอใจ

"เพิ่งจะได้ยินว่าคนไม่มีเวลาจะกลัวผีก็ที่นี้ละ"

พอจบก็ถอยห่าง คล้ายไม่ปรารถนาจะพูดอะไรด้วยอีก

"แต่ว่า..." แสงเพ็งหันไปพูดกับคุณแส ที่ยืนรอเหตุการณ์อยู่ด้านใน "ดูๆ ไปเขาก็ไม่น่าเป็นพิษเป็นภัยอะไรนะเจ้าคะ ฉันก็เพิ่งเคยได้ยิน คนไม่มีเวลาจะกลัวผี ตลกดี"

"ทำไมกลับมาอีกเล่า"

คุณแสเลื่อนตัวเข้าใกล้ ถามง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

"ไม่กลัวเราหลอกหลอนอีกหรือยังไร"

"จะหลอกอะไรก็หลอกไปเถอะน่ะ ระหว่างถูกพวกแม่คุณหลอกหลอน เผื่อข้าจะคิดวิธีรับมือกับไอ้พวกนั้น จะได้ได้แม่อุ่นเรือนมาครองสักที"

ทรงธรรมพูดจาไม่ค่อยอยู่กะร่องกะรอยอย่างไรพิกล

"คนที่หวังแต่จะรวยทางลัด ไม่ได้รักเขาจริง หวังแต่สมบัติพัสถานอย่างเจ้า ยังคิดจะไปแข่งขันกะเขาอีกรึ"

คุณแสปรามาส ราวกับล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดดีแล้ว

ทำให้ทรงธรรมต้องรีบตอบโต้ ใจนั้นเลิกกลัวไปหมดแล้วกับผีสางแม่นางโกงพวกนี้

"ใคร ใครว่าข้าไม่รักแม่อุ่นจริง"

"ก็เจ้านั่นละ!!!"

หลายเสียงประสานเสียงตอบ ชัดเจนจนทรงธรรมผงะ

"มีแม่อุ่นเรือนอยู่ทั้งคน ยังจะมีแม่นงแม่นวลอะไรอีก"

ผีบุปผายิ้มเยาะ

"ใช่ๆ พี่ชายน่ะ รักมั่วไปทั่วเลย"

เป็นเจ้าหลงที่ถึงกับจิ้มเข้าที่พุงของชายหนุ่ม

"ประเดี๋ยว พวก... พวกแม่ๆ ทั้งหลายรู้ได้ยังไรเนี่ย"

"ก็อ่านเพลงยาวของท่านไงเล่า"

ผีมาลีลอยหน้าตอบ

"นี่!... พวกเจ้า..."

ทำเอาทรงธรรมถึงกับพูดไม่ออก

"พอเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว..." คุณแสตัดบท "...ไปจากที่นี่ซะ"

นั่นเป็นจุดหมายเดียวของคุณแส

ทรงธรรมถอนหายใจอย่างแรง แทบไม่อยากจะพูดจาด้วยต่อไป

"โถ่เอ๋ย! แล้วจะให้ไปทางไหนได้"

"เราเป็นผีเร่ร่อน เลยต้องมาอยู่ร่วมกันที่นี่ แต่คุณทรงธรรมไม่ใช่ผี จะออกไปไหนต่อไหนก็ได้อยู่แล้วนี่เจ้าคะ"

แสงเพ็งออกความเห็น ใจนั้นอยากจะคุยกับเขาดีๆ ไม่อยากขับไล่ไสส่งให้เสียน้ำใจกันเปล่าๆ

"เอาเป็นว่า เรื่องของข้าน่ะซับซ้อนนักหนา พวกแม่นางผีๆ ทั้งหลายไม่มีวันเข้าใจ"

ทรงธรรมนั้นกลัวจนเลิกกลัวไปหมดแล้ว เวลานี้มีแต่ความวิตกกังวลที่เป็นตะกอนข้นเหนียวติดอยู่ในหัวใจ

"มันจะซับซ้อนขนาดไหนกับเชียวคะ ไหนลองเล่าให้พวกเราฟังซิ"

แสงเพ็งเห็นเป็นเรื่องน่าสนุก และผีตนอื่นๆ ก็ส่งเสียงสนับสนุนกันเต็มที่

"อย่าให้มากเรื่องไปหน่อยเลยนะพวกหล่อน"

คุณแสต้องปรามตวัดๆ

"แต่พวกเราอยากฟัง อยากรู้นะเจ้าคะคุณแส"

ผีๆ รบเร้ากันเซ็งแซ่จนทรงธรรมออกจะรำคาญเต็มที

"หยูดดดดด! หยุดเถอะ! พอที เรื่องของข้าไม่มีอะไรน่าฟังหรอกน่ะ"

"ก็เล่ามาก่อนซี่ จะได้รู้ว่าน่าฟังหรือไม่"

แสงเพ็งยังเร้า

"ไม่ละ ไม่เล่าหรอก"

"เล่าเถอะเจ้าค่ะ คุณแสก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรแล้ว"

ทรงธรรมไล่มองหน้าผีสาวไปทีละตน เมื่อแน่ใจว่าพวกนางคงรูปเป็นหญิงสาวปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะทำลูกตาหลุดจากเบ้า หรือทำลิ้นห้อยยาวออกมาอีก ก็ระบายลมหายใจยาว

"พวกแม่ผีๆ ทั้งหลายนี้ ช่างอยากรู้อยากเห็นกันเหลือเกิน เอาละ ถ้าอยากฟังข้าก็จะเล่า

แล้วทรงธรรมก็เริ่มเท้าความ เริ่มตั้งแต่สมัยตนเองเป็นเด็กเล็กๆ ลำบากลำบนถูกกดขี่มาขนาดไหน ต้องไปอาศัยอยู่กับลุงป้าที่เมืองพริบพรี หรือเพชรบุรี กว่าจะลืมตาอ้าปากมาฝากตัวอยู่กับบาทหลวงมิชชันนารี ก็ต้องกระเสือกระสนอยู่เหลือแสน

กระทั่งได้มาพบกับอุ่นเรือน หนทางสบายก็ค่อยพร่างพราวขึ้นอีกมาก

"คิดดู แม่อุ่นทั้งสวยทั้งร่ำรวย เจ้าคุณพ่อของเธอก็เป็นพระน้ำพระยา ได้เป็นเขยบ้านนี้ อีกหน่อยข้าอาจจะได้เป็นเหมือนแม่ผีประจำเรือนทั้งหลายนี่ก็ได้"

ทรงธรรมยกตำแหน่ง "ผีประจำเรือน" ให้กับบรรดาผีในเรือนตึกบ้านอเนกคุณากรได้เสร็จสรรพ

"เหมือนพวกเราตรงไหน"

ผีสาวประสานเสียงถาม

"ก็เหมือนตรงที่อยากทำอะไรก็ได้ทำยังไรเล่า"

ทรงธรรมตอบอย่างอารมณ์ดี เพราะได้พูดคุยระบายความในใจ เลยค่อยสบายใจขึ้นอีกมาก

"นึกแล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนดี โลภหลงลาภยศ"

คุณแสดูจะเป็นตนเดียวที่ไม่เห็นดีเห็นงามไปกับถ้อยคำของชายหนุ่ม

"ข้าหวังแค่ว่าครอบครัวของแม่อุ่นเรือนจะช่วยให้ข้าก้าวหน้า แต่ไม่ได้คิดจะปล่อยปละทิ้งขว้างกันเสียเมื่อไหร่"

ทรงธรรมพยายามให้เหตุผล

"ในทางกลับกัน ถ้าหากได้แม่อุ่นมาเป็นศรีภรรยาจริงๆ ข้าก็จะดูแลเป็นอย่างดี คอยห่วงใยคุ้มครองตลอดเวลา"

นึกภูมิใจไม่น้อย ที่คำพูดคำจาของตนเองเข้าท่าเข้าทางดีไม่หยอก

"แต่ฟังๆ ดู คุณทรงธรรมก็ไม่ได้มีไมตรีกับคุณอุ่นเรือนนั่นสักเท่าไร"

แสงเพ็งออกความคิดเห็นบ้าง

"คนร่ำรวยมีลูกสาวสวยๆ มีเยอะไป ทำไมต้องแต่งกับคุณอุ่นเรือนด้วยล่ะ"

"หน้าตาเธอก็ดี ครอบครัวเธอก็ไม่ใช่ย่อย มีทั้งรูปสมบัติคุณสมบัติขนาดนี้ แถมยังมีใจให้ข้า เรื่องอะไรจะต้องไปหาคนอื่นอีกเล่า"

ทรงธรรมตอบไปอย่างที่ใจคิด พลางสายตาก็จับอยู่ดีดวงหน้ากระจ่างใสของผีสาวนามแสงเพ็ง

"คุณทรงธรรมพูดเหมือนไม่เชื่อเรื่องรักแท้"

แสงเพ็งเปลี่ยนเรื่องไปอีก

คราวนี้ทรงธรรมโบกมือ เหมือนมีอะไรมาตอมตรงปลายจมูก

"รักแท้มันมีจริงที่ไหนกันเล่า ถ้าหากว่าแม่แสงเจอก็บอกด้วยแล้วกัน"

"แล้วเจอกันอีกให้ดีฉันเรียกคุณทรงธรรมว่าพี่ธรรม์บ้างได้หรือเปล่า"

ผีสาวเปลี่ยนเรื่องไป แต่ทรงธรรมที่สับสนอยู่กับเรื่องที่จะต้องทำในวันรุ่งพรุ่งนี้ ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก พยักเพยิดไปตามเรื่องตามราว

"ต้องได้ซี เราก็ออกจะคุยถูกคอกันขนาดนี้"

ความกลัวของเขาจางหายไปแทบหมดสิ้นแล้ว เหลืออีกนิดๆ ก็คือ ในเวลากลางคืนพวกบรรดาผีๆ ตรงหน้านี่คงไม่แผลงฤทธิ์เดชต่างๆ เพื่อขับไล่เขาอีก

"เอ้อ! เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ถ้าพวกแม่ผีประจำเรือนทุกคนช่วยเหลือข้าในเรื่องประลองความรู้ความสามารถกับไอ้หนุ่มพวกนั้น ข้าก็จะไม่มารบกวนหรือกวนใจพวกแม่ผีๆ ทั้งหลายอีกเลย"

นั่นแล้วคือสิ่งที่พวกผีสาวต้องการ แสงเพ็งเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย จึงรีบหันกลับมาพูดจากับคุณแสอย่างเป็นการเป็นงาน

"คุณแสเจ้าคะ อย่างนั้นเราก็ช่วยเขาหน่อยเถิดเจ้าค่ะ"

"ใช่ๆ จริงด้วย เขาจะได้ไม่มารบกวนเราอีก"

ผีๆ ที่เหลือช่วยคะยั้นคะยอ ขณะที่ทรงธรรมเริ่มเห็นหนทางสว่างอยู่รำไร

"ไม่ได้!"

คุณแสตอบชัด

"ทำไมเล่า ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนี่ขอรับ"

ทรงธรรมแทบคุกเข่าลงอ้อนวอน

"พวกเราเป็นผี คุณทรงธรรมเป็นคน เราอยู่กันคนละภพภูมิ"

"คุณแสขอรับ จะมาแบ่งแยกผีคนอะไรกันอีก นี่เราอยู่ชายคาเดียวกันแล้ว"

"แต่... พวกเราทุกคน ไปจากบ้านนี้ไม่ได้"

น้ำเสียงของคุณแสอ่อนลงตรงคำท้ายๆ

"หรือเจ้าไม่รู้ เราเป็นผี จะออกถูกแสงพระอาทิตย์กระไรได้ ถ้าถูกแสงเข้าเต็มที่ ดวงวิญญาณก็จะสูญสลาย กลายเป็นอากาศธาตุ หมดโอกาสจะไปผุดเกิดที่ไหนอีกเลย"

เหตุผลของคุณแส ทำให้ทั้งคนทั้งผีต่างนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน

"อีกอย่างหนึ่ง งานประลองความสามารถอะไรนั่น ก็ไม่มีทางจัดตอนกลางคืนอยู่แล้วนี่นะ"

ทรงธรรมกะพริบตาปริบ พยายามทำความเข้าใจ แล้วก็พูดขึ้นว่า

"แสดงว่า ถ้าไม่ติดขัดเรื่องแสงสว่าง คุณแสกับพวกพี่สาวน้องสาวทั้งหลายก็จะช่วยเหลือกระผม เช่นนั้นใช่ไหมขอรับ"



**************




นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มี.ค. 2555, 16:32:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มี.ค. 2555, 16:32:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1379





<< บทที่ ๐๖   บทที่ ๐๘ >>
timeyu 9 มี.ค. 2555, 20:18:40 น.
ติดตามอ่านอยู่น่ะค่ะ ขอบคุณที่นำนิยายสบายๆมาให้คลายอารมณ์ค่ะ


นวลชมพู 10 มี.ค. 2555, 07:33:02 น.
เขียนจบแล้วจ๊ะ รับรองว่าจะโพสต์สม่ำเสมอ จนจบเรื่อง ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะจ๊ะๆๆๆๆๆๆ ^______^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account