ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๐๘




ทรงธรรมไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน ซ้ำยังมาสะดุ้งตื่นเอาตอนใกล้รุ่ง สมองตื้อตันไปหมด เพราะคิดหมกมุ่นมาทั้งคืน ว่าจะทำอย่างไรจึงจะพาบรรดาผีสาวในบ้านนี้ ไปช่วยกันในงานประลองภูมิ

เสียงไก่ขันรับกันมาเป็นทอด ผีสาวประจำเรือนบอกว่านั่นเป็นเวลาที่พวกเธอจะเข้าสนิทนิทรา จนสนธยากาลนั่นละถึงจะออกมาจากที่สถิต อันคือห้องหนึ่งของชั้นบนที่แขวนภาพเล็กๆ ไว้หลายบาน

อากาศยังชื้นจัด ตอนที่ทรงธรรมเปิดประตูออกมาหน้าเรือน แสงทองเพิ่งรำไร สายหมอกยังฟุ้งขึ้นจากพื้นหญ้า น้ำค้างหยดใส ส่งประกายวาวอยู่ตรงปลายใบไม้สารพัด นกเช้ากู่ร้องราวชวนกันออกหากิน ถ้าไม่เคร่งเครียดขนาดหนัก เขาคงยืนอาบอารมณ์ในยามอรุณเช่นนี้อยู่อีกเป็นนาน

แต่ตอนนี้ต้องรีบ เพิ่งคิดได้เมื่อกี้ละว่า น่าจะต้องไปปรึกษาหมอเกตุอาคม เรื่องที่จะพาบรรดาผีสาวออกจากเรือน

เดินลัดมาตามถนน ยังแปลกใจอยู่ว่า เมื่อคืนวาน ตอนที่เจอพวกคุณแสกับแสงเพ็ญแล้วต้องเผ่นแน่บ ทำไมตำหนักเทพอาคมของไอ้หมอเกตุถึงใกล้นัก แต่เช้านี้กลับดูเหมือนไกลจนไม่มีวันจะไปถึง

ยอดภูเขาทอง สะท้อนแสงอรุณอยู่วาววาม ทรงธรรมยกมือขึ้นประนม หลับตาตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้หัวสมองปลอดโปร่ง คิดหาทางรับมือกับคู่แข่งนั่นให้ได้ถนัดๆ

พอลืมตาก็มีหมอเกตุอาคมยืนอยู่ตรงหน้า จนถึงกับผงะ

"เอ้า! มาได้ยังไง หายตัวได้รึ"

"พี่ธรรม์นั่นละ มายืนไหว้เจ้าไหว้ผีอะไรกลางถนนตะเช้า"

"ข้าไหว้พระบรมบรรพตหรอกวะ"

เขาชี้มือประกอบ ยืนยันว่ากำลังทำเช่นนั้นอยู่จริงๆ

"งั้นก็ขออนุโมทนา ข้าไปละ"

เพิ่งเห็นว่าหมอเกตุแต่งตัวเต็มยศ คือนอกจากชุดขาวคล้องประคำแล้ว ยังมีย่ามสีขาวใบใหญ่สะพายอยู่ด้วย

"แล้วจะไปไหนแต่เช้า ข้ามีธุระร้อนจะปรึกษา"

เพราะเห็นว่าหมอผีหนุ่มจะเดินจากไป เขาเลยต้องรีบรั้งแขนเอาไว้

"ข้ารีบ มีอะไรไว้ค่อยคุยกัน ไปรอที่ตำหนักก็ได้ เสร็จธุระแล้วข้าจะรีบกลับ"

"มีใครจะมีธุระร้อนกว่าข้าหรือยังไร"

ทรงธรรมยังรั้งแขนอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย

"ก็ข้าไงล่ะพี่ธรรม์ งานนี้ได้เงินมาก ก็เจ้าเดียวกะเมื่อวาน ที่ว่าลูกสาวเขาไม่ยอมฟื้นเสียที หลับนิ่งๆ มาเป็นเดือนๆ นั่นไง"

"แล้วเอ็งไปเกี่ยวอะไรเล่า ไปหลอกลวงเขาอีกหรือยังไง"

"ไปสวดมนตร์กำกับ กันภูตผีจะมาสวมร่างน่ะ เขาลือกันว่าหล่อนยังไม่ตาย แค่ดวงวิญญาณยังไม่กลับเข้าร่าง เอ๊ะ! อย่ามาชวนคุยสิ ข้ายิ่งรีบๆ อยู่นะพี่ธรรม์ เดี๋ยวเสียฤกษ์"

"งั้นข้าไปด้วย เดินไปคุยไป ขากลับจะว่ารถ จะได้ถึงศาลเจ้าของเอ็งไวๆ"

เพราะทรงธรรมขี้เกียจจะโต้เถียง จึงจำใจต้องเดินร่วมทางไปด้วย ระหว่างทางก็เริ่มเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในตอนก่อนเที่ยงวันนี้ ให้หมอผีหนุ่มฟัง

โชคดีที่บ้านพิธีนั้นไม่ไกลนัก ผู้ใหญ่กับบ่าวไพร่เพิ่งส่งพระเสร็จตอนที่สองหนุ่มไปถึง ดูหมอเกตุจะรู้เรื่องราวเป็นอันดี ไม่ต้องพูดจาอะไรก็ตรงขึ้นเรือนไป ท่าทางของมันออกจะโก้ๆ ด้วยซ้ำ เพราะการมีคนเดินติดตาม ถือว่าเป็นยศเป็นอย่างที่คนยุคนี้นิยมยกย่อง

"ลูกศิษย์ๆ"

ซ้ำยังหันไปพยักเพยิดกับท่านเศรษฐีเจ้าของบ้านเสียอีกด้วย

ผ่านขึ้นมาจนถึงเรือนปีกด้านหนึ่ง ห้องนั้นมีสายสิญจน์ล้อม ประตูห้องเปิดไว้เต็มที่ แต่ภายในไม่ได้เปิดหน้าต่าง แสงสว่างจึงค่อนข้างจำกัด พอหมอผีหนุ่มทรุดตัวนั่งลงตรงแค่ชานหน้าห้อง ทรงธรรมเลยต้องนั่งลงตาม แลไปในห้องจึงได้เห็นเพียงลางๆ เป็นมุ้งกางครอบเตียงเสาสูง ภายในคล้ายมีใครนอนห่มผ้าอยู่แค่อก

"ลูกสาวเขา คนที่ว่าหลับไม่ตื่นยังไรเล่า"

"สวยไหม"

"ไอ้บ้า! คนจะเป็นจะตาย มาถามว่าสวยไม่สวย"

หมอเกตุด่าให้ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด

"ก็มันน่าถามไหมเล่า"

"ข้าไม่รู้ ไม่เคยเห็น มาถึงตรงแค่นี้ สวดๆ แล้วก็กลับ"

คนพูดส่งสีหน้าเอือมระอามาให้ พลางเริ่มค้นอะไรจากในย่าม ให้สัญญาณกับคนที่ตามมาด้วยว่า จะเริ่มพิธีแล้ว ให้เลิกคุย

แล้วทรงธรรมก็อดทึ่งไม่ได้ ที่หมอเกตุสามารถสวดมนตราอาคมอันฟังได้ยากเย็นนั้นได้มากมาย จบบทนั้นแล้วขึ้นบทนี้ จบบทหนึ่งก็ซัดน้ำมนตร์ครั้งหนึ่ง เรื่อยไปจนน้ำมนตร์แทบหมดขัน

เหน็บกินจนขาชา แต่ทรงธรรมต้องฝืนลุก ใจเป็นห่วงแย่แล้วว่าจะไม่ทันการ

"รีบไปกันทีรึ เราต้องไปค้นหาตำราอะไรที่ว่าไม่ใช่รึไง"

ตอนขามา ที่จริงหากคุยกันได้เรื่องได้ราว เขาก็จะกลับไปหาอุปกรณ์เครื่องช่วยให้ผีสาวออกจากบ้านด้วยตัวเอง แต่ก็ล้มเหลว เพราะหมอเกตุบอกได้ว่าพอมีวิธี แต่วิธีนั้นอยู่ในตำราเล่มหนึ่ง ที่ตอนนี้ไม่รู้ซุกอยู่ในซอกไหนของบ้าน

จึงถือเป็นโชคดีอยู่บ้าง ที่ท่านเศรษฐีเจ้าของบ้าน ให้คนขับรถมาส่งถึงตำหนักเทพอาคม ทรงธรรมแทบจะเหาะนำลงไป ทั้งที่หมอเกตุยังเดินเอื่อยๆ อย่างไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรด้วย

"ตรงไหนเล่า ตำราของเอ็งทำไมมันมากมายก่ายกองอย่างนี้"

ชายหนุ่มเพิ่งรู้วันนี้เอง ว่าเรือนที่อยู่ของหมอเกตุมีตำรามากมาย แต่ค้นในห้องเก็บคัมภีร์แล้วก็ไม่เจอ เขาก็แทบจะอับจนปัญญา

"ไปดูที่ห้องนอนข้า เผื่อจะมี"

"เอ็งเอาไปอ่านในห้องนอนงั้นรึ"

ทรงธรรมทำหน้าไม่เชื่อถือ เพราะปกติตำรับตำรา จะต้องถูกจัดวางไว้ในที่อันเหมาะควร

"เอาไปเป็นเครื่องคุ้มกันตัวไงเล่า"

หมอเกตุบอกเก้อๆ

"หรือเปลี่ยนใจ"

"จะเปลี่ยนได้ยังไงกันเล่า ไหนมีตรงไหนบ้าง"

แค่เดินข้ามชานเรือนมาก็ถึงห้องนอน ซึ่งก็รกไปด้วยตำรับตำราเช่นกัน ทรงธรรมตรงเข้าที่หัวนอน เห็นใต้หมอมีสมุดสองสามเล่มก็หยิบขึ้นดู

แต่หมอเกตุรีบถลามาคว้าเอาไว้

"สองเล่มนี้ไม่ใช่"

เจ้าของหนังสือแทบตวาด

"ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ซี หนังสือบัดสีน่ะสินะ ถึงได้หวงนัก"

ทรงธรรมรู้ทัน เพราะตั้งแต่เริ่มมีการพิมพ์หนังสือ หนังสือเชิงสังวาสก็มีแอบขายกันให้เกลื่อนใต้แผง

"เรื่องของข้าเถอะน่ะ"

หมอเกตุรีบซุกสองเล่มนั้นไว้ใต้เสื่อ ก่อนจะเอื้อมข้ามหัว ไปหยิบห่อใบลานผูกหนึ่งที่ตั้งอยู่บนหิ้งแขวน เหนือหัวนอน

"เอ้า! ตำราเทพอาคม บอกหมดละว่าจะจัดการกับภูตผียังไร หรือคิดจะเลี้ยงผีก็ยังได้ มีบอกหมดละ คงจะมีเรื่องที่พี่ธรรม์ต้องการ"

"แล้วเอ็งทำไมไม่ใช้ เอามาขึ้นหิ้งไว้ทำไม"

"ก็ข้ากลัวผียังไงล่ะ!"

บรรดาผีสาวรื่นเริงกันยิ่งนัก เพราะในที่สุดทรงธรรมก็หาทาง ทำให้พวกนางออกจากเรือนตึกได้ในเวลากลางวัน

เป็นสูตรมนตราจากแดนล้านนา จากดั้งเดิมครูบาท่านเคยใช้ปกปักดวงวิญญาณ ขณะเดินทางสัญจรแรมไพร แล้วหมออาคมแดนเหนือก็หาทางพลิกแพลง จากการใช้กลดคันใหญ่ กลายเป็นจ้องคันเล็ก สะดวกพกพา ใช้กางกั้นดวงวิญญาณ เป็นข่ายมนตราช่วยคุ้มกันพลานุภาพของแสงระวี

และทางตำหนักเทพอาคม คงพัฒนาก้าวหน้ามาอีกขั้น คือใช้ขนาดร่มให้เล็กลงอีก มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกินสี่คืบ มองผ่านๆ จึงแลเป็นร่มสำหรับให้เด็กห้าหกขวบใช้กางเล่นเสียมากกว่า

กระนั้น บรรดาผีสาวก็ยังดีอกดีใจ ที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตา ยิ่งแต่ละนางได้ร่มต่างสี ทั้งยังมีเผื่อให้เจ้าหลงอีกด้วย ทุกตนเลยยิ่งสนุก แลกเปลี่ยนชื่นชมกันไปมาไม่ได้หยุด

"ข้ายังไม่ไว้ใจอยู่ดี"

เป็นคุณแสเท่านั้นที่ยังนิ่งเฉยไม่ค่อยสนใจ

"เจ้าบอกเองมิใช่รึ ว่าได้มาจากหมอผีไร้ฝีมือผู้นั้น กะแค่ตัวมันยังแทบเอาตัวไม่รอด"

เธอหันมาถามชายหนุ่ม ยังจำได้ดีว่าในกลุ่มหมอผีที่กล้าเข้ามาลองของครั้งนั้น เจ้าหมอเกตุอาคมนั่นละ ที่ฝีมือต่ำต้อยที่สุด

"แต่นี่ไม่ใช่ร่มธรรมดา ลงเลขผาอาคมไว้ชะงัดนัก ที่สำคัญคือไม่ใช่ของที่ไอ้หมอผีหนุ่มที่คุณแสว่าทำขึ้นเอง อันนี้เป็นของตกทอด มาจากรุ่นปู่ของมัน ตั้งแต่ครั้งที่ได้ไปช่วยราชการพระเจ้ากาวิละ รวบรวมแผ่นดินล้านนาให้เป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้น"

ทรงธรรมร่ายยาว เพราะเวลากระชั้นชิดเข้ามามากแล้วนั่นเอง

"ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นก็คงพอจะไหว แต่..."

"คุณแสเจ้าคะ การช่วยเหลือคนถือเป็นกุศล คุณแสก็สอนพวกเราเสมอ ว่าให้หมั่นสะสมบุญ..."

แสงเพ็งพยายามช่วยหว่านล้อมอีกทางหนึ่ง

"แต่ข้าว่ามันอันตรายเกินไป"

"ถึงไม่เชื่อถือหมอเกตุอาคม คุณแสควรจะเชื่อฝีมือปู่กับพ่อของเขานะขอรับ"

ทรงธรรมแทบจนปัญญา ไม่นึกเลยว่าบทจะลังเลไม่แน่นอน คุณแสก็มาเป็นไปได้

"เถอะน่า นะขอรับคุณแส เผื่อคุณแสออกไป แล้วอาจได้พบลูกๆ หลานๆ ไม่แน่ลูกหลานพวกนั้นอาจจะแก่กว่าคุณแสในเวลานี้แล้วก็ได้"

เมื่อเห็นว่าความตึงเครียดเริ่มมาเยือน เขาจึงเปลี่ยนไปพูดจาไปในทางสนุก ทว่าคุณแสกลับยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจ ที่สุดก็ยื่นร่มคืนให้ แล้วกล่าวขึ้นเบาๆ

"พวกเจ้าจะไปก็ไปกันเถอะ ข้าไม่ไป"

แล้วคุณแสก็วูบหายไปเสียเฉยๆ

"นี่... นี่กระผมพูดอะไรผิด"

ทรงธรรมเงยหน้าคุยกับอากาศ หวังจะให้คุณแสกลับมาปรากฏตัว เพราะเท่าที่ดูแล้ว เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ เธอนั่นละ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุด

"ก็คุณแสยังไม่ได้มีเหย้าเรือน จะมีลูกมีหลานได้ยังไงกันเล่าเจ้าคะ ถ้าจะไปก็รีบไปกันประเดี๋ยวนี้ละ"

ผีผกาต้องให้ความกระจ่าง นางก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน ด้วยเกรงว่าคุณแสจะเปลี่ยนใจ

"งั้นก็ไปกันซีเรา ได้รับอนุญาตแล้วนี่นะ"

อานุภาพของร่มลงอาคม ได้ผลจริงตามตำรา ทุกดวงวิญญาณต่างถือร่มคนละคันออกมาเริงร่าอยู่กลางลานหน้าเรือน ภาพนั้นน่าสนุกอยู่หรอก แต่ทรงธรรมเพิ่งฉุกใจคิด

"ไปข้างนอก จะมีแต่ข้าที่แลเห็น คนเขาจะตกใจน่ะซีว่าอยู่ๆ มีร่มลอยได้เองตั้งหลายคัน"

บรรดาผีสาวหยุดกึก เห็นจริงไปตามนั้น และก็ต่างไม่พร้อมจะเสี่ยง ให้การออกจากเคหาสน์ครั้งนี้เอิกเกริกจนเกินไป

"เอาอย่างนี้ ข้าจะถือร่มให้ทีละคัน พวกเจ้าค่อยเวียนกันออกมาก็แล้วกัน"

ทุกตนพยักหน้าเห็นด้วย จึงตกลงมานั้น มีแสงเพ็งเป็นตนแรกที่ได้ก้าวพ้นชายคาพร้อมกับชายหนุ่ม

ทรงธรรมอ้อมมาด้านข้าง ตั้งใจจะใช้ประตูข้าง ซึ่งเพียงแค่ข้ามถนนซอยก็จะได้เดินเข้าสู่บริเวณบ้านที่เจ้าคุณอเนกอยู่อาศัย

กลางวันนี้แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนแสงให้ท้องน้ำเกิดประกายระยิบระยับบนพลิ้วคลื่น แสงเพ็งที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษรีบคะยั้นคะยอ ให้ชายหนุ่มแวะเข้าไปตรงชายตลิ่ง

เขาเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงไม่ปฏิเสธ แต่ก็คิดไม่ได้ว่าทำไมผีสาวจึงดูตื่นเต้นนัก

"บ้านดีฉันไม่ได้อยู่ติดลำคลอง ซ้ำนี่ก็ไม่ได้เห็นลำน้ำยามกลางวันมานานแล้ว"

ราวกับเธอจะอ่านใจได้ จึงหันมาบอกเขาอย่างนั้น

"กลางวันอะไรๆ ก็สดใสไปหมดนั่นละไ

ทรงธรรมพาผีสาวมาจนถึงริมเขื่อน ลำคลองช่วงนี้กระจะกระจ่าง ด้วยว่าไม่มีพืชน้ำพันธุ์ใดลอยอยู่ให้รกตา

"ว่าแต่แม่แสงไม่ได้ออกมานานแค่ไหนแล้วละนี่"

"ก็นานแล้วละค่ะ ดีฉันก็เลือนๆ ไม่ค่อยแน่ใจ"

ผีสาวตอบด้วยเสียงเศร้าๆ

"เอาอย่างนี้ดีไหม มีข้าอยู่ด้วย จะพาออกมาเดินเล่นอย่างนี้ทุกวันเลย"

"จริงหรือเจ้าคะ"

"จริงซี ถ้า... คุณแสของแม่แสงไม่ว่ากระไรน่ะนะ"

ทรงธรรมยิ้มให้หญิงสาวเต็มดวงหน้า รอยยิ้มที่มอบให้นั้นปราศจากเงื่อนไขใดๆ ไม่เหมือนกับเวลาที่ต้องคอยยิ้มให้อุ่นเรือน ที่รายนั้นเขาต้องระวังตัว คอยยิ้มส่งให้เสมอยามที่ได้สบตากัน

และเขาก็นึกเสียดาย ว่าผีสาวที่ได้อยู่ใกล้ชิดด้วยเวลานี้ไม่น่าด่วนตาย เพราะรูปหน้ารูปกายล้วนสวยสกาว กิริยาอัชฌาสัยก็สุภาพเรียบร้อย ถูกตาต้องใจเขาเสียเหลือเกิน

เพลินมองน้ำอยู่อีกครู่ แสงเพ็งก็เห็นว่ามีเต่าตัวหนึ่ง ต้วมเตี้ยมอยู่บนสันเขื่อนเหมือนหลงทาง เธอเผลอตัวยื่นมือออกไป หมายจะทักทาย

แต่แล้วปลายมือที่ยื่นพ้นออกไปจากข่ายมนตรา ก็ระเหยเป็นควัน จนรีบชักมือกลับมาแทบไม่ทัน

ทรงธรรมคว้ามือนั้นมาเป่าปลอบ ยังดีว่าแค่พริบตาเดียว หลังมือของผีสาวจึงแค่เป็นผื่นแดง คล้ายถูกของร้อนลวกทำร้าย

"ระวังหน่อยซีจ๊ะแม่แสง ร่มนี้หากดวงวิญญาณอยากจะหลบให้พ้นแสงก็หลบได้ แต่ถ้าเผลอยื่นออกไปเองอย่างนี้ ก็จะทะลุข่ายเวทมนตร์ออกไป"

พูดจบชายหนุ่มก็เป่าซ้ำลงอีกสองสามครั้ง ราวกลับกำลังปลอบเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เพิ่งถูกน้ำร้อนลวก

"ดีฉันขอโทษ..."

แสงเพ็งได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ รู้สึกอุ่นใจนัก จนคล้ายกับว่ากระแสปราณที่บรรจงเป่าบนหลังมือที่ขึ้นเป็นผื่นแดงนั่น จะระเรื่อยผ่านขึ้นมากระทบหัวใจ ให้ทั้งร่างกายและหน้าตาผ่าวร้อนไปด้วยกันทั้งหมด

"เป็นอะไรไปเล่า ทำไมถึงหน้าแดงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นแม่แสงเข้าไปหลบอยู่ในร่มก่อนดีกว่า ข้าไม่ให้ใครออกมาละ เผื่อไม่ระวัง คุณแสจะมาหักคอข้าเอา"

ผีสาวพยักหน้าน้อยๆ ไม่กล้าสบตา ดีว่าเขาไม่ได้คาดคั้นเรื่องว่าทำไมหน้าจึงแดง ไม่อย่างนั้นคงตอบไม่ถูกว่า

"ก็เพราะเขินที่พี่ธรรม์ทำกับดีฉันยังกับคู่รักนั่นละเจ้าค่ะ"




ท่านเจ้าคุณบิดาของอุ่นเรือน คงจะคิดกลั่นแกล้ง จึงไม่บอกเขาสักคำว่า ย้ายการประลองภูมิปัญญาหาลูกเขยนั้น ให้ไปจัดที่ในศาลาประชาคม ที่ไกลออกไปอีกพอสมควร

กว่าจะพูดจากันรู้เรื่องกับนายวงศ์ ที่คงถูกสั่งให้ดักถ่วงเวลาอยู่ที่เรือนไทย ก็จวนเจียนเวลา ต่อให้ทรงธรรมห้อเต็มฝีเท้า ก็ไปถึงที่กำหนดนัดในสภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย

เหงื่อนั้นโซมไปทั้งตัว ทั้งที่พกร่มมาด้วย ก็ไม่ได้กางอีกเลยสักคัน เพราะต้องรีบวิ่งมาไม่ได้หยุด กว่าจะถึงก็หอบฮั่ก ซ้ำบ่าวที่คอยเฝ้าอยู่หน้าศาลายังมองด้วยสายตาหมิ่นแคลน

"มาสายจนป่านนี้ ดีว่านายข้าไม่ใช่คนคิดเอาเปรียบใคร"

บ่าวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นลอยๆ ขณะที่อีกคนจ้องมาที่ย่ามของคนเพิ่งมาถึง ที่บรรจุเต็มไปด้วยร่มเก่าๆ หกเจ็ดคัน

"ฝนฟ้ามันจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล ก็เพราะบ้าๆ บอๆ พกร่มพกพาย ตอนฟ้าแจ้งๆ น้ำแห้งๆ นี่ละ"

"ลูกนกกระจอกอย่างพวกเอ็งรีบหลีกทางไปเลย ไม่งั้นข้าจะใช้ร่มนี่ละแพ่นกบาล"

ทรงธรรมทั้งเหนื่อยทั้งโมโห รู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ราวกับจะต้องเข้าสงครามใหญ่ด้วยลำพังตัวคนเดียว

จริงอยู่ว่าทุกคนยังไม่เริ่มการประลอง แต่แต่ละคนก็นั่งหน้าบอกบุญไม่รับเลยสักคนเดียว

"ทำไมเพิ่งมาเล่าพี่ธรรม์ ระยะจากเรือนมาที่นี้ก็ไม่ได้ไกล"

"ก็นายวงศ์น่ะซี กว่าจะพูดจากันรู้เรื่อ..."

เขาพูดได้แค่นั้น ตอนเหลือบไปเห็นนายวงศ์นั่งอยู่ประจำที่ ตรงเยื้องด้านหลังของเจ้าคุณอเนกคุณากรลงไป

"อ้าว...นายวงศ์ จะล่วงหน้ามาก็ไม่บอก จะได้อาศัย..."

เขาเข้าใจได้ทันที ว่าผละจากกันแล้ว บ่าวคนสนิทของเจ้าคุณอเนกอาจใช้พาหนะอย่างใดอย่างหนึ่ง เร่งมาจนถึงที่นี่

"นี่ก็ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้นหรอกนะขอรับคุณทรงธรรม"

นายวงศ์เอ่ยขึ้น เหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยทั้งสิ้น เป็นการพูดเตือนสติให้คนมาทีหลัง นึกถึงมรรยาทสำคัญในการสมาคมกับผู้คน

"จริงสิ..." ทรงธรรมจึงต้องรีบละสิ่งที่ขุ่นเคืองใจ หันมาทักทายกับทุกคนที่นั่งรอ

"ต้องขอประทานโทษด้วยนะขอรับทุกท่าน"

เขายกมือไหว้ไล่ไปทั่ว เห็นหน้าค่าตาแต่ละคนแล้วก็พอรู้ว่า ต่างก็คงมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่กันไม่ใช่น้อย

"กระผมชื่อทรงธรรม เป็นชาวเมืองเพชร ไม่ทราบว่า..."

พยายามโยนลูกกลับไปบ้าง เพราะก็เห็นอยู่ว่าสองหนุ่มที่นั่งหน้าเชิดอยู่คนละฟากห้องโถงนี้ น่าจะเป็นคนที่จะร่วมประลอง

คนตัวเล็กกว่า หน้าตาละมุนผิวพรรณผ่องใส กล่าวแนะนำตัวขึ้นก่อน

"กระผมคือหลวงรักษาราชอาสน์ รับราชการกับสมเด็จในกรม"

คนนี้คงเป็นคนที่เก่งทางอาลักษณ์อักษรา ที่อุ่นเรือนเคยพูดให้ฟัง

"ส่วนกระผมคือหลวงสมุทรขจรฤทธิ์ กำลังจะได้เป็นขุนธำรงเขื่อนขันธ์ รักษาป้อมพระจุลฯ" กับคนที่เพิ่งแนะนำตัวนี้ ก็คงเป็นพวกทางกลาโหม เก่งกาจเรื่องการต่อสู้และเชิงรบ

หลวงสมุทรฯ ผิวออกคล้ำ รูปหน้าคมเข้ม อีกทั้งรูปร่างยังแลองอาจล่ำสันสมชายชาติทหารเสือ

"แล้วนั่นคุณทรงธรรมพกร่มมาด้วยเยอะแยะเทียวเล่า"

คนผิวคล้ำถามซ้ำ เมื่อเห็นเขายังยืนเก้กังอยู่กลางโถง

"ที่แท้ก็พี่หลวงรักษาราชอาสน์ กับพี่หลวงสมุทรขจรฤทธิ์นั่นเอง"

ทรงธรรมทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินคำถามของชายหนุ่มฝ่ายกลาโหมนั่น

"แล้วพี่ธรรม์ทำไมพกร่มมาเยอะแยะเล่าจ๊ะ"

เกือบจะเลี่ยงได้อยู่แล้ว พออุ่นเรือนถามซ้ำเข้าอีก จึงจำเป็นต้องอธิบาย

"ของเกลอฝากไว้น่ะ พอดีเขารู้ว่าจะมาถึงนี่ เลยฝากมาให้ญาติกัน ก็เลย..."

ดีว่าเจ้าคุณอเนกตัดบทขึ้นเสียก่อน ทรงธรรมจึงรอดตัวกับการต้องปั้นเรื่องกันสดๆ ร้อนๆ

"เอาละๆ แนะนำพอรู้เนื้อรู้ตัวกันแล้ว ก็ควรจะเริ่มกันสักที แต่ก่อนจะเริ่มข้าขอพูดอะไรสักนิด..."

เจ้าคุณพยักให้ทรงธรรมไปนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง

"การที่คุณหลวงผู้มีอนาคตอันสดใสทั้งสองยอมมาถึงที่นี้ ก็นับว่าเป็นเกียรติยศกับข้าอย่างสูง ส่วนนายทรงธรรมคนนี้ เป็นเพื่อนเรียนของแม่อุ่นเรือนลูกสาวข้า ที่ผ่านมาก็เข้าตามตรอกออกตามประตู นับว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย"

ผู้มากวัยหันมามองหน้าเขานิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไป

"เขามีเป้าหมาย อยากจะรับราชการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ข้าจึงเชิญคุณหลวงทั้งสองมาเพื่อให้ช่วยแนะนำสั่งสอน เผื่อว่าเวลาจะต้องไปเข้าร่วมแข่งขันคัดเลือกตำแหน่งอะไรๆ จะได้รู้ไว้สักนิด ว่าอะไรควรไม่ควร..."

แต่ละถ้อยคำ รวมทั้งสีหน้าท่าทาง ทุกคนในที่นั้นต่างมองออกว่า ผู้พูดไม่ได้รู้สึกพอใจผู้ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้เลยสักนิด

"ครั้นจะมัวจับจด ทำเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไปวันๆ ไม่มีหลักมีฐาน คนเขาก็จะกล่าวหาได้ว่าเป็นพวกหลักลอย คอยแต่จะไต่เต้าไปในทางลัด"

"คุณพ่อเจ้าคะ เริ่มการประลองเสียทีมิดีหรือคะนี่"

จนอุ่นเรือนต้องขัดคอ เพราะยิ่งพูดไปๆ คนที่ตนปักใจรักก็มีแต่จะเสียกับเสียเพียงเท่านั้น แต่ผู้เป็นบิดาก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน เว้นระยะจิบน้ำชาไปถ้วยหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ

"อีกอย่างหนึ่ง บ้านข้ามีลูกสาวคนเดียว ก็ออกจะเก่งกล้าสามารถและหัวสมัยใหม่ อาจจะไม่ครบถ้วน ในกระบวนกุลสตรีหรือการเป็นแม่เหย้าไม่เรือน แต่ข้าก็ยังอยากให้ได้ออกเรือนไปกับคนดีมีฝีมือ...

"เสียดาย... จนวันนี้ยังไม่มีใครมาทาบทาม ฉะนั้นในวันนี้ ในหมู่พวกท่านข้าหวังว่า... เอ่อ... การมีบุตรสาวถือว่าเป็นภาระอันหนักหน่วง จะต้องระแวดระวังหาคู่ครองที่เหมาะสม วันนี้ข้าคงจะได้วางภาระนี้เสียได้แล้ว"
อุ่นเรือนนั้นรู้สึกกระดากใจตั้งแต่แรก พอได้ยินคำบิดาตนพูดดังนี้ เลยอดขัดคอขึ้นไม่ได้

"เจ้าคุณพ่อ ทำไมมาพูดเรื่องอย่างนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย"

"การนี้เป็นเรื่องของพ่อ แม่อุ่นไม่ต้องออกความเห็น"

พูดจบก็พยักหน้าให้นายวงศ์ออกมาเริ่มชี้แจงขั้นตอนดำเนินการ ไม่ใส่ใจว่าบุตรสาวจะออกอาการกระฟัดกระเฟียดถึงเช่นไร

"ความชัดเจนของการประลองฝีมือและภูมิปัญญาครั้งนี้ เพื่อให้ไม่เป็นการหมิ่นหยามกันแต่ประการใด ศักดิ์ของคุณหลวงนั้นสูงกว่าคุณทรงธรรมอยู่ขั้นหนึ่ง การจะประลองกันเองโดยมีเขาขึ้นมาเทียมเทียบเห็นเป็นการไม่เหมาะสม ท่านเจ้าคุณพระยาอเนกคุณากรจึงจะจัดให้ประลองกันเป็นรอบ เพื่อทดสอบฝีมือและภูมิปัญญาของคุณทรงธรรมเป็นเบื้องต้น หากชนะได้จึงค่อยขยับขึ้นไปให้เสมอภาค"

แม้จะฟังขัดหูอยู่มากนัก ทรงธรรมก็จำต้องนิ่งอยู่ แต่เพื่อความแน่ใจว่าบรรดาผีสาวจะไม่ได้รับอันตราย จึงต้องร้องขอเงื่อนไขอันหนึ่ง ที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ

"จะประลองเรื่องกระไรกับใครนั้นกระผมไม่เกี่ยงขอรับ เพียงแต่... อยากจะขอร้องสักสิ่ง ไอ้ตัวกระผมมันต่ำต้อย คุ้นเคยกับห้องหับที่มัวซัว หากไม่ขัดข้องจะขอร้องให้ปิดประตูหน้าต่างให้หมดทั้งศาลา มิให้แสงเล็ดรอดเข้ามา แล้วจุดเทียนสักเล่มก็พอ ที่กระผมจะคุ้นชิ้น"

คนฟังต่างพากันส่ายหน้าเป็นเชิงสังเวชเหลือใจ ต่างคนก็ต่างคิดไปว่า น้ำหน้าอย่างนี้ จะมีปัญญาอะไรมาสู้ปราชญ์เมธีหรือขุนพลขุนทัพ การเรียกร้องมาดังนี้ ก็เป็นเพียงแต่จะทำให้มากเรื่องมากความไปแค่นั้นเอง

เรื่องนี้นายวงศ์ไม่กล้าตัดสินใจ หันไปมองสองคุณหลวง เมื่อเห็นว่าพยักหน้ายินยอม ก็หันไปทางเจ้าคุณอเนกคุณากร

"จะให้จัดการอย่างมันว่าจะเป็นกระไร เรื่องฝีมือภูมิปัญญา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมืดหรือความสว่างเลยสักนิด ไอ้วงศ์ เอ็งให้บ่าวมันจัดการตามที่มันขอ"

เจ้าคุณผู้มากวัยตัดสิน นึกอยู่ว่ายอมตามใจมันให้หมดเรื่อง ไอ้หมาวัดที่ริจะได้เชยชมดอกฟ้า จะได้ยอมแพ้อย่างศิโรราบจริงๆ

พอจัดสถานที่เรียบร้อย นายวงศ์ผู้เป็นพิธีกรก็เริ่มบอกกำหนดการ

"ระหว่างคุณหลวงรักษาราชอาสน์ กับคุณทรงธรรม จะแบ่งเป็นสามยก คือ ดนตรี หมากรุก และอาลักษณ์ เริ่มจากการประชันประเลงเพลงปี่พาทย์"

พูดจบพวกบ่าวก็ยกระนาดเอกออกมาสองราง ตั้งไว้คนละฟากของแถวประธาน อุ่นเรือนเห็นขัดตานักก็แย้งขึ้นอีก

"ประเดี๋ยวนะคะเจ้าคุณพ่อ พี่ธรรม์ถนัดแต่ทางเครื่องสาย มีอย่างหรือจะชนะในรอบนี้"

แต่ทรงธรรมกลับเป็นฝ่ายปราม

"ช่างเถอะแม่อุ่น หากพี่ชนะ จะได้สิ้นสงสัยกันสักที ว่าพี่นี้มีดีแค่รูปร่างหน้าตา"

คำหลังๆ ทรงธรรมหันไปพยักเยาะให้กับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกำลังจะเข้านั่งประจำที่ พิศดูไปมาก็เห็นว่า หลวงรักษาราชอาสน์นั้น ออกจะรูปทรงกล้องแกล้งไม่สมชาติชายฉกรรจ์สักเท่าไร

พอคุณหลวงหน้าใสยกไม้ระนาดขึ้นจบบูชาครู ก็เริ่มบรรเลงฝีมือทันที

ทรงธรรมก็รีบทำตาม ตอนแรกคิดว่าจะเริ่มด้วยเพลงช้า แต่ว่าคุณหลวงกลับเริ่มด้วยกราวรำ

"ประเดี๋ยวขอรับ นี่จะไม่มีโหมโรงไหว้ครูบาอาจารย์เลยหรือกระไร คุณหลวงจะพราหมณ์เข้าเจ้า หรือพราหมณ์เข้าโบสถ์ก็ว่าไปซีขอรับ"

ทรงธรรมต้องแกล้งขัด เพราะเพลงกราวรำนั้น เป็นทำนองเร็ว เร่งรัด ออกจะเป็นแนวเยาะเย้ยถากถางกันอยู่ในที จึงเรียกร้องให้คู่แข่งใช้เพลงช้าด้วยเพลงโหมโรงสำคัญเสียก่อน

แต่หลวงรักษาราชอาสน์ก็เมินเสีย จนเป็นโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามกระซิบกระซาบกับผีสาว

"เชิญแม่คุณทั้งหลายได้เลยนะจ๊ะ มาไม้ดื้ออย่างนี้ กระผมต้องขอแรงเป็นโดยด่วน"

ทุกคนเข้าใจว่า ที่ทรงธรรมงึมงำอยู่คนเดียวนั้นเป็นการปลุกของ ของคนที่อับจนหนทางสู้ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร นอกจากจะตั้งใจฟังการบรรเลงเพลงทำนองครึกครื้นของฝ่ายคุณหลวงต่อไป

จังหวะรัวกราวยังพลิ้วเพริดไม่ตกหล่น ลูกเก็บลูกสะกัดยังครบถ้วน จนทรงธรรมเริ่มเหงื่อตก เมื่อยังไม่เห็นผีตนไหนโผล่มาช่วยเหลือ

จวนเจียนจะถึงคราวส่งไม้ คือจบห้องทำนองของตน แล้วให้ผ่านฝ่ายตรงข้ามรับรัวไม่ให้เสียจังหวะเพลง แสงเพ็งจึงค่อยโผล่มายิ้มหยอกอยู่ใกล้ๆ

เขาผงะหลบ ไม่ใช่เกรงกลัวแต่เป็นเพราะตกใจ

ผีสาวปรายตาให้ชายหนุ่มหันกลับไปมองทางฝั่งตรงข้าม

ทั้งผกา บุปฝา มาลี กระถินและเจ้าหลง ยืนห้อมล้อมคุณหลวงอยู่พร้อมหน้า

บัดแรกเห็นว่าเจ้าหลงยื่นมือเข้าใต้ราง แล้วเสียงเตร้งเตร็งเตร่งก็แกว่ง กลายเป็นเสียงแกร็กๆ แกรกๆ

คุณหลวงผู้ชำนาญการระนาดคิดว่าตะกั่วถ่วงเสียง ซึ่งติดอยู่ใต้ลูกระนาดนั้นคงจะหลุด เลยรีบยักเยื้องเปลี่ยนทำนองเป็นเพลงทุ้ม ใช้ลูกระนาดอีกฝากหนึ่งเป็นหลัก

แต่คราวนี้คุณหลวงไม่เข้าใจว่า ทำไมไม้ระนาดถึงหนักเสียเหลือแสน หรืออยู่ๆ ลำข้อลำแขนเกิดค้างขึ้นมาก็ไม่รู้ได้ พอเพลงเพี้ยนทำนอง ทรงธรรมจึงขึ้นเสียงเป็นเพลงลา บรรเลงนำขึ้นบ้าง

ส่วนคุณหลวงที่ยากเย็นนักกว่าจะยกได้แต่ละไม้ กว่าจะตามทำนองที่ทรงธรรมบรรเลงนำก็เหมือนข้อมือถูกถ่วงด้วยภูเขา โดยไม่เห็นหรอกว่า เป็นเพราะอีกสองผี ช่วยกันยุดข้อมือของเขาเอาไว้

หนักเข้าผีมาลีก็แกล้งเกี่ยวสายลูกระนาดให้ขาดลง ทำให้คุณหลวงที่ตั้งใจตีอยู่แทบหน้าคะมำ ในที่สุดก็มีอันว่าต้องยอมแพ้ในรอบนี้ โดยไม่ได้พูดจาว่ากระไรอื่น เพราะเจ้าตัวก็ยังปลงใจไม่ถูกเหมือนกันว่า ที่พ่ายแพ้นี้เพราะอะไร

ลำดับถัดมาเป็นกีฬาเดินหมาก ซึ่งเป็นการเล่นที่ทรงธรรมค่อนข้างจะถนัดจัดเจน แต่แล้วพอเดินไปๆ กลับกลายเป็นใกล้จะเข้าตาจน เหงื่อกาฬยังไม่หยุดรินไหล ทั้งเพราะร้อนจากความอบอ้าว และทั้งร้อนใจผสมกัน

เดินหมากจนมาถึงการไล่รุกนับศักดิ์ อันเป็นช่วงสุดท้ายของการแข่งขัน เพราะทรงธรรมเหลือหมากบนกระดานน้อยเต็มที่ ต้องเล่นกันแบบนับตาหนี ว่าหากหนีได้ตามจำนวนครั้งเดินที่กำหนด ก็จะถือว่าฝ่ายไล่รุกมือไม่ถึง ฝ่ายต้องหนีก็จะกลายเป็นผู้ชนะ

เหลือไม่ถึงสิบตาหนี อยู่ฝ่ายรุกคือหลวงรักษาราชอาสน์ เห็นจังหวะเหมาะจะรุกฆาต คือขยับหมากตานี้แล้วทรงธรรมจะต้องพ่ายแพ้ แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนถูกผลัก มือลื่นพรึ่ดดันทั้งหมากตนและหมากฝ่ายตรงข้าม ให้ล้มกลิ้งโค่โล่ไปอยู่นอกกระดาน

"อะไรกันคุณหลวง แพ้แล้วพาลหรือกระไร"

ทรงธรรมรีบฉวยโอกาสสมอ้าง

"ปละ... เปล่า... เหมือนมีใครมาผลักข้า"

คุณหลวงพยายามแก้ต่างให้ตนเอง หันมองไปรอบกาย พอเห็นว่าวงหมากรุกตั้งอยู่ท่ามกลาง ห่างไกลจากที่ใครจะกลั่นแกล้งเอาได้ก็จนใจ

ผีกระถินหัวเราะกิ๊ก เพราะที่ผลักหลังของคุณหลวงนั้นไม่ใช่มือ แต่เป็นเท้า

"เอาละๆ รอบนี้ถือว่าพี่ธรรม์ชนะก็แล้วกัน"

อุ่นเรือนส่งเสียงขึ้นบ้าง บวกกับที่เห็นอยู่ว่า ฝ่ายคุณหลวงเป็นคนกวาดหมากที่เหลือหลุดจากกระดาน จึงไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน

หลวงรักษาราชอาสน์ถึงกับเหงื่อตก เริ่มหวาดระแวงว่าทรงธรรมจะเล่นไม่ซื่อ อาจเลี้ยงโหงพรายหรือกุมารทอง ให้ทำการช่วยเหลือกในครั้งนี้

รอบสุดท้ายกับการประลองกับคุณหลวงฝ่ายราชสำนัก คือความถนัดทางอาลักษณ์ หรือการคัดลายมือ

"รอบนี้จะให้คุณอุ่นเรือนร้องสักวาบทหนึ่ง ให้คุณหลวงและคุณทรงธรรมคัดตาม จบเพลงก็วางปากกาได้"

นายวงศ์ประกาศ พร้อมเรียกให้บ่าวเอากระดาษปอ ปากกาคอแร้งและหมึกจุ่มมาเตรียมไว้ให้ทั้งสองฝ่าย

ด้านอุ่นเรือนพอได้ยินคำ ก็พยายามนึกหาบทสักวาที่จะรู้กันเพียงสองคน หรือไม่ก็เป็นบทที่ฝ่ายคุณหลวงไม่รู้ จะได้ไม่มีโอกาสได้เขียนไปก่อนล่วงหน้า แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าป่วยการเปล่า เพราะระดับคุณหลวงนั่น มีหรือจะมีบทร้องใดหลงหูหลงตา ทางที่ดีให้บทที่รู้ร้องกันทั่วไป ทางฝ่ายของคนที่ตนรักจะได้ไม่ติดขัดสับสน

พอกระแอมไล่ลูกคอเสร็จ แม่อุ่นจึงเกริ่นขึ้นด้วยเสียงใสเสนาะ


"สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย"*


อุ่นเรือนขับสักวาเป็นทำนองละห้อยช้า ในเนื้อร้องของกรมขุนพระองค์นั้น ที่นิยมท่องจำกันนักหนา จนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง เธอหวังว่าอย่างน้อย ที่ร้องทำนองช้าขนาดนี้ หากจบเพลงแล้วทรงธรรมเขียนได้ทัน แม้ฝ่ายคุณหลวงจะเขียนเสร็จก่อน ก็ไม่มีผลในกติกา แค่เขียนให้ทันตอนจบเพลงก็เป็นพอ

กว่าจะจบเพลงทรงธรรมก็ต้องระบายลมหายใจหนักๆ อยู่หลายคราว การทอดทำนองของอุ่นเรือนนั้นช่วยได้มากก็จริงอยู่ แต่เมื่อชำเลืองมองเห็นลายมือของคุณหลวงแล้ว ก็แทบจะถอดใจลงกราบ เป็นอย่างที่เขาว่าลายมือชาวราชสำนักนั้น ได้เหลี่ยมได้มุม ได้จังหวะช่องไฟ ได้หัวได้หาง งดงามเช่นนี้เอง

นั่นยังไม่รวมถึงที่แกล้งทำเมิน เพราะคุณหลวงเขียนทั้งบทเสร็จเรียบร้อย ตั้งแต่อุ่นเรือนเอื้อนไปได้ไม่เต็มสองคำกลอน

เจ้าคุณอเนกคุณากรเองก็รู้ว่า บ่าวคู่ใจของตนคงขานกติกาตกหล่น จึงได้แต่นิ่งอยู่ รอจนจบเพลงตามกติกานั่นแล้ว จึงรีบเรียกผลงานของทั้งสองฝ่ายมาดู

บนกระดาษปอของทรงธรรม ก็เรียงระเบียบเรียบร้อยดี ไม่มีข้อให้ตำหนินักหนา เจ้าคุณผู้มากวัยเลยขยับมาดูขอคุณหลวง ที่บัดนี้นั่งหน้าเชิดอยู่อย่างที่รู้ตัวว่าเป็นผู้ชนะแน่ๆ

"นี่อะไรของคุณหลวง!"

เจ้าคุณอเนกตวาดลั่น ราวกับอารมณ์กำลังเดือดเป็นไฟ

"อะไร มีอะไรหรือขอรับเจ้าคุณ"

หลวงรักษาราชอาสน์รีบลุกไปดูผลงานตนเอง แต่แล้วก็ถึงกับหน้าหงาย ทำอะไรไม่ถูก เพราะใจความในบทสักวา นอกจะเป็นคนละข้อความแล้ว เนื้อความยังฉกรรจ์ยิ่งนัก


"สักวาว่าพ่อใครใคร่เลือกผัว ให้ลูกตัวหาเองไม่ได้หรือ
มาป่าวร้องล่อเกี้ยวเที่ยวจูงมือ หยั่งกะสือลากไส้ให้ใครกิน
ท้าวสามลยังให้รจนาเลือก แต่นี่เสือกจัดแจงราวทรัพย์สิน
ถึงไม่เหลือหญิงใดในแผ่นดิน กูไม่สิ้นคิดคบประจบเอย..."


"เอ่อ!... อันนี้... อันนี้..."

คุณหลวงกลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมากะทันหัน กว่าจะตั้งสติได้ก็แทบแย่

"กระผม... กระผมไม่เอาละขอรับ ไอ้เจ้านี่มันต้องเลี้ยงผี ให้ผีมันกระทำกระผม ไม่เอาละขอรับ กระผมต้องขอตัว"

แล้วหลวงรักษาราชอาสน์ก็เปิดแน่บไม่เห็นหน ปล่อยให้บรรดาผีๆ หัวเราะกันเกรียวกราว ยินดีนักที่ทำให้ทรงธรรมชนะได้ในรอบนี้

"พี่ธรรม์ของอุ่นนี่ยอดไปเลยนะจ๊ะ"

อุ่นเรือนไม่เกรงใจใครอีกเลย ตอนที่ถลาเข้ามาชื่นชมอย่างใกล้ชิด

ทรงธรรมก็ยืดอกเต็มที่ ตั้งหน้ารอให้ฝ่ายหญิงช่วยซับเหงื่อให้ทั้งหน้าทั้งลำคอ

"อย่างนั้นก็เริ่มแข่งฝีมือการต่อสู้"

เจ้าคุณลงเสียงหนัก บาดตานักกับพฤติกรรมของบุตรสาว

แต่อุ่นเรือนรีบทัดทาน

"รอประเดี๋ยวเถอะค่ะ ให้พี่ธรรม์ได้พักสักประเดี๋ยว"

พร้อมกับที่ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ชายหนุ่มไม่ได้หยุด

"แม่อุ่น นี่ต่อหน้าผู้คน แม่อุ่นห้ามทำอย่างนี้"

เจ้าคุณเสียงเครียด พยายามห้ามปราม แต่ยิ่งห้ามเหมือนกับยิ่งยุ ผู้เป็นบิดาโกรธจัดจนนึกไม่ออกเลยว่า นิสัยเอาแต่ใจตนเองนี้ บุตรสาวได้มาจากใคร

การกระทำดังนั้นทั้งหมดของอุ่นเรือน ล้วนอยู่ในสายตาของบรรดาผีสาว อาการเข้าพระเข้านางของอุ่นเรือนกับทรงธรรมนั่น ทำให้เจ้าหลงถึงกับต้องปิดหน้าด้วยฝ่ามือกางๆ แล้วอาศัยแอบมองลอดช่องระหว่างนิ้ว

"ดูซิ เป็นสาวเป็นนาง ทำบัดสีบัดเถลิง ไม่อายผีสางเทวดาเลยสักนิด"

ผีมาลีบ่นเบาๆ นางเป็นผีตนที่ขี้อายมากที่สุดในบรรดาผีเรือนตึกทั้งหมด

"พยายามเข้านะพี่ธรรม์ พี่ต้องต่อสู้กับความอยุติธรรมครั้งนี้ไปให้ได้"

ยิ่งอุ่นเรือนกระซิบชิดใกล้ บรรดาผีสาวก็หัวเราะแก่กันหนักขึ้น

มีเพียงแสงเพ็งตนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นสนุกด้วย เธอนิ่งเงียบและกำลังตัดสินใจ ว่าในรอบต่อไป จะช่วยทรงธรรมต่อไปดีหรือไม่...

...เพราะภาพบาดตานั้น เกินจะทำใจให้ยอมรับ!



**********


*พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ





นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มี.ค. 2555, 13:51:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2555, 13:51:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1438





<< บทที่ ๐๗   บทที่ ๐๙ >>
timeyu 11 มี.ค. 2555, 14:13:02 น.
จะช่วยหรือเปล่าเเม่เเสงเพ็ง รอลุ้น


นวลชมพู 11 มี.ค. 2555, 14:43:25 น.
โพสต์วันละตอนจ๊ะ จะได้ไม่ต้องรอกันนาน... เอ... หรือว่าจะถี่เกินไป
เอาเป็นว่า... โปรดติดตามตอนต่อไป ก็แล้วกันนะจ๊ะๆ

ด้วยมิตรภาพ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account