ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๐๙




เจ้าคุณอเนกคุณากรไม่ยอมเสียเวลา สั่งให้นายวงศ์แจ้งกติกาและเริ่มการแข่งขันต่อไปทันที ซึ่งรอบนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการประลองยุทธ์จริงๆ จังๆ ก็ว่าได้

"คุณหลวงสมุทรขจรฤทธิ์ชำนาญการต่อสู้ทุกชนิด ทั้งอาวุธและมือเปล่า เพื่อเป็นการยุติธรรม ไม่ให้ใครติฉินนินทาได้ ท่านเจ้าคุณจึงขอให้ประลองแต่เฉพาะหมัดมวย เมื่อถูกตัวก็แล้วก็ต้องยุติ ไม่ให้ตามซ้ำเติม มีท่านใดขัดข้องกับกติกานี้หรือไม่"

ถ้อยคำนั้นถูกร้อยเรียงไว้เป็นอันดี ฟังผ่านๆ ก็พอฟังได้ แต่ฟังให้ดีมันเป็นการหยามหมิ่นกันอยู่ในที ตรงที่ว่าให้ประลองเฉพาะหมัดมวย คล้ายเป็นการปรามาสว่าคู่ต่อสู้ คือทรงธรรม คงจะมีฝีมืออยู่แค่นั้น

"กระผมไม่ขัดข้อง"

แต่คนหัวเดียวกระเทียมลีบที่สุดในเวลานี้ กลับตอบโต้เสียงดังฟังชัด

"เพียงแค่ มือเท้าไร้ตา หากกระทบกระทั่งก็ต้องขออภัย และด้วยว่าคุณหลวงนั้นเป็นผู้ชำนาญการต่อสู้ ประสาทสัมผัสคงจะว่องไว แต่เรื่องประสาทสัมผัสนั้นกระผมก็ไม่เป็นรองใคร จึงขอเสนอให้ใช้ผ้าปิดตาทั้งสองฝ่าย แล้วใช้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นในการประลอง แตะถูกฝ่ายตรงข้ามต้องหยุดทันที คุณหลวงจะเห็นดีด้วยหรือไม่"

ทรงธรรมอำพรางแผนการของตัวเองเอาไว้ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

"จะเป็นไรไป ไม่ว่าจะหลับตาลืมตา หรือใช้มือเดียว กระผมก็ยังมีโอกาสชนะ แต่ดูจะเป็นการดูถูกฝีมือคุณทรงธรรมจนเกินไป กระผมจะขอใช้สองมือนี้ต่อสู้แบบออมแรงก็แล้วกัน เชิญ!"

คุณหลวงชาตินักรบ ส่งเสียงเชิญห้าวหาญ ยืนรอท่าให้บ่าวมาผูกปิดตาอย่างสง่าผ่าเผย ส่วนทรงธรรมนั้นตอนแรกอุ่นเรือนจะเข้ามาผูกให้ด้วยตัวเอง แต่นายวงศ์รีบเข้ามาแทรกกลางเสียก่อน

อาการของอุ่นเรือนที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยทรงธรรมเสียเหลือเกินนั้น อยู่ในสายตาของแสงเพ็งตลอดเวลา จนเธอเริ่มลังเลว่า การช่วยเหลือชายหนุ่มให้สำเร็จผลในครั้งนี้ เป็นการถูกต้อง ตรงกับหัวใจของตนเองจริงๆ หรือไม่

แสงเพ็งไม่ปฏิเสธเลยว่ารู้สึกชื่นชอบชายหนุ่มมากขนาดไหน แม้นว่าเขาจะมีท่าทางไม่จริงจัง อีกทั้งจุดมุ่งหมายที่กระทำอยู่นี้ ยังไม่ใช่ทางที่ถูกที่ควร กับการจะใช้สตรีเป็นหนทางไต่เต้าในอาชีพการงาน แต่อย่างน้อย เขาก็เคยบอกแล้วว่า ไม่ได้คิดจะหลอกลวงผู้หญิงนั้นแต่อย่างไร

คิดสับสนไปมาอยู่จนผีสาวอื่นๆ ที่รอท่าต่างก็เพลินมอง เห็นทรงธรรมถูกกระทำไปสองสามหมัดแล้วก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เพราะแสงเพ็งผู้นำยังไม่ขยับเขยื้อน

คุณหลวงนักรบก็เก่งกาจจริงจัง ขนาดมีผ้าผูกตา ยังออกหมัดเตะถีบได้ไม่พลาดเป้า ขนาดทรงธรรมยืนนิ่ง ยังฟังหาตำแหน่งได้จากเสียงลมหายใจ ทั้งที่จริงแล้วการยอมให้ผูกตา ย่อมเป็นการตกหลุมที่ฝ่ายตรงข้ามพรางไว้ เพื่อให้ตัวช่วยทำงานได้เต็มที่

"โอม! ผีบ้านผีเรือน ผีสางนางไม้ โปรดช่วยลูกช้างด้วย"

จนทรงธรรมต้องรำพันออกมาดังๆ นั่นละ แสงเพ็งจึงตัดใจได้ว่า อย่างไรก็ต้องรักษาสัจวาจาเอาไว้ก่อน

แล้วชายหนุ่มผู้ตกเป็นเบี้ยล่างมาตั้งแต่แรก ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาประคองสองมือและสองเท้า คอยจับให้ขยับซ้ายขวาขึ้นลงเหมือนเชิดหุ่น พอรู้ตัวเช่นนั้น ก็ทำตัวเบาสบาย ตามแต่ว่าสิ่งที่ช่วยประคองมือเท้านั้นจะพาไปทางใด

ที่แท้แล้วคือสี่ผีสาวที่ช่วยอยู่ดังนั้น ขณะที่เจ้าหลงไปคอยดักรับมือเท้าของหลวงสมุทรไม่ให้กระทบถูกตัวของทรงธรรม

พอคุณหลวงรู้สึกปล่อยหมัดเท้าไปกระทบ ก็เข้าใจว่าถูกเข้ากับเป้าหมาย จึงยั้งมือเท้าไว้ตามกติกา โดยหารู้ไม่ว่า ไม่เคยจะแตะโดนตัวของทรงธรรมอีกเลยตั้งแต่นาทีนั้น

หลวงสมุทรยิ่งงงหนัก เมื่อถูกตอบโต้ชัดๆ อีกหลายครั้ง ครั้นจะโวยวายว่าฝ่ายตรงข้ามอาจใช้กลโกงถอดผ้าผูกตา การโจมตีจึงแม่นยำนัก ก็นึกได้ว่าผู้คนรอบข้างออกมากมาย การต่อสู้ครั้งนี้ย่อมมีสักขีพยาน หากโผงผางออกไป อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี

ทรงธรรมจึงปล่อยหมัดมือเท้าอย่างสนุกสนาน เพราะการทั้งหมดเพียงแค่ปล่อยตัวให้เคลื่อนตามแรงดึงดันของเหล่าผีสาวทั้งหลาย

ความแม่นยำเหมือนจับวาง ที่ตอนแรกที่ทรงธรรมโดนกระทำก็ไม่มีใครร้องเรียนว่าเหตุไรไม่หยุดมือ ทำให้เมื่อเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงไม่มีใครกล้าห้ามปราม

คุณหลวงรู้สึกว่าเหมือนถูกโกง ราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามถอดผ้าผูกตามาสู้เสียนานแล้ว พอถึงจุดที่สุดจะทน เลยมีอันต้องถลกผ้าผูกตาลงดู ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่

แล้วอุ่นเรือนก็เฮลั่น

"แพ้แล้ว คุณหลวงธำรงแพ้แล้วนะคะเจ้าคุณพ่อ คุณหลวงเล่นไม่ซื่อ ดึงผ้าผูกตาออกก่อน"

พูดจบก็ถลามาทางทรงธรรม จนผีสาวหลบแทบไม่ทัน อุ่นเรือนเข้ามากอดชายหนุ่มอย่างไม่เกรงสายตาใครเลยทั้งสิ้น

"หนุ่มสาวรักกันปานฉะนี้ กระผมต้องขออภัยที่เข้าใจผิด ขอลาละครับท่านเจ้าคุณ"

หลวงสมุทรขจรฤทธิ์ก็เห็นภาพตรงหน้าอยู่ชัดแจ้ง จึงได้รู้ว่าธิดาเจ้าคุณอเนกคุณากรนั้น รักใคร่อยู่กับเจ้าหนุ่มนี่เป็นแน่แท้ ซ้ำยังกล้าหาญถูกเนื้อต้องตัวแนบชิดขนาดนี้ ต่อให้เจ้าคุณขอให้ประลองใหม่ เขาก็ไม่คิดอยากจะได้นางมาเป็นภรรยาอีกแล้ว

ตอนที่อุ่นเรือนเข้ามาแสดงความยินดีกับทรงธรรมนี้ แสงเพ็งก็เห็นอยู่กับตา ได้แต่นึกปลงใจไปว่า ตนเป็นแค่ภูตผี อยู่คนละภพภูมิ ไหนเลยจะมีโอกาสจะลงเอยอย่างนั้นได้

ผีสาวจึงได้แต่มองภาพของหนุ่มสาว ด้วยความรู้สึกที่เศร้าลึกๆ อยู่ในหัวใจ




ชัยชนะในครั้งนี้ ทำให้ทรงธรรมลิงโลดจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะต่อแต่นี้เจ้าคุณอเนกคุณากร ก็จะหมดข้ออ้างในการกีดกัน เรื่องระหว่างตนกับอุ่นเรือนอีกต่อไป

ขากลับผ่านย่านบ้านเรือนร้านตลาด ก็แทบป่าวประกาศให้รู้ทั่ว ว่าข้านี่ละเหวย ว่าที่ลูกเขยของเจ้าคุณอเนกคุณากร พระยาผู้ดีเก่าเหง้าผู้ดี มีบ้านเรือนใหญ่โต สายสกุลก็กว้างขวาง ที่สำคัญคือชนะทั้งฝีมือและเชาว์ปัญญามาได้ทั้งสองด่าน

ยังดีที่อีกใจยังต้องคอยปรามตัวเอง จนได้เข้าพิธีวิวาห์กันแล้วค่อยดีใจให้เต็มที่ ก็ยังไม่สาย

คิดได้ดังนั้น พอปลอดผู้คนลงอีกนิด จึงคว้าร่มคันของแสงเพ็งออกมากาง ให้เธอได้ออกมาเดินชมนกชมไม้อย่างที่เคยบอกกันไว้

"เกือบลืมผู้มีอุปการะคุณเสียแล้วสิเรา"

คำนั้นยังมีแววรื่นเริงอยู่เต็มพิกัด

พอแสงเพ็งได้ออกมาอีกครั้งก็ยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นกระทบนัยน์ตาเขาอย่างจัง มันชวนให้หัวใจยิ่งเบิกบานมากขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า

"ดีที่ได้แม่แสงช่วยนะงานนี้"

เขากล่าวขอบคุณ ส่งยิ้มกลับคืนให้อย่างเก้อๆ ใจเต้นตึกๆ อย่างไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้อย่างไร

"แม่แสงบอกมาได้เลยนะ อยากกินอะไร อยากได้อะไร"

ทรงธรรมยกคิ้วให้ทีหนึ่ง ตั้งใจจะเลี้ยงบรรดาผีๆ ให้เต็มที่ เพราะเจ้าคุณให้เงินรางวัลในการชนะประลองมาด้วย

"ดีฉันน่ะ อะไรก็ได้ แต่เรากลับไปหาคุณแสกันก่อนเถอะ ถ้าคุณแสไม่อนุญาตพวกดีฉันก็ไม่ได้ออกมาสนุก เปิดหูเปิดตากันอย่างนี้"

แววตาเป็นประกายของชายหนุ่มที่ส่งมานั่น บอกความผาสุกอยู่เต็มเปี่ยม หน้าต่างของดวงใจที่เปิดเผย รอให้เธอมองลึกเข้าไปนี้ ทำให้แสงเพ็งต้องหลบสายตาอย่างเขินอาย

"ได้เลย ถ้าอย่างนั้น จะส่งแม่แสงกับเพื่อนกลับบ้านก่อนก็แล้วกัน"

คำตอบนั่นทำให้เธอต้องเงยขึ้นมามองอีกครั้ง

ส่งสายตาเป็นคำถามและตัดพ้อระคนกัน

"แล้ว... พี่ธรรม์จะไปไหนอีกงั้นหรือคะ"

"แม่แสงไม่น่าลืม เมื่อกี้ตาเฒ่าเจ้าคุณนั่นบอกว่า เย็นนี้ให้ไปกินข้าวที่เรือนแม่อุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกปากชวนเลยนะ"

ทรงธรรมยังตามความรู้สึกของผีสาวไม่ทัน เลยบอกเหตุผลสำคัญ ที่จะไม่ได้อยู่ร่วมฉลองชัยชนะด้วยกัน ทำให้แสงเพ็งหน้าเศร้าไปจนเห็นได้ชัด

"เขาจะหลอกไปต้มยำทำแกงอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้"

เธอพูดเสียงอ่อย ยังไม่กล้าหรอกที่จะทัดทาน หรือออกอาการเป็นห่วงเป็นใย ให้มากไปกว่านี้

"เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ต้องพูดคำไหนคำนั้น จะว่าไป ถ้าไม่ได้พวกแม่แสงช่วย ก็ไม่รู้จะชนะเขาได้ยังไร นึกแล้วยังสนุกไม่หายเลยนะนี่"

พอจับอาการของผีสาวได้ ทรงธรรมเลยเปลี่ยนเรื่องพูด

"เอาน่า! กลับมาแล้ว จะอยู่เป็นเพื่อนแม่แสงทั้งคืนเลย ดีหรือไม่"

"ก็แล้วแต่พี่ธรรม์เถอะ ฉันจะไปมีปากเสียงกระไรได้เล่า"

แสงเพ็งพูดงอนๆ แย่งร่มมาถือไว้เสียเอง แล้วยังทำท่าว่าจะเดินกลับเองอีกด้วย แต่แค่สองสามก้าวก็หยุดรอ เพราะยังห่วงว่าชายหนุ่มจะตกเป็นเป้าสายตา ที่อยู่ๆ ก็มีร่มลอยนำหน้า

ทรงธรรมรีบเดินมาใกล้ พอจะเดาความคิดของผีสาวได้ก็เอ่ยชื่นชมออกมาตรงๆ อีกครั้ง

"นี่ถ้าแม่อุ่น นิสัยน่ารักได้สักครึ่งของแม่แสง พี่จะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก..."

แสงเพ็งอายแทบม้วน รู้สึกเหมือนใจเต้นตึกๆ ใบหน้าร้อนผ่าว ทั้งที่ก็รู้ว่าตนเป็นแค่ดวงวิญญาณ ปราศจากเลือดและเนื้อ

"แต่... ดีฉันก็... อดอิจฉาคุณอุ่นเรือนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ"

ตอนพูดคำนี้เบาๆ ยังหันหน้าหนีเสียจากรอยยิ้มหวานๆ ของทรงธรรมอีกด้วย

ชายหนุ่มต้องอ้อมมาหา ท่าทางแปลกใจจริงๆ

"แม่แสงว่ากระไรนะ ฟังไม่ถนัด"

"ไม่มีอะไรหรอก รีบไปกันเถอะ ป่านนี้คุณแสคงรอแย่แล้ว"

ทรงธรรมระบายลมหายใจอย่างโล่งอก กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะทำให้ผีสาวไม่สบายใจ ในตอนนี้เขาบอกตัวเองไม่ถูก ว่าทำไมถึงรู้สึกกลัวไปเช่นนั้น

"งั้นก็ดี ส่งร่มมาก่อนสิ ประเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหาว่าพี่เล่นปาหี่ขายยา"




แสงสุดท้ายเพิ่งลับจากปลายขอบฟ้า ก้าวแรกของราตรีกาลค่อยผ่านเข้ามาอย่างเงียบงัน แมลงกลางคืนราวกลับลืมกรีดเสียง หรือว่าจะเป็นเพราะใจของแสงเพ็งก็สุดรู้ ที่หม่นเศร้าอยู่ตั้งแต่เขาขอตัวไป จึงทำให้สิ่งรอบตัวพลอยเงียบเหงา

ผีสาวสู้อุตส่าห์มาดักรอ หลังจากที่ทรงธรรมส่งถึงบ้านแล้วก็บอกว่ามีธุระสำคัญ

จนเย็นย่ำเขาถึงกลับมา พร้อมหอบข้าวของพะรุงพะรัง จัดแจงตั้งโต๊ะเรียงจานชาม บรรจุขนมนมเนยสารพัด อีกทั้งผลไม้นานา ยังของคาวประดามี ทั้งกุ้งพล่าปลายำ เป็ดไก่และเนื้อหมู ล้วนจัดมาวางตั้งเรียงไว้เพียบพร้อม ก่อนจะจุดธูปหอมดอกใหญ่ อัญเชิญดวงวิญญาณทั้งหลายที่สถิตอยู่ประจำบ้าน ให้ออกมารับเครื่องเซ่นไหว้บัดพลีโดยพร้อมเพรียง

ตลอดการนั้น เขาไม่ได้เรียกหาแสงเพ็งเป็นพิเศษเลยสักนิด ทั้งที่เธอตั้งตารอ ขอแค่เพียงว่าจิตเขาประหวัดนึกถึง ก็จะรีบปรากฏกายไปแกล้งหลอกให้ตกใจเล่น

แต่นี่เขากลับเรียกรวมๆ ซ้ำยังไม่อยู่รอให้เห็นหน้า รีบบอกกับดินกับฟ้าว่ายังมีเรื่องสำคัญต้องกระทำ

ทำไมแสงเพ็งจะเดาไม่ออก ว่าเขาต้องรีบไปตามนัด ตามคำเชิญของเจ้าคุณผู้ใหญ่ ที่คงจะจัดเลี้ยง ฉลองว่าที่ลูกเขยอย่างเอิกเกริก

กระทั่งในตอนนี้ ที่บรรดาผีๆ ต่างเริงรื่น ถูกอกถูกใจกับของเซ่นไหว้สารพัด แสงเพ็งก็ยังนิ่งดูดาย นั่งเหม่อลอย คอยฟังแต่ความเงียบเหงาของรัตติกาล

คุณแสก็พลอยสนุก พลอยตื่นเต้นยินดีไปกับพวกผีบริวาร ซึ่งบัดนี้กำลังสนุกสนาน กับธูปหอมเทียนเกลียว ที่จุดจรุงฟุ้งกลิ่น สื่อส่งให้พวกตนได้เสพรสเครื่องบวงพลีกันได้อย่างเต็มที่

อีกเป็นนานกว่าที่คุณแสจะสังเกตเห็น ว่าแสงเพ็งนั้นเงียบซึมลงไป

"แสงเพ็งเป็นอะไร ทำไมดูหงอยๆ ไปเล่าผกา"

คุณแสถามกับดวงวิญญาณที่อยู่ใกล้ตัว

"ไม่รู้ซีเจ้าคะ แต่คุณแสเจ้าขา วันนี้น่ะสนุกจริงๆ เราช่วยคุณทรงธรรมปราบพวกนั้นเสียอยู่หมัด ก็แม่แสงเพ็งนั่นละเจ้าค่ะ ที่นำขบวน เก่งๆ จริงๆ เลยนะเจ้าคะ"

ผกากำลังสนุก จึงแค่ตอบอย่างขอไปที แล้วก็เลยเล่าเรื่องอื่นๆ ต่อไป

"นั่นซี แล้วทำไมแม่แสงถึงดูหงอยๆ เหงาๆ อย่างนั้น"

จนคุณแสต้องถามซ้ำ ตาก็มองไปทางผีสาว ที่นั่งเงียบอยู่ในมุมไกลเพียงลำพัง

"ก็... ไม่รู้ซี..."

"โธ่เอ๋ย! นังผกา มัวอ้ำอึ้งอยู่ได้ อิฉันจะบอกให้ก็ได้เจ้าค่ะ..."

เป็นผีกระถินที่เข้ามารับอาสาตอบคำถาม

"...ก็เพราะคุณอุ่นเรือนยังไรเจ้าคะ"

"ยังไร เกิดอะไรขึ้น บอกข้ามาซิ!"

คุณแสนั้นเป็นห่วงแสงเพ็งยิ่งนัก เพราะเป็นผีใหม่ จิตใจยังบริสุทธิ์ ตั้งแต่ที่เธอเร่ร่อนจนหลงเข้ามาถึงนี้ นางก็รีบรับให้อยู่ด้วย ด้วยเกรงกว่าหากเตลิดระหกระเหินไปอีก เหล่าผีร้ายจะรังควานเอาง่ายๆ

พอกระถินทำท่าว่าจะได้หน้ากับเรื่องนี้ ผกาเลยต้องทำเป็นรู้ดีขึ้นมาบ้าง

"เรื่องนั้นข้าก็รู้..."

ผการีบเลื่อนตัวมาบังผีกระถินเอาไว้

"...ก็แสงเพ็งน่ะ พอเห็นคุณอุ่นเรือนใกล้ชิดกับคุณทรงธรรม แม่แสงก็อารมณ์เสียเสียมากมายเลยละเจ้าค่ะ"

"ใช่ๆ อิฉันก็เห็นเหมือนกัน จริงไหมพวกเรา"

กระถินมุดหน้าผ่านร่างของผกาแทรกเข้ามา เป็นการเสนอหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุด จนผีที่เหลือพากันเข้ามารุมล้อม แต่ละตนก็พยักเพยิดสนับสนุนเรื่องนี้กันจริงจัง

คุณแสพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แล้ว ก็เลยผละจากทั้งกลุ่ม ขยับเข้าไปหาแสงเพ็งที่นั่งเหม่อมองจันทร์เสี้ยวอยู่เงียบๆ

"แม่แสง... แม่แสง..."

ถูกเรียกซ้ำสองแล้วก็ยังไม่ได้ยิน

"แสงเพ็ง!"

คุณแสต้องเร่งเสียงพร้อมสะกิด นั่นละผีสาวจึงได้หันมา แต่ก็ยังแลดูเลื่อนลอยอยู่เต็มที

"คะ...เจ้าคะคุณแส"

แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่มีจริตแจ่มใสดั่งเคย

"พวกเรานั้นจัดเป็นสัมภเวสี ติดอยู่ระหว่างภพภูมิ แค่นี้ก็นับว่าไม่เป็นผลดี หากแม่แสงยังเหม่อลอยเช่นคนขวัญหายอยู่อย่างนี้ จะยิ่งลำบาก"

คุณแสเตือนด้วยความหวังดีอย่างยิ่ง พยายามอ่านแววหม่นเศร้าในดวงหน้าของผีสาว ว่าคงไม่เกิดอาการอย่างที่ตนกังวลไว้จริงๆ

แสงเพ็งก็เหมือนจะรู้ทันความคิดของคุณผีผู้ใหญ่ เลยรีบปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้แช่มชื่นขึ้นบ้าง

"แหม... วันนี้คุณแสพูดแปลกๆ ดีฉันไม่ค่อยจะเข้าใจ"

คนฟังรู้ดีว่าจะพูดจากันตรงนี้คงไม่ถนัดปาก จึงชวนให้ผีสาวเลี่ยงออกมาทางสวนด้านหลัง ค่อยพูดเท้าความถึงอุปนิสัยใจคออันร่าเริงแจ่มใสของผีสาว

"แต่ก่อน แม่แสงน่ะเป็นหัวโจก ทำให้ข้าน่ะแทบเสียการปกครอง แต่ก็นับเป็นการเพิ่มชีวิตชีวาให้กับแม่พวกนั้นไม่ใช่น้อย จำได้หรือไม่ เวลามีอะไร แม่แสงก็จะนำไปก่อนเสมอ จนพวกนั้นต้องยอมเป็นลูกไล่ เพราะอยากได้เล่นอะไรสนุกแปลกๆ ใหม่ๆ"

แสงเพ็งปล่อยให้คุณแสจูงให้เดินเรื่อยไป ไม่ได้มีทีท่าว่าจะนึกสนุกกระทั่งการแกล้งถกเถียง ให้คนที่กำลังพูดโมโหเล่น

"แต่พอกลับมาจากข้างนอก แม่แสงก็เงียบขรึมลงไป..."

เมื่อเห็นว่าผีสาวยังเหม่อลอย คุณแสจึงหยุด จับให้แสงเพ็งหันหน้ามามองกันตรงๆ

"ดีฉันก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ว่าอันไหนคือตัวเองกันแน่ เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกหรือคะคุณแส... เอ..."

แล้วแสงเพ็งก็ทำท่าเหมือนคนที่ยังมีชีวิต กำลังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ท่าทางกลัดกลุ้มไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

"เป็นเพราะไอ้เจ้าทรงธรรม หรือแม่อุ่นเรือนกันเล่า"

คุณแสเริ่มคาดคั้น ทำให้ผีสาวที่พยายามหลบตา ต้องกลับมามองหน้าคนพูดจริงๆ

"คุณแสรู้ได้ยังไร ต้องเป็นพวกผกา หรือไม่ก็มาลี บุปผา กระถิน หรือไม่ก็เจ้าหลง"

"แล้วจะบอกข้าได้หรือไม่เล่า ว่าแม่พวกนั้นพูดจริงหรือไม่"

พอถูกถามกลับ แสงเพ็งเลยยิ่งมีท่าทีละเหี่ยใจเข้าไปใหญ่ ทำท่าคล้ายมนุษย์กำลังถอนหายใจอีกครั้ง คราวนี้เลื่อนตัวเองมายืนมองท้องน้ำยามค่ำอยู่ตรงชายเขื่อน

"กระทั่งตัวดีฉันเอง ยังไม่รู้ตัวของตัวเองเลยเจ้าค่ะคุณแส ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง"

"มันเป็นยังไรเล่า"

"ก็... เวลาเห็นคุณอุ่นเรือนอยู่กับพี่ธรรม์ ก็... ดีฉันก็รู้สึกแย่มากๆ เลยเทียว"

แสงเพ็ญพูดออกมาด้วยความไร้เดียงสา ไม่รู้จริงๆ ว่าความรู้สึกแบบนั้นเรียกว่าอะไร

แต่คุณแสนั้นรู้แน่ และภาวนาขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง

"แม่แสง แม่แสงมีความรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร"

คำถามนั้น คล้ายอยากจะย้ำให้แน่ใจ

"ก็เพิ่งวันนี้ละเจ้าค่ะ"

"แล้ว... เวลาที่แม่แสงอยู่กับพ่อทรงธรรม... ใจของแม่แสงรู้สึกยังไร"

กับคำถามนี้ แสงเพ็งถึงกับอมยิ้ม ยังจำได้ดีตอนที่ขอแวะมานั่งตรงนี้เมื่อตอนกลางวัน ทั้งที่เขาเร่งรีบขนาดนั้นยังยอมตาม แสดงว่าก็เป็นคนมีจิตใจดีไม่น้อย พอนึกถึงตรงที่เขารีบคว้ามือหลบให้พ้นแสง แล้วเป่าเบาๆ ตรงรอยแผล คล้ายกำลังปลอบเด็กหญิงตัวเล็กๆ คิดมาถึงตรงนี้ แสงเพ็งได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะตอบคำ

"ก็... ไม่รู้ซีเจ้าคะ"

ได้ฟังถึงดังนี้ คุณแสยังไม่อยากจะปักใจ จึงต้องลองถามดูตรงๆ

"แม่แสง แม่แสงรู้จักความรักหรือไม่ ว่ามันเป็นเช่นกระไร"

พอผีสาวส่งยิ้มกลับมาแทนคำตอบ ก็ให้นึกโมโหนัก

"ไอ้หนุ่มคนนี้ ข้าไล่มันไปเสียตั้งแต่แรกก็ดีหรอก"

"ทำไมต้องไล่เขาไปด้วยล่ะเจ้าคะ"

แสงเพ็งถามซื่อๆ

จนคุณแสไม่รู้จะหาคำพูดอย่างไรมาอธิบาย ก็พอดีกับที่ทรงธรรมเดินตามออกมาจากเรือนตึก

"คุณแส แม่แสง แอบมานั่งคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้"

ทรงธรรมยิ้มแย้มทักทายเป็นอันดี ไม่รู้เลยว่าผีสาวทั้งสองกำลังคุยเคร่งเครียดในเรื่องใด

"พี่ธรรม์ทำไมกลับเร็ว ไม่ได้ไปที่เรือนไทยโน้นหรือจ๊ะ"

ดูเหมือนแสงเพ็งจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ซึ่งนั่นช่างขัดดูขัดตาคุณแสนัก

"จะไปทำไมกันเล่า เผื่อเขาลวงไปฆ่าอย่างที่แม่แสงบอก แล้วจะมีใครคอยพาแม่แสง กับคุณแส กับบรรดาพี่ๆ ผีๆ ทั้งหลายออกไปเที่ยวสนุกกันเล่า"

เห็นอาการของแสงเพ็งที่มีต่อถ้อยคำของชายหนุ่มแล้ว คุณแสก็ยิ่งกังวลหนัก ได้แต่นิ่งอยู่จนทรงธรรมต้องชวนขึ้นอีก

"พี่ไปซื้อของมาเพิ่ม มีข้าวแช่กับสาโทมาด้วยนา มาเร็วๆ ไปสนุกกัน"

ว่าแล้วก็หันกลับ เดินหน้าไปสองสามก้าวจึงค่อยรู้สึกผิดปกติ เพราะคุณแสยังไม่ได้เคลื่อนตัวตามมา

"อ้าว! คุณแสขอรับ ทำไมยืนหน้าซีดตัวซีดอยู่อย่างนี้ หรือว่าจะเป็นลมเป็นแล้ง"

ทรงธรรมแกล้งทัก หวังจะเรียกความสนุกกลับคืนมาให้จงได้

"อยู่ชายคลองนี้ลมแรง น้ำค้างก็ลง เดี๋ยวจะไม่สบาย"

"มาเถอะเจ้าค่ะคุณแส อยู่ตรงนี้ก็จะเหงาไปเปล่าๆ"

แสงเพ็งช่วยชวนซ้ำ แล้วพลอยฉุดดึงให้คุณแสตามตนเองเข้ามา

ใจของคุณแสนั้นไม่สบายเลย นึกเป็นห่วงนักหนา กับท่าทีกิริยาเช่นนั้นของแสงเพ็ง ที่ว่าอยู่ลับตาเขาแล้วก็หงอยเหงา พอเขามาใกล้ก็สุขีรื่นเริง

พอทั้งหมดกลับมาถึงตรงโต๊ะใหญ่หน้าเรือน ก็เห็นว่าบรรดาผีสาวผีเด็ก กำลังรุมล้อมรับทาน ของที่ทรงธรรมหามาเพิ่มเติมอย่างสนุกสนาน

เจ้าหลงทำท่าเหมือนถ่มอะไรออกมา แล้วก็แสดงสีหน้าพะอืดพะอม

"นั่นมันสาโท เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าริอ่านดื่มสุรายาเมา"

ชายหนุ่มเข้าใจได้ทันที รีบเดินเข้าไปลูบหัวหูพร้อมแกล้งตักเตือน ก่อนจะหันมาหาแสงเพ็งอีกครั้ง

"แม่แสงรู้ไหม ทำไมพี่ต้องย้อนกลับไปที่ตลาด"

ทรงธรรมไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ว่าใช้คำเรียกแทนตัวเองว่า "พี่" กับแสงเพ็งตั้งแต่เมื่อไร

"นี่ยังไร พี่มีของมาให้แม่แสงโดยเฉพาะ"

ว่าแล้วเขาก็หยิบห่อผ้าที่วางอยู่ข้างเชิงเทียนมายื่นให้

ผีทุกตนต่างมารุมดู อยากรู้ว่าของขวัญพิเศษนั้นคืออะไร

"ผ้านุ่งกับผ้าห่ม เป็นผ้าแพรพิมพ์ลายอย่างเทศ เพิ่งตกมาถึงเมื่อเช้านี้เอง"

พอเปิดห่อผ้าออกทรงธรรมก็รีบแนะนำสิ่งของภายใน

"ตอนแรกอยากจะซื้อเสื้อที่มีคอมีแขน มีลูกไม้พะรุงพะรังอย่างที่ชาวรั้วชาววังเขากำลังเห่อ แต่แม่แสงผิวพรรณผ่องใสขนาดนี้ นุ่งห่มอย่างไทยนี่ละงามนัก"

เขาคลี่ผ้าทั้งสองผืนออกให้ทุกตนได้ชื่นชม ผืนนุ่งเป็นผ้าโจงสีม่วงเข้ม เขียนลายอย่างแต้มทอง เป็นริ้วเป็นดอกสอดสานกันละเอียดยิบ ส่วนผืนห่มเป็นแพรจีนเนื้อนุ่ม ทอสอดเส้นทองเป็นลายพระจันทรแฝงเมฆารูปเล็กๆ ประดับกระจายอยู่บนผืนผ้าสีเขียวโศก

"พี่ธรรม์ซื้อมาให้ดีฉันจริงๆ หรือเจ้าคะ"

แสงเพ็งดีใจแทบเต้น

"จริงซี ไว้วันหน้าก็จะซื้อมาเผื่อพี่ๆ คนอื่นๆ อีกด้วย"

"ซื้อมาก็เท่านั้น ของของมนุษย์เราจะสวมใส่ใช้สอยได้ยังไร"

คุณแสถามเสียงเรียบ การกระทำเช่นนี้ของชายหนุ่ม ทำให้กังวลเกี่ยวกับเรื่องราวของความรักข้ามภพมากยิ่งขึ้น

"คุณแสวางใจเถิดขอรับ เรื่องนั้นกระผมแวะไปถามไอ้หมอเกตุ เขาบอกแล้วว่าต้องทำยังไร"

บรรดาผีสาวต่างจับตามองด้วยความสงสัย ที่เมื่อเขาพูดจบ ก็หันไปคว้าอ่างกระเบื้องมาใบหนึ่ง ตั้งลงตรงหน้าโต๊ะตัวใหญ่นั่นเอง แล้วก็เริ่มจุดไฟเผาทั้งผ้านุ่งผ้าห่มทิ้งลงไป

ผีประจำเรือนตึกต่างทำท่าขนพองสยองเกล้า ด้วยว่าไม่เคยเห็นกรรมวิธีอุทิศส่วนกุศลเช่นนี้มาก่อน จึงพากันจับตามมองแพรพรรณที่กำลังมอดไหม้ด้วยความเสียดมเสียดาย

ทรงธรรมนั่งลงยกมือประนมอยู่หน้าอ่าง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นถนัดตา อย่างที่ว่าไม่เคยมีใครได้เห็นเขาตั้งอกตั้งใจขนาดนี้มาก่อนเลย

อีกนานกว่าจะลืมตาจากการอธิษฐานภาวนาอะไรสักอย่าง และอีกนานกว่านั้น ที่เขานั่งรออยู่จนทั้งผ้านุ่งผ้าห่มล้วนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

นั่นละจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

ทุกตนมองตามสายตาของชายหนุ่ม ไปยังแสงเพ็งที่ยืนทำท่าทำทางเขินๆ อายๆ เงียบอยู่

"โอ้โห! ชุดใหม่พี่แสงเพ็งสวยสุดยอดไปเลย"

เจ้าหลงเป็นต้นเสียงขึ้นก่อน ก่อนที่ตนอื่นๆ จะส่งเสียงตามมาเป็นทำนองเดียวกัน

ทรงธรรมพิศมองผลงานของตนเองอย่างภาคภูมิใจ ผีสาวร่างอรชร ผิวพรรณผุดผาด ผ่องใสขึ้นอีกมากนักในผ้านุ่งผ้าห่มผืนใหม่ ท่าทีเขินอายนั้นก็ติดนัยน์ตานัก ดูอ่อนหวานละมุนละไมไปเสียทั้งสิ้น ยามเมื่อเธอเผลอมองสบตา เขายังรู้สึกว่าคมสายตาอันวาวหวานนั้น กำลังชำแรกลงสู่ส่วนลึกของหัวใจ

เสียงตบมือเฮละโล ดึงให้เขากลับมาจากการตกภวังค์ไปครู่หนึ่ง มีเสียงผีมาลีเรียกร้องให้จับระบำฉลองให้สมกับการความมีสุข แต่ทรงธรรมกลับเสนอความคิดที่ดีกว่านั้น

"ไปเที่ยวคุ้งป้อมพระสุเมรุกันดีกว่า วันนี้ได้ข่าวว่าวัดสังเวชเขามีงานฉลอง"

บรรดาผีสาวต่างดีใจกันยกใหญ่ ไม่มีใครปฏิเสธเลยสักคน แม้แต่คุณแสก็พยักส่ง และอาสาอยู่โยงเฝ้าเรือน

ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้าน ได้แต่มองตามทั้งกลุ่มจนลับริมรั้วออกไป ในใจก็ได้แต่รำพึงกับตัวเอง

"แสงเพ็งเอ๋ย ขืนเจ้ามาเป็นไปเช่นนี้ ต่อไปจะต้องไม่สุขสบายเหมือนเช่นเดิม"




งานฉลองศาลาของวัดสังเวชนั้นใหญ่โต แม้จะเป็นงานคืนเดียว แต่มีการออกร้านกันเอิกเกริก มีทั้งลิเกลำตัด ทั้งโขนและหนัง อีกทั้งยังมีหุ่นเชิดและหุ่นกระบอก ออกโรงไล่กันมาตลอดแนวริมคลอง

ผู้ชมก็นั่งดูกันอีกฟากของคลองบางลำภู ซึ่งคือลานหญ้าต่อจากบริเวณกำแพงป้อมพระสุเมรุนั่นเอง

ส่วนฝั่งป้อม ก็มีการละเล่นอีกสารพัน ทั้งญวณหก ทั้งโยคีไต่กระไดมีด หมอยาบ้านป่ายังเอางูเห่ามากัดกะพังพอนให้ดู รวมทั้งวงพนันชนไก่ กัดปลาและชกมวย ที่ผู้คนล้อมวงส่งเสียงต่อรองกันดังลั่น

ผีสาวพากันแวะดูนั่นนี่อย่างสนุก ด้วยว่าเป็นเวลากลางคืน อีกทั้งผู้คนยังมากมายจนไม่มีใครสนใจใคร เพลิดเพลินกันอยู่อีกเป็นนาน ทรงธรรมจึงพาทั้งกลุ่มอ้อมมาตรงหลังป้อมรบ ตรงนี้เป็นที่สงบ และสงัดเกินกว่าที่ใครจะกล้าหลบมาพรอดรัก

ไม่กี่อึดใจเสียงพลุไฟก็ดังสนั่น มันดังมาจากฟากหลังวัดด้านโน้น แล้วถูกจุดยิงติดต่อกันอีกนับไม่ถ้วน ส่งให้ท้องฟ้าสว่างเพริศพราว ระยิบเป็นเกล็ดดาวเกล็ดเพชร โปรยปรายอยู่ไม่ขาดสาย

บรรดาผีสาวต่างตื่นตา จ้องมองทุกแสงสีที่ปรากฏบนฟากฟ้า ไม่รู้นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้สนุกสนานเท่ากาลครั้งนี้

"ขอบใจพี่ธรรม์เหลือเกิน ให้ผ้านุ่งผ้าห่ม หาของกินดีๆ มาให้ แล้วยังพามาเที่ยวอีกด้วย"

แสงเพ็งสะกิดบอก ยิ้มแย้มสดใส แสงกระจ่างฟ้าช่วยสะท้อนนัยน์ตาที่เคยปราศจากแววให้วาววับ มันทำให้ชายหนุ่มพรึงเพริศไปได้เป็นอึดใจ นึกเลยไปถึงตอนที่ผีสาวตรงหน้ายังมีชีวิต ตอนนั้นนัยน์ตาของเธอคงเป็นที่ประโลมใจ ให้กับผู้ชายทั้งโลกที่ได้ยล

"แค่นี้น่ะไม่เท่าไรหรอก ที่เด็ดกว่านี้ยังมีอีกเยอะเลย นั่นยังไร"

ทรงธรรมไม่รู้จะชี้ไปทางไหนแน่ เพราะทางแม่น้ำ ก็เริ่มมีการจุดกระทงสาย ปล่อยลอยตามสายธาราเรียงกันไปไม่จบสิ้น ส่วนบนฟ้า โคมลอยก็ทยอยขึ้น ครู่เดียวแสงโคมก็ฟ่องฟ้า แลคล้ายเดือนดาวร้อยพัน ค่อยเคลื่อนคล้อยตามสายลม สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป เป็นสายธารดาว หรือดูอีกทีก็เป็นราวกับบันไดสวรรค์ เมื่อคราวพระพุทธองค์ เสด็จลงมาจากโลกทิพย์สถานนั้นเทียว

บรรดาผีสาวได้แต่ตะลึงลาน ถึงความงดงามของแสงสีนานา ทั้งท้องฟ้า ทั้งพื้นดิน ทั้งผืนน้ำ ขณะนี้ล้วนระยิบระยับพราวพราย ราวหลงมาอยู่ในท่ามกลางเมืองสวรรค์

ได้ยินเสียงปี่พาทย์บรรเลงเพลงส่งบทสักวา เหล่าผีสาวก็ได้ทีรำตาม จับหมู่เรียงฟ้อนอ่อนช้อยให้ได้ชม แสงเพ็งนึกสนุกตอนได้ยินเขาบอกบทเจ้าเงาะชมโฉม จึงชวนให้ทรงธรรมรำเอาอย่าง เลียนเป็นเจ้าเงาะกำลังรำล้อ รอว่าเมื่อไรนางแน่งน้อยรจนามารศรี จะเสี่ยงพวงมาลัยมาให้ตน

เพลิดเพลินกันอยู่ดังนี้อีกนาน จนเขาจะต้องลงนั่งพัก ปล่อยให้บรรดาผีๆ ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ได้เริงรื่นกันต่อไป

แสงเพ็งเห็นทรงธรรมปลีกตัวไปเป็นฝ่ายนั่งมอง จึงแยกตัวมานั่งลงเคียง ที่สุขนั้นแสนสุขอยู่แล้ว ยิ่งมาได้ใกล้ชิดกับเขาอย่างนี้ ความรู้สึกดีนั้นจึงยิ่งทวีคูณ

"พี่ธรรม์เหนื่อยแล้ว..."

"ไม่หรอก พี่แค่อยากนั่งพักสักหน่อย"

ต่างคนพูดกันไปก็ยิ้มแย้มให้กันไปด้วย

"วันนี้สนุกมากเลยนะคะ ถ้าวันหน้าเป็นอย่างนี้อีกก็คงจะดี"

"แม่แสงวางใจเถอะ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแน่ๆ"

เพราะทรงธรรมยื่นหน้ามาตอบคำจนใกล้เกิน ใกล้จนผีสาวต้องถอยหลบ เขาได้แต่ยิ้มตาม นึกเอ็นดูร่างนวลโสภาตรงหน้า ที่กำลังมีทีท่าระคางเขินนี่ขึ้นอีกมาก

"จริงๆ นะเจ้าคะ"

แสงเพ็งได้แต่ขอคำมั่น เป็นการแก้ความกระดากอายของตนเอง

"แน่นอน พี่รับรองว่า เราจะต้องมีความสุขกันอย่างนี้ตลอดไป"

ลมจากแม่เจ้าพระยาพัดเย็นรื่น น้ำค้างพรมละอองลงต้องผิว เดือนดาวกระจ่างแจ่ม ราวกำลังต้อนรับโคมลอยที่ลอยลิบ เสียงสรวลสันต์เริงรื่นแว่วมา พาให้ใจพลอยผาสุก สองหนุ่มสาวเผลอลืมเรื่องชาติภพภูมิอาศัย เปิดหัวใจรับห้วงเวลาอันมีค่านี้พร้อมกัน

ขากลับที่ต่างคนต่างอ่อนเพลีย ทรงธรรมพาบรรดาผีสาวทั้งกลุ่มลัดเลาะกลับมาตามทาง ผู้คนร่วมทางออกจะวางวายไปมากแล้ว ด้วยว่ากว่าจะผละจากงานก็ค่อนดึก

แต่คนหนึ่งเห็นไกลๆ ยังจำได้เพราะการแต่งเนื้อแต่งตัว ทำให้ทรงธรรมเกิดคิดสนุก ค่อยย่องเข้าไปหาคนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ข้างกำแพง ปลดทุกข์ปลดโศกจากฤทธิ์ที่คงดื่มเข้าไปหลายขนาน

"หมอเกตุ!"

คนทักกระตุกเสียง พร้อมตะบปปับที่ต้นคอ

หมอผีหนุ่มสะดุ้งโหยง หันมาทั้งที่ยังไม่สุดดี ปากก็ร้องว่า

"ผี ผี ผีหลอกอีกแล้ว!"

"ผีที่ไหนนี่ข้าเอง ทรงธรรม"

คนจะแกล้ง เห็นอีกฝ่ายตกใจจริงจึงรีบปลอบ แต่อึดใจต่อมาก็อดไม่ได้ที่จะต่อคำ

"แต่... นี่เอ็งเห็นจริงๆ รึ ว่าข้ามากับผี"

"จริงเรอะ! ตายๆ ตายๆ กลางค่ำกลางคืน กลางถนนรนแคม ยังจะตามมาหลอกมาหลอน!"

หมอเกตุรำพันยืดยาว จะวิ่งหนีเสียให้ได้ ทำให้ทรงธรรมต้องรั้งเอาไว้ทั้งตัว

"จะกลัวอะไร ก็เอ็งเป็นคนช่วยให้พวกนางออกไปเที่ยวเล่นได้ตอนกลางวัน เขาไม่ทำอะไรเอ็งหรอกน่ะ"

ทรงธรรมพยายามอธิบาย แต่คนถูกบังคับแขนขาเอาไว้ยังดิ้นรน

"ตกลงมีผีตามมาจริงๆ น่ะรึพี่ธรรม์"

"เออสิ มาเที่ยวงานวัดสังเวชไงเล่า"

พอเขาปล่อยมือ หมอเกตุก็ดูเหมือนค่อยตั้งสติได้

"อย่ามาอำกันหน่อยเลยน่า กลางค่ำกลางคืน ใครเขาให้พูดเรื่องผีๆ สางๆ"

แล้วอยู่ๆ ไหสุราที่วางพักไว้ก่อนจะถ่ายธุระเบา ก็ลอยขึ้น ราวกับมีใครช่วยยกขึ้นมาใส่มือให้เจ้าของ

"เอ... เก่งนี่พี่ธรรม์ เล่นกลก็เป็น"

เพราะเมาอยู่มากนั่นเอง ที่ทำให้ความกล้าๆ กลัวๆ สลับกันไปมาได้อย่างน่าแปลก

ทั้งที่เป็นเจ้าหลงแกล้งหยิบส่งให้ ก็คิดแค่ว่าตัวเองคงหูพร่าตาลาย ถือไว้ตั้งแต่แรกแล้วทำเป็นลืมเสียมากกว่า

"เอ็งนี่มันยังไง ตอนแรกข้าบอกไม่มีผีเอ็งบอกว่ามี ตอนนี้ข้าพาผีมาอยู่ต่อหน้าเป็นโขยง เอ็งกลับไม่เชื่อ"

"ยังไงก็ไม่เชื่อ ถ้ามีจริงก็ช่วยโผล่มาให้ดูหน่อยซิ"

อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างตอนแรก ความกล้าจึงพุ่งขึ้นถึงขนาดท้าทายไปดังนั้น ทำให้ทรงธรรมต้องหันไปหาบรรดาผีสาว เห็นยืนยิ้มๆ กันอยู่ก็รู้ว่า เพราะบรรดาผีสาวไม่กล้ายอมให้หมอเกตุเห็นตัวนั่นเอง

"สักคนไม่ได้หรือ ให้เขาเห็นสักหน่อยจะได้เชื่อ"

คราวนี้ทุกตนเสนอตัวกันเป็นพัลวัล มีแต่แสงเพ็งเท่านั้น ที่ไม่ค่อยสนุกกับการนี้

"กระผม กระผมขอรับ"

"เจ้าหลง อย่าก่อเรื่องเลยน่ะ นี่มันนอกเขตเรือนของเรา ไม่รู้จะมีผู้มีฤทธิ์ท่านใดผ่านไปผ่านมาบ้าง"

แสงเพ็งต้องปราม ที่กลัวนักก็คือยมทูต ที่อาจกำลังตระเวณราตรี เพื่อทำหน้าที่ล่าดวงวิญญาณ

"วางใจเถอะพี่แสง นะขอรับ"

ผีเด็กชายอ้อน แล้วก็ย่างสามขุมเข้าหาหมอเกตุอาคมที่ยังยืนโงนเงนรอท่า

แล้วเจ้าหลงก็แกล้งกระชากไหสุรานั้นให้หลุดจากตัว แกล้งดึงประคำที่คล้องให้หมอผีต้องก้มตาม แล้วก็กลับตวัดประคำนั้นขึ้น ให้ฟาดหน้าเจ้าของแบบพอให้เจ็บๆ

"เฮ้ย! พี่ธรรม์ทำอะไร หรือว่า... ผีเรอะ พี่ธรรมพ์มากับผีจริงๆ เรอะนี่"

หมอเกตุชักสร่าง ความกลัวแทรกเข้ามาในความรู้สึกจนลนลานไปหมด ถึงกับผวาเข้ากอดทรงธรรมไว้แน่น ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวจับจิต

"แล้วเชื่อหรือยังเล่า"

ทรงธรรมแกล้งถาม

"เชื่อสิ เชื่อแล้วละ"

หมอเกตุอาคมปากคอสั่น

บรรดาผีๆ ที่เห็นอาการอกสั่นขวัญหาย ของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นหมอผี ก็ยิ่งนึกสนุก

"ให้ข้าแกล้งเขามั่งได้ไหม"

ผีกระถินคันไม้คันมือขึ้นมาบ้าง

"อย่าเลย เขาเป็นเพื่อนกับพี่ธรรม์..."

แสงเพ็งต้องห้ามซ้ำ ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มทั้งสอง

"พี่ธรรม์ ฝากบอกหมอเกตุด้วย ว่าพวกเราขอโทษที่ทำให้กลัว"

ทรงธรรมทำตามที่ผีสาวบอกทันที แต่หมอเกตุอาคมกลับรีบปฏิเสธทั้งที่ปากคอยังสั่นอยู่ไม่วาย

"ไม่ต้องๆ ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไร ขอแค่วันหน้าไม่ต้องหลอกหลอนกันอีก ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง"



********************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มี.ค. 2555, 15:45:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มี.ค. 2555, 15:45:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1386





<< บทที่ ๐๘   บทที่ ๑๐ >>
timeyu 12 มี.ค. 2555, 17:46:51 น.
ตอนนี้ทรงธรรม น่ารักมากๆ


pseudolife 25 มี.ค. 2555, 10:14:50 น.
ทำไมรู้สึกว่าแสงเพ็งเป็นลูกสาวบ้านที่สลบไป


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account