ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐




แสงทองเรื่อจับฟ้า ที่จริงคือเวลาที่ผู้คนทั่วไป ผ่านกาลนิทรารมณ์ไปแล้วอย่างเต็มตื่น แต่กับภูตผีและผู้คนใน “บ้านอเนกคุณากร” เวลาเข้านอนเพิ่งมาเยือน ในเวลาอย่างนี้ผู้ที่ค่อนข้างเดือดร้อน เพราะเวลานอนมามีอันต้องกลับตาลปัตร ก็คือทรงธรรม

แสงเช้าลอดช่องลมเข้ามา ทำให้ทั้งห้องมืดมิดไม่ได้ดั่งใจ กับทั้งความรู้สึกบางอย่างที่ยังวนเวียนอยู่ในความนึกคิด เขาจึงไม่อาจข่มตาข่มใจ ข่มอารมณ์ ให้ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อน ให้สมที่เหน็ดเหนื่อยเที่ยวเล่นมาค่อนคืน

ชายหนุ่มพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่บนเตียง รู้สึกอึดอัดติดขัดใจหัวใจพิกล ราวกับว่าอากาศสำหรับหายใจเหลือน้อยเต็มที จากที่คลุมโปงหลบแสง ก็ต้องเปิดหน้าออกมาสูดอากาศ แต่กระนั้นก็ยังอบอ้าว คล้ายกับสิ่งที่สูดลหายใจเข้าไปนั้น เจือปนอยู่กับอะไรบางอย่าง ที่มีแต่จะทำให้หัวใจเศร้าหมอง และอึดอัดมากขึ้นอีกเป็นทบทวี

พลิกไปพลิกมาอยู่อีกหลายตลบ จนสุดที่จะทนกับอาการผิดสังเกตของตนเองได้ต่อไป แม้แสงที่ยิ่งจ้าจัดขึ้นนั้น จะทำให้เขาแทบไม่อยากมองหาอะไรทั้งสิ้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องปรือตาขึ้น มองดูต้นตอของความบีบอัดอันแสนหดหู่

“คุณแส...”

ทรงธรรมทักเหมือนคราง ใจนั้นไม่อยากเชื่อหรอกว่า คนที่มานั่งจ้องคนกำลังนอนอยู่นี่จะเป็นหล่อน และนี่เองคือที่มาของรังสีแห่งความหมองหม่น ที่บีบรัดอากาศรอบกายจนคนที่ยังจำเป็นต้องใช้ลมหายใจเช่นเขา อึดอัดจนแทบขาดใจ

“ข้ามีเรื่องจะพูดจากับเจ้าสักหน่อย”

คุณแส ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านเอ่ยเสียงเรียบ

“ไว้ตอนตื่นก่อนได้ไหมเล่า เหนื่อยมาทั้งคืน ขอนอนพักผ่อนก่อนนะขอรับ คุณแสก็ด้วย น่าจะพักผ่อนนอนหลับเสียบ้าง...”

“ข้า... นอนไม่หลับ”

เพราะคุณแสหันหน้าไปอีกทาง ทรงธรรมจึงจับความรู้สึกจากเสียงเรียบๆ นั้นไม่ได้แน่ชัดนัก

“โถ่ๆ... กระผมมันเป็นคนมีเลือดมีเนื้อ ต้องตื่นตะลอนๆ ทำนั่นทำนี่ทั้งกลางวันกลางคืน มันเหน็ดมันเหนื่อยอยู่ไม่ใช่น้อยๆ นะขอรับ”

“แต่ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”

ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านยังย้ำคำเดิม

“มันได้อยู่แล้วละ แต่รอหลังจากข้าตื่นก็แล้วกัน”

พูดจบ คนพูดก็กลับล้มตัวลงนอน ทำท่าเหมือนจะไม่สนใจอะไรอีกต่อไป แต่ก็ต้องชะงัก

“ไม่ได้นะ ข้าต้องคุยกับเจ้าตอนนี้!”

คราวนี้จากน้ำเสียงเรียบๆ กลับแปรเป็นเด็ดขาด ตอนท้ายคำยังหันมาประจัญหน้ากับทรงธรรมตรงๆ

ชายหนุ่มแกล้งหาวอีกหวอดใหญ่ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาแรงๆ อีกครั้งหลังจากที่พูดว่า

“ก็ได้...”

เขาเลื่อนตัวจากบนเตียง มานั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกับผีสาว หาวแล้วหาวอีกอยู่หลายครั้งขณะหงายจอกน้ำชาขึ้นสองใบ

“ดื่มชาเสียก่อนไหมเล่าขอรับ”

เขาแสร้งทำเป็นลืมว่า ผู้ที่นั่งหลังตรงคอเชิดอยู่ตรงหน้านี้ ไม่ใช่ดวงวิญญาณ ที่ไม่ต้องการน้ำหรืออาหารเพื่อการบำรุงรักษาร่างกายอีกต่อไปแล้ว

“ขออภัย... กระผมลืมไปว่า... เอาเถอะขอรับ คุณแสมีอะไรจะให้ไอ้ทรงธรรมผู้ต้อยต่ำคนนี้รับใช้ ก็เชิญบัญชาการมาได้เลย”

น้ำเสียงของทรงธรรมขณะนี้ ก็ยากจะจับได้เช่นกัน ว่าเป็นทีเล่นหรือทีจริง

“เจ้ารู้หรือไม่ คนกับผีมีข้อแตกต่างกันอยู่...”

คำพูดของผีสาวที่ใช้เปิดบทสนทนา ทำให้คนฟังเดาไม่ออกว่าหล่อนกำลังอยากจะพูดเรื่องอะไรต่อไป แต่เขายังทำเป็นอวด

“มีหรือที่ข้าจะไม่รู้”

“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว พวกเราทั้งข้า ทั้งคนอื่นๆ รวมทั้งแสงเพ็งนั้นด้วย พวกเราไม่มีร่างกาย จะมาเที่ยวเล่นทั้งวันทั้งคืนนั้นไม่ได้ กับเจ้าเองก็เพิ่งบ่นว่าอ่อนเพลียนักหนา ทั้งที่จริงจะต้องมีสอบเลื่อนชั้นอะไรนั่นไม่ใช่หรือ อย่างนี้ก็เท่ากับไม่ดีแก่ทุกฝ่าย”

ชายหนุ่มพยายามลำดับความ แต่สีหน้าคงยังงุนงงอยู่ไม่น้อย คุณแสจึงต้องถาม

“เจ้าเข้าใจคำพูดของข้าหรือไม่”

“คุณแสหมายความว่า ไม่อยากให้ข้าชวนพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นทุกคืน ใช่หรือเปล่าขอรับ”

ทรงธรรมทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปดังนั้น

“ใช่แล้ว”

“แค่... แค่นี้เองน่ะหรือขอรับ”

จากคำตอบของผีสาว ทำให้เขานึกเอือมอยู่ไม่น้อย เพราะนี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญขนาดรอไม่ได้ ที่จะให้หลับสักเต็มตื่นก่อน แล้วค่อยลุกขึ้นมาพูดจากกัน

พอทรงธรรมถามซ้ำ คุณแสก็พยักหน้าเป็นการยืนยันคำตอบ

“อย่างนั้น เรื่องแค่นี้... ไม่มีปัญหา ...ถ้าอย่างนั้น ข้าขอไปนอนต่อละนะ...”

เขาบิดขี้เกียจอีกครั้ง และหาวอีกยืดยาว กว่าจะได้พูดต่อไป

“ได้ไหมเล่าขอรับ”

คุณแสก็คงระอากับท่าทางไม่เป็นโล้เป็นพายของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย พอเห็นว่าเขาทำท่าเข้าอกเข้าใจเรื่องที่หล่อนพูดออกไป ก็เลยพยักหน้าให้อีกครั้ง เป็นเชิงว่าให้ไปนอนพักผ่อนให้สบายเถอะ ก่อนที่ร่างของหล่อนจะวูบหายไปเฉยๆ

“ตกลง อย่างนั้นก็... นอนหลับให้สบายนะขอรับ”




ตั้งแต่มีชายหนุ่มมาอยู่ร่วมบ้าน บรรดาผีสาวก็พากันตื่นไวกว่าปกติ เพราะต่างก็ตั้งตารอว่าแต่ละคืนที่จะผ่านเข้ามา เขาจะคิดหาเรื่องสนุกอะไรมาให้เล่น ให้ทำ

ค่ำนี้ก็เหมือนเคย... ที่จริงตั้งแต่ตอนย่ำสนธยากาล ที่แสงสุดท้ายยังไม่หายลับจากขอบฟ้า พวกนางก็ทยอยตื่นกันขึ้นมาแล้ว เพียงแต่คืนนี้ทรงธรรมหายหน้าไป หายไปตั้งแต่ก่อนผีตนแรกจะลุกขึ้นมากล่าวอรุณสวัสดิ์กับยามเย็น

ผู้ที่กระวนกระวายใจที่สุดคือผีสาวแสงเพ็ง แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็ยังผุดลุกผุดนั่งอยู่ตลอดเวลา ยิ่งค่ำคืนล่วงไป ก็ยิ่งใจหาย ทั้งห่วงหาทั้งกังวล ไม่รู้ชายหนุ่มที่ตนรักจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร

ส่วนภูตผีตนอื่นๆ แม้จะตั้งตารอ แต่ก็เพียงถามหากันไปพร้อมกับการเล่นหยอกล้อเพื่อรอเวลา

“ไม่รู้ว่าคืนนี้พี่ธรรม์จะพาไปที่ไหนเนอะ”

ผีมาลียังติดใจ แสงสีตระการตาราวภาพฝันในงานวัดสังเวชเมื่อคืนก่อน

“จะที่ไหนก็ช่างเถอะน่า ขอแค่ให้มีของอร่อยๆ ให้กินก็พอ”

ผีสาวอีกนางที่ห่มสไบสีเหลืองสดทำเสียงคล้ายจะขัดคอ แต่ที่จริงก็คือสนับสนุนการได้ออกไปเที่ยวเล่น “นอกบ้าน” โดยเฉพาะถ้าที่นั้นมีเครื่องเซ่นสรวงอยู่ตามทางด้วยละก็

“แต่ข้างนอกอันตรายนะ ไม่รู้เมื่อไหร่ ท่านยมทูตจะโผล่มายุ่งกะพวกเรา”

ผีปุบผาที่ค่อนข้างขี้กลัวยังหวั่นใจกับเรื่องสำคัญ

“หมอเกตุเขาว่าท่านยมทูตไม่ค่อยมายุ่งกับผีดีๆ อย่างพวกเราไม่ใช่หรือขอรับ”

เป็นเจ้าหลงที่เอ่ยขึ้น จากนั้นก็มีเสียงเห็นด้วยกับความคิดนี้กันเต็มที่ จนกระทั่งแสงเพ็งแทรกขึ้นว่า

“ทำไมดึกป่านนี้แล้วยังมาอีกก็ไม่รู้”

นั่นละ คุณแสซึ่งนั่งอยู่เงียบๆ ในที่ห่างออกไปจึงกล่าวขึ้นบ้าง

“ไม่ต้องรอแล้วละ เขาไม่กลับมาแล้ว”

เสียงเรียบๆ ปราศจากความรู้สึกใดๆ ทำให้บรรดาผีๆ งุนงงไปตามๆ กัน

พอตั้งสติได้ พวกผีสาวก็เข้ามาห้อมล้อมคุณแส

“ทำไม ทำไม... เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”

ต่างตนก็ต่างประสานเสียงกันเซ็งแซ่ จนผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านต้องตัดบท

“ไม่มีอันไรหรอกน่ะ ไม่มาก็คือไม่มา”

“คุณแสพูดอะไรกับพี่ธรรม์หรือคะ”

แสงเพ็งที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด ไม่ได้ตั้งใจจะคาดคั้น แต่ความกังวลที่ยิ่งทวีขึ้น ทำให้ต้องส่งถ้อยคำออกไปดังนั้น

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าก็เคยบอกแม่แสงแล้วว่า คนกับผี สนิทกันมากเกินไปก็จะมีแต่เรื่องวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น”

คุณแสตอบคำของผีสาว พร้อมกับจ้องตา มองหาวี่แววเยื่อใยลึกซึ้งของแสงเพ็ง

และคำตอบที่ผีทุกตนได้ยินชัดนั้น ก็ทำให้ทุกตนได้แต่อึกอักอ้ำอึ้ง ไม่กล้าซักถามอะไรอีก แม้กระทั่งแสงเพ็งเอง ก็ยังทำได้แค่เพียงก้มหน้า หลบประกายสายตาของคุณแสที่ยังจ้องเขม็งอยู่

“เป็นยังไรกันบ้างเล่าจ๊ะทุกคน”

เสียงระรื่นปนทะเล้นที่คุ้นหู ดังนำเจ้าของเสียงเข้ามา ก่อนที่ชายหนุ่มจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวาง

แสงเพ็ญรีบขยับเข้าใกล้คนที่ตนรัก ดีใจนักหนาที่ในที่สุดทรงธรรมก็กลับมา

“คุณแสบอกว่าพี่ธรรมจะไม่กลับมาอีกแล้ว”

เธอเอ่ยกับเขาด้วยเสียงเศร้าๆ

“ใช่ๆ คุณแสบอกว่า คุณทรงธรรมจะไม่กลับมาเล่นกับพวกเราอีกแล้ว”

ผีสาวตนอื่นๆ พากันเข้ามาห้อมล้อมเขาเช่นกัน

“แน่นอน ก็อย่างที่คุณแสบอกนั่นละ เราคนกับผี จะมามัวคลุกคลีตีโมง เที่ยวเล่นไม่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรกันอยู่ได้ทุกวี่วัน ถ้าเอาแต่เล่นกันอย่างนี้ต่อไป จะไม่ดีทั้งคนทั้งผี จริงหรือไม่ขอรับคุณแส”

ประโยคท้าย ชายหนุ่มหันไปถามเอากับผีผู้เป็นใหญ่ในบ้าน ที่เมื่อเช้าเพิ่งบอกเป็นนัยว่าให้เขาไปจากบ้านนี้เสียเถิด

และด้วยคำพูดจาที่เข้าเค้านั้น ก็ทำให้คุณแสต้องพยักหน้าเออออไปด้วย

“ดังนั้น...” ทรงธรรมเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “...กระผมตัดสินใจแล้วว่า จะเป็นเหมือนพวกพี่ๆ น้องๆ บ้านนี้ คือนอนตอนกลางวัน ตื่นตอนกลางคืน...”

คุณแสโกรธแทบเต้น เมื่อได้ยินเขาขยายความ

“เจ้าว่าอะไรนะ!”

ทั้งยังไม่อยากเชื่อหูตัวเองในสิ่งที่ได้ยิน

“พุทโธ่เอ๋ย! ก็อีกเดือนกว่าๆ กระผมก็ต้องสอบเลื่อนขั้น ถ้าเที่ยวๆ เล่นๆ อย่างนี้ต่อไป จะมีหวังสอบได้ยังไร เอาอย่างนี้เถิดขอรับ ตอนกลางคืนเรามาอ่านหนังสือกัน ดีไหม”

คุณแสถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ขณะที่ผีสาวตนอื่นๆ ต่างพากันยิ้มอย่างสมใจ

“อ่านหนังสืออย่างนั้นหรือคะ”

แสงเพ็งต้องทวนคำ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้ยินถูกต้องหรือเปล่า

“แล้ว... ไอ้การอ่านหนังสือของพี่ธรรม์มันจะยากเย็นหรือเปล่าขอรับ”

เจ้าหลงซึ่งยังเข็ดขยาดกับการท่องบ่นหนังสือกับหลวงตา อดถามไม่ได้

“ก็ลองดูก่อนซี ว่ายังไร สนใจกันหรือไม่เล่า”

ทรงธรรมกวาดสายตาไปทั่ว โดยแกล้งเมินผ่านดวงตาคู่ที่จ้องเขม็งมาจากคุณแส

ผีๆ ต่างหันไปซุบซิบปรึกษา บ้างก็ไม่แน่ใจ บ้างก็อยากจะลองดูเหมือนกัน

ส่วนใหญ่ที่ห่วงถามกันอยู่ก็คือ

“การอ่านหนังสือนี่มันสนุกหรือเปล่า”

“ข้าจำไม่ได้แล้วละ เคยรู้ตัวกอตัวขออยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ลืมไปหมดแล้วว่าหน้าตามันเป็นยังไร”

“แล้วอ่านหนังสือกะท่องหนังสือมันเหมือนกันไหมเล่า ข้าเคยถูกหลวงตาบังคับ ท่องผิดก็โดนหวด”

“จะเหมือนกันได้ยังไร ท่องก็ต้องไม่มีตัวนังสือให้เห็น แต่อ่านนั่นต้องดูเอาจากในนังสือ”

“แต่ตอนที่หลวงตาให้ข้าท่อง ก็มีหนังสือให้ดูนะขอรับ”

“แล้วยังอ่านผิดงั้นรึ”

“เอาละๆ ถ้าไม่มีใครคัดค้าน ก็เป็นอันว่าตกลงละนะ”

เมื่อเห็นว่าเรื่องราวจะเฉไฉไปทางอื่นเสียแล้ว ทรงธรรมจึงรีบตัดบท ตั้งใจจะใช้มุกนี้ มัดมือชกคุณแสมาตั้งแต่แรก

ซึ่งคุณแสก็มีอันยอมตาม ทั้งที่รู้สึกว่าตนเสียรู้ชายหนุ่มอยู่เห็นๆ




กระดาษสองแผ่นใหญ่ ถูกเขียนเตรียมไว้ตั้งแต่แรก แผ่นหนึ่งบรรดาผีๆ พอดูรู้ว่าเป็นอักษรไทย แต่อีกแผ่นกลับบรรจุเส้นสายยึกยือ ซึ่งต้องพากันเดาไปก่อนว่า คงต้องเป็นตัวอักษรในภาษาอื่นแน่ๆ

พอติดกระดาษทั้งแผ่นกับข้างฝา จัดแจงให้ผีสาวทุกตนนั่งลงจนเรียบร้อย ทรงธรรมก็ถอยกลับมาด้านหน้า ทำท่าจะเริ่มอธิบายวิธีการ “อ่านหนังสือ” ที่ตนริเริ่มขึ้นเพื่อย้อนเกล็ดการขับไล่ของคุณแส

“พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน...”

แค่เริ่มต้นเท่านั้น ลูกศิษย์ก็เริ่มซุบซิบกันเสียแล้ว โดยผีกระถิน ซึ่งค่อนข้างจะมีนิสัยโผงผาง เริ่มเปิดประเด็นขึ้นก่อน

“อย่าว่าแต่อ่านตัวนังสือ ขนาดชื่อข้าเองยังเขียนไม่ถูก”

“ทั้งหมดนั่น ข้าอ่านได้แค่ตัวกอตัวขอ”

ผีมาลีพึมพำอย่างอายๆ

“แสดงว่าข้าเก่งกว่า นั่นสระอา นั่นไม้ผัด นั่นไม้ตีนคู้”

ผีบุปผาแสดงภูมิขึ้นบ้าง

“เขาเรียกไม้ไต่คู้ต่างหาก แต่... ข้าอ่านออกหมดเลยนะ”

แสงเพ็งเอ่ยขึ้นบ้าง ตอนนี้ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มชื่น อารมณ์ดีกว่าตอนหัวค่ำอย่างที่ใครๆ ก็เห็นได้โดยง่าย

แล้วผีสาวก็เริ่มอ่านทีละคำ ตั้งแต่วรรคแรก

“ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา...*”

พออ่านจบ ผีสาวก็นิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มที่ยืนยิ้มกริ่มรออยู่

“กลอนหรือคะ ใครแต่งกันนี่ ทำไมอ่านแล้วรู้สึกสะทกสะเทือนใจไปได้ถึงขนาดนี้”

“เขาว่าเป็นของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปร่ำเรียนอยู่ทางยุโรป”

เพราะทรงธรรมได้ร่ำเรียนอยู่ในสำนักของหลวงพ่อมิชชันนารี คำท้ายที่คนสยามส่วนใหญ่ออกสำเนียงว่า “อีหรอบ” เขาจึงออกเสียงได้ใกล้เคียงกับต้นภาษามากกว่า

“เด็กชายหรือคะ อย่างนั้นก็ต้องเป็นลูกท่านเจ้าขุนมูลนาย จึงไปไกลถึงขนาดนั้น”

“เด็กชายคนสำคัญเลยเชียวละ ตอนแรกอีตามิสเตอร์ที่เข้าไปดูแลเก็บกวาด แกได้บทนี้มาจากถังผง แล้วก็ได้มาอีกบท ทางอังกฤษส่งมาให้กงสุลที่นี่ ให้ลองสืบเสาะดูทีว่า แท้จริง พวกสยามกำลังคิดอ่านมีแผนการยังไร กับการจัดการพวกชาวต่างชาติต่างภาษา”

คำอธิบายของเขาช่างมีลับลมคมใน จนผีทุกตนต่างก็ตั้งอกตั้งใจรอฟังว่าเด็กกระไรหนอจึงสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้หนักแน่นลึกซึ้งขนาดนั้น

“แถมอีกบทหนึ่งนั้นยังเป็นภาษาอังกฤษเสียด้วย”

คราวนี้ยิ่งเรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาพวกที่ตั้งใจฟัง ความน่าสนใจอันนี้ ทำให้ถึงขนาดคุณแส ยังอดไม่ได้ที่จะต้องขยับเข้ามาใกล้ ทั้งที่ในตอนแรก ก็เพียงยืนสังเกตการณ์อยู่ที่มุมไกล

“แสดงว่าอีกแผ่น ที่เป็นอักษรพาดพันกันอยู่นี่คือภาษาอังกฤษ”

แสงเพ็งพอนึกได้เลาๆ กับเส้นสายอักษรคุ้นตา

“แม่แสงเข้าใจถูกต้อง อันนี้ภาษาอังกฤษตัวเขียน ที่จริงเป็นลายมือของหลวงพ่อมิชชันนารี คัดลอกมาอีกที ส่วนภาษาไทยนั้น พี่เคยลองแปล แต่ก็ไม่ได้ความชัดเจนเท่าสำนวนของเด็กชายผู้ทรงยศท่านนั้น”

“ชักอยากรู้เสียแล้วสิคะ ว่าใครกัน...”

“อย่าไปรู้เลยนะจ๊ะ เพราะเรื่องนี้ท่านมิชชันนารียังเก็บไว้เป็นเรื่องลับ ท่านแค่เปรยๆ ว่า สยามเราไม่มีวันอับจนต่อชนชาวต่างชาติดอกนะ”

“ทำไมล่ะ กะบทกลอนห้วนๆ สั้นๆ อย่างนี้ มันแสดงภูมิปัญญาของใครได้ขนาดนี้เชียวรึ”

คุณแสอดไม่ได้ที่จะร่วมวิพากษ์วิจารณ์

“แหม! นี่ถ้าคุณแสยังมีชีวิต อาจถูกมะพร้าวห้าวยัดปากได้เลยนะขอรับ”

“ทำไม...”

“อย่าถามต่อไปอีกเลยขอรับ เป็นอันว่ามิบังควรก็แล้วกัน”

เพราะคุณแสยังเคืองชายหนุ่มอยู่ไม่หาย สีหน้าหรือท่าทางการสนทนาจึงยังแข็งๆ ขืนๆ จนผีตนอื่นๆ ต่างหันไปยิ้มขันให้แก่กัน

“ตกลงแล้วบนกระดาษอีกแผ่น คืออันที่ถูกเขียนขึ้นมาจริงๆ”

แสงเพ็งพยายามช่วยผ่อนคลายสถานการณ์การถกเถียง

“ก็ถูกเขียนขึ้นมาจากท่านทั้งสองบท เขาว่าท่านถอดความตรงกันได้วรรคต่อวรรคเลยเชียว”

“เขาว่ายังไร เขาเป็นใครเล่าพี่ธรรม์ อ้อมค้อมอยู่นั่นละ แล้วเมื่อไหร่จะอ่านให้จบๆ พวกเราจะได้ออกไปเที่ยวเล่นกันซะที”

เจ้าหลงที่ทนฟังมานาน จำเป็นต้องพูดขึ้นบ้าง

“พูดเหมือนกับตัวอ่านออก ไอ้ภาษาอังก่งอังกิดอะไรนี่”

ผีกระถินแกล้งแหย่

“เอาเถอะ อย่างนั้นก็อ่านตามกระผมทีละคำ”

ว่าแล้วทรงธรรมก็เริ่มชี้ที่คำแรก แล้วค่อยไล่อ่านไปทีละคำ โดยให้นักเรียนจำเป็นค่อยๆ อ่านซ้ำคำละสามรอบ จากข้อความดังนี้


Should Strangers come and drive us.

They will surely order and drive us;

They will oppress us from morn till night

As is the custom with masters.

Think not that they will have regard for our Position or our Name.

Nor can we hope that they will respect our Birth :

So, not only should we be weary and burdened,

But also should we stand ashamed before the whole world!**


กว่าจะถึงคำสุดท้ายที่ออกเสียงยากเย็นว่า เวอรลเด็อะ ที่หลายตนออกเสียงว่า เวิ่นละเด้อ ขนาดถ้ายังมีลมหายใจกัน ก็เรียกได้ว่าแทบจะขาดใจ

“ไม่ไหวแล้วพี่ธรรม์ ไอ้หลงคนนี้คงไม่มีปัญญา ฟังๆ มันก็เพราะดีร็อก แต่ยากเย็นเหลือเกิน”

“ใช่แล้วละพ่อธรรม์ พอก่อนเถอะ ชักวิงเวียนจะเป็นลมยังไรก็ไม่รู้”

แล้วผีมาลีก็ทำท่าทำทางประกอบให้เห็นจริง

“ดัดจริต เป็นผีเป็นสางจะมาเป็นลมเป็นแร้งอะไรกัน”

เป็นผีกระถินที่ต้องขัดคอเพื่อนผีตามเคย

“เป็นลมเป็นแล้งดอกย่ะ ถ้าเป็นแร้งหยั่งแก”

“วุ้ย! ถ้าชั้นเป็นแร้ง แกก็แร้งแก่พิกลพิการละวะ”

พอเห็นเค้าว่าจะขึ้นวะขึ้นโว้ยกันต่อไป ทรงธรรมก็จำเป็นต้องห้ามทัพ

“พอเถิดพวกพี่ๆ น้องๆ ถือว่าช่วยกระผมก็แล้วกัน เผื่อใครอ่านไปอ่านมาแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง กระผมจะได้ไปแต่งเติมคำแปลของตัวให้มันชัดเจน”

“พี่ธรรม์ก็บอกเองว่าทั้งสองภาษาถ่ายทอดกันไปมาได้ชัดเจนอยู่แล้ว จะต้องแปลใหม่ทำไม”

“พี่ก็ว่าอย่างนั้น แต่ยังไรก็ต้องแปล ที่จริงก็มีไม่กี่คนหรอก ที่รู้ว่าส่วนหนึ่งของข้อสอบเลื่อนขั้นคือให้แปลบทนี้นั่นเอง”

“ถ้ายังนั้น พี่ธรรม์ไปได้มาได้ยังไร”

แสงเพ็งอดซักถามไม่ได้

“เรื่องนั้นช่างมันเถิดน่า เรามาอ่านกันต่อดีกว่า...”




ดึกมากแล้ว กว่าที่นักเรียนจำเป็นค่อยได้แยกย้ายไปพักผ่อน ทรงธรรมก็เหนื่อยล้าอยู่ไม่ใช่น้อย ขณะเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกายก่อนเข้านอน แสงเพ็งกลับกลับลงมา เขาจึงต้องถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

“ใกล้จะรุ่งสางแล้ว แม่แสงไม่พักผ่อนหรือจ๊ะ”

“คือว่า... ข้ามีบางอย่างอยากจะถาม”

แววตาที่ผีสาวส่งสื่อมาให้นั้น เป็นประกายชวนมอง จนทรงธรรมก็พลอยรู้สึกชื่นใจไปด้วย ที่เห็นว่าแสงเพ็งมีความสุข

เขาจึงชวนให้แสงเพ็งนั่งลงใกล้ๆ ระบายลมหายใจยาวๆ แต่แผ่วเบา ยิ้มให้กับเธออีกครั้งก่อนบอกว่า

“อยากรู้อะไรก็ถามมาเถิดแม่แสง”

“คือดีฉันเห็นพี่ธรรม์มีความรู้กว้างขวาง อ่านออกเขียนได้ทั้งภาษาไทยภาษาเทศ แล้วพี่ธรรม์รู้หรือไม่คะ ว่าโลกของภูตผีหรือวิญญาณอย่างพวกดีฉันเป็นฉันใด”

ทรงทำนิ่งไปเมื่อฟังจบ ก่อนจะต้องตอบคำถามด้วยคำถาม

“แม่แสงเป็น... เอ่อ... เป็นภูตผี น่าจะรู้ดีกว่าพี่ละกระมัง”

ใจนั้นเกรงเป็นที่สุด กลัวว่าคำพูดของตนจะทำให้ผีสาวที่อ่อนหวานนักหนา จะกระทบกระเทือนความรู้สึก

“ที่จริง ดีฉันเพิ่งมาเป็นวิญญาณติดบ้านนี้อยู่ได้ไม่นาน ก่อนนั้นล่องลอยไร้บ้าน จนได้มาพบคุณแส นางเลยชวนให้อยู่เสียด้วยกัน นอกจากพี่ๆ น้องๆ ในบ้านนี้แล้ว ดีฉันยังไม่เคยพบเจอกับผีตนอื่น ตอนนี้เลยยังไม่ค่อยได้รู้หรอกว่า ภพภูมิของภูตผี ภพภูมิของดวงวิญญาณเป็นอย่างไร”

สีหน้าที่ของผีสาวนั้นแม้ไม่ได้แสดงว่าเศร้าสร้อยมากนัก แต่ความหมองหม่นที่ผ่านแทรกเข้ามาในถ้อยคำ ก็ยังทำให้ทรงธรรมสังเกตได้

“เรื่องราวของแม่แสงน่าเห็นใจนัก แต่พี่ก็ต้องขอโทษ เพราะเรื่องที่ถามมานี้พี่เองก็ไม่มีความรู้”

กับคำตอบดังนี้ของชายหนุ่ม แทนที่แสงเพ็งจะมีอาการผิดหวัง เธอกลับยิ้มออกมา

“พี่ธรรม์ก็มีเรื่องที่ไม่รู้ด้วยหรือนี่ พี่ธรรม์เจ้าคะ ดีฉันว่าที่จริงพี่ก็เป็นคนมีความรู้มากมาย”

คราวนี้ทรงธรรมเป็นฝ่ายขำออกมาบ้าง

“ขันอันไรเล่า”

“ก็... พี่น่ะรึความรู้ดี ถ้าเป็นคนอื่นพูด พี่ต้องว่าเขาประชดพี่เล่นแท้ๆ เลยเชียว...”

“ยังไรเจ้าคะ”

ผีสาวน้อยใจนิดๆ เข้าใจว่าคำพูดของตนเองคงออกไปในทางเพ้อพกไม่น่าเชื่อถือ

“แต่ว่า... คำพูดนี้ออกมาจากปากของแม่แสง ได้ยินแม่แสงพูดแบบนี้แล้ว พี่ก็เชื่อว่าพูดออกมาจากใจจริงๆ”

สายตาของชายหนุ่มที่ทอดแลมา กลับเป็นฝ่ายหมองหม่นลงไปบ้าง

“ทำไมหรือคะ”

“กับคนสมัยนี้ นอกจากหวังจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนแล้ว เขาไม่มีวันพูดแบบนี้กับใครง่ายๆ หรอก”

ยิ่งเอ่ยออกมา ทรงธรรมก็ยิ่งสะเทือนหัวใจของตนเองหนักยิ่งขึ้น

เขาสบสายตากับผีสาวอีกเนิ่นนาน กว่าจะเอ่ยคำหนักแน่น

“พี่เชื่อใจแม่แสง”

“จริงหรือจ๊ะ”

แสงเพ็งยิ้มชื่นบาน สองแก้มดูเปล่งปลั่งขึ้นมาได้อย่างน่าชม แม้คำถามทวนจะเหมือนไม่เชื่อ แต่ที่จริงหัวใจของเธอก็รู้ได้ว่า ที่ชายหนุ่มพูดออกมานั้น เป็นความสัจจริงทุกถ้อยกระทงความ

“พี่ธรรม์คะ”

สบตากันเหมือนอย่างจะอ่านให้ลึกซึ้งความรู้สึกนึกคิดของฝ่ายตรงข้ามกันอยู่อีกอึดใจหนึ่ง ก่อนที่แสงเพ็งจะเอ่ยออกมาดังนั้น

ผีสาวเหมือนจะตั้งต้นบทสนทนาอื่นๆ ต่อไป จนชายหนุ่มต้องแทรก

“แม่แสงจ๊ะ จวนจะย่ำรุ่งอยู่แล้ว แม่แสงขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

แสงเพ็งก็เก้อไปเหมือนกัน ที่ตนเองพลอยเพลินคุย บอกตัวเองอยู่ลึกๆ ว่า ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหลือล้น ที่ได้พูดจากับเขาอยู่ตามลำพังเช่นนี้

“อย่างนั้น... คืนนี้ เราค่อยคุยกันใหม่นะจ๊ะ”

“ได้ซี พี่น่ะอยากจะได้เห็นหน้าพูดจากับแม่แสงอยู่ทุกคืนๆ”

ได้ฟังเช่นนี้แล้วผีสาวยิ่งยิ้มกว้าง รู้สึกได้เลยว่า ดวงหน้าของตนร้อนผ่าวขึ้นมา ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ พร้อมกับความเขินอายที่แผ่ซ่านขึ้นมานั่น ทำให้เธอรีบลุกหลบออกไป

ชายหนุ่มมองตาม อ่านออกปรุโปร่งว่าผีสาวรู้สึกอย่างไรกับตน ส่วนตัวเองนั้นยังสับสนไม่น้อย เพราะลึกๆ ก็รู้อยู่ว่า ความรักต่างภพนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้...

บรรยากาศรอบข้างช่างสดใส แม้กระทั่งภายใต้ร่มชานเรือนสำนักเทพอาคมของหมอเกตุ ก็ยังทำทรงธรรมเหม่อยิ้มออกมาได้

หมอผีหนุ่มสังเกตมาตั้งแต่แรกว่าชายหนุ่มรุ่นพี่มีอาการผิดแปลกไป ยิ่งพอตนแกล้งเอามือไประเล่นอยู่ใกล้ใบหน้า แล้วทรงธรรมแค่ปัดๆ ออก ก่อนจะเหม่อยิ้มต่อไป ก็ยิ่งแน่ใจ

“แย่แล้ว คราวนี้แย่แน่ๆ”

หมอเกตุถึงกับบ่นออกมาดังๆ ซึ่งก็สร้างความรำคาญให้กับทรงธรรมได้สำเร็จ

“อะไรของเอ็ง คนกำลังอารมณ์ดีๆ ก็มาบ่นว่าแย่ๆ”
“ก็ตามตำราเขาว่า ใบหน้าซีดเซียว ใต้ตาหมองคล้ำ เหม่อลอย ยิ้มกับลมกับแล้งได้อย่างนี้ ถ้าไม่ถูกของถูกคุณ ก็ต้องถูกผีกระทำแน่ๆ”

สุ้มเสียงของหมอเกตุจริงจัง จนทำให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ต้องหันมาจ้องหน้า

“อย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลยน่า หรือว่าโหมอ่านตำรามากเกินไปจนจิตหลอน”

“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปพี่ธรรม์นั่นละจะแย่ เอาอย่างนี้ ให้ข้าช่วยทำพิธีปัดรังควานให้ไหมเล่า”

แทนที่หนุ่มรุ่นน้องจะโกรธ กลับสานต่อเรื่องราวได้เป็นตุเป็นตะ

“ทำไม เอ็งร้อนวิชามากยังงั้นเชียวรึ ถึงจะมาปัดรังแคให้ข้า ฝันไปเถอะวะไอ้เกตุ!”

ทรงธรรมรู้สึกไม่สบอารมณ์ในความหวังดีอันนั้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาลุกเดินหนีเข้ามาในห้องหนังสือ แต่หมอเกตุก็ยังเดินตามมาหว่านล้อม

“อย่าดูถูกกันนาพี่ธรรม์ ไม่เจอกันไม่กี่วันก็จริง แต่ข้าก็ทบทวนท่องบ่นมนตราคาถาอาคมได้อีกมากมาย หลังจากวันที่ผีๆ บ้านนั้นรวมหัวกันหลอกหลอน ข้าก็ตั้งใจศึกษาตำรับตำรา ฝึกวิชาเพื่อจะได้กอบกู้ศักดิ์ศรีของตำหนักเทพอาคมให้กลับคืนมา”

หมอเกตุบรรยายเป็นช่องเป็นฉากด้วยท่าทางจริงจัง

แต่ทรงธรรมกลับหาวออกมาหวอดใหญ่

“เพื่อพ่อ เพื่อปู่ เพื่อปู่ของปู่ ข้าเลยตั้งใจฝึกวิชาทั้งเช้าสายบ่ายเย็น ทุกวี่วันไม่มีว่างเว้น”

“แล้วมันก้าวหน้าตรงไหนวะ วันก่อนที่เจอกันตอนงานวัดสังเวช ผีตั้งเยอะ เอ็งยังมองไม่เห็นสักตน เฮอะ!”

นั่นทำให้หมอเกตุทายาทคนเดียวของตำหนักเทพอาคมหน้าม่อยลงทันที แต่ก็ยังพยายามแก้ตัวต่อไปว่า

“ก็... คนเราน่ะนะ จะสำเร็จอะไรได้ในวันเดียว...”

“ช่างเถอะๆ จะวันเดียวหรือกี่วันก็เรื่องของเอ็ง แต่ที่ข้าวานให้หาตำราให้เล่มหนึ่ง เอ็งลืมไปแล้วหรือยัง”

“ธ่อ! ข้าหาเจอตั้งนานแล้วหรอกน่ะ มีแต่พี่ธรรม์นั่นละ ที่วันๆ ได้แต่นั่งเหม่อ ไม่ทวงไม่ถาม”

“ได้มาแล้วก็เอาออกมาซี จะพูดมากอยู่ทำไม”

ทรงธรรมมีอาการกระตือรือร้นขึ้นทันที

“ทีหยั่งนี้มาทำเป็นใจร้อน นี่ยังไรเล่า ตำรามหาขันธ์โลกธาตุ”

“แล้วก็ไม่เอามาให้ซะตั้งแต่แรก”

ทรงธรรมคว้าหมับ รีบเดินหลบมาอีกทาง แล้วก็ไล่เปิดอ่านทันที

อาการดังนั้นยิ่งทำให้หมอเกตุอาคมรู้สึกผิดสังเกต

“ถามจริงเถอะพี่ธรรม์ ทุกวันนี้พี่คิดจะอยู่ร่วมชายคากับแม่ผีๆ พวกนั้นจริงๆ น่ะรึ”

“ก็ใช่น่ะซี พวกนั้นเป็นเพื่อนสนิทของข้าทั้งนั้น”

“คนกะผีมันจะมาสนิทสนมกลมเกลียวคบหากันได้ยังไร”

หมอเกตุยังเชื่อในข้อนี้อย่างมั่นคง

“เออน่า! เอ็งรู้ไหมเล่า ผีน่ะยังดีกว่าหลายๆ คนเสียอีก โดยเฉพาะเรื่องน้ำจิตน้ำใจ ผีน่ะจริงใจกว่ามากนัก ถ้าไม่เชื่อ ว่างๆ ข้าจะแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ”

“ข้าไม่เอาด้วยหรอก ถ้าต้องมามีอันเป็นอย่างพี่ธรรม์ แล้วใครจะช่วยข้า”

หมอเกตุเสียงอ่อย แต่ท่าทางนั่นแสดงให้เห็นชัด ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

“ทำไม ข้าเป็นยังไร เห็นข้าเป็นอะไรไปยังงั้นรึ”

ทรงธรรมหมุนตัวให้ดูอีกรอบหนึ่งเสียด้วย

“ก็ท่าทาง ความคิดความอ่านอย่างนี้ไงเล่า นี่ข้าเห็นพี่ธรรม์เป็นสหายดอกนะ ถึงได้เตือนกันตรงไปตรงมา”

และพอได้ยินคำนี้คนฟังก็ทำท่าละเหี่ยใจใส่หมอเกตุตรงๆ

“ข้าว่าพี่ธรรม์อย่าได้ลุ่มหลงมนตร์มายาของภูตผีปิศาจพวกนี้อีกเลย เลิกเสียเถอะ”

พร้อมกับคำ หมอเกตุก็ฉวยตำรามหาขันธ์โลกธาตุไปเสียจากมือทรงธรรม

คนถูกแย่งรีบคว้าคืน พอได้มาก็รีบซุกซ่อนไว้ข้างหลัง

“เรื่องอะไรจะมาเอาคืนกันง่าย ที่พูดมาทั้งหมดน่ะ มีหลักฐานที่ไหน”

“ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก...”

เสียงของหมอผีหนุ่มรุ่นน้องอ่อนลง เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของหนุ่มรุ่นพี่ที่ริอ่านจะคบกับผีจริงจัง

“...แต่ข้าว่าห่างๆ กันไว้บ้างก็ดีนะ”

“เออน่า ว่าแต่เอ็งเถอะ ก็ตั้งใจอ่านตำรับตำราแล้วกัน เผื่อข้ามีอันเป็นอย่างที่เอ็งพยายามกล่าวหานี่จริงๆ จะได้คอยช่วยเหลือกัน ข้าจะยอมเป็นตัวให้เอ็งได้ทดลองวิชา”

ทรงธรรมพยายามทำให้หมอเกตุเห็นเป็นเรื่องขำขัน แต่หนุ่มรุ่นน้องยังตีสีหน้าจริงจัง

“เออ! เตือนกันไม่ฟังก็แล้วไป”

หมอเกตุอาคมสุดจะทน สำทับไว้แค่นั้น แล้วก็เดินออกไปจากห้อง

แต่ถึงอย่างนั้น ทรงธรรมยังเห็นว่า ความวิตกกังวลของหนุ่มรุ่นน้องเป็นแค่เรื่องหาสาระไม่ได้ จึงยังส่งเสียงไล่หลัง

“แล้วก็รักษาเนื้อรักษาตัว อย่าให้เจ็บไข้ได้ป่วย ไปเสียก่อนคนที่กำลังถูกของถูกคุณอย่างข้าล่ะ!”



*******************

*ตอนหนึ่งจาก “บทชวนรักชาติ”
**ตอนหนึ่งจาก “LOVE OF RACE AND FATHERLAND”
ทั้งสองเรื่องเป็นบทพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงแปล “บทชวนรักชาติ” เป็นภาษาอังกฤษอย่างความตรงกันวรรคต่อวรรค



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มี.ค. 2555, 13:57:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มี.ค. 2555, 13:57:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1307





<< บทที่ ๐๙   บทที่ ๑๑ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account