ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๑




เมื่อได้ตำรามหาขันธ์โลกธาตุมาแล้ว ทรงธรรมก็อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ สลับเปลี่ยนกับตำรับตำราสำหรับการสอบเลื่อนขั้น ทั้งยังต้องพาบรรดาผีสาวเที่ยวเล่นสนุกในตอนกลางคืน ทำให้แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน

หลังจากที่ชนะคุณหลวงทั้งสองนั่น เขาก็ค่อนข้างย่ามใจ ว่าเจ้าคุณอเนกคุณากรคงจะเลิกใจไม้ไส้ระกำกับตน เพราะวันที่ประลองกันนั่น อุ่นเรือนก็แสดงให้เห็นต่อหน้าธารกำนัลอยู่แล้วชัดๆ ว่าสนิทสนมกับเขาถึงขนาดไหน

จนหลายวันผ่านไป ที่ทรงธรรมยังวนเวียนอยู่กับกิจวัตรเดิมๆ คือท่องตำรา อ่านหนังสือมหาขันธ์โลกธาตุและเล่นสนุกกับบรรดาผีประจำบ้าน

การมีกิจวัตรอยู่ดังนั้น ทำให้บ่ายวันนี้ที่อากาศแสนจะปลอดโปร่ง สายลมชื่นรำเพยพัด หลังมื้อกลางวันซึ่งเจ้าคุณอเนกให้คนคอยจัดการไว้เสร็จสรรพ ทรงธรรมจึงมานั่งสัปหงกอยู่ตรงเฉลียงด้านหลังเรือนตึก

รู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่อยู่ปลายจมูก เขาปัดไล่ทั้งที่ยังหลับตา อยู่ในท่านั่งอิงๆ เอียงๆ อยู่กับหมอนสามเหลี่ยมใบโต แต่เหมือนยิ่งปัดก็ยิ่งไต่ จนทรงธรรมต้องย่นจมูก ระบายลมออกมาแรงๆ และออกปากขับไล่

“อย่าเพิ่งมากวนกันน่ะแม่แสง พี่ของีบสักประเดี๋ยว”

เพราะคลุกคลีกันอยู่ทุกวันๆ สนิทสนมกันมากพอจะแกล้งหยอกล้อกันดังนั้น ทรงธรรมจึงออกปากไป โดยไม่ยอมลืมตาให้เห็นชัด ว่าใครกันแน่ที่กำลังใช้ปลายดอกหญ้า เขี่ยแกล้งอยู่อย่างนั้น

แล้วความรู้สึกเหมือนมดไต่อยู่ที่ปลายจมูกก็หายไป ทรงธรรมกำลังจะเคลิ้มได้อีกครั้ง คราวนี้เหมือนมีน้ำหยดลงบนแก้ม

“แม่แสงนี่ยังไร พี่จะนอน ขอพี่นอนก็ไม่ได้...”

ไม่ทันจบคำดี น้ำทั้งขันก็สาดโครมลงทั้งตัว พร้อมกับเสียงคล้ายๆ หวีดๆ กรีดๆ ตวาดๆ ปะปนกันจนทรงธรรมแทบตั้งตัวไม่ติด

“บอกมานะ บอกมาเลยว่าใครคือแม่แสง แม่แสงคือใคร!!!”

เป็นอุ่นเรื่อนนั่นเอง ที่เห็นว่าทรงธรรมหายหน้าไป จึงมาเยี่ยมหา

ต้องเรียกว่าเป็นอาการผวาตื่น ที่ลืมตาขึ้นปุ๊บ ก็พบกับเหตุไม่คาดคิด จนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก

“ใคร! ใครคือแม่แสง แม่แสงคือใคร!”

ทรงธรรมทวนคำของอุ่นเรือน ยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น

ภาพตรงหน้าคือหญิงสาวที่ตนตั้งใจจะร่วมชีวิตด้วย กำลังทำหน้าตาถ:-)ทึง อย่างกับนางยักษ์ที่พร้อมจะกินเลือดกินเนื้อ

“ก็คือผู้หญิงคนที่พี่ธรรม์เอามาซุกมาซ่อนไว้ที่เรือนตึกนี่ไงล่ะ! ใช่ไหม!”

อุ่นเรือนทั้งตะคอกทั้งตวาด ทุบถองทรงธรรมเป็นพัลวัน

“ไม่มี้... ไม่มี แม่อุ่นเอาที่ไหนมาพูด”

เมื่อยังนึกข้อแก้ตัวไม่ทัน ก็จำเป็นต้องพูดอะไรก็ได้ออกไปก่อน

“ยังจะมาปากแข็งอีก เมื่อกี้ พี่ธรรม์ยังละเมอชื่อนี้ออกมา!”

ทรงธรรมรู้สึกว่าตัวเองคงหน้าซีด และตัวหดเล็กลงอีกมาก

“พี่ธรรม์ต้องเอามาซุกมาซ่อนไว้ในเรือนตึกนี้แน่ๆ ไหนล่ะ มันอยู่ไหน”

แล้วอุ่นเรือนก็เลิกสนใจชายหนุ่มตรงหน้าอีกต่อไป ผลุนผลันออกจากห้อง ด้วยท่าทางของนางเสือร้ายที่กำลังออกไปล่าเหยื่อ

“เดี๋ยว ประเดี๋ยวก่อน แม่อุ่น อย่างเพิ่งไป มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

ทรงธรรมถลาตาม

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ นังแสง! นังแสง! กล้าดียังไง!”

อุ่นเรือนผลักบานประตูทุกบาน ร้องเร่งเข้าไปทุกห้อง พอหลายห้องเข้ายังไม่มีทีท่าจะเจอ ก็หันมาตวาดเอากับทรงธรรมอีกครั้ง

“พี่ธรรม์ ไอ้พี่ธรรม์ บอกมานะว่าเอานังนั่นไปซ่อนไว้ที่ไหน”

โวยวายไปก็ไล่เปิดไปทีละห้อง กระทั่งเปิดเข้ามายังห้องที่เจ้าหลงเล่นอะไรก็อกแก็กอยู่คนเดียว ดีที่อุ่นเรือนหันกลับมาตวาดใส่ทรงธรรมเสียก่อน จึงไม่ทันว่าผีเด็กชาย กำลังจะเตรียมแก้เผ็ดคนที่มารบกวนการเล่นของมันอย่างเต็มที่

“หนวกหูจัง! ผู้หญิงอะไร ปากคอ ท่าทางดุร้ายยิ่งกว่าผี!”

เพราะอุ่นเรือนหันมาด่าว่าทรงธรรมอีกสองสามคำ เขาจึงได้มีเวลาขยับเข้าขวาง กันประตูนั้นไว้เสียจากที่อุ่นเรือนจะได้ผลุบเข้าไป

หญิงสาวเจ้าอารมณ์เห็นดังนั้นก็ยิ่งโมโห

“ห้องนี้ละสินะ! ไหน มันอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

อุ่นเรือนตรงเข้าผลักทรงธรรม ไม่สนใจว่าเขากำลังทำท่าทำทางอย่างไร

ที่จริงเขากำลังพยายามส่งสัญญาณให้เจ้าหลงรู้ว่า จะจัดการเรื่องนี้เอง ขอให้ผีเด็กชายหลบไปเสียก่อน ซึ่งเจ้าหลงก็เข้าใจได้ทันที ซ่อนกายเข้ากับอากาศเปล่า พรางตนเองเอาไว้ไม่ให้ผู้หญิงที่อารมณ์เป็นฟืนเป็นไฟได้เห็น

ห้องนี้เป็นห้องที่ทรงธรรมใช้สำหรับให้บรรดาผีสาว ได้ฝึกหัดอ่านเขียน

“อะไร แล้วกระดาษพวกนี้มันคืออะไร!”

อุ่นเรือนตวาดแหว เมื่อเห็นบนโต๊ะเก้าอี้ มีอะไรเกลื่อนกลาดอยู่มากมาย

“ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็แค่กระดาษกับน้ำหมึก แค่รกไปหน่อยเดียว”

ทรงธรรมยังใจคอไม่ดีขึ้นเลย ตั้งแต่ถูกปลุดด้วยการสาดน้ำเข้าใส่

อุ่นเรือนฉวยกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง พออ่านแล้วก็ต้องรีบเอาแผ่นอื่นขึ้นมาอ่าน

“อะไรไม่มี นี่ไง ผกา มาลี บุปฝา พวกนี้เป็นใคร อ้อ...นี่ไง แสง...แสงเพ็ง!”

เพราะเป็นกระดาษที่ผีสาวแต่ละตน ใช้ฝึกหัดเขียนชื่อของตัวเอง จึงมีรอยหมึกยึกยือ เป็นชื่อที่อุ่นเรือนเอ่ยออกมา

“เห็นไหมเล่า นี่ไงแสงเพ็ง มีแสงเพ็งจริงๆ ด้วย”

คำว่า “แม่แสง” ยังชัดอยู่ในทั้งสองหู ทำให้อุ่นเรือนไม่ได้สนใจกับใครอื่น

“เถอะน่าแม่อุ่น ก็เห็นแล้วนี่ว่า ไม่ได้แค่แม่แสงเพ็งคนเดียวเท่านั้น”

พอหลุดปากออกไปก็อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกิน เพราะใจนั้นแม้จะอยากอธิบายว่า ไม่ได้อยู่กันตามลำพังกับแม่แสง แต่พอปากพูดไปดังนั้นก็รู้ว่าผิดท่า

“เออละสิ! ยังจะนังบุปฝา มาลี ผกา แล้วนี่ใครอีก กระถิน แส แสเสออะไร!”

ทำให้อุ่นเรือนเลยพลอยโวยวายฉีกทึ้งกระดาษที่เขียนชื่ออื่นๆ ไปด้วย

ทรงธรรมยิ่งห้าม ก็เหมือนยิ่งเอาน้ำมันไปราดกองไฟ ยิ่งปรามก็ดูเหมือนอารมณ์ของอุ่นเรือนยิ่งจะโหมไหม้ ร้อนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้บรรดาผีในเรือนตื่นกันหมดแล้ว เพราะเสียงโวยวายของหล่อน

“ผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว มาร้องกรีดกราด ไม่มียางอายเอาเสียเลย”

ผีกระถินบ่นดังๆ เพราะรู้ว่าทรงธรรมต้องได้ยินแน่ๆ

“นั่นมัน ชื่ออิฉัน อินังนั่น อย่านะ อย่าฉีก”

เป็นบุปผาที่โวยวาย แทบจะกระโดดเข้าไปหักคอคนที่กระทำกับชื่อของตนอยู่ดังนั้น

แต่ไม่ต้องรอให้ใครออกโรง คุณแสก็ตรงรี่เข้าไป

“รนมาหาที่เองชัดๆ”

ผีผู้เป็นใหญ่ในเรือนตึก กำลังโกรธจัด ดวงตาแดงดั่งไฟ เขี้ยวเล็บงอกยาว พร้อมจะประหัตประหาร

ทรงธรรมกระโจนเข้าขวาง

“เดี๋ยวๆ ประเดี๋ยวก่อนขอรับ อย่าทำร้ายแม่อุ่น กระผมขอร้อง”

อุ่นเรือนเองกำลังหน้ามืดตามัว ไม่ทันสังเกตว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน ได้ยินแว่วว่าทรงธรรมพูดอะไรก็ไม่รู้

“อะไร! ยังจะมาแก้ตัวอะไรอีกเล่า! ใคร ใครจะมาทำร้ายอะไรใคร”

คำนั้นของทรงธรรมทำให้แม่แสชะงัก ส่วนตัวเขาก็ยิ่งตระหนกใหญ่ หัวหมุนติ้วหาวิธีแก้ตัว แต่ก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน

“พี่นี่ไง พี่บอกกับตัวเอง เป็นตายยังไรก็จะไม่ทำร้ายแม่อุ่นให้เจ็บช้ำน้ำใจ”

เขาหวังว่าถ้อยคำนั้น จะทำให้อุ่นเรือนผ่อนอาการปึงปังลงได้บ้าง แต่ก็เปล่า

“ยิ่งพูดมายิ่งมีพิรุธ อย่ามาถ่วงเวลา ห้องนี้ไม่มีก็ต้องอยู่ห้องอื่น!”

แค่นั้นเธอก็เลิกสนใจอะไรๆ ในห้องนี้อีกต่อไป หันกลับออกจากห้อง คงจะรีบไปค้นในห้องต่อๆ ไปนั่นละ

ทรงธรรมเห็นแล้วว่าผีสาวทั้งเรือน มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมด ซ้ำแต่ละตนก็กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คงคันไม้คันมืออยากจะเล่นงานอุ่นเรือนจะแย่อยู่แล้ว

“คุณแสขอรับ พี่สาวน้องสาวทั้งหลาย ได้โปรดเถอะ เรื่องนี้ไว้ให้กระผมจัดการเอง”

ชายหนุ่มอ้อนวอน แทบจะกราบลงไปด้วยซ้ำ พอคุณแสกับแสงเพ็งพยักรับคำอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ ผีตนอื่นๆ จึงไม่ขยับตาม

อุ่นเรือนไล่ค้นดะมาจนถึงอีกห้องหนึ่ง ทรงธรรมก็รีบตามเข้ามาในห้อง เขาจำได้ดีว่า นี่น่าจะเป็นห้องส่วนตัวของสตรีสักคน ที่ถูกปล่อยให้รกร้างมากที่สุดในบรรดาทุกห้องในเรือนตึกบ้านอเนกคุณากรหลังนี้

“ออกมาเดี๋ยวนี้ อยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“แม่อุ่นใจเย็นๆ ก็พี่บอกแล้วว่า ไม่มีใครอื่น เรือนนี้มีแค่พี่คนเดียว”

“นี่ยังไร นี่ไงหลักฐาน”

เพราะการโมโหจนหน้ามืดตามัวมาตั้งแต่แรก พร้อมรื้อทำลายข้าวของนั่นนี่ทุกสิ่งอย่าง จนเจอเข้ากับภาพวาดเก่าคร่ำ โดยยังไม่รู้ว่าเป็นรูปใคร ก็ยังอุตส่าห์หันมาไล่เรียง หาความเอากับเขา

ที่อุ่นเรือนชูขึ้นให้เห็นชัดๆ คือภาพวาดของสตรีแสนสวยผู้หนึ่ง ที่ทรงธรรมเห็นปุ๊บก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร เมื่อคราวที่แล้ว ตอนเดินสำรวจ ที่เข้ามาแต่ยังไม่ได้พบ เพราะมันซ่อน ซ้อนอยู่บนกระดาษอะไรอีกหลายๆ แผ่น

ทรงธรรมรีบแย่งภาพวาดนั้นมาดู อาการนั้นทำให้อุ่นเรือนยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้น

“ทำไม! ไอ้พี่ธรรม์! ทำยังกะหลงรูปแทบจูบกระดาษ บอกมานะว่าใคร!”

เสียงของอุ่นเรือนไม่ได้เบาลงเลยจนนิดเดียว ตรงข้ามสีหน้าท่าทางยังยิ่งดุร้ายกว่าตอนแรกเสียด้วยซ้ำ

แต่ทรงธรรมกลับเห็นว่ามีบางอย่างที่สำคัญฉุกเฉินกว่า เขารีบหอบภาพวาดนั่นแล้ววิ่งหนีออกมา

“ไอ้พี่ธรรม์ ไอ้ธรรม์ จะหนีไปไหน!”

อุ่นเรือนแทบกระโจนตาม คำเรียกหานั้นไม่เหลือเยื่อใยพิศวาสอะไรอีกแล้ว

ทรงธรรมผลุบหลบเงียบอยู่ตรงเงามืดของมุมทางเดิน ทำให้อุ่นเรือนวิ่งผ่านเลยไปโดยไม่ทันได้สังเกต พอเขาหันกลับไปทางด้านมืด ก็เห็นบรรดาผีสาวชุมนุมรออยู่

“รูปนี้ใช่คุณแสหรือไม่ขอรับ”

เขารีบยื่นภาพวาดลายเส้นหมึกดำบนผ้าเนื้อดีให้ดู

คุณแสมีท่าทางตกใจหนัก ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นภาพนี้อีกครั้ง รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ในหัวหนักอึ้ง และมีภาพบางอย่างฉายปลาบไปมา คล้ายความมืดมิดยามถูกสายฟ้าแล่นผ่าน พอให้เห็นภาพรอบตัวได้ในพริบตา แล้วภาพทั้งนั้นก็ดับวูบไป

บางภาพเป็นหญิงสาวโฉมสะคราญ ทำท่าทางขัดเขินเอียงอาย ที่ต้องนั่งเป็นแบบ

บางภาพเป็นคนคู่หนึ่ง หยอกเย้าคลอเคลีย

บางภาพเป็นแก้วมีเชิงคู่หนึ่ง ตั้งวางและสะท้อนเงาสายตาของใครบางคน

ทว่าบางภาพ กลับหมองหม่นโศกเศร้า สองหนุ่มสาวนั้นท่าทางเหมือนกำลังตกสู่ความรวดร้าวสุดบรรยาย

“คุณแส คุณแสเจ้าคะ”

เสียงเรียกของแสงเพ็งดึงให้คุณแสกลับมาสู่เรื่องราวตรงหน้า

“เหมือน... เหมือนจะเป็นข้าเอง”

ที่ไม่ค่อยมั่นใจในตอนแรก ดูเหมือนจะแจ่มชัดยิ่งขึ้น เมื่อภาพในหัวที่แล่นปลาบไปมานั้นยังสลับเวียนซ้ำไปซ้ำมา

“เป็นข้าเอง ทำไมภาพวาดนี้มาอยู่ที่นี่ได้”

ทรงธรรมก็พลอยใจเต้นระทึกไปด้วย เพราะความคิด ความเชื่อ ความฝังใจของคุณแสนั้นรุนแรง โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของบุรุษเพศ เขาพอจะเดาได้ว่า ตอนมีชีวิต คุณแสจะต้องมีเรื่องทุกข์ร้อนแสนสาหัสเกี่ยวกับเรื่องดังว่าเป็นแน่

“แล้ว... แล้วมันเกี่ยวกับตอนที่คุณแสยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ขอรับ”

คำถามนี้ของเขา ทำให้ภาพที่เวียนวนยิ่งอลหม่าน จากแสงแล่นแปลบปลาบ ก็กลับผสานเป็นแสงเดียว แล้วแผดจ้าจนคุณแสต้องหลับตาหลบ ปวดจี๊ดตรงสองข้างขมับ รวดร้าวไปหมดทั้งศีรษะ

“ไม่... โอย! ไม่ ข้านึกอะไรไม่ออก”

คุณแสคราง ท่าทางทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก

“คุณแส คุณแสเจ้าคะ เป็นอะไรไป”

แสงเพ็งช่วยประคองคุณแสเอาไว้ ตอนที่เสียงอุ่นเรือนแว่วๆ ว่ากำลังวกกลับมา

“ไอ้ธรรม์ ไอ้ธรรม์ ไปหลบอยู่ที่ไหน!”

พอเจ้าของเสียงแล่นมาถึงตัว ผีทุกตนก็เลือนหาย เหลือไว้แต่ทรงธรรมที่ใช้ภาพนั้นเป็นฉาก กันตัวเองไว้จากมุมมองตรงทางเดิน

“ไอ้ธรรม์ ไอ้พี่ธรรม์ คิดว่าจะหลบพ้นรึ”

อุ่นเรือนตรงเข้ามากระชากแขนถาม

“ใคร ตกลงในรูปนี่ใครกัน!”

“ก็ เอ่อ!...”

ระหว่างยังอ้ำอึ้งก็ทำทีเป็นเดินไกลออกมาจากที่เดิม ลองพิจารณาร่องรอยอื่นๆ ในภาพวาด ในที่สุดก็เห็นลายมือเล็กๆ กำกับไว้ตรงมุมล่าง

“เดชา นี่ใช่ชื่อหรือเปล่า”

ทรงธรรมหันมาถามอุ่นเรือนอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“เดชา... เดชา... เป็นคุณปู่คนใหญ่ พี่ชายของท่านปู่”

“เห็นไหมเล่า ภาพนี้เป็นของลุงของพ่อแม่อุ่นเป็นคนวาด พี่ไม่เกี่ยวข้องด้วยสักหน่อยหนึ่ง”

ทรงธรรมจึงได้ที หันเหหัวเรื่องให้หญิงสาวหันมาสนใจ แต่เฉพาะเรื่องของภาพวาดนี้เพียงเท่านั้น

“อืมม์!... มันก็จริง แต่ว่า พี่ธรรม์ไม่มีผู้หญิงอื่นแน่นะ”

พออารมณ์ค่อยดีขึ้น สรรพนามที่ใช้เรียกขานก็พลอยกลับมาอ่อนหวานเหมือนเคย

“แม่อุ่น แม่อุ่นไม่ไว้ใจพี่หรือยังไร”

ทรงธรรมทำเสียงให้คนฟังรู้สึกว่าตนกำลังน้อยใจอยู่ไม่น้อย พลางก้มหน้าก้มตาเดินหนีมาให้ยิ่งไกลกว่าตรงที่เดิม

“ก็พี่ธรรม์น่ะ หลายวันก็หายหน้าไปเลย เจ้าคุณพ่อก็บอกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ให้ฉันอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน อย่าให้ใครมาครหาได้ว่า ริกๆ มาถึงเรือนชาย”

“พี่กำลังมุอ่านตำราอยู่หนักนัก ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของเรายังไรเล่า”

เขาแกล้งจับแล้วเขย่าที่ปลายคางของหญิงสาวเบาๆ

“พี่ธรรม์ไม่ได้พูดเท็จแน่นะคะ”

“ก็พี่เคยหลอกแม่อุ่นหรือเปล่าเล่า”

ทรงธรรมวางภาพวาดนั้นไว้ทางหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์อารมณ์ของอุ่นเรือนเริ่มคลี่คลาย ก็ชวนกันเดินไปจากตรงนั้น

ผีสาวที่ตามสังเกตการณ์ต่างรู้สึกโล่งอก แสงเพ็งเข้ามาหยิบภาพวาดนั่นขึ้นพิจารณาอีกครั้ง เมื่อยื่นให้คุณแส นางก็รับไปเพ่งดูเหมือนคนที่ถูกมนตร์สะกด

เวลาล่วงไปจนเย็นย่ำ กระทั่งตอนนี้ทรงธรรมก็ยังไม่กลับมาที่เรือนตึก ผีสาวอื่นๆ ยังไม่ตื่นจากนิทรา เจ้าหลงก็ไม่รู้ไปหลบนอนอยู่ที่ห้องไหน มีแต่แสงเพ็งกับคุณแส ที่นำภาพวาดเหมือนนั้นมานั่งพิจารณากันอีกครั้ง

“คุณแสเจ้าคะ จำได้บ้างไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำไมภาพนี้ถึงเป็นภาพเหมือนของคุณแสไปได้”

“ข้าก็ไม่รู้...”

คนตอบยังมีท่าทางงุนงงสงสัยอยู่ไม่คลาย

“จำอะไรไม่ได้เลย...”

ขณะที่ตอบคำนั้น บางภาพที่ฉายปลาบก็ปรากฏขึ้นอีก

ชายหนุ่มรูปร่างงามคมสัน หน้าตาหน่วยก้านบอกว่าเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ กำลังส่งยิ้มหวานละไมมาให้ ขณะที่มือกำลังบรรจงแต่งแต้มรูปริมฝีปากของหญิงสาว

แบบที่วาดนั้นคือคุณแส พอเขาวาดเสร็จ ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความพอใจ ยังเรียกให้นางเดินเข้ามาดูใกล้ๆ

“แม่แส ดูสิ เหมือนแม่แสหรือไม่”

“วาดได้สวยมากเลยเจ้าค่ะ ขอบพระคุณค่ะคุณท่าน”

ภาพในมโน คือคุณแสดีใจนักหนา พร้อมกับเขินอายอยู่มาก ที่มีชายหนุ่มผู้มียศศักดิ์ มาวาดรูปเหมือนไว้ให้ ทั้งยังได้ใช้เวลาอยู่กับตนเองเป็นครึ่งค่อนวัน

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ก็พี่น่ะรัก...”

แล้วก็ขาดคำไปแค่นั้น เพราะประตูถูกผลักเปิดเข้ามาอย่างแรง

สตรีผู้หนึ่งผลุนผลันเข้ามา มีบ่าวสองคนตามติด พอเห็นหน้าคนในห้อง ก็ชี้หน้า

“นางแพศยา!...”

คำนั้นต้องด่าแม่แสเป็นแน่ คุณแสพลอยรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ

“กลับ! เจ้าคุณคะ กลับเรือนเราบัดเดี๋ยวนี้!”

เสียงนั้นเหี้ยมเกรียมเฉียบขาด ในแบบที่สามารถกดสามีไว้ในอำนาจได้แน่ๆ

“คุณปราง คุณปรางเข้าใจผิดนะเจ้าคะ”

แม่แสในมโน พยายามอธิบาย แต่คุณปรางผู้เป็นเอกภริยาของเจ้าคุณเดชาไม่ได้ฟัง กลับตบฝ่ามือฉาดใหญ่ลงเต็มแก้ม

แม่แสหน้าสะบัด กระนั้นก็ยังไม่กล้าจะตอบโต้

คุณปรางไม่สนใจอะไรอีก ฉุดกระชากให้เจ้าคุณเดชาเดินตามกลับออกไป

ทิ้งให้คนที่เหลืออยู่เดียวดาย ต้องทรุดกายลงกับที่ ก็ตรงที่เดิมกับที่คนที่นางรักสุดหัวใจ ใช้เป็นที่นั่งวาดรูปนี้ของนางนั่นละ แม่แสพิจารณาภาพนั้นอย่างเศร้าสร้อย บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่า ถ้าผิดที่คิดจะรักกับเจ้าคุณเดชา... ก็ควรจะบอกกล่าวห้ามปราม ไม่ใช่หุนหันมาเป็นพายุ แล้วก็หายกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้ามีลมหายใจคุณแสคงถอนหายใจยาว ภาพวาดตรงหน้าที่ใหม่เอี่ยมอยู่ในสายตา ค่อยกลับหม่นหมองลงด้วยความเก่าแก่ เพราะห้วงความคิดของนางค่อยๆ กลับมาสู่ปัจจุบัน

“คุณแสเจ้าคะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

สิ้นเสียงถามของแสงเพ็ง น้ำตาของคุณแสก็ร่วงพรู ทั้งอับอายทั้งเจ็บช้ำ ทั้งเคียดแค้นทั้งหมองหม่น ระคนปนเปกันไปหมด

“ไม่มีอะไรหรอกแม่แสง เหมือนข้านึกเรื่องอะไรเก่าๆ ได้นิดหน่อยน่ะ”

คุณแสพยายามทำน้ำเสียงให้เข้มแข็ง ปาดเช็ดน้ำตาออกจากสองข้างแก้ม

“แล้วคุณแสนึกอะไรได้...”

“ก็... ก็ไม่รู้... ข้าไม่แน่ใจ เหมือนนึกได้แค่... เล็กน้อยเท่านั้น”

คุณแสไม่กล้าบอกหรอกว่านึกเห็นภาพใดอยู่ในหัว ขณะที่ในหัวใจก็ยังสะทกสะเทือนอยู่ไม่รู้แล้ว

“พอ พอจะคิดทบทวนต่อไป ก็ปวดหัวมากเหลือเกิน”

“อย่างนั้นก็อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยเจ้าค่ะ”

แสงเพ็งแตะแขนของคุณแสเบาๆ แม้จะไม่มีเลือดมีเนื้อ แต่คุณแสก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ผีสาวส่งมาให้

“ข้าดีขึ้นแล้วละแม่แสง ไม่เห็นไรแล้วละ”

“ดีขึ้นก็ดีแล้วละเจ้าค่ะ แต่นี่...ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมพี่ธรรม์ยังไม่กลับมา”

อยู่ๆ แสงเพ็งก็เปลี่ยนเรื่อง

“ไหนเคยบอกว่าจะมาทุกคืน เล่นบ้างเรียนบ้าง อยู่ๆ มาหายไปอย่างนี้ น่าโมโหนะเจ้าคะ”

พร้อมกับที่พูด อาการแง่งอนที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว ก็ทำให้คุณแสกลับมากังวลกับเรื่องของแสงเพ็งมากกว่าของตนเอง

“แม่แสง แม่แสงคิดถึงคุณทรงธรรมใช่หรือไม่”

คุณแสถามจริงจัง จนทำให้ผีสาวเริ่มรู้สึกตัวว่า สิ่งที่พูดจาและแสดงออกอยู่เมื่อครู่ คงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก

เธอก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถาม ทำให้คุณแสต้องลุกขึ้นมาจับเธอไว้นิ่งๆ ประสานสายตาตรงๆ พร้อมกับเอ่ยคำ

“แสงเพ็ง เมื่อกี้ก็เห็นแล้วว่า ในสายตาของทรงธรรมมีแต่แม่อุ่นนั่นเพียงคนเดียว”

ผีสาวหน้าเสีย และในนาทีต่อมาก็เปลี่ยนเป็นระคนเศร้า

“แม่แสงก็รู้ เดิมที่แม่แสงกับทรงธรรมไม่เคยพบปะ เรียกได้ว่าอยู่คนละภพภูมิอย่างสิ้นเชิง แล้วอย่างนี้จะลงเอยกันไปได้ยังไร”

ประโยคท้ายทำให้แสงเพ็งต้องรีบค้าน

“ไม่ใช่นะเจ้าคะ พี่ธรรม์เขาอยู่กับเราที่นี่ ก็ดูเขามีความสุขดี...”

“แม่แสง... ถ้าแม่แสงเป็นแบบนี้ ฝ่ายเราเองที่จะมีแต่ความเจ็บปวด”

คุณแสกล่าวกับผีสาวต่อไป อย่างคนที่เข้าใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามเป็นอันดี

“คุณแสเจ้าขา คุณแสก็อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ ดีฉันว่าผู้ชายไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคนหรอก”

แสงเพ็งก็พอจะเดาเรื่องราวแต่หนหลังของคุณแสได้ จึงพยายามโน้มน้าว

คุณแสจึงถึงแก่อับจนถ้อยคำ ไม่รู้จะตักเตือนอย่างไร ถึงจะทำให้แสงเพ็งเข้าใจได้ว่าที่แท้แล้ว

“ความรักนั้นคือความทุกข์”




ที่ทรงธรรมหายหน้าไปในคืนนี้ ก็เพราะมีอันที่จะต้องติดไปกับอุ่นเรือน

เป็นงานสังสรรค์ที่ถูกจัดแจงนัดหมายขึ้น โดยบ่าวจากบ้านเจ้าคุณอเนกคุณากร ส่งหนังสือเชิญ ให้ไปพบกันที่ร้านหรูหราแถวย่านถนนเฟื่องนคร ทั้งนี้ก็เป็นอุ่นเรือนที่เป็นคนจัดแจงสั่งการ

“การสอบบรรจุอะไรๆ สมัยนี้น่ะ มันอยู่ที่เส้นสาย ไม่ได้อยู่ที่ความรู้หรอก”

มิตรผู้หนึ่งของทรงธรรมเอ่ยขึ้นกลางวงสนทนา อันมีสุรายาเมาครบถ้วน วางเรียงรายให้เลือกลองลิ้มชิมรสอยู่เต็มโต๊ะ

“คนเรา ต้องเชื่อมั่นในวิชาการความรู้ คนใช้เส้นสาย ต่อให้ผ่านเข้าไปได้ ก็ใช่ว่าจะเจริญในหน้าที่การงานทุกคนไป โดยเฉพาะพวกเรา อุตส่าห์พากเพียรเขียนอ่าน ความรู้สรรพวิชาของชาวยุโรป ก็รู้ถี่ถ้วนไม่อายใคร”

ทรงธรรมกล่าวแก้ หลายวันมานี้เขาเหมือนคิดอะไรกระจ่างแจ้งได้หลายอย่าง

“ทำไมน้ำเสียงของเอ็งไม่เหมือนเมื่อก่อนเล่าไอ้ธรรม์ ไม่เจอกันไม่กี่วัน เปลี่ยนไปขนาดนี้ หรือว่า... หรือว่าไปโดนผีสิงเข้าแล้ว”

อีกคนพูดขึ้นบ้าง ข่าวเรื่องที่เขาไปอาศัยในบ้านผีสิงเรือนตึกนั่น ย่อมรู้กันแพร่หลายในหมู่เพื่อนเรียนร่วมรุ่น

กับคำถามนี้ ทรงธรรมเองก็ทำหน้าไม่ถูก ดีว่าเพื่อนอีกคนช่วยขัดขึ้นเสียก่อน

“พี่ธรรม์ไปเจอผีที่ไหนเล่า...”

คนนี้ถือเป็นรุ่นน้อง จึงเรียนทรงธรรมแบบยกย่องกว่าใครอื่น

“...โน่นสิ เพราะไปเจอโน่น”

คนพูดพยักเพยิดไปอีกโต๊ะหนึ่ง ชวนให้ทุกคนในวงเหล้าพากันมองตาม

“เพราะไปได้พักพิงกับตระกูลขุนนางผู้ใหญ่ พี่ธรรม์เขาถึงดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องนี้สักเท่าไร ไม่เหมือนพวกเราๆ...”

เรื่องเดิมที่ทุกคนรู้ว่าอุ่นเรือนเป็นสตรีตั้งแต่แรกนั้น เป็นอันว่ายกไว้ไม่ต้องเอามาพูด เพราะการได้คบหากับอุ่นเรือน มีแต่จะพากันได้กับได้ ดูอย่างวันนี้เป็นต้น ใครก็ต้องนึกออก ว่าเป็นฝีมือการจัดการของธิดาเจ้าคุณอเนกคุณากร

“เอ็งพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก”

ทรงธรรมรีบแก้ต่างให้ตัวเอง

“ข้ามีที่พึ่งตรงไหนกันเล่า”

“อย่ามาทำเฉไฉเลยน่า ที่พึ่งของพี่ธรรม์ก็นั่นยังไรเล่า”

พอทรงธรรมปฏิเสธ เจ้าหนุ่มรุ่นน้องเลยชี้เอาตรงๆ

อีกโต๊ะเป็นอุ่นเรือนที่ตอนนี้แต่งเป็นเพศชาย กำลังคุยอยู่กับเพื่อนฝูงอย่างออกรส

เมื่อเห็นสายตาหมิ่นแคลนของบรรดาเพื่อนๆ ร่วมวง ตอนที่หันกลับมาจะคุยกันอีกครั้ง ทรงธรรมเลยมีอันทนนั่งเฉยอยู่ไม่ได้ ต้องลุกไปทางอุ่นเรือน แล้วสะกิดเรียกให้มาคุยกันสักนิด

“แม่อุ่น... เอ่อ... ไอ้อุ่น เอ็งไปป่าวประกาศหรือว่าพี่... เอ่อ... ข้ามีเส้นสาย”

เขาใช้คำเรียกคำแทนไม่ค่อยจะถูก เพราะชินกับอุ่นเรือนในเพศสตรีแล้วมากกว่า

กับคำถามนี้ไอ้อุ่นหรืออุ่นเรือน ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านแต่ประการใด

“ก็จริงนี่นา เจ้าคุณพ่อของข้าน่ะไม่ธรรมดา แค่ท่านเอ่ยปาก ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องยินยอมทั้งนั้นละ พอสอบผ่านของที่โบสถ์แล้ว อยากจะเข้ากรมกองไหน พี่ธรรม์ก็ไปลงชื่อไว้แค่นั้น ที่เหลือเจ้าคุณพ่อคงจะจัดการให้เอง”

“อย่างนั้นมันจะดีหรือ”

เขาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“แล้วมันจะไม่ดีตรงไหน ที่มานั่งกินนั่งดื่มกันอยู่นี้ ก็หวังจะเอาไปบอกกันทั้งนั้น ว่าเจ้าคุณอเนกเคยเชิญมากินเลี้ยง”

พูดจบก็พอดีที่มีเพื่อนอีกโต๊ะเรียกให้อุ่นเรือนเข้าไปคุยด้วยเสียก่อน ทรงธรรมเลยไม่มีโอกาสได้พูดจาอะไรด้วยอีก




ขณะที่ยังเฝ้ารอการกลับมาของทรงธรรม แสงเพ็งก็ใช้เวลานั้นจัดเก็บตำรับตำราของเขาให้เป็นระเบียบ ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายหรือเมื่อยล้า ที่จริงกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ ที่ได้ทำอะไรๆ ให้กับชายหนุ่ม

ระหว่างบรรจงเช็ดคราบหมึกออกจากปลายปากกาคอแร้ง ใจเธอก็นึกไปถึงภาพวันเก่าๆ ที่เคยมีร่วมกับทรงธรรม แต่ละภาพนั้น นึกขึ้นมาครั้งไร ก็มีความสุขขึ้นมาเมื่อนั้น

อย่างในครั้งแรกที่ออกไปด้วยกันนั่น เพราะเจ้าเต่ามึนงงตัวนั้น ที่ทำให้ได้เห็นว่าเขาก็เป็นห่วงเป็นใยเธอไม่น้อย

แสงเพ็งเผลอยกมือข้างที่เคยเจ็บร้อนเพราะแสงพระอาทิตย์ ที่ทรงธรรมเคยประคองขึ้นมาเป่าปลอบ ขึ้นมาแนบกับแก้ม รู้สึกราวกับว่าลมหมายใจอุ่นๆ นั้น ยังอวลอยู่ไม่รู้คลาย

ยังวันที่พาไปดูพลุวัดสังเวชนั่นก็อีก ได้ยิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะหัวใคร่กันอย่างสนุกสนาน จนคล้ายกับว่าวันคืนนั้น จะเป็นนิรันดร์กาลแห่งความสุขความสมหวัง ได้เต้นได้รำ ได้ร้องได้บันเทิง ได้รื่นเริงหัวใจอยู่ด้วยกันตั้งครึ่งคืนค่อนคืน

คิดไปนึกไป แสงเพ็งก็อมยิ้มไป ในหัวใจไม่เคยรู้สึกเป็นสุขอะไรเหมือนอย่างนี้เลย

“แม่แสง...”

เสียงเรียกทำให้ผีสาวหันกลับมาทั้งที่ยังอมยิ้ม

“...ทำไมยังอยู่ตรงนี้เล่า”

เพราะเป็นเวลาค่อนดึกไปแล้ว ทำให้ทรงธรรมถามออกไปดังนั้น

“ฉันก็รอพี่อยู่ยังไรเล่า ที่จริงพวกพี่ๆ เขาก็รอพี่ธรรม์อยู่เหมือนกัน”

จะชื่นใจอะไรเท่ากับการเห็นว่า ในที่สุดเขาก็กลับมาจนได้

“เผอิญพี่มีธุระน่ะ อุ่นเรือนเขา... เอิ่มม์!...”

พอเอ่ยชื่ออุ่นเรือนออกมา เขาก็มีอันไม่รู้จะต่อถ้อยคำของตนเองออกไปอย่างไร เพราะยังไม่พอใจอยู่นัก ที่หล่อนไปป่าวประกาศว่าจะใช้เส้นสายให้เขาได้งานราชการ ถึงกับทะเลาะมีปากมีเสียงกันใหญ่โตทีเดียว ก่อนที่เขาจะขอแยกตัวกลับมาตามลำพัง

“ช่างเถอะ! ถึงบอกไป แม่แสงก็ไม่เข้าใจ”

พูดจบก็หันกลับ ไม่อยากให้ผีสาวเห็นว่าเขายุ่งยากใจถึงเพียงไหน

แสงเพ็งนิ่งอยู่อีกเป็นครู่ สิ่งที่คุณแสเคยบอกกลับมาดังอยู่ในหัว ที่ว่าในใจของชายหนุ่ม มีแต่อุ่นเรือนเพียงคนเดียว ท่าทางคำพูดนั้นคงไม่ไกลเกินความเป็นจริง

ทรงธรรมไปนั่งลงบนเก้าอี้นั่งเล่น รินน้ำดื่มดับกระหายและความระอุร้อนที่กลุ้มอยู่ในอก แสงเพ็งค่อยตามมายืนใกล้ มองหน้าเขาตรงๆ แล้วก็ถามขึ้นเบาๆ

“พี่ธรรม์คะ ใจจริงของพี่ธรรม์คงมีแต่คุณอุ่นเรือนคนเดียวกระมัง”

คำถามนั้นทำให้น้ำที่กำลังดื่ม เหมือนกลายเป็นก้อนอะไรแข็งๆ ที่กล้ำกลืนลงคอได้ยากเย็น

“แม่แสง ทำไมแม่แสงถามพี่อย่างนั้นเล่า”

ทรงธรรมเงยหน้าขึ้นถามกลับ ประสานสายตากับเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ

แสงเพ็งเป็นฝ่ายหลบสายตา คราวนี้ไม่ใช่เพราะความระคางเขิน แต่เป็นเพราะกลัวว่า เธอจะเห็นเงาของอุ่นเรือนอยู่ในหน่วยตาคมสวยนั่นต่างหาก

“ก็... เพราะว่าฉันคิดว่าคุณอุ่นเรือนมีความสำคัญกับความรู้สึกของพี่มาก ไม่ว่าพี่ธรรม์จะดีใจหรือเศร้าใจ ก็ล้วนเป็นเพราะคุณอุ่นเรือน...”

พอถึงประโยคสุดท้าย แสงเพ็งก็ทำใจได้กล้าพอจะมองเขาตรงๆ

“...แล้วพี่ธรรม์รู้หรือเปล่าว่า ยังมีคนอื่นที่เป็นห่วงพี่ธรรม์เหมือนกัน”

ต่างฝ่ายต่างนิ่งกันไปอีกนิดหนึ่ง ก่อนที่ทรงธรรมจะเอ่ยขึ้น

“พี่ก็ต้องรู้ซี”

คำตอบนี้ทำให้แสงเพ็งยิ้มชื่น ดีใจเหลือเกินที่เขาพอจะรับความรู้สึกของเธอได้บ้าง

ทรงธรรมเลื่อนเก้าอี้ให้แสงเพ็งนั่งลง ก่อนจะพูดต่อไปว่า

“ที่จริงพี่ก็นึกไม่ถึง ว่าคนกับผีจะอยู่ด้วยกันได้... แม่แสงวางใจเถิดนะ พี่จะหาทางช่วยให้แม่แสงไปเกิดให้ได้”

คำท้ายทำให้แสงเพ็งทำสีหน้าไม่ถูก ที่หลงเพลิดเพลินกับความรู้สึกอันอบอุ่นอยู่ตั้งนาน ที่แท้เขากลับคิดอยู่เพียงแค่เรื่องนั้น

“แต่... แต่ไปเกิดหรือไม่ มันไม่สำคัญสำหรับดีฉันหรอกนะคะพี่ธรรม์...”

แสงเพ็งรีบอธิบายเจตนาของตัวเอง

“...คนกับผีจะอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ หรือคะ... ที่จริงพวกเราก็...”

“พี่รู้ว่าแม่แสงต้องลำบากมากที่อยู่อย่างนี้ ดังนั้นแม่แสงวางใจได้เลย พี่จะช่วยอย่างเต็มที่”

ทรงธรรมขัดคำขึ้น โดยที่แสงเพ็งเดาไม่ออกเลยว่า ในตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“แต่ว่า... ตอนนี้พี่เหนื่อยมาก อยากจะนอนพัก”

อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่อุ่นเรือนสร้างให้ร้อนใจ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อหัวค่ำก็เป็นได้ ทำให้ทรงธรรมไม่สบายใจเลยที่จะคุยกับใครๆ

แสงเพ็งยังนั่งนิ่ง รู้สึกหดหู่และหม่นหมอง พยายามเหลือเกินที่จะทำความเข้าใจว่า เหตุไรเขาจึงไม่ยอมรับรู้ความรู้สึก ที่เธอมีต่อเขาเอาเสียเลย

“แม่แสง...”

จนทรงธรรมต้องเรียกซ้ำ แสงเพ็งถึงได้ขยับตัว

เขาเหมือนจะเห็นรอยน้ำตาจางๆ อยู่ในดวงตาหวานละมุน แต่ความเคร่งเครียดกับความคิดอ่านของตัวเอง ยังมีอิทธิพลอยู่มาก จึงได้แต่ถามเรียบๆ

“แม่แสง เป็นอะไรหรือเปล่า”

น้ำตาหยาดหนึ่งผล็อยหยดลงมา แล้วมลายหายเป็นหมอกควัน ดวงหน้าของผีสาวหม่นหมองลงจนเห็นได้ชัด

“เข้าใจแล้ว ดีฉันได้ยินแล้ว พี่ธรรม์พักผ่อนเถิดค่ะ”

แล้วเธอก็ค่อยลุกจากมา โดยที่ทรงธรรมไม่มีท่าทางว่าจะขยับลุกขึ้นส่ง เขายังนั่งจมอยู่กับความคิดของตนเองอยู่อย่างนั้น กระทั่งแม้จะหันกลับมามอง ส่งให้เธอกลับออกมาด้วยสายตาก็ยังไม่ทำ

แสงเพ็งได้แต่เสียใจนัก ที่ความรู้สึกอย่างที่น่าจะเรียกได้ว่าความรัก จะต้องมาลงเอยไปเช่นนี้


***********************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มี.ค. 2555, 09:10:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มี.ค. 2555, 09:10:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1360





<< บทที่ ๑๐   บทที่ ๑๒ >>
pseudolife 25 มี.ค. 2555, 10:34:12 น.
โอ๊ยน่าสงสารจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account