มายาหัวใจ
เขาคือใคร? คนร้ายหรือคนดี? หรือเขาจะเป็นคนที่ทำให้หัวใจเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล?
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2. ชายแปลกหน้ากับการมาอันน่าพิศวง

อันที่จริงการทำงานในบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศมันก็ไม่เลวเสมอไป จะว่าไปมันก็ดีกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้อยู่โข จะติดอยู่เรื่องเดียวนั่นก็คือการจราจรที่แสนอึดอัดและน่าเบื่อหน่ายของเมืองใหญ่ที่เห็นจะเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของทุกประเทศไปเสียแล้ว ญาดาเคยคิดที่จะย้ายมาอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเหมือนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แต่ก็ติดปัญหาอยู่ที่น้องสาว เพราะไม่อยากปล่อยให้ณาชาต้องอยู่ตามลำพัง ดังนั้นพี่สาวที่แสนดีอย่างญาดาจึงต้องยอมรับการจราจรอันแสนเลวร้ายในทุกวันของการทำงานให้ได้

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอจะต้องเข้าไปตรวจตราความสมบูรณ์เรียบร้อยของหนังสือนิตยสารตามตำแหน่งบรรณาธิการที่ทำอยู่ จะบอกว่าสนุกก็ไม่ใช่น่าเบื่อก็ไม่เชิง แต่มันเหมือนกับเป็นความชินชาที่จะต้องทำอยู่วัน กว่าห้าปีแล้วที่เธอเอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนเกือบลืมไปแล้วว่าการใช้ชีวิตในช่วงวัยหนุ่มสาวนั้นมันเป็นเช่นไร

“พี่ก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทำงานบ้างเหอะ บ้างานอย่างนี้เดี๋ยวก็ขึ้นคานกันพอดี” นั่นคือคำพูดของน้องสาววัยยี่สิบเอ็ดที่กำลังกลับมาจากการไปดูหนังรอบเย็นกับเพื่อนๆ

“มันเรื่องของพี่ จะขึ้นคานแล้วทำไม อย่างน้อยก็มีเงินให้เธอถลุงไปวันๆ ก็แล้วกัน อย่าบ่นมากนักเลย เดี๋ยวก็ลดค่ารายเดือนซะหรอก” ญาดาส่ายหัวกับท่าทางแก่นกะโหลกของน้องสาวที่กำลังปิดล๊อกประตูหน้าบ้านซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ทั้งคู่

“โหย...เอะอะก็จะลดเงิน แค่พูดแทงใจดำหน่อยเดียว” ณาชาในชุดนักศึกษาเบ้ปากใส่พี่สาวที่กำลังนั่งกินบะหมี่ที่ซื้อติดมาจากหน้าปากซอยอยู่บนโต๊ะเล็กหน้าโทรทัศน์ในห้องรับแขกด้วยความหมั่นไส้

“นี่ชา เธอไปตัดผมเพิ่มอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย ก็บอกแล้วว่าให้ไว้ยาวซะมั่ง ไม่เบื่อเหรอมีแต่คนทักว่าเป็นทอม”

“เท่ดีออก ทรงนี้เค้ากำลังเทรนไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนแก่อย่างพี่ญาก็ต้องไว้ผมยาวสิถูกแล้ว ผมสั้นไว้ให้วัยรุ่นเค้าตัดกัน” ณาชาพูดพลางเบ้ปากใส่พี่สาวพลางยื้อชามบะหมี่ไปกินต่อหน้าตาเฉย

“อย่ามาแย่งบะหมี่พี่นะ อยากกินก็ไปซื้อเองสิ” ญาดาโวยลั่น เมื่อเห็นน้องสาวตัวแสบเอาตัวเข้ามาบังหลังจากยึดชามบะหมี่ไปเรียบร้อยแล้ว

“ก็พี่อยากเห็นแก่ตัวซื้อมาห่อเดียวทำไมล่ะ ลืมไปแล้วเหรอว่ามีน้องอยู่อีกคนน่ะ” ณาชาพูดพลางเคี้ยวบะหมี่ตุ้ยๆ จนญาดาถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา

“ก็ถ้าเธอเดินให้ไปถึงห้องครัวอีกซักหน่อยก็คงจะเห็นบะหมี่อีกถุงวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวแล้วล่ะ”

“อ้าว จริงดิ” น้องสาวยิ้มแห้งๆ ขณะคีบเส้นบะหมี่ที่หลุดรุ่ยจากปากลงในชามก่อนจะส่งคืนพี่สาวด้วยหน้าตาอ้อนๆ

ญาดาส่ายหน้าอีกครั้งพร้อมรับชามบะหมี่คืนมาอย่างไม่รังเกียจรังงอน ก่อนจะลงมือจัดการบะหมี่ที่เหลือจนหมดชาม สองสาวนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆ ตามประสาพี่น้องที่มีกันแค่สองคนทั้งบ้าน ไหนจะเรื่องฝึกงานของณาชาที่กำลังจะเข้าสู่เทอมสองแต่ยังหาที่ฝึกงานไม่ได้สักที่ แล้วยังจะเรื่องที่เธอถูกทาบทามจากอีกบริษัทหนึ่งให้ไปประจำเป็นบรรณาธิการบริหารแต่ก็ต้องแลกกับการได้แยกจากน้องสาวอีก ทำให้คืนนี้สองสาวนั่งคุยกันเพลินจนลืมเวลา

“ทำไมพี่ไม่ตกลงกับเค้าไปล่ะ เงินดีจะตาย เค้าอุตส่าห์มาง้อพี่ขนาดนี้แล้ว” ณาชาที่นั่งเอกเขนกอยู่บนพื้นโดยเอาหลังพิงเบาะนั่งของโซฟาสีดำในบ้านพูดขึ้น ขณะเงยหน้าไปมองพี่สาวคนสวยที่นั่งอยู่ข้างบนด้วยความเป็นห่วง

“ก็ยังไม่อยากจากบ้านหลังนี้ไปนี่ คิดถึง ถ้าต้องแลกเงินอีกแปดพันกับการที่ต้องได้ไปอยู่ไกลบ้าน พี่เลือกที่ทำงานเดิมดีกว่า ถึงแม้จะไกลแต่ก็ยังพอนั่งรถไปได้” ญาดาให้เหตุผล ขณะกดรีโมตเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่เจอกับรายการที่ถูกใจ

“ก็แล้วแต่พี่ญานะ ชายังไงก็ได้” ณาชายักไหล่ แต่ทว่าแอบยิ้มอย่างถูกใจเงียบๆ อันที่จริงเธอก็เหมือนพี่สาวที่ไม่อยากจากบ้านนี้ไปไหน และที่สำคัญก็คือไม่อยากให้พี่สาวแยกจากตนไปไหนเลยต่างหาก

“ว่าแต่เราเถอะ สรุปจะไม่ฝึกงานที่บริษัทคุณประกอบจริงๆ ใช่มั้ย” ญาดาถามย้ำอีกครั้งด้วยกลัวว่าน้องสาวจะไม่จบเพราะมัวแต่เลือกที่ฝึกงานจนชวดไปหมด

“อีตานั่นหัวงูจะตายพี่ญา ชาไม่เอาหรอก ตอนนี้ก็รอบริษัทพี่ชายเพื่อนไปก่อน ถ้าเค้าเซย์เยสเมื่อไหร่ ชาก็จะลงที่นั่นทันทีเลย”

ญาดามองน้องสาวด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าณาชาเป็นคนเก่งแต่ยังไงก็เป็นเด็กผู้หญิง ไอ้การที่จะให้ไปอยู่ต่างถิ่นคนเดียวก็อดทำใจไม่ได้ ก็อย่างที่บอกว่าสองพี่น้องยังไม่เคยต้องจากกันไปไหนนานๆ แต่ด้วยสายที่ณาชาเรียนมามันก็ต้องออกพื้นที่เป็นประจำอยู่แล้ว ณาชาเลือกเรียนคณะโบราณคดีที่เธอชอบนักชอบหนาแต่กลับไปไม่เป็นที่โปรดปราณของพี่สาว เพราะหากว่าณาชาจบมาจะได้ทำงานใกล้ๆ บ้านนั่นคงเป็นเรื่องยากทีเดียว เสียแต่ว่าให้เธอไปเรียนต่อปริญญาโท เอก และกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้าน แต่ดูท่าทีแล้วณาชาคงจะเลือกตะลอนมากกว่าจะมานั่งจับเจ่าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแน่

ในขณะที่สองพี่น้องกำลังนั่งทุ่มเถียงกันเรื่องที่ฝึกงานของน้องสาว ทันใดนั้นพี่สาวก็ได้ยินเสียงคนร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาจากข้างบ้าน

“เดี๋ยวก่อนชา ได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า” ญาดายกมือขึ้นปรามน้องสาวที่กำลังจะอ้าปากเถียงเรื่องบริษัทคุณประกอบและบริษัทพี่ชายเพื่อน

“อะไรพี่ญา” เมื่อเห็นท่าทางของพี่สาว ณาชาก็หยุดการทุ่มเถียงทันที

“เมื่อกี้พี่ได้ยินเสียงคนร้องนะ ดังมากด้วย” สาวตัวเล็กผมยาวปรี่ไปยังหน้าต่างข้างบ้าน ค่อยๆ แหวกผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มเพื่อสอดส่องเหตุการณ์ด้านนอกด้วยความอยากรู้

บ้านของสองสาวเป็นบ้านจัดสรรที่ปลูกมานานกว่ายี่สิบปี ดังนั้นสภาพบ้านจึงดูทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา ตัวบ้านเป็นบ้านสองชั้นตามแปลนของบ้านจัดสรรทั่วไป ด้านหน้ามีพื้นที่ให้ปลูกต้นไม้เพียงนิดหน่อย ข้างบ้านก็ถูกทำเป็นโรงจอดรถที่ไม่เคยได้ใช้จอดรถจริงๆ สักครั้ง บ้านของพวกเธอเป็นบ้านที่อยู่สุดซอย รั้วด้านข้างติดกับพื้นที่รกร้างที่เคยเป็นห้างเล็กๆ แต่ทว่าก็เลิกกิจการไปนานร่วมสิบปีเห็นจะได้

“อย่าไปสนใจเลยพี่ญา ไอ้พวกพี้ยามันคงตีกันแน่เลย” ณาชาพยายามคิดไปในแง่อื่น เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงคนร้อง ส่วนมากก็จะเป็นไอ้พวกเด็กติดยาที่มาแอบสุมหัวกันอยู่ในห้างสรรพสินค้าร้างนั่นเอง

“จริงเหรอชา” ญาดายังคงไม่ปักใจเชื่อ พยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

“ช่วยด้วย...” คราวนี้สองพี่น้องได้ยินเต็มสองหู มันเป็นเสียงร้องของผู้ชายที่ระคนไปด้วยเจ็บปวด ทั้งญาดาและณาชาต่างมองหน้ากันวิตกกังวล เกรงว่าหากไม่ช่วยก็เกรงว่าจะเป็นเสียงของพลเมืองดีที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นอันธพาลดักทำร้าย แต่หากเข้าไปช่วยก็กลัวว่าจะเป็นกับดับของพวกเด็กเหลือขอพวกนั้น

“เอาไงดีอ่ะพี่ญา” คราวนี้ณาชาเป็นฝ่ายลุกลี้ลุกลน พยายามมองลอดช่องผ้าม่านที่แหวกเอาไว้เผื่อจะเห็นอะไรด้านนอก

“โอ๊ย! ช่วยด้วย!” แล้วเสียงร้องปริศนาก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะ ตอนนี้ญาดาเริ่มแน่ใจแล้วว่าคงไม่ใช่เธอบ้านเดียวที่ได้ยินเสียงนี้

“ลองโทรไปบ้านลุงป๋องซิชา เผื่อว่าเค้าจะได้ยินเหมือนเรา” สิ้นเสียงพี่สาว ณาชาก็ปรี่เข้าไปหาโทรศัพท์บ้านที่วางอยู่เคาน์เตอร์ข้างโทรทัศน์ ก่อนจะกดเบอร์ที่คุ้นเคยของคุณลุงที่ปลูกบ้านอยู่ตรงกันข้ามกันออกไปอย่างรวดเร็ว

“ฮัลโลลุงป๋องเหรอคะ” เสียงของสาวน้อยละล่ำละลัก

“ใช่ค่ะ ชากับพี่ญาก็ได้ยิน”

“เอาจริงเหรอคะลุง ถ้าเกิดว่ามันเป็นพวกติดยาล่ะ เราจะทำไง”

“ได้ค่ะได้ เดี๋ยวชาจะไปเตรียมไม้ก่อนนะ” พูดเสร็จณาชาก็วางโทรศัพท์ แล้วก็จ้ำอ้าวมาหาพี่สาวหน้าตาตื่น

“ลุงป๋องว่าไงบ้าง” ญาดาถามอย่างร้อนใจ เพราะเสียงขอความช่วยเหลือมันยังคงดังอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด

“ลุงป๋องบอกว่าให้เราหาไม้ออกไปสบทบกับคนข้างนอก รวมตัวกันไว้มันอุ่นใจกว่า” ได้ฟังดังนั้นญาดาก็พยักหน้า สองพี่น้องเตรียมตัวไปอย่างตามมีตามเกิด คนพี่ถือกระทะที่เพิ่งซื้อมาเพราะคำโฆษณาที่บอกว่าทอดไข่โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน แต่ทำไมมันถึงขัดคราบไข่ที่ติดจนไหม้ไม่ออก? ส่วนคนน้องก็หยิบเสียมที่เพิ่งจะขุดดินเอาต้นชมพู่มะเหมี่ยวลงปลูกไว้หน้าบ้านอย่างทะมัดทะแมง แล้วทั้งหมดก็เดินออกมาสมทบกับสมาชิกในหมู่บ้านอีกเจ็ดแปดคนกับอาวุธพร้อมมือที่รออยู่ก่อนแล้ว

“ชานึกว่าจะได้ยินเสียงอยู่บ้านเดียวซะแล้ว” ณาชาพูดพลางเดินมาสมทบอย่างกึ่งกลัวกึ่งกล้า

“เสียงดังจะตาย ใครที่ไหนจะไม่ได้ยินล่ะยัยชา” ลุงป๋อง คนขับแท็กซี่ร่างใหญ่ ผิวดำมะเมื่อม หน้าตาดุดัน แต่สวนทางกับนิสัยที่โอบอ้อมอารี เอ่ยขึ้นขณะหันไปพยักหน้าให้ผู้ชายอีกสามสี่คนที่ถือไม้อยู่ด้านหลังก่อนจะเดินนำออกไปยังต้นเสียงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของรั้ว

ญาดามองเพื่อนบ้านที่ออกมายืนเกาะกลุ่มกันอย่างหวั่นวิตก กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรไม่ดีเกิดขึ้น เธอยังไม่อยากย้ายบ้านในตอนนี้ นอกจากจะไม่มีเงินแล้ว เธอยังไม่อยากจากบ้านของพ่อแม่ไปไหนด้วย

ตอนนี้ลุงป๋องและเพื่อนบ้านผู้ชายกำลังพากันเอาบันไดลิงมาพาดบนรั้วเพื่อจะข้ามไปช่วยหนุ่มเคราะห์ร้าย แต่ยังไม่ทันที่ลุงป๋องจะได้ปีนข้ามขึ้นไป มือโชกเลือดของใครคนหนึ่งก็ตะกายมาจากรั้วฝั่งตรงกันข้ามเสียก่อน

“เฮ้ย!” ลุงป๋องร้องลั่นด้วยความตกใจ ร่างใหญ่ๆ เกือบพลัดตกลงมาจากบันไดลิง ดีที่มือยังยึดตัวเองเอาไว้ได้ก่อน ไม่งั้นลุงป๋องคนจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกหามส่งโรงพยาบาลไปด้วยกัน

เมื่อหายตกใจแล้วลุงป๋องก็รีบดึงร่างใหญ่ๆ ของชายหนุ่มที่โชกไปด้วยเลือดเต็มหน้า ขณะกำลังพยายามดันตัวเองให้พ้นจากขุมนรกอีกฟากหนึ่ง บรรดาผู้ชายที่ยืนออกันอยู่ด้านล่างต่างรีบปีนขึ้นไปช่วยดึงร่างของเขากันพัลวัน ก่อนลุงป๋องจะคว้าหนังสติ๊กที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋ากางเกงด้านหลังขึ้นมายิงไอ้พวกแก๊งวัยรุ่นอันธพาลที่ยืนจังก้าอยู่อีกฟากหนึ่งด้วยความโมโห

“ไปไกลๆ เลย ไอ้พวกสิ้นคิด! วันพรุ่งนี้พ่อจะให้ตำรวจมาลากคอเข้าตะรางให้หมดเลย!” ลุงป๋องตะโกนลั่น มือก็ยังไม่หยุดยิงหนังสติ๊กเพื่อไล่วัยรุ่นใจแตกไปให้ไกล เสียงด่าทอและเสียงสาปแช่งดังขึ้นมาจากกลุ่มวัยรุ่นสี่ห้าคนที่เริ่มล่าถอยออกไป เพราะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าศึกนี้พวกตนคงไม่รอดแน่หากว่ายังขืนดันทุรังอยู่อย่างนี้

“เฮ้ย! ไอ้หนุ่มเป็นไงบ้างวะ” หลังจากที่ช่วยกันดึงร่างเกือบไร้สติของหนุ่มนิรนามข้ามฟากมายังเขตของบ้านจัดสรรได้ ต่างคนก็ต่างกรูกันเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง จนลุงป๋องต้องกันคนส่วนหนึ่งออกไปเพราะเกรงว่าไอ้หนุ่มโชกเลือดจะขาดอากาศหายใจตายไปเสียก่อน

“เรียกรถพยาบาลเร็วเข้าสิ เลือดมันไหลไม่หยุดเลย!” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะดูจากสภาพของชายหนุ่มแล้วท่าทางจะรอดยาก

ได้ยินดังนั้นญาดาที่ยืนมองอยู่ด้วยความกลัวก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะเดินฝ่าผู้คนเข้าไปถามเบอร์โรงพยาบาลกับลุงป๋องผู้รอบรู้ทุกเรื่อง

“โรงพยาบาลเบอร์อะไรเหรอคะ” แม้จะพยายามข่มความกลัวเอาไว้ แต่ทว่าเสียงมันก็สั่นอย่างห้ามไม่ได้ ลุงป๋องได้ยินดังนั้นจึงตะโกนเรียกลูกสาวคนโตที่ยืนอยู่หน้าบ้านให้กลับเข้าไปจดเบอร์โรงพยาบาลออกมา ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้น จู่ๆ มือของหนุ่มโชคร้ายก็ยกขึ้นกลางอากาศราวกับจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง

“จะเอาอะไรเหรอไอ้หนุ่ม รอแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ถึงมือหมอแล้ว” ลุงป๋องที่กำลังใช้ผ้าขนหนูซับเลือดจากปากแผลเปิดที่ข้างขมับซ้ายพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง

“ช่วย...ผม...ด้วย...” เสียงแหบพร่าของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายดังขึ้นอีกครั้ง

“เออ ใจเย็นๆ สิวะ ก็ช่วยอยู่นี่ไง” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะช่วยเช็ดเลือดออกจากใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำสีแดงคล้ำ

“ช่วย...ผม...ด้วย...” แต่ชายหนุ่มนิรนามก็ยังไม่หยุดขอความช่วยเหลือ พร้อมกับค่อยๆ ผินหน้าไปมองยังหญิงสาวผมยาวร่างเล็กที่กำลังง่วนคุยอยู่กับโรงพยาบาลหน้าดำคร่ำเคร่ง

“บะ...ไอ้นี่! สงสัยจะถูกซ้อมเสียจนสมองกระทบกระเทือนเสียแล้วละมั้ง ก็บอกอยู่แหม๊บๆ ว่าเดี๋ยวจะพาไปส่งโรงพยาบาล” ลุงป๋องพูดพลางเปลี่ยนผ้าขนหนูผืนใหม่แทนผืนเก่าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด

แต่ทว่าฝ่ายคนที่กำลังเจ็บหนักก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดของคนที่ห้อมล้อมเข้ามาช่วย เขายกมือขึ้นชี้ไปยังหญิงสาวที่กำลังแจ้งที่อยู่ของคนเจ็บด้วยอาการหัวเสีย เพราะปลายทางไม่ยอมเข้าใจสักทีคนเจ็บอาการหนักแค่ไหน

“ช่วย...ผม...ด้วย...” หนุ่มเคราะห์ร้ายตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้น ขณะแขนก็ยังคงชี้ไปยังญาดาที่ยืนหันหลังให้อยู่ ก่อนจะรวบรวมกำลังที่มีอยู่ตะโกนออกไปอีกครั้ง

“ช่วย...ผม...ด้วย...ที่...รัก...” พูดเสร็จเขาก็สลบไป ปล่อยให้บรรดาเพื่อนบ้านทั้งหมดของหญิงสาวหันมามองคนที่เบิกตาโพลงกับประโยคสุดท้ายของชายแปลกหน้าด้วยความตกใจ!



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทายกันเช่นเดิมค่ะ
เรื่องนี้ตอนแรกตั้งใจจะให้เป็นแนวซึ้งๆ แต่ทำไม่ได้ กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้
ยังไงก็ลองลุ้นกันก่อนแล้วกันค่ะว่าจะออกมาแนวไหน 5555

ขอบคุณค่ะ จุ๊ฟๆๆๆ
( ดารานิล )
www.facebook.com/daranilday

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2555, 10:21:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2555, 11:38:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1560





<< 1. ความทรงจำที่แสนดี   3. ทำไมต้องเป็นฉัน? >>
konhin 15 มี.ค. 2555, 11:58:50 น.
มีชี้หน้าบอกว่าที่รักซะด้วย ใครหล่ะเนี่ีย


หมูอ้วน 15 มี.ค. 2555, 12:35:29 น.
จะเป็นพี่ภันต์หรือป่าวค่ะ


ดารานิล 15 มี.ค. 2555, 13:02:38 น.
ลุ้นกันตอนหน้านะคะ ^^


ปิลันธน์ 15 มี.ค. 2555, 15:09:22 น.
ชีวิตคนเราก็ต้องมีซึ้งบ้าง ฮาบ้าง จัดมาค่ะ ว่าแต่เลือดอาบขนาดนั้นจะรอดมาครบ32 ไหมหนอ...


Zephyr 15 มี.ค. 2555, 19:36:41 น.
ที่รัก? ใครอ่ะ? ญาดาเหรอ? หรือหนุ่มซวยคนนั้นจะเป็นพี่ภันต์
เอ บอกว่าเรื่องซึ้งไม่ใช่เหรอคะ ไหงตอนนี้เหมือน CSI เลยอ่า ดีนะ ยังไม่ตาย แค่สลบ แหงะ!!!


nunoi 15 มี.ค. 2555, 23:12:30 น.
ใครอ่ะ เรียกที่รักเลยเหรอ


ม่านฝัน 16 มี.ค. 2555, 11:15:46 น.
ใครนะ เป็นที่รัก รอตอนต่อไปนะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account