มายาหัวใจ
เขาคือใคร? คนร้ายหรือคนดี? หรือเขาจะเป็นคนที่ทำให้หัวใจเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล?
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 3. ทำไมต้องเป็นฉัน?


ถ้าหากว่าไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นไม่เรียกเธอว่าที่รักก่อนจะสลบไป เธอก็คงไม่ต้องมาเป็นธุระปะปังจนอดหลับอดนอนขนาดนี้แน่ ทั้งๆ ที่ก็ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน แต่ทว่าก็ยังถูกยัดเยียดภาระมาให้อย่างน่าโมโห สาบานได้เลยว่าหากเขาพ้นขีดอันตรายเมื่อไหร่ เธอจะทิ้งอย่างไม่แยแสเลยทีเดียว

“อ้าวจะไปไหนเหรอคะคุณญาดา” เสียงพยาบาลหน้าห้องไอซียูทักขึ้น หลังจากที่เห็นสาวสวยผมยาวทำท่าทางเหมือนคนกำลังจะหนี

“ไปห้องน้ำค่ะ” ญาดายิ้มแห้งๆ ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่น้องสาวที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่ตรงม้านั่งหน้าห้องไอซียู

ทำไมณาชาจะไม่รู้ว่าพี่สาวรู้สึกซวยแค่ไหนที่ต้องกลายมาเป็นคนรับผิดชอบผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้น แต่ก็อย่างว่าในเมื่อเขาดันเรียกพี่สาวเธอว่า ‘ที่รัก’ ในประโยคสุดท้าย ดังนั้นคนที่สมควรที่จะรับผิดชอบเรื่องราวทั้งหมดคงไม่หนีพี่เธอไปไหน แต่จะให้พูดก็พูดเถอะ...เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรที่เธอไม่รู้อยู่หรือเปล่า



เป็นเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ชายนิรนามหายเข้าไปในห้องไอซียูก่อนที่จะถูกส่งตัวต่อไปยังห้องพักฟื้น ช่วงเวลานี้มันทำให้ญาดาต้องคิดหนักเพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถระบุตัวผู้เคราะห์ร้ายได้ว่าชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน เนื่องจากกระเป๋าเงินถูกขโมยไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องกลายเป็นคนไข้อนาถาที่ไม่มีแม้แต่ญาติมิตรมาดูแล

“เอาไงดีล่ะพี่ญา สงสัยเราคงต้องรับผิดชอบอีตานี่จริงๆ แล้วล่ะมั้ง” ณาชาพูดขึ้นขณะเดินเข้าไปในห้องพักรวมที่แออัดไปด้วยเตียงคนไข้หลังจากที่พ้นวิกฤตเรียบร้อยแล้ว

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วทำไมลุงป๋อง น้าสุ ป้าสมร ถึงไม่มีใครมาช่วยกันรับภาระบ้างเลย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้จักนายนี่เหมือนกัน” ญาดาพูดอย่างหนักใจ สายตาก็จับจ้องไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำของคนที่นอนหยอดน้ำเกลืออยู่จนถ้าหากว่ารู้จักกันจริงๆ เธอก็คงจำไม่ได้เช่นกัน

“แต่ก็ยังดีไม่ใช่เหรอพี่ญา ที่ทางโรงพยาบาลรับตานี่ไว้เป็นคนไข้อนาถาอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียค่าโรงพยาบาลนะ”

“ถึงเราจะไม่เสียค่าโรงพยาบาล แล้วถ้าหากว่าความจำเสื่อมต้องมีคนดูแลขึ้นมาล่ะ เราจะทำยังไง แล้วทำไมต้องเป็นเราด้วย เราไม่ใช่มูลนิธิเพื่อปวงชนนะชา เงินของพี่ไม่ใช่ว่าจะมีมาก มันพอสำหรับเราสองคนเท่านั้น แถมเป็นใครก็ไม่รู้ มันไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของเรา”

“ก็อยู่ในความรับผิดชอบของคนในสังคมไงพี่ชา อย่างน้อยเค้าก็ไม่ได้ดูเป็นผู้ร้ายอะไรนี่ ตำรวจก็เอาหน้าไปเทียบกับประวัติคนร้ายแล้วก็ไม่ใช่ แล้วทำไมเราจะไม่ดูแลให้เค้าอาการดีขึ้นไปอีกซักพักล่ะ”

“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจนะชา ยังไงพี่ก็ไม่ไว้ใจหมอนี่ เราจะเอาเค้ากลับบ้านไม่ได้ พี่ไม่อนุญาต” ญาดายืนยันเสียงแข็ง เพราะเธอไม่อยากไว้ใจใครง่ายๆ ยิ่งคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเหมือนผู้ชายคนนี้ยิ่งแล้วใหญ่

“แล้วพี่จะปล่อยให้เค้าอยู่ตามมีตามเกิดที่นี่น่ะเหรอ ทำไมพี่ถึงเป็นคนใจร้ายจัง”

“ก็ถ้าใจร้ายแล้วมันเป็นผลดีต่อเราทั้งคู่ พี่ก็จะทำ”

“ทำไมพี่ญาไม่คิดกลับกันดูบ้างล่ะ ถ้าหากว่าพี่ญาเกิดถูกพวกวัยรุ่นซ้อมปางตายอย่างนี้ แต่กลับไม่มีใครซักคนมีน้ำใจกับพี่ญา พี่ญาจะรู้สึกยังไง” ณาชาโต้เสียงดังไม่ยอมท่าเดียว

“มันไม่เกี่ยวกัน ฟังพี่บ้างสิ”

“ทำไมมันจะไม่เกี่ยว พี่ญาก็หัดมีน้ำใจกับเพื่อนมนุษย์บ้าง อย่าเห็นแก่ตัวให้มันมากเลย”

สองพี่น้องเถียงกันอยู่นานโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้อง จนกระทั่งมีคุณป้าที่มาเฝ้าไข้หลานสาวอยู่เตียงติดกันต้องสะกิดเรียก

“หนูจ๊ะ ป้าว่าไปคุยกันข้างนอกให้รู้เรื่องก่อนดีกว่าเถอะ สงสารคนไข้เขาจะนอนพักกัน” เพียงเท่านั้นสองพี่น้องก็รีบขอโทษขอโพยใหญ่ ก่อนจะลากแขนกันออกไปฉะกันให้ได้ข้อสรุป

ทั้งญาดาและณาชาต่างก็หาเหตุผลมางัดข้อกันอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดพี่สาวก็ต้องยอมอ่อนให้น้องสาวเพราะด้วยเหตุผลทางด้านศีลธรรมอันดีแก่เพื่อนมนุษย์

“ตอนนี้ถือว่าพี่ยอมจะมาดูแลให้ก็แล้วกัน แล้วหลังจากนี้ล่ะเธอจะเอายังไง หลังจากเค้าหายแล้วจะให้ไปอยู่ไหน ถ้าเกิดเป็นคนจรจัดไม่มีบ้านอยู่แล้วต้องมาอยู่กับเราพี่ไม่เอานะ” ญาดารีบออกตัวก่อนเพราะกลัวว่าต่อมใจดีของน้องสาวจะทำงานเยี่ยมเกินเหตุ จนลืมนึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง

“โธ่พี่ญา ก็รอเค้าฟื้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็ได้นี่ ตอนนี้ก็ดูแลกันไปก่อน นะพี่ญาคนใจดี” ณาชารีบออดอ้อนใหญ่เพราะกลัวพี่สาวจะเปลี่ยนใจ

“นี่ถ้าไม่เห็นว่าการช่วยคนแล้วจะได้บุญอันยิ่งใหญ่พี่ไม่มีวันช่วยหรอก ไอ้เรานี่ก็เหลือเกินไม่ว่างแล้วยังมาทำเป็นใจบุญ คราวนี้เธอติดหนี้พี่อีกหนแล้วนะชา”

“ค้าาา” น้องสาวตัวยุ่งลากเสียงยาวก่อนจะพูดต่อ “แต่คนที่ติดหนี้พี่ญาจริงๆ น่ะไม่ใช่ชาซักหน่อย เป็นนายนี่ต่างหาก”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละน่า” ญาดาส่ายหัวน้อยๆ พลางยกมือขึ้นมายีผมสั้นของน้องสาวอย่างรักใคร่ ก่อนจะเดินเคียงกันออกไปขึ้นรถหน้าโรงพยาบาล



นับจากวันเกิดเหตุก็ผ่านมาเกือบเจ็ดวันแล้วแต่ทว่าชายนิรนามที่นอนเอนหลังอยู่บนเตียงคนป่วยในห้องพักรวมก็ยังไม่ยอมพูดยอมจาอะไรจนทำให้คนยืนอยู่ข้างเตียงถึงกับอารมณ์เสีย

“หมอก็บอกว่าสมองคุณไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรสแกนแล้วก็ปกติดี แต่ทำไมไม่ยอมพูดหรือว่าจะเป็นใบ้มาตั้งแต่เกิดไม่ทราบ” ญาดาพูดขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ นี่ขนาดยอมเสียสละเวลาอันมีค่าหลังเลิกงานเพื่อมาดูแลคนไข้ที่ไม่ค่อยสมประกอบเท่าไหร่นัก เขาก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“ถ้าไม่พูดอะไรก็แสดงว่าเป็นใบ้จริง แต่ขอถามหน่อยเถอะ เป็นใบ้ภาษาอะไร ทำไมถึงต้องเรียกฉันว่าที่รัก จนฉันต้องมารับภาระคุณอยู่อย่างนี้ฮะ!” ญาดาที่นั่งพูดคนเดียวมานานสี่วันนับตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมาเริ่มออกอาการหัวเสีย ยัยน้องสาวตัวดีที่บอกให้รับผิดชอบไอ้หนุ่มใบ้ก็หายหัวไปทำโปรเจ็คจบกับเพื่อน จะเหลือก็แต่พี่สาวที่เคยให้สัญญาไว้มานั่งพูดคนเดียวเหมือนคนสมองไม่ปกติอยู่อย่างนี้

“ขอบคุณ” ในที่สุดริมฝีปากแห้งผากที่ยังบวมเจ่อและเต็มไปด้วยรอยสะเก็ดเลือดก็ปริออกมาพูดคำขอบคุณให้ได้ยิน ญาดาแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง ดวงตาคู่สวยหรี่มองหนุ่มร่างใหญ่ในชุดโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยรอยปูดบวมทั่วใบหน้าและร่างกายด้วยความตกใจ

“อะไรนะ เมื่อกี้คุณบอกว่าขอบคุณเหรอ” หญิงสาวถามอีกครั้งเพื่อย้ำความมั่นใจ แต่ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ กลับปิดเปลือกตาเอนตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้าและถือว่าเป็นการยุติบทสนทนาอันแสนสั้นนี้ลงอย่างตั้งใจ

“คนบ้าอะไร ถามแล้วก็ไม่ตอบ อย่างนี้น่ะเหรอมันน่าให้ความช่วยเหลือ เชอะ!” ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวเบ้ขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ พร้อมกับเดินออกไปจากห้องด้วยอารมณ์ขุ่นมัวกับท่าทีชวนหัวของผู้ชายไม่มีปากคนนั้น

แต่ก่อนที่จะเดินพ้นประตูห้องพักรวมออกไป ญาดาก็เห็นบรรดาเพื่อนบ้านมากหน้าหลายตาที่กำลังเดินถือของเยี่ยมกันตรงมายังห้องพักที่เธอยืนอยู่ หญิงสาวส่งยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นทักทายด้วยความดีใจทันที

“อ้าวมาได้ไงกันคะลุงป๋อง น้าสุ” หญิงสาวเอ่ยทักพร้อมกับยกมือไหว้ทุกคน

“ก็มาเยี่ยมพ่อจิณณ์เขาน่ะ เห็นหมอบอกอีกสองวันก็จะได้ออกโรงพยาบาลแล้ว” น้าสุภาพที่มีบ้านอยู่ติดกับเธอเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ

“เดี๋ยวนะคะ เมื่อกี้น้าสุเรียกผู้ชายคนนั้นว่าไงนะ” ญาดาหน้าเหวอ เพราะเท่าที่จำได้ผู้ชายคนนี้ไม่เคยบอกใครสักคำว่าเขาชื่อจิณณ์

“อ้าว ก็เขาชื่อจิณณ์ หนูญาไม่รู้หรอกเหรอ เขาบอกน้าตั้งแต่ฟื้นวันแรกแล้ว ก็เห็นหนูมาเยี่ยมกันบ่อยอยู่ไม่ใช่เหรอ” น้าสุภาพมองหน้าของญาดาด้วยความฉงน

“ก็ที่มาเยี่ยมไม่ใช่มาจากการยัดเยียดของทุกคนเหรอคะที่บอกให้ญาต้องรับผิดชอบ ถ้ารู้ชื่อกันแล้วก็ดีเลย ใครรู้ชื่อก่อนก็รับผิดชอบกันเองก็แล้วกัน เพราะญายังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเค้าเลย แล้วจะให้ญารับผิดชอบเค้าได้ยังไงกัน” หญิงสาวโพล่งขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย ทีกับคนอื่นพูดได้ไม่เป็นใบ้ ทีกับเธอจะพูดแต่ละคำอย่างกับกลัวว่าดอกพิกุลทองจะร่วงเสียให้ได้!

“ว่าไงคะ น้าสุจะรับผิดชอบดูแลพ่อจิณณ์ของน้าจนกว่าเค้าจะหายดีรึเปล่าล่ะ” ญาดากอดอกมองน้าสุภาพที่ส่งยิ้มเหือดแห้งกลับมา

“แหม...จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ ลำพังแค่ตัวน้ายังเอาไม่รอดเลย หนูญาก็รู้นี่ว่าผัวน้าน่ะมันดุขนาดไหน ถ้าจะให้รับดูแลพ่อจิณณ์อีก มีหวังน้าได้บริจาคกระดูกซี่โครงก็คราวนี้แน่ แล้วก็อย่าลืมสิ พ่อจิณณ์ยังเรียกหนูญาว่าที่รักอยู่แหม๊บๆ ถ้าไม่รู้จักกันจะเรียกกันอย่างนี้ทำไมล่ะ” น้าสุภาพพยายามหาข้ออ้างต่างๆ นานา เพื่อหลีกเลี่ยงภาระชิ้นใหญ่ที่กำลังลอยมาอยู่ตรงหน้า

“ก็ญาบอกไปแล้วนี่ว่ามันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ สาบานได้ว่าญายังไม่เคยรู้จักไอ้คุณจิณณ์ของน้ามาก่อนเลย และที่สำคัญน้าสุอย่าพยายามเปลี่ยนเรื่อง โอเคถ้าน้าสุช่วยไม่ได้ งั้นก็ลุงป๋อง...เรื่องนี้ลุงต้องช่วยได้สิก็ลุงเองที่บอกว่าเห็นคนเจ็บก็ต้องช่วย ถ้างั้นลุงก็ช่วยเป็นธุระให้คุณจิณณ์เขาหน่อยสิ น่าสงสารใช่มั้ยล่ะ”

“ก็น่าสงสารอยู่ แต่ถ้าบ้านลุงมันกว้างกว่านี้อีกซักหน่อย ลุงก็คงจะให้มันเข้ามาอยู่ซักพักแล้วล่ะ ญาก็ดูบ้านลุงสิ หลังนิดเดียวอยู่กันตั้งห้าคน ถ้าจะเอาคนที่หกเข้าไปอยู่ก็คงจะไม่ไหวนา” ลุงป๋องแบ่งรับแบ่งสู้ แต่รวมๆ แล้วความหมายก็คือว่าไม่ได้อยู่วันยังค่ำ

“ถ้างั้นก็พี่ช่วย น้าธง ป้าไหว คุณบุญมา ลุงปรารภ มีใครบ้างมั้ยคะที่จะรับหน้าที่นี้ ทำไมไม่คิดถึงญาบ้าง ญาก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวนะ จะให้รับผู้ชายสุ่มสี่สุ่มห้ามานอนในบ้านได้ยังไงล่ะ!” พูดพลางก็กวาดตามองไปยังคนที่มีชื่อเป็นรายตัว ก่อนจะพากันหลบสายตาพิฆาตของเธอเป็นพัลวัน

“ก็พวกลุงจะช่วยดูแลให้ ตอนนี้ก็ขอแค่ให้เจ้าจิณณ์มันมีที่ซุกหัวนอนไปก่อน เอาน่า...ญาก็คิดซะว่าทำบุญทำทานให้แก่คนยากไร้ก็แล้วกัน เห็นหน้าตามันซื่อๆ คงไม่ใช่คนร้ายที่ไหนหรอก” ลุงป๋องพยายามโน้มน้าวใจหญิงสาวที่ทำหน้ามุ่ยอีกครั้งอย่างใจเย็น

“ใช่แล้วพี่ญา ชาก็จะคอยดูแลไม่ให้ไอ้นายจิณณ์มันทำมิดีมิร้ายเราหรอก” เสียงของณาชาดังขึ้นจากทางด้านหลัง ที่แท้แล้วเธอมาถึงตอนที่พี่สาวจิตหลุดถามหาความยุติธรรมอยู่พอดี แต่ยังไม่อยากเข้ามาขัดจังหวะให้เสียเรื่องจึงรอทางสะดวกแล้วค่อยตามมาสมทบทีหลัง

“หยุดพูดไปเลยชา เดี๋ยวเธอก็ต้องไปฝึกงานอีก แล้วในบ้านมันจะเหลือใครล่ะทีนี้ไม่ใช่พี่กับนายนั่นเหรอ” ญาดาค้อนน้องสาวขวับ นึกอยากจะบิดเนื้อจดหลุดติดมือออกมาให้หลาบจำ

“โห...พี่ญา กว่าจะถึงวันนั้นก็อีกตั้งหลายเดือน ไอ้นายจิณณ์ก็คงหายเดินบิดตูดออกไปจากบ้านเรานานแล้ว อีกอย่างพี่จะกลัวอะไร ลุงป๋องเค้าก็ขันอาสาแล้วว่าจะมาช่วยดูแลบ้านเราให้อย่างดี ถือว่าทำบุญไปเถอะพี่สาว”

“นั่นสินะหนูญา ถือว่าทำบุญทำทานไปเถอะ บุญกุศลครั้งนี้มันใหญ่นะ บางทีหนูอาจจะโชคดีขึ้นมาบ้างก็ได้” น้าสุภาพช่วยพูดสมทบอีกแรง ก่อนเสียงของเหล่าบรรดา ป้าๆ อาๆ จะดังขึ้นเพื่อช่วยกันออดอ้อนสาวใจแข็ง

“อะๆๆ ก็ได้ๆ รับก็ได้ แต่ถ้าวันไหนที่ญาถูกฆ่าตายเป็นศพในบ้านแล้วล่ะก็ ญาจะกลายเป็นผีมาหักคอทุกคนเลยคอยดูสิ”

“อย่างงี้สิถึงจะสมเป็นลูกของไอ้ปรุง ฮะๆ” ลุงป๋องหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เมื่อนึกถึงสมัยที่พ่อของญาดาและณาชายังมีชีวิตอยู่ ปรุงกันต์ นั้นถือเป็นพ่อพระประจำหมู่บ้าน ใครมีอะไรก็ช่วยหมดเท่าที่ช่วยได้โดยไม่เกี่ยงงอน จนกลายเป็นที่รักของผู้ที่พบเห็น แต่น่าเสียดายคนดีๆ มักจะถูกสวรรค์เรียกตัวกลับก่อนเสมอ เมื่อเขาและภรรยาประสบอุบัติเหตุรถยนต์แถวสิงห์บุรี เหลือทิ้งไว้เพียงลูกสาวสองคนที่ต้องสู้ชีวิตเพียงลำพังมานับตั้งแต่นั้น

หลังจากที่ได้มติของที่ประชุมเป็นเอกฉันท์แล้ว ทั้งหมดก็พากันเข้าไปเยี่ยมจิณณ์ที่ยังคงนอนหลับตาพักร่างกายอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยท่าเดิมก่อนที่ญาดาจะเดินออกมา

“อ้าว...อาการดีขึ้นเยอะนี่พ่อจิณณ์” ลุงป๋องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน คนที่ถูกเรียกชื่อหันมามองช้าๆ ก่อนส่งยิ้มบางเบามาให้

“ครับ” จิณณ์รับคำ ก่อนจะพยักหน้าให้กับทุกคนที่มาเยี่ยมใหม่

“เห็นหมอบอกว่าอาการไม่น่าเป็นห่วงแล้วที่หนักมีอยู่สองที่ก็คือหัวแตกกับรอยฟกช้ำที่หน้ากับที่ตัวนอกนั้นก็โอเค ไปพักฟื้นที่บ้านซักเดือนก็คงจะดีขึ้นมาก” ลุงป๋องพูดขึ้นมาหลังจากไปไถ่ถามพยาบาลที่นั่งอยู่ในห้องพักก่อนจะเข้ามาเยี่ยม

จิณณ์พยักหน้ารับอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ยังคงปูดบวมอยู่ อาจจะเป็นเพราะเขายังไม่ปกติจึงไม่อยากที่จะพูดคุยอะไรมาก แต่ดูจากท่าทางแล้วเขาคงจะเป็นคนพูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“อีกสองวันก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว พ่อจิณณ์พอจะรู้จักใครให้มารับบ้างรึเปล่าล่ะ เดี๋ยวน้าจะโทรให้” น้าสุภาพอาสาอย่างขันแข็ง เพราะหากว่าชายหนุ่มมีญาติจริงๆ ก็คงจะดีกว่าให้มาอยู่บ้านของหญิงสาวที่จะทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่ากัน

สิ้นเสียงของน้าสุภาพ จิณณ์ก็ส่ายหัวออกมาช้าๆ สรุปว่าหนทางที่จะผลักไสไล่ส่งเขาให้ไปอยู่กับญาติพี่น้องก็เป็นอันตกไป ญาดาถึงกับถอนหายใจเมื่อในที่สุดแล้วเธอก็ต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอมโดยการขอแกมบังคับของเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านจนได้

“ถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไปพักอยู่บ้านของหนูญาซักพักก็แล้วกัน รอจนหายดีแล้วจะเอายังไงค่อยว่ากันอีกที เราคนไทยไม่ทิ้งกันให้ตายข้างถนนอยู่แล้ว แต่อย่าคิดว่าจะเอาความไว้ใจมาหลอกต้มเราทีหลังนะ ถึงแม้ฉันจะให้นายไปอยู่บ้านหนูญา ก็ไม่ได้หมายความว่าให้นายทำอะไรได้ตามใจชอบ เพราะฉันจะส่งสายเข้าไปอยู่ด้วยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่าคิดว่าจะรอดสายตาฉันไปได้ล่ะ” ลุงป๋องทำท่าขึงขังเหมือนกับนายตำรวจใหญ่ อันที่จริงผู้ชายร่างใหญ่อย่างลุงป๋องไม่ต้องลงมือขู่ให้ลำบาก แค่ถลึงตาเข้าใส่ใครเห็นก็ต้องกลัวกันหัวหดเพราะลุงแกหน้าดุยิ่งกว่าโจรจริงๆ เสียอีก

หลังจากสิ้นเสียงของลุงป๋อง หนุ่มไร้ญาติก็พยักหน้ารับในชะตากรรมของตัวเอง อันที่จริงแทบจะไม่มีใครเดาใจผู้ชายคนนี้ออกเลยสักคนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“เอาล่ะพวกเราถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับเถอะให้เด็กมันได้พักผ่อน เดี๋ยวญากับชาก็กลับพร้อมลุงเลยก็แล้วกันประหยัดเงินดี” ลุงป๋องยิ้มยิงฟันขาว พร้อมกับหันมาชวนสองพี่น้องด้วยความปรารถนาดี

“รถแท็กซี่ลุงป๋องยัดไม่หมดแน่ เดี๋ยวชากลับกับพี่ญาเองดีกว่า ไม่ไหว...ยังไม่อยากอัดเป็นปลากระป๋อง” ณาชาบ่นอุบหลังจากนับหัวสมาชิกเอาไว้แล้วเสร็จสรรพ

“เอางั้นก็ได้ งั้นพวกลุงไปก่อนก็แล้วกัน สองคนก็กลับดีๆ ล่ะ” พูดเสร็จลุงป๋องและคณะศรัทธาก็พากันกลับจนหมด เหลือไว้ก็เพียงแค่สองสาวที่ยังคงยืนแกร่วอยู่ข้างเตียง

“คุณชื่อจิณณ์เหรอ” ณาชาที่จดๆ จ้องๆ ชายหนุ่มอยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้

“อืม” อีกฝ่ายเพียงแค่ตอบรับเบาๆ แต่แม้จะบางเบาก็ทว่าก็ยังฟังออกว่าเจ้าของเสียงอาการยังไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

“ก็แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่าชื่ออะไร หวงมากนักเหรอชื่อน่ะ ฉันถามจนปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้วทำเป็นอมพะนำอยู่ได้” ญาดาบ่นขึ้นมาเป็นหมีกินผึ้ง เพราะรู้สึกเสียหน้านิดๆ ที่เธอกลายเป็นคนที่ได้รู้อะไรช้ากว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่เป็นคนดูแลทั้งหมดระหว่างที่เขานอนแบบอยู่บนเตียง

ณาชาเห็นอารมณ์โมโหของพี่สาวที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน ด้วยเกรงว่าพายุอารมณ์ของพี่สาวจะทำเอาคนทั้งห้องขวัญกระเจิงไปเสียก่อน

“แล้วนายอายุเท่าไหร่จะได้ลำดับญาติถูก” ณาชาถามพลางตีหน้าซื่อไม่สนใจสายตาค่อนขอดของพี่สาวที่เมียงมองมาราวกับนางยักษ์ จิณณ์นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตอบคำถามที่สองพี่น้องรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“ยี่สิบห้า”

“ถ้างั้นนายก็เป็นพี่ฉันสามปีแต่อ่อนกว่าพี่ญาสามปี ฉะนั้นฉันจะเรียกนายว่าพี่จิณณ์ก็แล้วกัน” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย หญิงสาวจึงถือว่าเป็นคำอนุญาตกลายๆ

“อ่อนกว่าฉันตั้งสามปี ยังมีหน้ามาทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว เข้าใจบ้างรึเปล่าที่ผู้ใหญ่เขาสั่งสอนน่ะ” ยิ่งรู้ว่าผู้ชายในชุดโรงพยาบาลที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเตียงอายุอ่อนกว่า มันก็ยิ่งทำให้ญาดาโมโหมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครทำท่าใบ้บื้อเข้าใส่อย่างนี้เลยสักราย

“โห พอเหอะพี่ญา พี่จิณณ์เค้าคงไม่ได้ตั้งใจไม่ตอบหรอก ก็คนมันนอนซมอยู่จะให้เอาแรงที่ไหนมาพูดเป็นคุ้งเป็นแควล่ะ”

“นี่ชา เธอ!”

“เอาน่า...พี่ญา กลับเถอะ พี่ต้องรีบไปเตรียมตัวให้สัมภาษณ์กับหนังสืออะวีคอยู่ไม่ใช่เหรอ” คำพูดของณาชาถือว่าพูดได้ถูกจุด เพราะทำเอาคนที่กำลังของขึ้นสงบลงอย่างประหลาด

“จริงด้วย ยังไม่ได้เตรียมคำตอบเลย ตายๆ จะมาวันพรุ่งนี้แล้วด้วย เรารีบกลับเถอะชา” ญาดาพูดพลางลากแขนน้องสาวออกไปทันที

“โอ๊ย ไรกันพี่ญา คิดจะไปก็ไปปุบปับ ใจเย็นๆ สิ” ณาชาโวยลั่น ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่นอนมองอยู่บนเตียง “ชาไปก่อนนะพี่จิณณ์แล้วอีกสองวันจะมารับกลับบ้าน”

“อืม” ชายหนุ่มรับคำ แต่ณาชากลับไม่ทันได้ฟังเพราะถูกพี่สาวลากหลุนๆ ออกไปจากห้องเสียแล้ว

ญาดาพาน้องสาวมาขึ้นรถตรงคิวรถที่เคยขึ้นอยู่เป็นประจำด้วยความคิดมากมายที่ตีกันในหัวยุ่งไปหมด ทั้งเรื่องงานและเรื่องของผู้ชายหน้าบวมปากหนักที่นอนไม่พูดไม่จาอยู่บนเตียง แต่รู้สึกว่าเรื่องของนายจิณณ์อะไรนั่นจะทำให้เธอครุ่นคิดได้มากกว่าเรื่องงาน เพราะตอนนี้มันเกิดคำถามอยู่ในใจเธออีกแล้วว่า ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมเธอถึงต้องมารับภาระที่ทุกคนผลักไสให้อย่างนี้ ในหัวมีแต่คำว่าทำไม ทำไม ทำไม และทำไม

นั่นสิ...แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยไม่ทราบเนี่ย!!!



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สำหรับตอนนี้ใครที่ทายว่าหนุ่มปริศนาคือพี่ภันต์ก็ผิดหวังกันไปนะคะ อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามเช่นเคยค้า ^^

( ดารานิล )
www.facebook.com/daranilday

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มี.ค. 2555, 13:14:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มี.ค. 2555, 13:14:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1767





<< 2. ชายแปลกหน้ากับการมาอันน่าพิศวง   4. บ้านใหม่ >>
กาซะลองพลัดถิ่น 16 มี.ค. 2555, 14:13:02 น.
ลุ้นอย่างเดียว ....


ปอยอะนะ 16 มี.ค. 2555, 14:36:42 น.
สนุกดี


แพม 16 มี.ค. 2555, 15:02:47 น.
อ้าวแล้วพี่ภัณต์หายไปไหนแล้วล่ะ


pattisa 16 มี.ค. 2555, 17:08:06 น.
นายจิณณ์เป็นใครกันนะ


Zephyr 16 มี.ค. 2555, 19:02:34 น.
อ่าว แหม แอบหมั่นไส้นายจิณณ์หน่อยเถอะ ทำเป็นปากหนัก แต่นะเราอ่านแล้วเราก็ ทำไม ทำมและทำไมเหมือนญานี่แหละ น่านสิ ทำไมต้องเป็นญาด้วย ถ้าเราเป็นญา เราไม่เอาตานี่กลับบ้านด้วยหรอก เฮอะ - -"


ปิลันธน์ 16 มี.ค. 2555, 19:43:46 น.
หนักใจแทนญาดา หมั่นไส้นายจิณณ์เหมือนคนข้างบน^ คนอาไร้ก่อนสลบเรียกเขาว่า ที่รัก พอฟื้น พูดได้แต่ อือ อือ อือ - -"


konhin 16 มี.ค. 2555, 19:48:36 น.
อย่าบอกว่าทุ่มทุนตามหารักแท้ด้วยการเจ็บตัวนะ ฮ่าๆๆ


หมูอ้วน 17 มี.ค. 2555, 06:24:23 น.
ใครจะเป็นพระเอกค่ะเนี่ย


ม่านฝัน 19 มี.ค. 2555, 14:06:23 น.
รอตอนต่อไปนะค่ะ


anOO 22 มี.ค. 2555, 16:53:07 น.
ทำได้แค่รอตอนต่อไป เดาอะไรไม่ได้เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account