ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๘

ภายในห้องทำงานใหญ่..ร่างสูงเพรียวของอนาวินยืนกอดอก สีหน้าเคร่งขรึมทอดสายตามองผ่านกระจกบานหนาออกไปเบื้องหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย เมื่อลูกน้องรายงานถึงผลการประมูลงานชิ้นสำคัญที่บริษัทเขาต้องพลาดให้กับบริษัทคู่แข่งอย่างรัตนากร เป็นการประเดิมผลงานชิ้นแรกในการรับตำแหน่งแทนบิดา แม้จะรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความบกพร่องของเขา แต่เมื่อเขาขึ้นมายืนบนจุดนี้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากบรรดาผู้บริหารคนอื่นๆ โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามคงยกเรื่องนี้มาค่อนแขวะเขาเป็นแน่ และตัวเขาเองคงต้องอดทนรับความกดดันในครั้งนี้และตั้งสติให้มั่นคงไม่เต้นตามแรงยั่วยุปลุกปั่นของผู้บริหารฝ่ายตรงข้ามให้ได้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส แต่เขาต้องพยายามทำให้ดีที่สุด
เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นจากเลขาหน้าห้อง เพื่อบอกให้รู้ว่าจตุพลมาขอพบ ซึ่งเขาก็ตอบอนุญาตให้เข้ามา..เพียงอึดใจต่อมา ร่างภูมิฐานของชายสูงวัยก็ก้าวเข้ามาภายใน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

อนาวินเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งและเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะคุณอา มีเรื่องอะไรหรือครับ”

จตุพลถอนใจฟืด
“ก็เมื่อกี้อาเจอกับนายดนุพงษ์น่ะสิ”

สีหน้าของผู้บอกเล่ายิ่งแสดงอาการฉุนเฉียว ยามนึกถึงผู้บริหารรุ่นน้องที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานหลายปีและเพิ่งปะทะคารมกันมาเมื่อครู่
“หมอนั่นมันถากถางน่าดูที่บริษัทเราพลาดงานประมูลให้พวกรัตนากร หาว่าเป็นเพราะความอ่อนหัดของคุณ ผมก็เลยสวนกลับไปหลายคำ เล่นเอาปวดหัวเลย..สงสัยความดันจะขึ้น” กล่าวเสียงเนือยๆก่อนเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมายอบตัวลงนั่ง และมองหนุ่มรุ่นลูกที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทางฉุนเฉียวอย่างที่เขาคิด

“คุณดนุพงษ์นี่หูไวจริงๆนะ ผมเองก็เพิ่งจะรู้ผลเมื่อไม่นานนี่เอง”

“หมอนี่มันจ้องจะหาเรื่องอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เลยทับถมได้เต็มที่ เฮ้อ! ผมเพิ่งรู้มาว่า หนึ่งในคณะกรรมการที่พิจารณางานน่ะเป็นเพื่อนกับนายคณิน..เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง เราถึงได้แพ้”

“เสียดายที่เรารู้ช้าไป ไม่อย่างนั้นคงทำอะไรได้มากกว่าการยื่นอุทธรณ์เหมือนในตอนนี้”

จตุพลนิ่วหน้ามองคนพูด
“คุณจิลสั่งให้ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วหรือครับ”

“ครับ”

“แหม ผมนึกว่าคุณยังไม่ได้ทำอะไรเสียอีก”

อนาวินแค่นยิ้ม
“ผมแค่ทำในสิ่งที่ทำได้ในขณะนี้เท่านั้น ที่เหลือก็ปล่อยให้คนของเราไปไฟต์เอาเอง ผมไม่สนใจหรอกว่าพวกบอร์ดจะจวกผมอย่างไง เพราะตอนนี้งานของผมก็แทบล้นมือแล้ว ขืนใส่ใจกับพวกนี้มากผมคงเครียดตาย”

และเป็นอีกครั้งที่จตุพลต้องมองคนพูดอ%E



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2555, 11:08:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2555, 11:08:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 2765





<< บทที่ ๗   ตอนที่ ๙ >>
หมูอ้วน 26 มี.ค. 2555, 11:44:59 น.
ตอนนี้สั้นจังเลยค่ะ


jink 26 มี.ค. 2555, 11:46:43 น.
ไม่จบหรือเปล่าคะ มันค้างๆ เหมือนระบบมันเอ๋อๆ ไงไม่รู้


Okuriumi 26 มี.ค. 2555, 11:58:10 น.
มาน้อยจัง คิดถึงนะนี้


ระรินใจ 26 มี.ค. 2555, 12:15:59 น.
และเป็นอีกครั้งที่จตุพลต้องมองคนพูดอย่างเต็มตากับท่าทางสงบนิ่งของชายหนุ่ม ซึ่งภาพลักษณ์ของหนุ่มเจ้าสำราญที่บางครั้งก็ทำอะไรตามใจตัวเองจนขัดใจกับผู้ให้กำเนิดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเกิดเรื่องแทบอันตรธานจนไม่เหลือเค้าให้เห็น และนึกไม่ถึงว่า เมื่อชายหนุ่มต้องขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดอย่างกะทันหัน ซึ่งนอกจากจะต้องรับมือกับศึกภายนอกจากบรรดาคู่แข่งแล้วยังต้องจัดการกับศึกภายในบริษัทร่วมด้วย แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับควบคุมอารมณ์ให้สงบเยือกเย็นจนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“บอกตามตรงนะครับ ว่าตอนที่คุณขึ้นมารับตำแหน่งแทนคุณอชิรวันแรกน่ะ ผมนึกว่าคุณต้องโดนพวกบอร์ดที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเราจะรุมจวกเละแน่ๆ แต่คุณกลับแสดงให้ผมเห็นแล้วว่า ผมคิดผิดไปจริงๆ”

“แต่ผมก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวมาพอสมควรล่ะ แล้วก็ถ้าไม่ได้คุณอากับผู้บริหารคนอื่นๆคอยหนุนหลังไว้ล่ะก็ ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไงเหมือนกัน..ต้องขอบคุณคุณอาอีกครั้ง ที่ออกหน้าสนับสนุนผมนะครับ”

จตุพลยิ้มกว้างขวาง
“ไม่เป็นไรหรอกคุณจิล ผมน่ะนับถือพ่อของคุณมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และในเมื่อคุณเป็นลูกของคุณอชิร ผมก็ต้องช่วยเหลือจนสุดความสามารถนั่นล่ะครับ”

“ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ”

“เห็นคุณตอนนี้ ผมก็มั่นใจแล้วล่ะ ว่าอย่างไรเสีย คุณก็สามารถพาบริษัทนี้เดินหน้าต่อไปได้แน่..สมกับเป็นลูกของคุณอชิรจริงๆ”

จตุพลพูดทิ้งท้าย ก่อนลุกขึ้นยืน
“งั้นตอนนี้..ผมขอตัวก่อนนะครับ”

อนาวินลุกขึ้นเดินมายืนเคียงข้าง
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณอา..เดี๋ยวถ้าออกไปเจอกับคุณดนุพงษ์ ผมจะได้เตรียมรับมือกับเขาได้ทัน”

จตุพลหัวเราะครืน ก่อนเดินจากไป


อนาวินละสายจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะทำงานดังขึ้น โดยจากเตชิต

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเรอะ”

และเอ่ยถามกับผู้ที่โทรหาทันที เพราะก่อนออกจากบ้านเขาได้ขอให้เตชิตช่วยดูแลราโมน่าให้รอดพ้นภัยคุกคามจากน้องสาวให้ด้วย เพราะรู้ว่าในโลกใบนี้นอกจากบิดาแล้ว เตชิตจะเป็นอีกคนที่สามารถยับยั้งทุกการกระทำของน้องสาวได้ และเมื่อเตชิตโทรมาหาเช่นนี้ จิตใจของเขาก็นึกประหวั่นไปถึงราโมน่าขึ้นมาในทันที

“ผมไม่รู้ เพราะคุณหนูเล็กใช้ให้ผมไปรอเอาแบบเสื้อที่ร้านประจำ..ผมเลยโทรมาบอกคุณ”

อนาวินทอดถอนใจกับความกังวลที่ถาโถมเข้าจู่โจม “ให้ตายสิ! ฉันไม่คิดว่าหนูเล็กจะเล่นไม้นี้..โอเค ขอบใจนะ” และตัดสายทันที ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมหยิบเสื้อสูทที่ถอดพาดบนพนักเก้าอี้มาสวม ก้าวยาวๆออกจากห้องสั่งกับเลขาสาวรัวเร็ว

“ผมจะออกไปข้างนอก ถ้ามีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไรให้คุณพิมพ์ศิริจัดการได้เลย”

และยังไม่ทันที่เลขาสาวจะเอ่ยตอบรับ ร่างสูงเพรียวของเจ้านายหนุ่มก็หันก้าวยาวๆตรงไปที่ลิฟต์เสียแล้ว



โมรียานั่งเปิดดูนิตยสารภายในศาลาท่าน้ำ โดยเรียกลูกน้องที่เหลือในบ้านอีกหกชีวิตให้มาอยู่ในสายตาของเธอ เพราะเกรงว่าจะมีใครขัดคำสั่งแอบโทรศัพท์ไปบอกพี่ชายถึงเรื่องที่เธอกระทำต่อแขกคนสำคัญ

แต่เพียงไม่นาน..เธอก็เห็นรถสปอร์ตของพี่ชายแล่นเข้ามาจอดใต้มุขหน้าบ้านพร้อมรถของผู้ติดตาม และอึดใจต่อมาร่างของพี่ชายก็เปิดประตูก้าวยาวๆตรงเข้าบ้าน ในขณะที่โจ้เพิ่งจะเปิดประตูรถอีกคันพร้อมผู้ติดตามสามคนออกมายืนมองตามหลังผู้เป็นนายด้วยความงุนงง ที่จู่ๆเจ้านายหนุ่มก็ขับรถราวกับจะเหาะออกมาจากบริษัทตรงกลับบ้าน..โมรียาปิดนิตยสารอย่างหงุดหงิด เพราะไม่คิดว่าพี่ชายจะรีบแจ้นกลับบ้านเร็วขนาดนี้ พลางขมวดคิ้วสงสัยว่า อาจจะมีใครบางคนแอบโทรศัพท์ไปฟ้องพี่ชายของเธอก็เป็นได้ จึงลุกขึ้นตวาดเสียงเขียวใส่บรรดาชายฉกรรจ์ที่ยืนเรียงรายตรงหน้า

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ว่าใครโทรไปฟ้องเฮีย”

ซึ่งลูกน้องทั้งหมดต่างก้มหน้าปฏิเสธ
และยังไม่ทันที่โมรียาจะคาดคั้นหาคำตอบใดๆ เสียงของพี่ชายก็ตะโกนเรียกหาลั่น

“หนูเล็ก!”

หญิงสาวจึงละสายตาจากกลุ่มชายฉกรรจ์ หันไปหาพี่ชายที่กำลังก้าวยาวๆตรงมาหาด้วยสีหน้าถมึงทึง โดยมีคนสนิทและผู้ติดตามก้าวตามมาไม่ห่าง..บรรดากลุ่มชายฉกรรจ์ต่างเปิดทางให้เจ้านายหนุ่มได้เผชิญหน้ากับน้องสาวทันที และเริ่มทำสีหน้าลำบากใจ เมื่อเสียงกร้าวของอนาวินระเบิดใส่น้องสาวอย่างไม่มีปิดบัง หลังจากที่ขึ้นไปยังห้องพักของราโมน่าแล้วก็พบเพียงความว่างเปล่า ถามคนรับใช้ภายในบ้านก็ไม่มีใครเห็น และแน่ใจว่าหญิงสาวไม่มีทางหนีรอดออกจากบ้านหลังนี้ได้..แต่เมื่อเห็นว่าบรรดาลูกน้องทั้งหมดมาออรวมกันที่ตรงนี้ จึงมั่นใจว่าน้องสาวของเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ราโมน่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้

“ราโมน่าอยู่ไหน”

โมรียากอดอก
“จะไปรู้ได้ยังไง หนูเล็กไม่ได้นั่งเฝ้าเขานี่นา”

ใบหน้าคนฟังเครียดเขม็งจนแดงเข็ม
“หนูเล็ก! เฮียจะถามอีกครั้งว่าราโมน่าอยู่ไหน..อย่าให้เฮียต้องโมโหขึ้นมาจริงๆนะ”

หญิงสาวปรายตามอง เธอรู้ดีว่าพี่ชายนั้นแม้จะมีนิสัยใจร้อนและฉุนเฉียวง่าย แต่ก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์โกรธให้อยู่ในระดับสมดุลได้บ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้น..ในวัยเยาว์เธอก็เคยเห็นความน่าสะพรึงกลัวของอารมณ์โกรธยามที่พี่ชายหลุดการควบคุมแล้วเช่นกัน ซึ่งมันก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย และแม้จะแน่ใจว่า พี่ชายไม่มีวันทำร้ายร่างกายของเธอเหมือนกับคู่อริ แต่เธอก็ไม่อยากถูกพี่ชายมึนตึงใส่มากไปกว่านี้เช่นกัน

“หนูเล็กแค่รู้สึกรำคาญสายตาที่เห็นศัตรูมานั่งชูคอในบ้าน ก็เลยให้คนพาไปไว้ในที่ที่พ้นหูพ้นตาหน่อยเท่านั้นเอง”

อนาวินหายใจลึก พยายามระงับสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน แค่นเสียงถามดวงตาวาวโรจน์
“ที่ไหน”

โมรียาอึกอัก ก่อนตอบ
“ห้องเก็บของใต้ดิน”

อารมณ์โกรธที่พยายามเก็บกดแทบระเบิดใส่คนพูด
“ให้ตายสิหนูเล็ก! ราโมน่าเป็นคนของเฮียนะ”

หญิงสาวจ้องตอบสายตากระด้างดุดันของพี่ชาย
“คนของเฮียเรอะ! นังนั่นมันเป็นคนของศัตรูต่างหากล่ะ เป็นศัตรูที่คิดจะฆ่าป๊ากับอาเจ๊กนะ เฮียลืมไปแล้วรึไง”

“เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายนั้นเป็นคนทำรึเปล่า แล้วอีกอย่างราโมน่าก็ไม่เกี่ยว หนูเล็กควรจะแยกแยะบ้างนะ ไม่ใช่ใช้แต่อคติมาเป็นตัวตัดสิน”

“หนูเล็กไม่ได้ใช้อคติ แต่หนูเล็กมองตามความเป็นจริง..ตัวของเฮียนั่นล่ะ ที่ถูกเสน่ห์ของนังนั่นครอบงำจนมองไม่เห็นอะไรแล้ว”

“หุบปากไปเลยนะหนูเล็ก” อนาวินตวาดลั่นก่อนแค่นเสียงเข้ม “แล้วเฮียก็ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ว่าอย่ายุ่งกับราโมน่าอีก..ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่” ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจฟืดข่มกลั้นอารมณ์โกรธ หันผละจากน้องสาวตรงไปยังห้องเก็บของใต้ดิน..ใบหน้าบึ้งตึงมองตามหลังพี่ชาย เมื่อคิดว่าพี่ชายนั้นหลงใหลในความสวยงามของศัตรูจนไม่เห็นหัวเธอหรือใครทั้งนั้นแล้ว และไม่กี่อึดใจ หญิงสาวก็เดินตามพี่ชายไปดูสถานการณ์ห่างๆ


ทันทีที่ถึงประตูหน้าห้องเก็บของ อนาวินทุบบานประตูพร้อมตะโกนเรียกหาราโมน่าลั่น
“โม้นา!”

ซึ่งภายในก็ยังคงเงียบกริบ จนหัวใจของชายหนุ่มร้อนรน
“โม้นา ได้ยินพี่ไหม..โม้นา!”

และเสียงตะโกนเรียกผสานเสียงทุบโครมๆดังลั่นกับบานประตู แทรกเข้ามาในอนุสติที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของคนที่นั่งขดตัวสั่นเทาในความมืด เริ่มหยุดสะอื้นและตั้งใจฟังอีกครั้ง และในความเลื่อนลอยดำมืดเหมือนว่าได้ยินเสียงของอนาวินกำลังเรียกหาเธอ

หญิงสาวตั้งใจฟังอีกครั้งจนแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงของชายหนุ่มจริงๆ..ความรู้สึกในใจเหมือนได้รับแสงสว่างที่สาดส่องให้เห็นหนทางในความดำมืดขึ้นมาทันที และอยากจะลุกขึ้นและเปล่งเสียงโต้ตอบเขา แต่ร่างกายในขณะนี้กลับอ่อนเปลี้ยจนลุกไม่ขึ้น และเสียงของเธอก็แหบโหยเหลือเกิน สิ่งที่สามารถทำได้ขณะนี้คือ เพียงแค่ตบบานประตูด้วยเรี่ยวแรงที่เรียกคืนมาได้น้อยนิด พร้อมเปล่งเสียงอันสั่นสะท้านที่ดังเพียงแค่ในลำคอเท่านั้น

“พี่จิล..ช่วยโม้นาด้วย โม้นากลัว..พาโม้นาออกไปที..พี่จิล..”

อนาวินเงี่ยหูฟังเสียงที่โต้กลับเพียงแผ่วเบาของเธอใจก็ยิ่งหดหาย ตะโกนตอบกลับไป
“โม้นา หลบให้พ้นประตู พี่จะเข้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ราโมน่าเพียงแค่นอนราบกับพื้นขดตัวงออยู่ตรงนั้น..ขณะที่ด้านนอกอนาวินหันไปหาคนสนิทเพื่อเรียกหาปืน และเสี้ยวอึดใจ..กระสุนสองนัดซ้อนก็ถูกลั่นใส่แม่กุญแจโดยไม่รอให้ใครไปเอาลูกกุญแจมาจากแม่บ้าน

เปรี้ยง!!..เปรี้ยง!!

ราโมน่าสะดุ้งเฮือกกับเสียงที่ได้ยิน และในวินาทีต่อมา บานประตูก็เปิดกว้างให้ร่างของผู้ที่เปรียบเสมือนแสงสว่างก้าวเข้ามาพร้อมวงแขนแกร่งกวัดรัดร่างของเธอขึ้นกอดกระชับแน่น ให้เธอได้ซุกหาไออุ่นซบหน้ากับแผ่นอกกว้างสะอึกสะอื้นปลดปล่อยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้เขารับรู้

“พี่จิล..พาโม้นาออกไปที..โม้นากลัว..”

อนาวินกอดร่างที่ยังสะอื้นฮักแน่นพร้อมลูบแผ่นหลังบางอย่างนึกสงสารจับใจ กดริมฝีปากบนริมขมับชื่นเหงื่อและกระซิบปลุกปลอบอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัวนะคนดี พี่อยู่นี่แล้ว พี่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายโม้นาได้อีกแล้ว..โม้นาไม่ต้องกลัวนะ”

หญิงสาวพยักหน้าเชื่อมั่นในคำพูดที่ได้ยินแต่สองเรียวแขนที่สั่นระริกยังคงรัดร่างหนาแกร่งของเขาแน่น อนาวินโอบประคองพาเธอให้ก้าวพ้นประตูออกมาและเผชิญหน้ากับโมรียา ซึ่งหญิงสาวใจหายวาบ เมื่อเห็นสภาพใบหน้าเผือดซีดจนแทบไร้สีเลือดชุ่มโชกด้วยเม็ดเหงื่อผุดพรายและดวงตาสีเขียวน้ำทะเลเจิ่งนองด้วยหยาดน้ำตาตวัดมองสบไม่กี่อึดใจก็ผินหน้าหลบซุกซบกับแผ่นอกของพี่ชายแสดงชัดถึงความหวาดหวั่น

อนาวินนึกอยากจะต่อว่าน้องสาวนัก แต่ความห่วงใยในหญิงสาวที่กำลังโอบกอดนั้นมีมากกว่า เขาจึงได้แต่ตวัดสายตาขึ้งโกรธสบน้องสาวขณะโอบประคองราโมน่าเดินผ่านหน้าไป และตรงเข้าบ้านพาขึ้นห้องพักของหญิงสาว


ราโมน่าเริ่มคลายสะอื้นยามที่อนาวินประคองเธอลงนั่งบนเก้าอี้ยาวปลายเตียง ก่อนเดินเข้าห้องน้ำใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเปียกหมาดถือกลับมานั่งลงเคียงข้าง บรรจงเช็ดหน้าให้เธอ และเพียงครู่ โจ้ก็ยื่นยาดมที่วิ่งไปเอามาจากตู้ยาตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่มส่งให้

“ยาดมครับ”

“ขอบใจ..นายไปได้แล้ว”

อนาวินรับมา และเร่งเปิดฝาให้หญิงสาวได้สูดดม สายตาแห่งความห่วงกังวลจับจ้องใบหน้าเผือดซีดไม่วางตา จนกระทั่ง ดวงหน้านั้นเริ่มจะมีเลือดฝาดซับเรื่อขึ้นมาบ้างให้เขาค่อยคลายใจ และราโมน่าแค่นยิ้มเฝื่อน บอกเสียงแผ่ว

“โม้นาไม่เป็นไรแล้วค่ะ..” และหยิบยาดมจากมือเขามาสูดดมกลิ่นหอมเย็นด้วยตัวเอง

“แน่ใจนะ ว่าไม่เป็นไรแล้ว”
ชายหนุ่มถามย้ำให้แน่ใจ ขณะสายตาก็ยังไม่ละจากใบหน้าเนียน ก่อนเธอจะส่งเสียงงึมงำตอบกลับมาพอให้ได้ยิน

“แน่ใจค่ะ..” ถึงแม้จะตอบออกไปเช่นนั้น แต่อาการหวาดผวายังติดค้างอยู่ในความรู้สึก รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อที่ยังสั่นระริกและคิดว่าหากเขามาช้ากว่านี้ สภาพของเธอคงไม่หลงเหลือสติพอจะสามารถพูดคุยกับเขาได้เช่นนี้เป็นแน่ และเหลือบสายตามองฝ่ามือใหญ่ที่ดึงมือของเธอพลิกหงาย คลี่นิ้วมือให้แบออกเพื่อมองรอยแดงช้ำจากการกดจิกปลายเล็บลงกับอุ้งมือบาง

“พี่ต้องขอโทษแทนหนูเล็กด้วยนะ..” อนาวินพูดขณะเลื่อนลูบรอยนั้นแผ่วเบาราวกับอยากจะลบร่องรอยความเจ็บปวดนั้นให้หายไป ก่อนใบหน้าคมเข้มจะเงยขึ้น ซึ่งนอกจากความห่วงใยที่ส่งผ่านออกมาทางสายตาแล้วดวงตาคู่คมของเขายังแฝงถึงความละอายใจ ที่ไม่สามารถปกป้องเธอจากน้องสาวได้ “หนูเล็กแค่อยากจะแกล้งเท่านั้น เขาไม่คิดว่าโม้นาจะกลัวถึงขนาดนี้”

และเห็นความเจ็บปวดเป็นเงารื้นอยู่ในดวงตาสีเขียวคู่นั้น และมันเป็นสาเหตุทำให้เขาสนใจในความเจ็บปวดของเธอ

“บอกพี่ได้ไหม อะไรเป็นสาเหตุทำให้โม้นากลัวถึงขนาดนี้” ไม่ใช่ว่าจะเป็นการสอดรู้สอดเห็น แต่ที่ต้องการรู้เป็นเพราะความห่วงใยและอยากให้เธอส่งผ่านความเจ็บปวดนั้นมาให้เขาช่วยเยียวยา

ราโมน่ามองเห็นถึงความมุ่งมั่นในการใคร่รู้ของเขา ความเลวร้ายในวัยเยาว์ผ่านเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ทว่า..ครั้งนี้ ความอบอุ่นอ่อนโยนจากฝ่ามือใหญ่ที่ยังโอบกุมมือของเธอนั้น ทำให้ไม่รู้สึกถึงความอ้างว้างเดียวดายเช่นที่ผ่านมา และเริ่มเอ่ยออกมาพร้อมๆกับภาพความทรงจำที่ลอยล่องในหัว

“ตอนเด็ก..เวลาที่แม่เมา แม่มักจับโม้นาขังไว้ในห้องเก็บของใต้บันได โม้นาต้องรอจนกว่าแม่จะสร่างเมา แม่ถึงจะมาเปิดประตู..บางครั้ง โม้นาต้องนอนอยู่ในนั้นทั้งคืน..”

อนาวินนิ่วหน้ากับสิ่งที่ได้ยินและบีบกระชับมือของเธออย่างปลอบโยนและเห็นใจ “ทำไม เขาถึงทำอย่างนั้นล่ะ”

“เพราะว่า โม้นาเป็นคนทำลายความสุขทั้งหมดของแม่..ชีวิตครอบครัวของแม่กำลังสดใสสวยงาม แต่ทันทีที่โม้นาเกิดมา ชีวิตของแม่ก็พังหมดทุกอย่าง เพราะโม้นาคือความผิดพลาดที่แม่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมาประจานความอัปยศให้กับตัวของแม่และทุกคนในครอบครัวให้ต้องอับอาย..”

คนฟังคิดตาม “..หมายความว่า..” และละไว้เพียงแค่นั้น

ซึ่งราโมน่าก็แค่นยิ้มฝืดเฝือ
“ค่ะ..โม้นาเป็นลูกของผู้ชายอีกคนที่ไม่ใช่คนที่แม่แต่งงานด้วย และเป็นชาวต่างชาติที่มีตาสีเขียวและผมสีน้ำตาลทองเหมือนกับโม้นาทุกอย่าง..แม่ก็เลยเกลียดโม้นา..เกลียดจนลมหายใจสุดท้ายของท่าน”

ความเศร้าสะเทือนแสดงออกมาชัดเจนตามเส้นเสียงสั่นเครือและหยาดน้ำตาที่ปริ่มไหล เป็นภาพที่สร้างความรู้สึกสะท้อนสะท้านใจให้กับผู้เฝ้ามอง และเพียงแค่เขาดึงมือของเธอพาเข้าหาตัวด้วยแรงเพียงน้อยนิด ร่างกายและจิตใจที่กำลังตกอยู่ในสภาวะอันแสนเปราะบางก็เอนเข้าซบแผ่นอก..ตัวเขานั้นไม่คิดจะซักถามอะไรเธออีกแล้ว แต่เหมือนว่า อารมณ์ของราโมน่าหลุดไปไกลเกินกว่าจะยับยั้งได้ เรื่องราวต่างๆที่เธอจดจำได้จึงถูกถ่ายทอดให้เขารับรู้

“ถึงแม้ว่าแม่จะไม่รักโม้นา แต่โม้นาก็ไม่เคยเกลียดแม่เลย แต่รู้สึกสงสารทุกครั้งเวลาที่เห็นแม่ร้องไห้และนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนคนสิ้นหวัง..”

อนาวินลูบผมยาวยุ่งเหยิงที่สยายปกคลุมแผ่นหลังบางเบาๆ และอดที่จะถามต่อไม่ได้
“..แล้วพ่อของโม้นาล่ะ เขารู้เรื่องนี้รึเปล่า”

“เขามีครอบครัวอยู่แล้ว..โม้นาเป็นเพียงความผิดพลาดที่ไม่มีใครต้องการ..”

ฝ่ามือที่กำลังลูบเรือนผมชะงักงัน ก่อนเปลี่ยนเป็นกระชับโอบกอดร่างนุ่มละมุนแน่นขึ้น นึกหงุดหงิดในใจ ที่เรื่องของผู้ใหญ่สองคนที่ทำอะไรตามอารมณ์ แต่กลับโยนความรับผิดชอบอย่างคนเห็นแก่ตัวมาให้เลือดเนื้อเชื้อไขที่บริสุทธิ์ จนกลายเป็นรอยด่างที่ฝังลึกในใจของเธอจนถึงทุกวันนี้

“มันไม่ใช่ความผิดของโม้นาเลย..”

“ลุงชัชก็พูดเหมือนพี่ค่ะ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของโม้นา..ตอนที่แม่ตาย มีเพียงลุงชัชคนเดียวเท่านั้นที่กอดโม้นา แล้วก็บอกว่า ต่อไปนี้โม้นาคือลูกสาวอีกคนของลุง”

รอยยิ้มหยัดขึ้นเหนือมุมปากเล็กน้อยยามเมื่อคิดว่า บนโลกกว้างใบนี้ยังพอมีคนที่มองเห็นตัวตนของเธอบ้าง และแม้ว่าอ้อมกอดของลุงชัชจะอบอุ่นสักเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเติมเต็มความว้าเหว่ของเธอได้มากพอ เธอจึงเลือกที่จะก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้หน้ากากมายา เพราะอย่างน้อย ทุกคนก็ยังมองเห็นและชื่นชมในการมีตัวตนของเธอ ให้เธอได้เก็บเกี่ยวความสุขอันฉาบฉวยนั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจเรื่อยมา

“แล้วโม้นาเคยได้พบพ่อบ้างไหมครับ”

“ตอนอายุ16..ลุงชัชพาโม้นาไปงานศพของพ่อค่ะ คุณลุงบอกว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อและโม้นาก็ควรที่จะได้เคารพศพผู้ให้กำเนิด..ในตอนนั้น โม้นาจำได้ว่าไม่ได้รู้สึกโกรธหรืออาลัยในตัวของพ่อเลย ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด ไม่ต่างอะไรกับการไปงานศพของคนแปลกหน้าเลยด้วยซ้ำ”

อนาวินถอนใจและผินหน้าจูบกลุ่มผมนุ่ม “เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว..ไม่มีอะไรที่โม้นาจะต้องรู้สึกทุกข์ทรมานกับมันอีกแล้ว”

ราโมน่าหลับตาลงซึมซับกับเสียงกระซิบปลุกปลอบอ่อนโยน..เป็นครั้งแรกที่เธอเปิดเผยตัวตนอันขาดวิ่น ซึ่งไม่ได้มีความสุขสวยหรูอย่างที่หลายคนเข้าใจ และคิดไม่ถึงว่าคนที่กำลังฟังเรื่องราวของเธอจะเป็น เขา บุคคลที่ขึ้นชื่อว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม มิหนำซ้ำ ตัวเธอเองกำลังซุกซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกด้วย!

ดูเหมือนว่า ขณะนี้จิตใต้สำนึกของราโมน่ากลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงเต็มตัวแล้ว และหญิงสาวก็ไม่ชอบใจนัก ที่สำนึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเธอรู้สึกพึงพอใจในอ้อมกอดของเขาเป็นอย่างมาก เธอลืมตาพร้อมทอดถอนใจก่อนตั้งสติให้มั่นคงแข็งแกร่ง เพื่อผละตัวออกจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น

“ขอบคุณพี่จิลที่พาโม้นาออกมาจากห้องนั้น..ตอนนี้โม้นาไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”

วงแขนแกร่งยอมคลายให้เธอผละห่างอย่างเชื่องช้าแต่สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของเธอ เห็นถึงความเข้มแข็งฉายชัดออกมาจากดวงตาคู่สวยที่ยังฉ่ำชื้นหยาดน้ำตา เขายกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมยาวรุ่ยร่ายให้พ้นจากใบหน้าสวยซึ้ง และประคองไว้ในฝ่ามือข้างนั้น สายตาเลื่อนมาอ้อยอิ่งอยู่กับกลีบปากอิ่มเต็มที่เริ่มกลับมามีสีสันเย้ายวนใจอีกครั้ง ชายหนุ่มจำต้องรีบลุกขึ้นและเก็บสองมือซุกลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ก่อนที่ความยับยั้งชั่งใจของเขาจะหมดลง และกระทำตามที่แรงปรารถนาอันรุ่มร้อนเรียกร้อง

“พี่ต้องขอโทษเรื่องของหนูเล็กอีกครั้ง และพี่สัญญาว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับโม้นาอีกเด็ดขาด”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาขึงขังหนักแน่น และเป็นอีกครั้งที่ราโมน่าเชื่อมั่นในคำพูดของเขา..เธอไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ส่งรอยยิ้มแห่งความเชื่อมั่นให้เท่านั้น และมองตามร่างเขาที่หันเดินออกจากห้องไป จากนั้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำเรียกความสดชื่นให้คืนกลับมา


โมรียานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กลางห้องโถงใหญ่ รอจนกระทั่งพี่ชายลงมาชำระความกับตนอย่างไม่กริ่งเกรง..ในเมื่อเธอทำอะไรลงไปแล้ว เธอก็กล้าที่จะรับผลของมันโดยไม่คิดหลบหนีอย่างคนขี้ขลาดเด็ดขาด

และไม่นาน พี่ชายก็เดินมาหยุดตรงหน้าจับจ้องเธอด้วยใบหน้าถมึงทึง หญิงสาวตวัดสายตาขึ้นมอง ก่อนเอ่ยถามเสียงราบเรียบ
“เขาเป็นไงบ้าง”

“ดีขึ้นแล้ว” อนาวินตอบเสียงห้วน ก่อนถอนใจยาวผ่อนปรนอารมณ์ขึ้งโกรธ เพื่อเจรจากับน้องสาวผู้ดื้อรั้น “เฮียขอร้องล่ะหนูเล็ก อย่าทำร้ายราโมน่าอีก แค่สิ่งที่เขาต้องเผชิญและการที่ถูกเฮียบังคับให้อยู่ในบ้านของเรามันก็เต็มกลืนเกินกว่าที่เขาจะทนไหวแล้ว หนูเล็กอย่าซ้ำเติมความเลวร้ายเข้าไปในชีวิตของเขาอีกเลย”

โมรียาขยับเนื้อตัวก่อนยกแขนทั้งสองข้างมากอดอกแน่น
“หนูเล็กก็แค่อยากจะสั่งสอนในความอวดดีของแม่นั่นเท่านั้น..ใครจะไปคิด ว่าจะกลัวถึงขนาดนั้น”

“ราโมน่ามีเรื่องฝังใจน่ะ..ตอนเป็นเด็กเขาเคยถูกจับขังในห้องเก็บของใต้บันได”

“หือ !? ใครกันที่ทำเรื่องอย่างนั้นกับเด็กได้ลงคอ” หญิงสาวถามอย่างสนใจ และความเห็นอกเห็นใจก็ฉายชัดออกมาบนใบหน้าของพี่ชายขณะตอบคำถาม

“แม่ของเขา”

“แม่เรอะ!” โมรียาตกใจในสิ่งที่ได้ยิน พลางนึกเปรียบเทียบไปถึงมารดาของตนทันที..ตั้งแต่เล็กจนโต มารดาเฝ้าเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่และคอยเอาใจใส่ทุกอย่าง แม้จะมีว่ากล่าวตักเตือนในบางครั้งที่เธอดื้อดึงจนเกินรับ แต่มารดาก็ไม่เคยลงโทษหรือดุด่าให้เธอรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักครั้ง..รึแม้แต่บิดา ที่ใครๆต่างก็มองว่าเป็นคนเคร่งขรึมจนดูน่าเกรงขาม แต่สำหรับเธอแล้ว ท่านเป็นเหมือนพ่อทั่วๆไปที่มอบความรักและให้ทุกอย่างตามที่ลูกสาวคนนี้ต้องการ เท่าที่พ่อคนหนึ่งจะสามารถขวนขวายหาให้ได้ และบางครั้ง ก็ยังช่วยปกปิดความผิดของเธอไม่ให้มารดาได้ล่วงรู้ เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องถูกบ่นว่าด้วยซ้ำไป

และเมื่อเธอเติบโตมาพร้อมกับความรักมากมายของผู้ให้กำเนิด เธอจึงนึกถึงความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายโดยผู้ให้กำเนิดไม่ออกเลย ว่ามันจะเป็นเรื่องโหดร้ายสักเพียงใด

“..แย่จัง”

และถ้อยคำนั้น คือสิ่งที่เธอนึกออกตามความรู้สึกหดหู่ พร้อมๆกับความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นต้นเหตุในการกระตุ้นความทรงจำอันขื่นขมของราโมน่าให้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง

“ใช่ มันเป็นเรื่องที่แย่มาก” อนาวินสำทับ “เพราะอย่างนี้ เฮียถึงอยากขอร้องให้หนูเล็กอดทนอยู่ร่วมบ้านกับราโมน่าอย่างสันติ ซึ่งอีกไม่กี่วันเขาก็ไปจากบ้านนี้แล้ว..ส่วนเรื่องของป๊า เฮียก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอย่างที่หนูเล็กเข้าใจนะ เพียงแต่เฮียต้องการความแน่ชัดเท่านั้น ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนร้ายตัวจริง เพราะดูเหมือนว่า เรากำลังถูกใครบางคนเสี้ยมให้ชนกับพวกรัตนากร ขืนเราบุ่มบ่ามทำอะไรลงไป เรื่องมันจะลุกลามใหญ่โตโดยที่เราจะไม่มีวันรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นฝีมือของใครกันแน่..หนูเล็กเองก็เป็นคนมีเหตุผล น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากนะ”

แม้จะเข้าใจในคำอธิบายยืดยาวของพี่ชาย แต่ใบหน้าของคนฟังยังบึ้งตึง เรื่องที่ราโมน่าจำเป็นต้องอยู่ที่นี่เธอพอจะทำใจได้ แต่อีกเรื่องที่เธอหวาดระแวงนี่สิ เธอจะทำใจยอมรับได้อย่างไร..

สายตาคมปลาบตวัดจ้องเขม็งไปยังพี่ชาย ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม
“หนูเล็กจะยอมเซ็นสัญญาสงบศึกก็ได้..ถ้าเฮียรับปากว่าจะไม่งาบแม่นั่นน่ะ”

จู่ๆต้องมาเจอประโยคจี้ใจดำอย่างไม่ทันตั้งตัว อนาวินถึงกับปรับสีหน้าแทบไม่ทัน อารมณ์โกรธขึ้งบัดนี้จางหายไปแล้ว เมื่อแน่ใจว่าน้องสาวจะไม่ใช่ตัวอันตรายสำหรับราโมน่าอีกต่อไป ทว่า..ใบหน้าคมเข้มนั้นกลับปรากฏรอยยิ้มกริ่มผุดพรายพร้อมประกายตาแพรวพราวอย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถปิดบังจากน้องสาวได้ ก่อนจะรีบหาข้ออ้างชิ่งหนี

“เฮียมีงานค้างอยู่ ต้องรีบกลับไปสะสางต่อ..เฮียไปล่ะ” และหันหลังเดินหนีทันที

โมรียาลุกพรวด ทวงถามคำสัญญาเสียงเขียวไล่หลัง
“เฮียยังไม่รับปากหนูเล็กเลยนะ”

อนาวินหันกลับมาหยัดยิ้มมุมปากพร้อมขยิบตาให้แทนคำตอบ ก่อนหันเดินจากไปอีกครั้ง ทิ้งให้ผู้มองตามฮึ่มฮั่มในลำคอ เมื่อรู้ทันในท่าทางระริกระรี้นั้น และคิดว่าอีกไม่นานหรอก ราโมน่าต้องเสร็จพี่ชายของเธอแน่!

“ฮึ้ย!” โมรียากระทืบเท้าขัดใจ เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถขัดขวางความต้องการนี้ของพี่ชายได้เป็นแน่ เพราะถ้าหากเธอห้ามได้ พี่ชายของเธอคงไม่ได้รับสมญานามคาสโนวาเช่นทุกวันนี้หรอก และกระแทกตัวลงนั่งอีกครั้งหยิบโทรศัพท์มือถือกดหาเตชิต รอไม่กี่อึดใจเสียงปลายสายก็เอ่ยรับ เธอจึงพูดถึงความต้องการทันที

“พี่เต้กลับมาได้แล้ว หนูเล็กไม่เอาแบบเสื้อแล้ว หนูเล็กจะไปหาป๊า”

จากนั้นก็วางสายกอดอกใบหน้าบูดบึ้ง และเมื่ออารมณ์ขุ่นเคืองในตัวพี่ชายจางหาย เธอก็เริ่มครุ่นคิดถึงราโมน่าแทน ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้น เธอสมควรที่จะเอ่ยคำ ขอโทษ กับผู้ที่เธอเห็นว่าเป็นศัตรูดีหรือไม่

จิตใต้สำนึกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย และต่างพยายามหาข้อโต้แย้งมาหักล้างเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด จนกระทั่ง..เตชิตก้าวเข้ามายืนตรงหน้าแล้ว หญิงสาวก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เสียที

และใบหน้ายุ่งเหยิงของเธอทำให้เตชิตต้องเอ่ยถามในที่สุด
“คิดอะไรอยู่หรือครับ”

หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองสบ และมั่นใจว่าสิ่งที่เธอกระทำลงไปในวันนี้รู้ไปถึงหูของเขาเรียบร้อยแล้วจากลูกน้องคนใดคนหนึ่ง
“พี่เต้รู้เรื่องที่หนูเล็กทำกับแขกคนสำคัญของเฮียแล้วใช่ไหม”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ แต่สายตาคมกริบเต็มไปด้วยการตำหนิติเตียนจนโมรียารู้สึกทนไม่ได้ที่จะถูกเขามองด้วยสายตาเช่นนั้น ร่างเพรียวบางลุกพรวดกระชากเสียงห้วน

“อย่ามองหนูเล็กอย่างนั้นนะ..หนูเล็กไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันเป็นถึงขนาดนี้เสียหน่อย”

“ถ้าไม่ตั้งใจก็ควรไปขอโทษเขา คุณจะได้ไม่รู้สึกผิดเหมือนในขณะนี้”

หญิงสาวฮึดฮัดกับการที่เขารู้เท่าทันเธอไปเสียหมด แต่ก็ยังปากแข็งไม่อยากจะยอมรับนักว่าเขาได้กระแทกลงมาตรงจุดที่เธอกำลังคิดไม่ตกอยู่พอดี
“เรื่องอะไรที่หนูเล็กจะต้องไปขอโทษศัตรูด้วย”

เตชิตหยัดยิ้มมุมปากอย่างหมิ่นในความคิดของเธอ และเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว
“เด็ก”

แต่มันสร้างความหงุดหงิดให้คนฟังได้มากมาย
“หนูเล็กไม่ใช่เด็กอย่างที่พี่เต้ว่านะ”

“ถ้าทำผิด แต่ไม่รู้จักขอโทษก็ถือว่าเป็นเด็ก..แล้วตกลงว่า คุณหนูเล็กยังเป็นเด็กหรือว่าโตแล้วกันแน่ครับ”

ดวงตาเรียวคมตวัดหางตาค้อนคนพูดและส่งเสียง “ฮึ!” ดังในลำคอก่อนสะบัดหน้ากระแทกส้นหันเดินตรงขึ้นบันได จึงไม่เห็นใบหน้าสงบนิ่งของเตชิตเริ่มปรากฏรอยยิ้มละมุนละไม สายตาที่ทอดมองตามหลังอบอุ่นอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งอย่างแท้จริงที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เห็น แม้กระทั่งเธอ


โมรียาเดินมาถึงหน้าประตูห้องของราโมน่าได้หลายอึดใจแล้ว แต่ร่างของเธอยังเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายเที่ยวกว่าจะตัดสินใจเคาะบานประตูได้ และรอไม่กี่อึดใจ บุคคลที่อยู่ภายในห้องก็เปิดบานประตูมาเผชิญหน้ากับเธอ..ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลส่งประกายวาววับอย่างระแวงต่อการปรากฏตัวของคู่กรณี

“ยังมีอะไรอีกหรือคะ”

โมรียาเชิดใบหน้าของตนอย่างเย่อหยิ่ง
“ไม่มีอะไรมาก แค่จะมาดูให้แน่ใจว่าเธอยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า”

“ตอนนี้คุณก็เห็นแล้ว ว่าฉันยังไม่ตาย”

โมรียาไหวไหล่ “นั่นสิ เธอยังไม่ตาย..งั้นก็แค่นี้ล่ะ” พูดจบก็หันเดินผละจากมา แล้วก็ถอนหายใจเฮือก..ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เธอไม่เคยเอ่ยคำขอโทษกับใครเลยนอกจากมารดาเท่านั้น แล้วจู่ๆจะต้องให้มาเอ่ยถ้อยคำนี้ต่อผู้ที่คิดว่าเป็นศัตรู เธอก็ไม่สามารถทำใจเค้นเสียงพูดออกไปได้จริงๆ

ราโมน่านิ่วสายตามองตามอย่างไม่เข้าใจการมาปรากฏตัวครั้งนี้ของโมรียา..และในเวลาต่อมา เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆอีกครั้ง เธอจึงเปิดประตูและเห็นสาวใช้สองคน คนหนึ่งถือถาดใส่อาหารกลางวันและผลไม้รวมในจานในเล็ก ส่วนอีกคนถือถาดเครื่องดื่มที่มีทั้งน้ำชากาแฟและน้ำส้มคั้นในแก้วทรงสูงที่มีไอเย็นเกาะพราว

“คุณหนูเล็กเห็นว่าคุณยังไม่ได้ทานกลางวัน เลยสั่งให้ยกอาหารขึ้นมาให้ค่ะ”

ราโมน่ากะพริบตาอย่างคาดไม่ถึงในสิ่งที่ได้ยิน พลางขยับร่างเปิดทางให้ทั้งสองนำสิ่งที่ถือเข้ามาวางภายในห้อง
“ขอบใจนะ”

สาวใช้ทั้งสองยิ้มอย่างชื่นชมในความสวยงามที่เธอมี
“ด้วยความยินดีค่ะ แล้วถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมก็สั่งดิฉันได้เลยนะคะ”

เมื่อคนรับใช้ทั้งสองเดินออกจากห้องไปแล้ว ราโมน่ามองถาดอาหารและเครื่องดื่ม ความงุนงงสงสัยในการกระทำของโมรียายังเกลื่อนกระจายทั่วดวงหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไร..ขณะนี้ท้องของเธอกำลังปั่นป่วนเรียกหาอาหารแล้ว พลางอดพึมพำอย่างระแวงไม่ได้ว่า

“หวังว่าเธอคงไม่ใส่ยาพิษลงมาในอาหารของฉันนะ คุณหนูเล็ก”



......

อนาวินกลับเข้าบ้านอีกครั้งก็เกือบเที่ยงคืน และได้รับรายงานจากคนรับใช้ว่า น้องสาวของเขานอกจากจะไม่กระทำการคุกคามใดๆต่อแขกคนสำคัญแล้ว ยังเอาใจด้วยการสั่งให้คนยกอาหารขึ้นไปให้ถึงบนห้อง ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้วชายหนุ่มถึงกับอมยิ้ม เพราะรู้ดีว่า นั่นคือวิธีแสดงการขอโทษตามแบบฉบับของ นางมารน้อย ที่แสนน่ารักน่าชังของเขา

ชายหนุ่มเดินเรียบเรื่อยท่ามกลางแสงสลัวของไฟดวงเล็กตามราวระเบียงทางเดินและมาหยุดอยู่หน้าห้องพักของราโมน่า..คำพูดจี้ใจของน้องสาวยังคงก้องกังวาน เพราะนั่นคือความปรารถนาอันแท้จริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ และบ่อยครั้งที่เขานึกถึงความสุขยามที่ได้โอบกอดร่างนุ่มละมุนอิ่มเต็ม พร้อมๆกับอารมณ์ดิบที่สะกดกลั้นไว้คอยแต่จะดิ้นทุรนทุรายด้วยความรุ่มร้อน

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวในวันนี้ มันทำให้เขาเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของเธอได้อย่างลึกซึ้ง และจากการที่เธอยอมเปิดใจให้เขารับรู้ด้วยความอ่อนแอของจิตใจ ส่งผลให้เขาเห็นอีกซอกมุมของความรู้สึกเธอที่มีเงาของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาสีสวยคู่นั้น มันก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดำฤษณาให้ทะยานลิ่วด้วยความฮึกเหิมอยากไขว่คว้าร่างกายที่แสนงดงามเย้ายวนมาเชยสมให้สาสมกับความทรมานจากไฟราคะที่กำลังแผดเผาใจ

อนาวินทอดสายตาลงมองลูกบิดประตู และยื่นมือออกไปขยับเปิดมันอย่างแผ่วเบา แต่ในเสี้ยวอึดใจต่อมา เขาก็ข่มใจปิดบานประตูลงอีกครั้ง พลางก้าวถอยหลังและหันเดินกลับห้องของตน ก่อนถอนลมหายใจยาว..ไม่รู้ว่าตัวเขาจะต้านทานต่อแรงปรารถนาอันเร่าร้อนนี้ไปได้อีกสักแค่ไหนกัน !

.......................................................................................


ระรินใจ 26 มี.ค. 2555, 12:17:41 น.
ฮิ้ววว..กลับมาโพสต่อจบจบตอนแล้วค่า
ขอบคุณคุณ jink นะคะที่จม.มาบอก

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^


sai 26 มี.ค. 2555, 15:37:51 น.
เฮียจิลดูน่าสงสารจริงๆๆ หุๆๆๆ


bloomberg 26 มี.ค. 2555, 16:25:41 น.
โห เฮียจิล พอรู้จักตัวตนอีกด้านของหนูโม้นา แทนที่จะเกิดอารมณ์ทนุถนอม มันกลับไปกระตุ้นอารมณ์กล่องรักสีดำ (ดำกฤษณา)ของเฮียเลยเรอะ

เฮียแกคงจะต้องเป็นโรคความดันโลหิตสูงซักวัน คุ คุ....


nunoi 26 มี.ค. 2555, 19:03:06 น.
น่าสงสารเฮียจิล จริงๆ


ann 26 มี.ค. 2555, 19:22:55 น.
รอตอนต่อไปน้า ว่าแต่บ่วงพันธการจะออกเมื่อไหร่จ๊ะ ใกล้งานเต็มทีแล้วอ้ะ


Zephyr 26 มี.ค. 2555, 19:57:32 น.
อ่า แบบว่าพี่จิลไปเอาความหื่นมาจากใครอ่ะ ป๊ากะม๊าก็ไม่เห็นจะเป็นเลย - -"
พี่จิลต้องเป็นพวกเก็บกดแน่ๆเลย เก็บมากๆเวลาระเบิดทีนี่คง เฮ้อสงสารโม้นาจัง ถ้าวันนั้นมาถึง >//<
พี่เต้จ้ะ พี่เก็บกดอีกคนแระ เฮ้อ มีแต่คนเก็บกดเว้ยยยยย


ระรินใจ 26 มี.ค. 2555, 21:28:29 น.
หวังว่าคุณ หมูอ้วน,jink,และคุณokuriumi จะกลับมาอ่านอีกรอบแล้วนะคะ ^^


คุณsai=== ใช่ค่ะ..เฮียจิลน่าสงสารมากกกก...



คุณbloomberg=== ฮ่าๆ เรื่องนี้พระเอกหื่นจนออกนอกหน้าค่ะ



คุณ nunoi=== แต่เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงเปลี่ยนไปสงสารโม้นาแทนล่ะค่ะ



คุณann=== ตอนนี้อยู่โรงพิมพ์แล้วค่า แต่ยังไม่รู้ว่าจะเสร็จทันวันแรกๆของงานรึเปล่า แหะๆ



คุณZephyr=== อิอิ คิดไปถึงไหนแล้วค่ะ ฮ่า..ส่วนพี่เต้ก็ปล่อยแกไปเหอะ นายนี่น่ะแทบจะกลายเป็นฤาษีแล้ว ^^"


Okuriumi 27 มี.ค. 2555, 11:51:30 น.
มาอ่านแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะที่ไม่ใจร้ายต่อคนรอ


ระรินใจ 27 มี.ค. 2555, 17:37:28 น.
..นักเขียนคนนี้น่ารักที่สุดในสามโลก (^____^)"

ยกหางตัวเองสุดฤทธิ์ อิอิ


แพม 28 มี.ค. 2555, 23:07:16 น.
อีกนาน


anOO 29 มี.ค. 2555, 18:52:22 น.
เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว คราวนี้หนูเล็กคงจะสงบศึกไปอีกพักนึง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account