ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๒




เดือนตกไปแล้ว แต่ทั้งฟ้ายังไร้ดาว ค่ำคืนจึงยิ่งดูหม่นหมอง ราวกับจะรับรู้ได้ถึงความเศร้าที่มีอยู่ในหัวใจของแสงเพ็ง

น้ำตาไม่รู้มาจากไหน มันช่างมากมายทั้งที่ไม่มีกายเนื้อ คงกลั่นออกมาจากหัวจิตหัวใจหรอกกระมัง แล้วก็ถั่งท้น เอ่อล้นออกมาจากข้างใน

แสงเพ็งไม่นึกเลยว่า ความผิดหวังในเรื่องอย่างนี้ จะทำให้ตนคล้ายบาดเจ็บสาหัส ความตายเมื่อตอนดวงจิตหลุดลอยออกจากร่าง ยังง่ายดายเสียกว่าเป็นไหนๆ

สายลมพัดแผ่ว พลิ้วใบไม้ให้ไหวเบาๆ แรงลมอ่อน รำเพยกลิ่นหอมชืดจางระคนไว้ด้วยความหม่นเศร้าของดอกไม้กลางคืน ส่งมากระทบความรู้สึกให้ยิ่งโศก

คุณแสเห็นแสงเพ็งหายไปนานก็เป็นห่วง ตามลงมาดูถึงแนวเขื่อนริมท่าน้ำ จึงได้เห็นว่าผีสาวแอบมานั่งซึมอยู่ตามลำพัง

ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านนึกไว้ไม่มีผิด ว่าความรักชนิดนี้ ยากนักที่จะได้สมความหวัง

“แสงเพ็ง...”

เสียงเรียกอ่อนโยน ขณะค่อยแตะที่ไหล่ของคนที่ยังนั่งเงียบ ก่อนจะกอดเธอไว้ด้วยท่าทีของพี่สาว ผู้ที่รักและปรารถนาดีต่อน้องสาวของตนเสมอมา

“คุณแสเจ้าคะ”

แสงเพ็งตอบคำได้เท่านั้น น้ำตาก็ไหลพรากลงมาอีก

“แม่แสงไปรอพบคุณทรงธรรมมาละหรือ”

ผีสาวไม่ได้ตอบคำถามนั้น กลับกล่าวว่า

“คุณแสเจ้าขา ดีฉันผิดเอง... ตลอดเวลาที่ผ่านมา ล้วนเป็นดีฉันที่คิดเพ้อฝันไปเอง เขาไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยสักนิด คิดอยู่เพียงแต่ว่าจะช่วยให้เราไปเกิดได้อย่างไร เพื่อเป็นการตอบแทนพวกเรา...”

คำท้ายๆ นั้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์ เพราะเสียงพูดระคนอยู่กับการสะอื้นไห้ที่ถั่งท้นหนักหนามากยิ่งขึ้น

คุณแสก็พลอยใจหาย นึกสงสารผีสาว จนอยากจะรับความเจ็บปวดนั้นเอาไว้เสียเอง ได้แต่จนใจอยู่ว่า เรื่องแบบนี้มันมารับความรู้สึกรู้สมแทนกันไม่ได้ จึงได้แต่ปลอบไปตามความคิดที่ยังฝังใจจำ

“แสงเพ็ง อย่างที่ข้าเคยบอก ผู้ชายทุกคนก็เหมือนกัน ไม่ว่าแม่แสงจะดีด้วยแค่ไหน แต่เขาก็เปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา”

“คุณแสเจ้าขา นึกไม่ถึงเลย ว่ามันจะเจ็บปวดถึงขนาดนี้”

แสงเพ็งปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ไม่ไยดีว่ามันจะเผาผลาญเอากระแสวิญญาณไปสักเท่าไร

“ตอนนี้ดีฉันไม่รู้จะทำอย่างไรเลยจริงๆ”

“แสงเพ็ง ฟังไว้นะข้าจะบอก ไม่ว่าจะยังไร ข้าก็จะอยู่กับแม่แสงไปตลอด คอยเป็นห่วง คอยดูแล ไม่ทิ้งแม่แสงไปไหนแน่ๆ”

คุณแสช่วยเช็ดน้ำตาให้ ตอนที่ผีสาวเงยหน้าขึ้นมาสบสายตา

ในเวลานี้ ทั้งสองตนต่างเข้าใจกันและกันแล้วว่า ความทุกข์ทรมานจากความรักนั้น มันมากมายแสนสาหัสถึงเพียงไหน




เมื่อแรกรู้สึกตัว คือได้ยินเสียงนกร้องจิ๊กๆ จิ๊บๆ ดังกว่าที่เคย และเหมือนมีใครมาส่องไฟอยู่ตรงหน้า ทั้งที่ในเวลานี้ เขาควรจะได้หลับอยู่ในที่นอนอันแสนสุข ภายในคฤหาสน์บ้านอเนกคุณากรอันโอฬาร

ที่ต้องลืมตาก็เพราะ มีบางอย่างตกกระทบใบหน้า กับที่คอยพะวงอยู่ว่า อุ่นเรือนจะแอบย่องมาแกล้งอีกกระมัง

แต่แล้วพอทรงธรรมลืมตาขึ้นมา ก็ต้องพบกันแสงแดดอันแผดจ้า เขาผุดลุก มองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะจับต้นชนปลายอะไรถูก ขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ทำไมอยู่ๆ ถึงได้มานอนอยู่ใต้ต้นยางสูงใหญกลางทุ่งนา มีหมอน มีผ้าห่มผ้ารองนอนอยู่พร้อมสรรพ ขาดก็แต่ห้องนอนทั้งห้อง กับบ้านทั้งหลังที่อันตรธานหายไป

ทรงธรรมต้องตั้งสติ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่บ้านทั้งหลังหายไป แต่ตนเองต่างหาก ที่ต้องมานอนอยู่กลางป่า จะเป็นมุมไหนของเมืองก็ไม่รู้ จึงมีท้องทุ่งเวิ้งว้าง กับไม้ต้นสูงริมคันนา

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย”

ถึงจะถามไปก็ไม่ได้รับคำตอบ จำได้แต่เพียงว่า เมื่อคืนเขาออกจะเสียมรรยาทกับแสงเพ็งไปมาก ที่ออกปากไล่เธอ เพื่อที่ตนเองจะได้นั่งคิดอะไรคนเดียวต่อไป

คิดไปคิดมาก็คงจะเป็นบรรดาผีๆ ในบ้านเรือนตึกนั่นละที่เป็นตัวการ คงคิดว่าตนเป็นคนทำให้แสงเพ็งเสียใจ ถึงได้แกล้งย้ายที่นอนกันอย่างนี้

ทรงธรรมพยายามมองหาที่หมายตา ยังดีที่ลิบๆ นั่นยังเห็นยอดของพระบรมบรรพต เมื่อคะเนจากทิศทางแล้ว ตนเองน่าจะถูกพามาปล่อยทิ้งไว้ไกลถึงแถวทุ่งนางเลิ้ง

“จะไม่ให้อยู่ บอกกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องเอามาปล่อยไกลอย่างนี้ก็ไม่รู้”

เขาบ่นกับตัวเอง ระหว่างใช้ยอดเจดีย์ยอดภูเขาทองนั้นเป็นจุดหมาย หาทางเดินกลับมายังบ้านอเนกคุณากร

กว่าจะถึงก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ แถมยังมาเจอรอบรั้วที่ปิดประตูแน่นหนา ประตูใหญ่นั้นแทบจะปิดตายอยู่ตลอดเวลา หนำซ้ำประตูด้านข้างก็ถูกปิดตายไปเช่นเดียวกัน

ทรงธรรมหันซ้ายหันขวา จากถนนคั่นเป็นแนวรั้วกระถินของเรือนไทยเจ้าคุณเอนก ซึ่งจากหลังรั้วนั้นไป ก็ยังต้องเดินไปอีกไกลกว่าจะถึงตัวเรือน และเวลานี้ก็ปลอดร้างผู้คนแทบไม่ต่างอะไรกับบ้านรั้วสูงตรงหน้านี้เลย

รอบคฤหาสน์เป็นรั้วทึบ ก่อด้วยอิฐแล้วฉาบปูนเรียบ ยอดเสาตลอดแนวรั้วก่อเป็นช่องตามไฟเล็กๆ ส่วนยอดรั้วปาดปูนไว้เป็นเหลี่ยมทแยงคม เป็นการป้องกันคนจะปีนเข้าไว้ชั้นหนึ่ง

แต่ว่าตอนนี้ คนที่จะปีนคือทรงธรรม เขาจึงต้องคิดหนักกับการจะลองเสี่ยง

ลองหาไม้ท่อนหนึ่งมาพาด พอต่อขาขึ้นไป จนโหนตัวง้างขาไปเกี่ยวบนยอดกำแพงเอาไว้ได้ ก็เจ็บแปลบเพราะคมปูน สะดุ้งจนไม้ท่อนล้มลงไปนอนสบายอยู่บนพื้น

เป็นภาพที่แสนจะทุลักทุเลอย่างที่ตัวเขาเองก็นึกไม่ถึง ครั้นจะละความพยายามถอยกลับลงมา ความเจ็บตัวต่างๆ ก็จะสูญเปล่า จึงต้องกัดฟันดั้นด้นเดินหน้าต่อไป

กว่าที่ทั้งตัวจะมาพาดอยู่บนกำแพง เล่นเอาทั้งมือและเท้าต้องถลอกปอกเปิด อยากจะพักหายใจเอาแรงสักครู่ ลมเจ้ากรรมก็ดันกระโชกมาจนจะพลัดตกกลับออกไป ทรงธรรมต้องฝืนตัวเอาไว้เต็มที่ กระทั่งเมื่อเต็มล้าหนักเข้า ก็จำต้องฮึด พลิกกายยอมให้ตัวเองตกลงไปในเขตบ้าน

เสียงดังแอ้กจนเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว แทบจะอยากนอนรอให้สิ้นลมอยู่ตรงนั้น แต่ใจหนึ่งยังเป็นแรงส่ง ให้พยุงตัวลุกขึ้น เดินเข้าไปหาความกระจ่างจากในเรือน

ผ่านความรกร้างรอบบริเวณ ที่เหมือนถูกภูตผีบันดาลให้เป็นไป จนมาถึงประตูเรือนใหญ่ที่ยังปิดเงียบเชียบ ทรงธรรมนึกรู้ได้ทันที ทางเข้าทั้งหมดก็คงถูกปิดสนิท ป่วยการที่จะต้องวนหา

“เปิดประตูสิขอรับ เปิดประตูให้ก่อน แม่แสง คุณแส... เจ้าหลง กระถิน บุปผา มาลีผกา”

หนักเข้าก็ต้องตบประตูดังระรัว เรียกชื่อผีประจำเรือนตนนั้นนี้จนทั่วหมด

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ คุณแส แสงเพ็ง ออกมาคุยกันก่อนซี”

พอเรียกให้เปิดแล้วไม่ยอมเปิด ทรงธรรมก็เปลี่ยนเป็นเรียกให้ออกมาแทน

ครั้นพอไม่มีใครออกมา ก็เปลี่ยนวิธีการไปอีก

“คือ แม่แสง พี่มีเรื่องอยากจะถาม คือทำไมพี่ถึงออกไปนอนอยู่กลางทุ่งนั้นได้”

พยายามปรับน้ำเสียงให้เห็นเป็นเรื่องสนุก และพอไม่มีเสียงใครตอบคำ ทรงธรรมก็เลยให้คำตอบเสียเอง

“อ๋อ! รู้แล้ว โกรธที่เมื่อคืนไม่ได้มาสอนหนังสือหรือยังไร ก็นี่ไง ตอนนี้ไอ้ธรรม์ก็กลับมาแล้ว เปิดประตูออกมาคุยกันเถอะนะ”

คราวนี้มีเสียงคุณแสตอบกลับมา

“ที่นี่ไม่ต้อนรับ กลับไปซะ!”

เสียงของผีที่เป็นใหญ่ในบ้าน เด็ดขาดไม่แพ้ตอนที่เคยขับไล่เขาเมื่อครั้งแรกๆ

“คุณแสขอรับ อย่าล้อกระผมเล่นอย่างนี้เลยนะขอรับ”

ทรงธรรมยังพยายามทำเป็นใจดีสู้เสือต่อไป

“มันไม่สนุกเลยนะเนี่ย ออกมาเถอะขอรับ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้”

“รีบไปซะ ไม่ต้องกลับมาอีก”

เสียงคุณแสยิ่งตวาดดัง

ทรงธรรมแทบอับจนปัญญา เพราะไม่ได้รับโอกาสให้อธิบายอะไรเลย คิดอยู่อึดใจหนึ่ง ก็นึกถึงแผนการสุดท้ายได้ จึงตะโกนเข้าไปในบ้าน

“กระผมไม่ไป กระผมจะอยู่ตรงนี้ จะกินจะนอนมันตรงหน้าเรือนนี่ละ”

ไม้สุดท้ายคือลูกดื้อ ลูกตื๊อที่จะอยู่ให้ได้แม้ไม่มีใครสนใจไยดีนั่นเอง

แล้วลมก็กระโชกมาอีกครั้ง และครั้งสองครั้งสามที่ซัดผ่านนั้นทำให้ตัวแทบปลิว ทรงธรรมรีบคว้าต้นเสาเอาไว้ มิเช่นนั้นคงล้มกลิ้งไม่เป็นท่า คงเป็นอิทธิฤทธิ์ของคุณแสแน่ๆ ที่บันดาลลมฟ้าได้ถึงขนาดนี้

เขาคิดว่าต้นเสาคงจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้ปลอดภัย แต่มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่เพียงไม่กี่อึดใจ เพราะกระแสลมยิ่งแรงขึ้นๆ ในที่สุดก็เหมือนตกอยู่ท่ามกลางพายุหมุน

ทั้งร่างของทรงธรรมถูกยกขึ้นด้วยแรงลม ในแรงยกนั้นยังมีแรงเหวี่ยงมหาศาล ที่ว่าหากเขาหมดเรี่ยวแรงเมื่อไหร่ คงต้องมีอันปลิวหลุดไปแบบไม่อาจคำนวณทิศทาง

ทรงธรรมต้องแข็งใจสู้ ในความรู้สึกที่นานแสนนาน และนานที่สุดเท่าที่จะนานได้นั้น แท้จริงเป็นเพียงเวลาไม่กี่อึดใจ ก่อนที่เขาจะถูกลมหอบเอาไปปล่อยให้กลิ้งหลุนๆ อยู่นอกประตูรั้ว

เจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าตอนตกกำแพงนั่นมากนัก ได้แต่นอนครวญครางอยู่อีกเป็นนาน

“มันจะเกินไปหน่อยแล้วละนี่ ได้เลย ไม่ให้ไอ้ธรรม์กลับ ไอ้ธรรม์ไม่กลับก็ได้ แล้วอย่ามาง้อก็แล้วกัน”

กว่าที่จะมีเรี่ยวแรงลุกขึ้นได้ก็อีกพักใหญ่ กระนั้นก็ยังรู้สึกเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว

ประคับประคองตัวเองมาจนถึงร้านค้าริมทาง จึงแวะเข้าไปหาอะไรดื่มย้อมใจแก้กลุ้ม พอสุราผ่านลวงลำคอลงไป กำลังวังชาค่อยจะกลับมาใหม่ เลือดลมฉีดไปทั่วจนความรู้สึกขัดยอกค่อยบรรเทา มีแต่ความรู้สึกในใจที่ยังเจ็บปวดอยู่ไม่หาย

“จะทำยังไรดีล่ะทีนี้ กระทั่งผียังรังเกียจ! แล้วคืนนี้จะไปซุกหัวนอนที่ไหน อาศัยนอนตามศาลาวัดงั้นหรือไง... โธ่! เวรกรรมอะไรกันวะเนี่ย!”

ยิ่งคิดก็ยิ่งช้ำ ไม่นึกเลยว่าเวรกรรมที่เคยคิดเรื่องร้ายๆ เอาไว้ จะตามทันเร็วเช่นนี้

แล้วก็เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หรือไม่ชะตาชีวิตก็คงเป็นช่วงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก เพราะระหว่างไม่รู้จะหาทางออกให้กับตัวเองได้อย่างไรนั้น โจทก์เก่าทั้งกลุ่มก็โผล่เข้ามาอีก

เป็นนักเลงอันธพาลที่เที่ยวหลอกลวงผู้คนให้เอาของมีค่าจำนวนน้อย ไปแลกเปลี่ยนกับทองคำปลอมๆ ของพวกมันนั่นเอง

“ว่ายังไรไอ้ธรรม์ เจอกันวันนี้ จะหนีไปทางไหน”

หัวหน้าก๊วนย่างสามขุมเข้ามา ด้วยท่าทางประสงค์ร้ายเต็มที่

“จะหนีไปทางได้ไหนอีกล่ะ มาก็ดี รุมกันเข้ามาเลยซี ตอนนี้อารมณ์เสีย อยากโดนอัดอยู่เหมือนกัน”

ทรงธรรมพูดจาเยาะเย้ยเวรกรรมของตนเองออกไปดังนั้น

“ยังงั้นก็ดี ขอรุมกระทืบสักคนละห้าหกทีให้หายแค้นหน่อยเถอะวะ”

แล้วทั้งกลุ่มก็กรุ้มรุมเข้ามา ถกแขนเสื้อขากางเกง เตรียมจะเตะต่อยให้ถนัดมือเท้า

เห็นท่าทางตัวเองจะถูกอัดไม่เลี้ยงเช่นนั้น ทรงธรรมค่อยได้สติ เป็นสติที่มาพร้อมกับหัวใจที่ฝ่อลงไปทันที

“เอาซีวะ!”

เขาตะโกนท้า ตบโต๊ะดังปังใหญ่ ก่อนจะงัดมันให้หงายไปกลางวง

พวกนักเลงทั้งหมดแตกถอย แต่พริบตาเดียวก็ล้อมวงเข้ามาใหม่ ทรงธรรมฉวยม้าที่นั่งอยู่ได้ก็ฟาดดะ ป่ายปัดเปะปะแหวกฝ่าวงล้อมออกมา

ออกถนนได้ก็วิ่งหนีไม่คิดชีวิต ทั้งที่แข้งขาก็ยังบาดเจ็บ เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่มีเหลือ วิ่งผ่านตลาดก็งัดไม้คานสาแหรกของแม่ค้าเขวี้ยงย้อนกลับไป มีผลหมากรากไม้อะไรใกล้มือก็ขว้างใส่ พอผู้คนจอแจหนักเข้า ก็ผลักผู้คนนั่นละเข้าไปรับลูกหลงแทนตน

กว่าจะอาศัยความชุลมุนนั้น หลบหลีกจนคลาดจากพวกคู่อรินั่นมาได้ ก็แทบจะล้มประดาตาย

“เวรกรรมอะไรกันนักหนาล่ะไอ้ธรรม์ หรือจะอย่างที่ตาภู่แกว่า เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย”*

แล้วความคิดอันหนึ่งที่ตนไม่น่าจะหลงลืม ก็ส่งประกายวาบขึ้นในหัว

“แม่อุ่น... จริงซี แม่อุ่น แม่อุ่นไงล่ะ”

ทรงธรรมรีบบอกตัวเอง ก่อนจะใช้ลูกฮึดอีกเฮือก พาร่างกายที่ทรุดโทรมขนาดหนัก ย้อนกลับมาที่บ้านเรือนไทยของเจ้าคุณอเนกคุณากร

พวกบ่าวไพร่ทางหน้าเรือนต่างคนก็ต่างทำงาน ทรงธรรมรีบเข้าไปบอกว่าจะมาหาท่านเจ้าคุณ แต่ไม่มีใครสนใจเขาเลย

เห็นว่านายวงศ์เดินตรวจตราความเรียบร้อยอยู่แถวร่มไม้ใหญ่ ก็รีบเข้าไปทัก

“นายวงศ์ นายวงศ์ ไปเรียนคุณอุ่นเรือนให้หน่อยซี ว่ากระผมมาขอพบ”

“ขอโทษด้วย คุณอุ่นเรือนไม่อยู่”

บ่าวคนสำคัญของเจ้าคุณเจ้าของบ้าน ตอบอย่างไร้เยื่อใย เดินหลีกไปเสียทางหนึ่ง

“แล้วท่านเจ้าคุณเล่า”

ทรงธรรมเดินตาม ไม่ละความพยายามไปง่ายๆ

“คุณท่านก็ไม่อยู่”

นายวงศ์เดินหนีห่างออกไปอีก คราวนี้เดินไปหยุดอยู่ท่ามกลางบ่าวฉกรรจ์สี่ห้าคน

“ไปไหนกันหมดเล่านายวงศ์”

ทรงธรรมต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มเข้าไว้ ซ้ำยังทำท่าทางเหมือนจะนบนอบบ่าวอย่างนายวงศ์อยู่ในที

“ไปไหนก็ไม่ทราบ กลับเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ”

“อย่างนั้นเองรึ อย่างนั้นข้าจะรอ นายวงศ์หาที่ให้ข้านอนสักคืน”

“อยู่ที่เรือนตึกก็สุขสบายดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือขอรับ”

บ่าวชราทำสีหน้าหน่ายระอาเต็มที่

“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว...”

“ถ้ายาวก็รอให้ท่านเจ้าคุณกลับมา แล้วค่อยว่ากันเถอะ”

นายวงศ์ไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

“โรงแรมข้างนอกก็มีถมเถไป...”

เวลานี้จะให้ย้อนกลับไปแถวนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพวกอันธพาลนั่นคงเพ่นพ่านกันไปทั่ว

“ประเดี๋ยวซี อย่าเพิ่งไป นะนายวงศ์ ที่เรือนแพก็ได้ แค่คืนเดียวก็ยังดี”

ทรงธรรมจึงต้องพยายามอ้อนวอน

“อย่าเสียเวลาเลย กระผมตัดสินใจเรื่องนี้โดยพลการไม่ได้หรอก”

แล้วนายวงศ์ก็หันหลังให้ ทำให้เห็นชัดๆ ว่าไม่ต้องการจะสนทนากับชายหนุ่มอีกต่อไป

“หยุด! นายวงศ์ หยุดก่อนนะ!”

ทรงธรรมเผลอตวาด แต่พอตั้งสติได้ ก็ต้องรีบเปลี่ยนน้ำเสียงเดือดโมโหเป็นยิ้มแย้ม

“นายวงศ์ นายวงศ์ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน เรื่องแค่นี้น่าจะตัดสินใจได้”

พูดพลางก็ล้วงเหรียญเงินออกมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งที่จริงก็คือทั้งหมดที่เขาพกติดตัวเอาไว้นั่นละ

แต่พอยื่นออกมาตรงหน้า นายวงศ์ก็ปัดมือจนเหรียญนั้นกระเด็นกระดอนไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง

“นี่คิดจะติดสินบนกูเรอะ... เสียดายมีความรู้ดีเสียเปล่า อย่ามาดูถูกกันด้วยวิธีหยั่งนี้”

บ่าวชราตวาดกร้าว

“ไอ้แดง ไอ้โหย พาไอ้นี่ออกไปซะ”

จบคำสั่ง บ่าวฉกรรจ์ที่ตั้งท่ารออยู่แล้วก็รุมกันเข้ามา มากกว่าที่นายวงศ์เอ่ยชื่อที่ช่วยกันรวบตัวแบกผู้บุกรุกจนตัวลอย แล้วพาออกมาโยนไว้นอกเขตรั้ว

ทรงธรรมทั้งเจ็บกายและเจ็บใจ คิดไปแต่ว่าดวงชะตาของตนเองคงไม่มีโอกาสจะลืมตาอ้าปากกับใครเขาได้อีกแล้วแน่ๆ

“หมดกันแล้ว ที่ซุกหัวนอนก็ไม่มี เงินก็ไม่มีจะซื้อข้าวกิน”

เขาบ่นพึมพำกับตัวเองเรื่อยมา ขณะโซเซไปตามตรอกซอยแคบๆ ไม่ยอมเดินถนนใหญ่ เพราะไม่มั่นใจว่าจะรอดเงื้อมมืออันธพาลพวกนั้นไปได้

ไกลออกมาจากบ้านที่อยู่ของอุ่นเรือนอีกมาก กว่าที่ทรงธรรมจะเห็นขบวนของผู้มียศศักดิ์ขบวนหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนว่าสวรรค์ยังมีตา เพราะแรกเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นขบวนของเจ้าคุณเอนกคุณากร ทรงธรรมรีบวิ่งกระเผลกเข้าไป

“แม่อุ่น แม่อุ่น...”

เขาตะโกนเรียกแต่ไกล ดีใจนักหนาที่จะได้พบกันในเวลานี้

อุ่นเรือนหลบเข้าแอบหลังบิดาในทันใด แต่ทรงธรรมก็ยังคิดว่าหล่อนล้อเล่น

ยื่นหน้าเข้าไปจะชะโงกทัก กลับถูกเจ้าคุณถีบยอดอกเข้าเต็มรัก

โดยที่ไม่ได้ตั้งหลัก คนถูกถีบถึงกับหงายหลังไปนอนแผ่อยู่บนพื้น

จุกจนพูดไม่ออก แต่ก็คุ้มค่าที่อุ่นเรือนยอมโผล่หน้าออกมามอง

“พี่ธรรม์...”

เรียกชื่อได้แค่นั้นก็ถูกผู้เป็นบิดายกมือห้ามเอาไว้

ทรงธรรมจับต้นชนปลายไม่ถูก พยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ก็พอดีกับที่นักเลงเจ้ากรรม ตามมาจนเจอ แล้วตรงเข้ายึดตัวเขาเอาไว้ทันที

ถูกต่อยเข้าหมัดหนึ่งเป็นการประเดิม จนได้รสเลือดอยู่เต็มปาก

“แม่อุ่น แม่อุ่นช่วยพี่ที”

พอดิ้นรน ก็ถูกหัวเข่าอัดเข้าที่ชายโครง คนข้างหลังที่คุมเชิงยังแถมถองที่สะบักหลังด้วยศอกคมๆ ให้เต็มแรง

ทรงธรรมทั้งจุกทั้งเจ็บ แต่คนตรงหน้าคือเจ้าคุณและธิดาก็ยังยืนนิ่งมองเฉยอยู่

หัวหมุนไปหมด นึกหาเหตุผลได้ยากเย็น กว่าจะคิดออกว่าหญิงสาวคงโกรธเขานักที่ต่อว่าหล่อนเรื่องที่ให้บิดาใช้เส้นสายในทางราชการ

“เจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณขอรับ ช่วยกระผมด้วย”

แต่ผู้มากวัยยังยืนเฉย ซ้ำยังหันไปปรามให้ธิดายืนนิ่งๆ

“คิดจะเอาเจ้าคุณมาอ้างเรอะ เด็กอมมือหรอกที่จะเชื่อ”

เจ้าคนหัวหน้าทะลวงเข้าอีกหมัดหนึ่งตรงลิ้นปี่

“ยังไร ทรงธรรม คราวนี้จะมาลูกไม้อะไรอีก”

ท่ามกลางผู้คนที่เริ่มมุงเข้ามาหนาตา เจ้าคุณผู้ใหญ่จึงจำเป็นต้องค่อยแสดงว่ามีเมตตา

“คือ... ไอ้พวกนี้ ไอ้พวกนี้มันมาแก้แค้นกระผมขอรับ”

“แกมาทำลายทางทำมาหากินของข้า โดนอย่างนี้ก็สมควรแล้ว ใครไม่เกี่ยวก็อย่าได้มายุ่ง”

เจ้าคนหัวหน้ารีบพูดแทรก

บิดาของอุ่นเรือนกัดฟันกรอด หากคนตกทุกข์เป็นใครอื่น จะให้บ่าวสั่งสอนนักเลงพวกนี้ให้เข็ดหลาบ แต่นี่เป็นทรงธรรม ที่เจ้าคุณภาวนาให้เขาประสบเคราะห์กรรมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“คนบ้านอเนกคุณากร ไม่ยุ่งกับเรื่องราวต่ำช้าเช่นนี้ เรื่องของพวกเอ็งก็ไปจัดการกันเอาเอง”

แล้วเจ้าคุณก็ทำท่าจะเลิกสนใจ แต่ก็ต้องหยุดกึกเมื่อทรงธรรมโพล่งออกมาว่า

“เรื่องของกระผมที่ไหน ของแม่อุ่นต่างหากเล่า เพราะเรื่องของแม่อุ่น กระผมถึงต้องไปมีเรื่องกับไอ้พวกนี้”

ผู้เป็นบิดาหันขวับไปมองบุตรสาว อุ่นเรือนหน้าเจื่อนไปทันที เพราะเคยรับปากกระทั่งให้คำมั่นสัญญา ว่าจะไม่ทำการใดๆ ที่จะเป็นเหตุให้ตระกูลอเนกคุณากรต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะคราวโผไปกอดทรงธรรมกลางวงประลองนั่น เจ้าคุณผู้เป็นใหญ่ก็ต้องหาทางแก้หน้าแก้ชื่อไปสารพัด

“ถ้าไม่เชื่อ เจ้าคุณถามแม่อุ่นเอาก็ได้”

ทรงธรรมยังย้ำ ทำให้เจ้าคุณยิ่งเขม้นมองบุตรสาว

อุ่นเรือนก้มหน้าหลบ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่บิดาจะรู้ว่าชายหนุ่มพูดความจริง แต่เจ้าคุณอเนกยังกล่าวต่อไปว่า

“แม่อุ่น เงยหน้าขึ้น มองหน้าพ่อ ตอบมาซิว่าเจ้าเอาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลไปเกลือกกลั้วกับไอ้คนชั้นต่ำพรรค์นี้”

คำถามนั้นเคลือบคลุมแฝงเร้นไว้แนบเนียน จะให้หมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าหรือไม่ก็ได้ทั้งสิ้น

อุ่นเรือนยังก้มหน้านิ่ง จนเจ้าคุณต้องถามย้ำ

“จริงรึไม่!”

“มะ... ไม่ค่ะเจ้าคุณพ่อ”

อุ่นเรือนตอบไปไม่เต็มคำ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าต้นเหตุของเรื่องก่ออรินี้ เป็นเพราะตนอวดฉลาดอวดรวย จนเกือบจะโดนพวกนั้นต้มตุ๋นเอาได้ ดีที่ทรงธรรมช่วยขัดขวางเอาไว้เสียก่อน แต่คำถามของบิดา เน้นย้ำเรื่องของการพาให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเป็นไปในทางเสื่อมเสีย หล่อนจึงต้องตอบคำไปดังนั้น

“ไม่ค่ะ ไม่ค่ะเรื่องอะไร นี่เจ้าทำให้คนบ้านเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเปล่า!”

เจ้าคุณยังคาดคั้น แม้จะได้ยินคำตอบของบุตรสาวตั้งแต่แรก แต่ก็อยากได้ยินเสียงที่ดังกว่านั้น หวังให้คนที่มุงดูได้ยินกันทั่วๆ

“ไม่ค่ะ ดีฉันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

อุ่นเรือนจึงต้องหลับหูหลับตาพูดออกไปด้วยเสียงอันดัง

“แม่อุ่น แม่อุ่นพูดอย่างนี้ได้ยังไร”

ทรงธรรมพยายามเรียกร้องหาความจริง แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเจ้าคุณก้าวเข้ามาใกล้ พูดใส่หน้าเขาว่า

“ไอ้หนุ่ม เอ็งบังอาจนัก กล้าใส่ความ กล้าหาความกับลูกสาวข้าเชียวรึ!”

ทรงธรรมไม่สนใจ หันไปทางหญิงสาว เค้นถามด้วยความระทดใจนัก

“ทำไม... ทำไมแม่อุ่นถึงพูดอย่างนั้นเล่า”

อุ่นเรือนไม่มองเขาเลย เบือนหน้าไปเสียอีกทาง ราวกับสนใจกับลมฟ้าอย่างใจจดใจจ่อ

“ข้าไม่อยากเสียเวลากับคนหยั่งพวกเอ็ง!”

เจ้าคุณตะคอกซ้ำ

“ข้าจะขอเตือน... ห้ามมายุ่งกับลูกสาวข้าอีก บ้านข้าก็ห้ามเหยียบเข้าไป! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

แล้วเจ้าคุณเอนกคุณากรก็หันไปจูงมืออุ่นเรือนให้เดินจาก ไม่สนใจว่าทรงธรรมจะตะโกนเรียกหาอีกอย่างไร

พอหมดคนกลาง สองคนที่ยึดสองแขนก็ผลักเขาให้ล้มลง แล้วก็รุมสหบาทากันเต็มที่ ทรงธรรมยังเห็นว่า อุ่นเรือนก็หันมามอง แต่ก็แค่หันมามองเพียงแค่นั้น

ความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นปราดขึ้นมาเป็นแรงฮึด ทรงธรรมกระโดดลุกขึ้นได้อย่างไม่อยากจะเชื่อตัวเอง ตั้งท่าจังก้า ชี้หน้าพวกนักเลงไปทีละคนๆ จนไอ้พวกนั้นก็งงไปนิดหนึ่ง กว่าจะตั้งตัวได้ คนที่ทำท่ากล้าหาญก็เผ่นแน่บไปไกล

แต่คราวนี้พวกอันธพาลไม่ยอมปล่อยให้เขารอดไปจากเงื้อมมือ อีกทั้งที่ทางแถวนี้ก็โล่งเลี่ยน ทรงธรรมวิ่งทะลุขึ้นมาทางที่ถูกผีสาวไปปล่อยทิ้งไว้เมื่อเช้า พอรู้สึกตัวก็รู้ว่าพาตัวมาเข้าตาจนเอาเสียแล้ว

บวกกับสภาพร่างกายที่บอบช้ำยับเยิน และยังไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด แรงจะวิ่งหนีก็ถอยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาจนมุมอยู่ที่ริมแม่น้ำ

ทรงธรรมต้องจำใจหันกลับ ยกสองมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าขอเจรจาหย่าศึก

ไม่ทันจะได้พูด ไอ้ตัวหัวหน้าก็เอ่ยขึ้นก่อน

“เอ็งมีอยู่สองทางเลือก คือโดดลงแม่น้ำไป หรือจะให้พวกข้ากระทืบให้หนำใจ”

เป็นหน้าน้ำตาย คือน้ำแห้งลงจนแลเห็นริมตลิ่งสูงชัน อีกทั้งก็น้ำยังไหลลงอย่างเชี่ยวแรง ยากนักที่ใครพลัดตกลงไปแล้วจะมีชีวิตรอด

“มีทางเลือกอื่นบ้างไหมเล่า”

“ไม่มี!”

“แต่ข้าไม่โดด”

“ถ้าไม่โดดก็ต้องถูกกระทืบ”

พวกมันคนหนึ่งคว้าข้อมือทรงธรรมได้ในพริบตา กระชากแขนเขาให้ล้มลงอีกครั้ง แล้วก็รุมกินโต๊ะยำบาทากันอีกรอบ

แต่เท่านั้นยังไม่หนำใจ พวกมันยังพากันจับแขนขาของเขาไว้คนละข้าง เฮละโลกันเหมือนเป็นเรื่องสนุก ทำท่าจะโยนทรงธรรมลงแม่น้ำ

ไม่มีเหลือเรี่ยวแรงอะไรอีกแล้ว หากถูกโยนลงไปก็มีแต่ตายกับตาย เขาจึงต้องร้องขอชีวิต

“ได้โปรด ได้โปรด ข้าไหว้ละ อย่าถึงกับเอาชีวิตกันเลย”

รวดร้าวไปหมดทั้งตัว กระทั่งเสียงจะพูดยังแหบแห้ง สำลักเป็นเลือดอีกหลายคำขณะที่พร่ำวิงวอน

พวกที่กลุ้มรุมทำท่าจะโยนลงแม่น้ำอีกหลายครั้ง จนทรงธรรมคิดว่าจะต้องตายแน่ๆ แต่แล้วพวกมันก็เหมือนทำหลุดมือ ตอนโยนย้อนเขากลับมาด้านหลัง

ทรงธรรมถูกโยนบกทั้งที่คว่ำหน้า คิดว่ากระดูกกระเดี้ยวคงหักพังไปหมดแล้ว

แค่นั้นยังไม่พอ พวกมันยังตามมา ยกสองขาของเขาขึ้นชี้ฟ้า อยู่ในท่าหัวปักดิน ทำให้คอเอียงจนใบหน้าแนบอยู่กับพื้น ทรงธรรมต้องให้สองแขนพยุงตัวไว้อย่างสุดกำลัง ขณะที่พวกมันเริ่มรุมกันเตะถีบช่วงท้องช่วงอก หัวหูและหน้าตาแบบไม่ยั้งมือยั้งเท้า

เหมือนยาวนานเป็นชั่วกัปป์กัลป์ ที่คิดว่าต้องถูกห้อยหัวแล้วรุมทำร้ายอยู่อย่างนั้น จนอยู่ๆ พวกนั้นก็หยุดมือ เขาถึงลืมตาขึ้นมอง

เพราะร่มคันเล็กเก่าคร่ำคร่าลอยเวียนอยู่ในอากาศ ทำให้เหล่าอันธพาลต้องตกตะลึง ก่อนที่ร่มนั้นจะเหวี่ยงหมุน ซี่ร่มที่ริมขอบปั่นวนจนคล้ายอาวุธจักรกล

พริบตาต่อมาร่มที่ปราศจากคนถือนั้น ก็พุ่งเข้าประจญประจัญกับพวกคนร้าย

ทั้งหมดทั้งตกใจทั้งเจ็บตัว ไม่นึกฝันว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับตัวเอง ทรงธรรมถูกปล่อยทิ้ง ต่างคนต่างตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอดจากร่มผีสิง

เป็นแสงเพ็งที่ตามออกมาช่วย ทรงธรรมได้ยินเสียงเรียกเบาๆ เหมือนแว่วดังมาจากที่อันแสนไกล

“พี่ธรรม์ พี่ธรรม์คะ”

คนถูกเรียกพยายามฝืนสติที่ริบหรี่เต็มที อยากจะมองชัดๆ ว่าใช่ผีสาวแน่ๆ แต่ก็เอ่ยออกมาได้แค่เพียง

“แม่แสง แม่แสงใช่หรือไม่”

แล้วสติก็ดับวูบลง



**********************


*นิราศภูเขาทอง สุนทรภู่




นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มี.ค. 2555, 12:44:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มี.ค. 2555, 12:44:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1367





<< บทที่ ๑๑   บทที่ ๑๓ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account