ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๓

ในคฤหาสน์บ้านอเนกคุณากรเวลานี้ โกลาหลหนัก ตั้งแต่แสงเพ็งพาทรงธรรมกลับเข้ามา เขาก็ยังไม่ได้สติ ลมหายใจรวยริน ชีพจรก็คลำหาแทบไม่เจอ ทั้งยังมีอาการสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา

บรรดาผีสาวต่างใจคอไม่ดี ทั้งเป็นห่วงชายหนุ่มที่นอนสลบไสลอยู่ ทั้งก็ยังเกรงคุณแสอยู่มาก ที่แสงเพ็งกล้าขัดคำสั่ง พาเขากลับเข้ามาอีก

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะเนี่ย”

ผีกระถินเพิ่งตามสมทบ ถามขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เคยหล่อเหลาราวเทพบุตรของทรงธรรมนั้น ช้ำยับไปถึงขนาดไหน

ขณะที่แสงเพ็งก็ยังเขย่าเรียก อย่างน้อยให้เขารู้สึกตัว มีปฏิกิริยาอะไรกับเธอบ้างก็ยังดี

“หยุดเถอะแสงเพ็ง คุณทรงธรรมจะเจ็บหนักขึ้นไปอีกนะ ถ้าเขย่าอยู่ต่อไปเขาอาจจะตายไปจริงๆ ก็ได้”

บุปผาให้ความเห็นบ้าง ทั้งที่พอเตือนแล้ว ก็ยังไม่รู้จะแนะนำให้ทำอย่างไรต่อไป

“แล้วคุณแสไปไหนล่ะ พี่ผกาไปตามคุณแสมาดีกว่า”

เจ้าหลงหันไปบอกกับผีอีกตน

“คุณแสไม่ยอมลงมาน่ะซี”

คำตอบยังวิตกกังวล

“แต่ว่าพี่จะลองไปตามดูอีกที...”

ไม่ทันที่ผกาจะไปตาม คุณแสก็ผ่านเข้ามาในห้อง

“เกิดอะไรขึ้นรึ”

พร้อมคำถาม พอเห็นว่าเป็นทรงธรรมนอนไม่ได้สติอยู่ ก็โมโหขึ้นมาอีก

“ทำไมเป็นเขา ข้าไล่ไปแล้ว กลับมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไร!”

“เป็นดีฉัน เป็นดีฉันช่วยเขากลับมาเองเจ้าค่ะคุณแส”

แสงเพ็งปากคอสั่น น้ำตายังอาบแก้ม ด้วยกลัวนักว่าชายหนุ่มที่ตนรักนักหนาจะมีอันสิ้นใจไปต่อหน้า

“แสงเพ็ง เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าเขาเป็นคนไม่ดี ทำให้เจ็บให้ช้ำ”

“ก็หรือจะปล่อยให้เขาตายล่ะเจ้าคะ”

ผีสาวย้อนถาม น้ำเสียงเข้มแข็งอย่างไม่เคยทำอย่างนี้กับคุณแสมาก่อน

“หนาว... ข้าหนาวเหลือเกิน”

พอได้ยินเสียงครวญครางของทรงธรรม เธอก็เลิกสนใจกับใครอื่น พยายามใช้มือตนถูหลังมือของเขาเพื่อให้ความอบอุ่น

“ดีขึ้นไหมคะ อุ่นขึ้นบ้างหรือไม่”

ปากก็พร่ำถามไป พร้อมกับที่น้ำตายังกลบตา แม้จะใจชื้นขึ้นบ้างที่เขายังส่งเสียงออกมาได้ แต่ก็กลัวนักว่านั่นจะเป็นถ้อยคำสุดท้าย

“แม่แสง ทำอย่างนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกน่ะ”

ผีมาลีเห็นแล้วก็เวทนานัก

“ทำไมเล่าพี่ ทำไมเขาถึงยังหนาวสั่นอยู่อย่างนี้”

“ก็พวกเราเป็นผี ร่างกายมีความอบอุ่นเสียที่ไหน ที่แม่แสงทำอยู่นั่น มีแต่จะดูดกระแสปราณของคุณทรงธรรมให้แห้งแล้งลงไปอีก”

ผีบุปผาช่วยอธิบาย

“แล้วเราจะทำยังไรดี”

ความห่วงแสนห่วงทำให้แสงเพ็งคิดอะไรไม่ออกเลยสักสิ่งเดียว

“เราไปเอาผ้าห่มมาให้เขาเพิ่มดีไหมขอรับ”

เจ้าหลงออกความเห็นให้บ้าง

“ใช่ซี จริงสินะ”

พูดได้เท่านั้นแสงเพ็งก็ถลาจากไป บรรดาผีที่เหลืออยากจะตามไปช่วย แต่คุณแสเอ่ยชัด

“หยุดเลยนะ อยากจะช่วยไอ้หนุ่มนี่ ให้กลับมาทำร้ายแม่แสงอีกหรือยังไร!”

ผีทุกตนเลยจำต้องอยู่นิ่งๆ ไม่สบายใจเลยที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร รอจนแสงเพ็งหอบผ้าห่มผืนใหญ่กลับมา ได้แต่เปิดทางให้เธอเข้าไปช่วยเหลือคนที่ตนรัก

ทั้งที่เหงื่อแตกพลั่กๆ ร่างของทรงธรรมก็ยังสั่นไม่หยุด ดีที่เลือดตามบาดแผลต่างๆ แห้งเหือดไปแล้ว กระนั้นอาการเพ้อหนาวนักหนานี้ ก็ทำให้แสงเพ็งเป็นทุกข์ร้อนไม่จบสิ้น

“อย่าเป็นอะไรนะคะ อย่าเป็นอะไร ดีฉันไม่ยอมให้พี่เป็นอะไรนะคะ...”

แสงเพ็งเวียนลูบผมลูบแขน ปลอบประโลมทั้งตัวเขาและตนเองอยู่อย่างนั้น อาการที่เห็นขัดหูขัดตาคุณแสขนาดหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

“เหมือนเขาจะยังหนาวอยู่เลยนะ”

กระถินเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากที่ไม่เห็นว่าอาการสั่นสะท้านของทรงธรรมจะดีขึ้น ทั้งที่มีผ้านวมผืนใหญ่ห่มคลุม

“ทำไมล่ะ ทำไมพี่ธรรม์ถึงไม่หายหนาว... จริงสิ ไฟ ไฟไงล่ะ ความร้อนจากไฟคงช่วยได้”

แล้วความคิดดังนั้นก็สว่างวาบขึ้นในความคิด แสงเพ็งไม่รอช้า หันกลับไปค้นตามลิ้นชักโต๊ะเล็กตรงหน้าห้อง

คราวนี้บรรดาผีๆ ตามมาห้ามเป็นพัลวัน

“อย่าน่ะ อย่านะแสงเพ็ง”

ทุกตนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน

แต่แสงเพ็งหาฟังไม่ เจอชุดหินเหล็กไฟอยู่ชุดหนึ่ง ก็เริ่มต่อยสะเก็ดให้เกิดประกายไฟขึ้นทันที

“แม่แสง จะบ้าไปแล้วหรือ ทำอย่างนี้ ดวงวิญญาณแม่แสงจะเป็นอันตราย ประกายไฟนั่น มันร้อนกับเราเป็นหมื่นเป็นแสนเท่ากว่าที่มนุษย์จะรู้สึกร้อน”

“ช่างมัน ช่างมันประไร ขอให้พี่ธรรม์หายหนาวก็เป็นพอ”

ปากก็ว่าไป มือก็ต่อยหินเหล็กไฟไม่หยุด ประกายเล็กๆ วาบขึ้นกระเด็นมากระทบผิว จากแค่สะเก็ดไฟแค่ปลายเข็ม ก็กลายเป็นผื่นแดงดวงใหญ่

เจ็บปวดจนเผลอปล่อยมือ แต่แล้วแสงเพ็งก็หยิบมันขึ้นมาใหม่ ความร้อนของก้อนหินที่ถูกต่อยกระทบ ทำให้ทั้งฝ่ามือพุพองด้วยพิษร้อน แต่แสงเพ็งยังกำมันไว้มั่น พยายามต่อยสะเก็ดไฟให้จุดติดบนกระดาษปึกหนึ่งให้จงได้

“พอเถอะแม่แสง พอเถอะ อย่าทำอย่างนั้นเลย”

เหล่าผีสาวพากันวิงวอน แต่แสงเพ็งเหมือนไม่ได้ยินเสียงใดในโลก

คุณแสตรงเข้ามา กล้ำกลืนความรู้สึกรักและเป็นห่วงแสงเพ็งนักหนาลงไป แล้วก็ฟาดมือ ตบหน้าผีสาวไปฉาดใหญ่

“แสงเพ็ง บ้าพอหรือยัง เพื่อผู้ชายพรรค์นั้น จะถึงกับยอมให้ดวงวิญญาณตนเองแตกสลายเชียวรึ!”

คุณแสตะคอกถาม ทั้งที่บัดนี้ตนก็มีน้ำตาขึ้นมาเอ่ออยู่เต็มหน่วยตา

“ทำอย่างนี้มันคุ้มกันหรือยังไร!”

แต่แสงเพ็งไม่ฟังเสียง ยังตั้งหน้าตั้งตาอยู่กับหินเหล็กไฟต่อไป พอคุณแสสุดจะทนก็ต้องปัดหินสองก้อนนั้นให้หลุดกระเด็นไปจากมือ

แสงเพ็งค้อนขวับ แต่แล้วก็หันกลับ หมายจะไปหยิบชุดหินสองก้อนนั้นขึ้นมาใหม่

ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านรีบกันเอาไว้ ผีที่เหลือก็ช่วยกันรั้งแสงเพ็งให้เลิกคิดทำร้ายตัวเอง แล้วคุณแสก็จับมือของพีสาวให้เจ้าตัวได้เห็นรอยแผลทั้งพุพองทั้งไหม้เกรียม

“ดูสิ แม่แสงบาดเจ็บถึงขนาดไหนแล้ว ชอบเขามาก เสียสละให้ขนาดนี้ แล้วเขาน่ะ พอหายดีแล้ว มีหรือที่จะมาสนใจเรื่องความเสียสละบ้าบอของแม่แสง!”

คุณแสพูดทั้งน้ำตาคลอ ภาพตรงหน้าพร่าพราย แต่ก็ยังเห็นได้ว่าแสงเพ็งมีน้ำตาอาบอยู่สองแก้ม

“คุณแสเจ้าคะ ดีฉันไม่ปฏิเสธเลยว่าชอบพี่ธรรม์มาก แต่... แต่เวลาอย่างนี้มันไม่เกี่ยวกันเลย ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ดีฉัน... ดีฉันเพียงแต่ยอมเห็นเขาตายไปต่อหน้าไม่ได้...”

แสงเพ็งปาดน้ำตา พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกโศกระทดเพื่อที่เอ่ยต่อไป

“ตอนที่ดีฉันสิ้นลม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครรักใครห่วงอีกบ้าง ความรู้สึกอย่างนั้นมันทรมานนัก ไม่อยากให้ใครต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนั้น ...ดีฉัน ดีฉันจะไม่ยอมให้พี่ธรรม์ต้องตาย ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่ามีใครอีกที่รักเขา ชอบเขาจากใจจริง”

เหตุผลของแสงเพ็งทำให้ผีสาวทุกตนต่างนิ่งอึ้ง น้ำตาของคุณแสไหลลงมาเป็นทาง

“ยังไรก็ไม่ได้ ข้าไม่ยอมให้เจ้าต้องเสียสละถึงขนาดนั้น”

คุณแสหันหนี จนแสงเพ็งต้องคุกเข่าลงอ้อนวอน

“คุณแสเจ้าขา ดีฉันขอร้อง มีทางไหนบ้าง ได้โปรดเถิด ช่วยพี่ธรรม์ด้วนนะคะ”

คนถูกร้องขอพยายามไม่มองหน้าผีสาว ทั้งที่หัวใจเศร้าโศกหนักหนา เพราะเห็นอยู่ตำตาว่ายิ่งรักมากก็ยิ่งทุกข์มาก เพิ่งรู้จักกับความรักยังทุกข์หนักขนาดนี้ หากถลำลึกไปกว่านี้จะต้องตรอมตรมถึงขนาดไหน

“...ส่วนผลจะออกมายังไรก็ช่างเถิด ก็ทั้งหมดเป็นเพราะดีฉันเต็มใจทำให้เขา”

“แต่...ถ้าแม่แสงพูดอย่างนี้ แล้วที่ทำไปทั้งหมดจะมีประโยชน์อะไร”

นั่นละแสงเพ็งถึงค่อยลำดับความคิดได้บ้าง ว่าหากช่วยเขาจนพ้นรอดจากอันตราย โดยต้องแลกกับการสูญสลายของตนเอง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร พอเขาฟื้นตื่นขึ้นมาแล้วจะรู้หรือไม่ ว่าเป็นเธอเองที่ยอมเอาทั้งดวงวิญญาณเข้าแลก

คุณแสเอง เมื่อเห็นอาการแทบเป็นแทบตายของผีสาว ที่ตอนนี้กลับทอดตัวทอดอาลัย ทำราวกับหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว ก็ต้องฝืนความคับข้องอึดอัดของตัวเอง เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

“อาจจะมีคนหนึ่งที่จะช่วยได้...”

แสงเพ็งเงยหน้าขึ้นมอง ภาพความมัวหม่นที่ถูกม่านน้ำตากางกั้นเอาไว้ ถูกคุณแสช่วยเช็ดให้กลับมากระจ่างชัดดังเดิม ส่วนผีตนอื่นก็ลุ้นรอฟังด้วยใจระทึก




หลังจากหมอเกตุอาคมได้ถูกผีเรือนตึกบ้านอเนกคุณากรหลอกหลอนไปสองสามครั้ง เขาก็ตั้งใจแน่วแน่จริงจัง ว่าจะต้องกอบกู้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลให้กลับคืนมา

ดังนั้น นอกจากจะมีงานประจำคือไปสวดต่อชะตาให้ลูกสาวเศรษฐีท่านนั้น หมอผีหนุ่มก็แทบจะลดละอบายมุขทุกสิ่งอย่าง หันมาฝึกฝนฝีมืออาคม ท่องบ่นมนตราและนั่งสมาธิ แทนการไปตะลอนอวดโอ่สรรพคุณบุญเก่าให้ใครต่อใครหลงเชื่อ

ระหว่างที่ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น หมอเกตุอาคมยังได้ตระหนักรู้ ว่าที่แท้แล้วคนเราจะทำสิ่งไรสำเร็จไม่ได้เลย หากปราศจากวาจาสัจและความเมตตา อย่างน้อยก็คือการรู้จักซื่อสัตย์กับตัวเอง เมตตากับตัวเองเป็นพื้นฐานเบื้องต้น

ที่อยู่อาศัย หรืออีกนัยหนึ่งคือตำหนักเทพอาคม ที่ตกทอดมาถึงตน จึงได้รับการปัดกวาดทำความสะอาด เมื่อแลไปไร้ฝุ่นผง ไม่มีหยากไย่ใยแมงมุมให้รกตา จิตใจก็เบิกบานแช่มชื่น มีสมาธิถึงพร้อมที่จะซักซ้อมท่องบ่นมนตราให้ขึ้นใจ

วันนี้ขณะกำลังนั่งทดลองกรรมฐาน ก็กลับปรากฏเหมือนมีมารมาผจญ ตอนแรกหลงดีใจว่าได้นิมิต มีวิญญาณบางพวกมาสะกิดขอส่วนบุญอยู่ข้างหลัง แต่ตำรายังสอนต่อไป ว่าให้ละให้วาง ให้ละให้ว่าง อย่ารับอย่ารู้มายาอาการเหล่านั้น

แต่... จากแรกที่เหมือนมีอะไรมาสะกิดแค่เบาๆ หนักเข้าก็เหมือนใครเอาก้อนกรวดมาปา หมอเกตุอาคมพยายามดำรงสมาธิให้มั่นไว้ แต่พอนานไปก็ชักเจ็บ จนในที่สุดก็ต้องหันไปตะโกนด่าว่า

“ใครมันมาหาเรื่องกันวะ!”

เพราะคดีเก่าของตนก็มากมาย แม้เกือบทั้งหมดจะไม่เอาผิดคิดร้าย ด้วยนึกเสียว่าที่หลงคารมค่าน้ำมนต์ค่าสายสิญจน์ให้กับเขา ก็เป็นการทำบุญทำทานอย่างหนึ่ง ทว่าก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกที่คิดเช่นนั้น

เมื่อไม่มีเสียงอะไรหรือใครตอบกลับ หมอผีหนุ่มก็ได้เพียงแค่ถอนใจใหญ่ หันกลับมายังท่าทางเดิม ตั้งใจจะเอาปฐมฌาณให้ได้ในวันนี้

คราวนี้ไม่ใช่กรวดแต่เป็นหิน ปลิวมากระแทกหลังดังอึก เจ็บจนหลังแอ่น หมดใจจะใฝ่หาสมาธิไปทันที

เขาถลาออกมานอกเรือน เมื่อยังไม่เห็นใครก็เดินเลยออกมายังซุ้มประตูหน้าบ้าน

บริเวณบ้านของหมอเกตุไม่กว้างขวางนัก แต่ก็ถือว่าอยู่สบาย ที่ดินทั้งหมดมีสักงานหนึ่งเห็นจะได้ ปลูกบ้านใต้ถุนสูงที่ใช้ส่วนหน้าเป็นที่ว่าการ “ตำหนักเทพอาคม” แล้วกั้นกลางชานด้วยไม้ระแนงตีห่างๆ ไว้เป็นที่หลับนอน

ทั้งหมดเป็นเรือนไทยห้าห้องอย่างจะมองให้หรูหราก็พอได้ แต่หากจะมองว่าเป็นเรือนที่เก่าแก่คร่ำครึเกินไป ก็มองอย่างนั้นได้เช่นกัน

ตรงที่หมอเกตุนั่งทำพิธี แม้จะค่อนข้างอับสายตาจากถนนหน้าเรือน แต่สำหรับคนที่ตั้งใจจะมาเยี่ยมหา จะเห็นได้ถนัด เพราะห้องใหญ่สุดที่จัดตั้งอภิมหาหิ้งบูชานี้หันออกหน้าบ้าน เขานั่งบนพรมเจียมตรงกึ่งกลาง หันหน้าเข้าหาหมู่เครื่องของบูชาสารพัน หากใครหมั่นไส้นึกอยากจะกว้างปาอะไรเข้าใส่ ก็คงไม่ยากนัก

“ใคร! ใครมันบังอาจมาลูบคม แน่จริงก็ออกมาซีวะ!”

เขาฉุนเฉียวหนัก เพราะยังเจ็บที่กลางหลังอยู่ไม่หาย

“ข้า... เอ่อ... เป็นดีฉัน ดีฉันเองเจ้าค่ะ”

หมอเกตุหันกลับ แล้วก็ถึงกับผงะ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง

ร่มอาคมคันเก่านั้นเขาจำได้แน่นอน แต่ที่พาร่มมาด้วยนั่นซีที่สำคัญ

“คุณหมอเกตุอาคม...”

“ทำไมเป็น... ชื่ออะไรนะ แสงเพ็ง... แสงเพ็ง แม่แสงทำไมมาถึงนี่”

หมอผีหนุ่มขยับเข้าใกล้ กลางวันแสกๆ อย่างนี้ ความเกรงกลัวจึงเหือดหายไปมากมาย อีกทั้งตัวเองก็ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการฝึกปรือตลอดหลายวันมานี้เพิ่มขึ้น

“แล้วนี่... ทำไมแขนแมนถึงพุพองเกรียมไหม้ไปถึงหยั่งนี้”

พอเข้าใกล้ก็เห็นชัด ว่าผีสาวบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย

“พี่ธรรม์น่ะจ้ะ เขาถูกนักเลงรุมทำร้าย บาดเจ็บหนัก ซ้ำยังหนาวสั่นตลอดเวลา รบกวนหมอเกตุไปช่วยเขาด้วยเถิด”

ท่าทางของแสงเพ็งแสดงให้เห็นว่าร้อนใจนัก

“แล้วเขาอยู่ที่ไหน ที่เรือนตึกนั่นน่ะรึ”

กับตนเดียวที่ยืนสนทนาอยู่นี่ก็พอทำเนา แต่เมื่อนึกถึงว่าจะต้องเข้าไปในถิ่นของภูตผีที่เรือนตึกนั่น เขาก็อดหวั่นวิตกไม่ได้

“ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ดีฉันไหว้ละ ได้โปรดช่วยพี่ธรรม์ด้วยนะเจ้าคะ”

แสงเพ็งถึงกับทรุดกายลงวิงวอน จนหมอเกตุต้องรีบให้ลุกขึ้น ใจคอไม่ดีเอาเสียเลย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ผีบากหน้ามาขอพึ่งพาหมอผี มีหรือที่จะปฏิเสธให้เจ็บช้ำน้ำใจ อีกอย่างทรงธรรมก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็จัดว่าเป็นมิตรสหายคนหนึ่งนั่นเอง

“ก็... ก็ได้...”

แม้จะรับปาก แต่ก็ยังไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่เลย

หมอเกตุขอตัวไปเตรียมข้าวของครู่หนึ่ง กลับออกมาเห็นว่าแสงเพ็งยิ่งร้อนรน ก็รีบลั่นดาลประตูเรือน ให้ผีสาวพาไปโดยเร็ว แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงต้องพูดเสียก่อน

“นี่แม่แสง คราวหน้าอย่าใช้ก้อนอิฐก้อนหินปาใส่ข้าอีกก็จะดีนะ”

“โธ่! คุณหมอเกตุเจ้าคะ ในเรือนนั่นมีแต่ของอาคมเข้มขลัง ขนาดตัวท่านเองยังมีรังสีเวทมนตร์ ใครจะกล้าเข้าไปใกล้”

คนฟังยิ้มแก้มแทบปริ นับเป็นเหตุผลที่น่าชื่นใจ และพอจะหักล้างกับอาการเจ็บยอกที่กลางหลังนี้ได้อยู่หรอก

“ก็จริงซีนะ ข้าก็รู้สึกตัวเหมือนกัน ว่าวิชาอาคมก้าวหน้าไปมาก”

“อย่าช้าอยู่เลยนะคะ รีบไปดูพี่ธรรม์ก่อนเถอะ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรแล้ว”

“นั่นสิ งั้นก็รีบไปกันซีเรา”

ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นเป็นก่ายกอง ช่วยเรียกความกล้าหาญติดตามมาด้วย หมอเกตุรับร่มมาถือไว้เสียเอง บอกให้แสงเพ็งหลบเข้าไป ตัวเองจะได้รีบมาให้เร็วที่สุด

ไม่ทันเหนื่อยก็ถึงบ้านอเนกคุณากร ประตูใหญ่นั้นแง้มรออยู่แล้ว เขาจึงแทรกตัวเขาไปไม่ชักช้า พอเข้าสู่บริเวณปุ๊บ แสงเพ็งก็ใจร้อนรีบปรากฏกาย เป็นอาการที่หมอผีหนุ่มยังต้องสะดุ้งเพราะไม่เคยชิน ที่อยู่ๆ ร่มก็เด้งออกจากย่าม กางขึ้นด้วยตัวเอง แล้วก็ลอยลิ้วนำทางเข้าไป

หมอเกตุแทบจะต้องวิ่งตาม แต่พอผ่านประตูห้องโถงมาก็ถึงกับชะงัก

ภูตผีประจำเรือนตึกอยู่กันพร้อมหน้า ผีสาวทุกตนที่เขาจำได้ ซ้ำยังจะเจ้าผีเด็กชายที่เคยแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน

ความกล้าหาญชาญชัยหดหายไปบานพะเรอ ได้แต่คิดว่า มาถึงที่แล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นกัน

“สวัสดีขอรับ เอ่อ... คุณๆ ผีทั้งหลาย”

คำทักทายก็ประดักประเดิดจนน่าตลก ตอนแรกก็ไม่กล้ามองพวกนางตรงๆ จนแน่ใจว่าพากันมาปรากฏกายในชุดและหน้าตาที่สวยงามผ่องใส ใจของหมอเกตุจึงชื้นขึ้นบ้าง

“นี่... มากันครบหมดหรือยัง เอ่อ!...”

“รีบไปช่วยพี่ธรรม์ก่อนเถอะน่า”

เป็นเจ้าหลงผีเด็กที่ออกปากเร่ง ไม่อยากจะให้เขาโยกโย้อยู่ต่อไป

“นึกไม่ถึงว่าพวก... พวกแม่หญิงทั้งหลายจะดีกับเขาถึงขนาดนี้”

หมอเกตุมองผ่านบรรดาผีเข้าไป เห็นอยู่ไกลๆ ว่าทรงธรรมนั้นอาการหนักไม่เบา

“อย่ามัวพูดอยู่เลย รีบไปช่วยเขาก่อนเถอะนะ”

คราวนี้เป็นแสงเพ็งที่กล่าวเร่ง

“นั่นซีๆ ไปๆ”

แล้วทั้งกลุ่มก็เดินตามกันเข้ามา ทิ้งให้คุณแสอยู่รั้งท้าย นางยังไม่แน่ใจหรอกว่า ที่แนะนำให้ไปพาหมอเกตุอาคมมาถึงที่นี้นั้น จะเป็นความคิดที่ถูกต้อง

หมอเกตุเอามือรอที่จมูก ลมหายใจของคนป่วยนั้นอุ่นจนร้อน พอลองจับชีพจรดูก็เห็นว่าเต้นไม่เป็นส่ำ นี่ยังไม่รวมบาดแผลฟกช้ำ ที่แม้จะถูกเช็ดทำความสะอาด แต่ก็ยังมีร่องรอยปูดโปนเขียวช้ำอย่างเห็นได้ชัด

“อาการหนักขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย”

พร้อมกับที่พูด เขาเอาหลังมือแตะหน้าผาก แล้วก็ต้องสะดุ้ง

“ไข้ขึ้นสูงมาก ตัวร้อนยังกะไฟ”

เขาหันไปบอกบรรดาผีสาว ที่ทุกตนต่างมีสีหน้าหวั่นวิตกอยู่ทั่วกัน

“แล้วเขาจะตายหรือเปล่า”

แสงเพ็งถามทั้งที่น้ำตายังคลอ ห่วงแสนห่วงทรงธรรมจนใครๆ ก็รู้สึกได้

“ไม่เป็นไร บ้านข้ามียาดี เดี๋ยวจัดยาให้เขากินสักนิดก็ค่อยยังชั่ว”

หมอเกตุอาคมกล่าวปลอบ ในเรื่องตำรับยานั้น เขาค่อนข้างมั่นใจว่าสูตรของตำหนักเทพอาคมก็ไม่เป็นสองรองใคร

“งั้นก็เร็วเข้าซีคะ จะช้าอยู่ทำไม”

ผีสาวกล่าวเร่ง เพราะความเป็นห่วงเลยลืมเรื่องมรรยาทไปชั่วขณะ

“มุงกันอยู่อย่างนี้ข้าใจคอไม่ค่อยจะดี อีกอย่างจะต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขา พวกแม่หญิงทั้งหลายออกไปก่อนเถอะนะ”

คำแรกๆ นั้นไม่ค่อยจะเต็มเสียง แต่พอได้เหตุผลที่น่าจะเหมาะสม เสียงท้ายๆ จึงค่อยชัดเจนขึ้น

“นั่นซีแม่แสง ทรงธรรมคงไม่เป็นไรแล้ว เราออกไปก่อนเถอะ”

เป็นคุณแสที่เพิ่งเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมกับพยายามจะพาผีสาวให้กับออกไป

หมอเกตุเดินตามออกมา ยังเห็นอยู่ว่าผีสาวแสงเพ็งมีสายตาห่วงหาชายหนุ่มถึงขนาดไหน พอปิดประตูเสร็จ หันกลับมายังชายหนุ่มที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงก็นึกเวทนา

“พี่ธรรม์นะพี่ธรรม์ พวกนางดีกับพี่เกินไปหรือเปล่าล่ะนี่...”




ทรงธรรมไม่ได้สติอยู่จนคืนที่สอง ระหว่างนี้ผีสาวทั้งหลายก็คอยมาวนเวียน พอบ่อยเข้าหมอเกตุอาคมก็ชักจะชาชิน เขาดูแลเอาใจใส่คนป่วยฉันมิตรที่ดี เช็ดตัวเปลี่ยนผ้าพันแผลและป้อนหยูกยา นำเตาอั้งโล่มาตั้งใกล้ๆ ไว้จุดไฟให้ความร้อน เพราะบ้านก่ออิฐถือปูนหนาทึบอย่างเรือนตึก มีความชื้นสูงและค่อนข้างเย็นในเวลากลางคืน

คนป่วยค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึก ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองตกมาอยู่ที่ไหน จะเป็นจะตายอย่างไรก็ยังเลือนราง

เขารู้สึกเจ็บรวดร้าวไปทั้งตัว ที่หน้าและบางส่วนของร่างกายนั้นรู้สึกครัดตึงเพราะความบวมช้ำ จะลืมตาขึ้นก็แสนยาก คล้ายใครเอาหินมาถ่วงไว้กระนั้น

ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง กว่าจะเปิดเปลือกตาได้แต่ละข้าง และกว่าจะปรับสายตาให้รับกับแสงพริบไหวของเปลวไฟ ก็ต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่ง

จำได้แน่ว่าเป็นเพดานห้องนอนในบ้านเรือนตึก ทรงธรรมก็พอคลายใจ คิดว่าตนคงยังไม่ถึงที่ตาย แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่ามานอนอยู่ในเรือนนี้ได้อย่างไร

คอตึงเหมือนมีไม้ดาม แต่เขาก็พยายามหันมอง ตอนแรกคิดว่าคงจะเป็นอุ่นเรือนที่ย้อนกลับมาช่วย ทว่าความทรงจำเลือนๆ ก่อนที่จะหมดสติ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแสงเพ็งมากกว่า

ครั้นพอเห็นว่าเป็นหมอเกตุ ทรงธรรมก็ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

“เอ็งหรอกรึไอ้หมอ”

เสียงก็แหบแห้ง ในคอสากแสบเหมือนใครแกล้งโรยทรายใส่ไว้

คนถูกเรียกมัวยุ่งอยู่กับการพัดเตาต้มยา พอหันมาเห็นว่าสหายรุ่นพี่ฟื้นแล้วก็ดีใจ

“ดีจริง ฟื้นแล้วๆ เห็นไหมเล่า ว่ายาหม้อของตำหนักเทพอาคมร้ายกาจขนาดไหน”

“ทำไมเอ็งมาอยู่ที่นี้ได้”

ทรงธรรมฟังไม่ได้ศัพท์หรอกว่าอีกฝ่ายพูดจาว่ากระไรบ้าง ที่อยากรู้คือหลังจากที่ตัวเองหมดสติไป แล้วเกิดอะไรขึ้นอีก

“ถามได้ดีจริงนะ ก็พวกแม่แสงเพ็งนั่นไง ขอร้องให้ข้ามาช่วยดูแลพี่ธรรม์”

ขณะตอบ หมอเกตุก็รินยาชามหนึ่ง แล้วเดินมานั่งข้างๆ

“เอ้า! กินยาเสียก่อน ตอนร้อนๆ นี่ละได้ผลชะงัดนัก”

เขาประคองให้ทรงธรรมลุกขึ้นนั่ง ยื่นส่งยาให้โดยยังคอยระวังไม่ปล่อยมือ

คนป่วยค่อยจิบยาไปเรื่อยๆ เขายังไม่พูดอะไร แต่หมอเกตุดูออกว่าคงมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย จนยาหม้อของหมอผีหนุ่มล่วงคอไปจนหมดชามนั่นละ ทรงธรรมถึงเอ่ยขึ้น

“ข้าเพิ่งรู้ซึ้งวันนี้เอง รู้หรือไม่ ไม่มีใครยอมช่วยข้าเลยสักคน”

หมอเกตุสังเกตเห็นน้ำตาของคนพูดคลอๆ อยู่ทั้งสองข้าง

“แต่พวกแม่แสง พวกเธอกลับช่วยเหลือข้าโดยไม่คิดถึงตัวเอง”

ทรงธรรมระลึกได้แน่นอนแล้ว ว่าเป็นแสงเพ็งที่เสี่ยงอันตรายออกไปช่วยตน ในเวลากลางแสงแดดจัดจ้าถึงขนาดนั้น คงเหมือนต้องแลกกับการที่วิญญาณจะต้องแตกดับ

“ไอ้หมอเกตุ เอ็งรู้หรือไม่ ที่แท้แล้วมีสิ่งหนึ่งที่ดำรงอยู่เป็นสัจจะ แต่ข้าไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย...”

ฤทธิ์ยาที่ล่วงผ่านลำคอ ทำให้รู้สึกชุ่มชื่นขึ้นบ้าง ยามกลืนน้ำลายไม่แสบฝืดเหมือนตอนแรก แล้วทรงธรรมก็กล่าวต่อไป

“เป็นหมอผี ใช่ว่าจ้องแต่จะจับหรือขับไล่ภูตผี แต่การเป็นหมอผีแล้วได้ช่วยผีดีๆ สักตนหนึ่ง มันจะเป็นบุญกุศลไม่น้อยเลย”

คำนั้นกระทบใจหมอเกตุอาคมเป็นอย่างมาก แต่ด้วยสติปัญญาของเขา คงต้องใช้เวลาขบคิดอีกสักพัก กว่าจะเข้าใจแจ่มแจ้งในปรัชญาที่ทรงธรรมได้ตระหนักรู้

หมอผีหนุ่มพลอยนั่งนิ่งไม่พูดจาอะไร จนทรงธรรมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปาก

“แล้วพวกแม่แสงเล่า ไปอยู่เสียที่ไหน”

“พอตกค่ำ ก็มานั่งรอกันอยู่ข้างนอก ทั้งหมดนั่นละ ไม่ใช่เฉพาะแม่แสงหรอก ข้าเองก็เพิ่งรู้ ว่าภูตผีนี่ นอกจากกลัวแสงตะวัน แล้วก็ยังกลัวไฟ”

“อย่างนั้น ข้าจะออกไปดูสักนิด”

ทรงธรรมขยับจะลุก ยังเจ็บยอกอยู่มาก แต่ก็สู้ทนฝืน

“พี่ธรรม์เพิ่งฟื้น พักเสียก่อนไม่ดีหรือ”

“ถ้าพักแล้วข้ามคืนนี้ไป ก็ต้องข้ามอีกวัน ต้องรอจนคืนพรุ่งนี้ ข้า... ไม่เป็นไร”

ยังเดินไม่ค่อยถนัดนัก ทำให้หมอเกตุต้องตามพยุง ทรงธรรมปลดมือเขาออก ส่งสายตาให้รู้ว่าอยากจะขอเดินไปเอง ตามลำพัง

ก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะฟื้น เจ้าหลงนึกหาเรื่องสนุกเล่นได้ที่ทางริมเขื่อน เลยชวนพี่ๆ ทั้งหลายออกไปด้วยกัน เหลือแต่คุณแสกับแสงเพ็งที่ยังนั่งรอฟังอาการของทรงธรรมอยู่ที่เดิม

รอยแผลที่สองแขนของผีสาวยังไม่จางหาย คุณแสมองเห็นครั้งไรก็ให้สะท้อนใจ ต้องเป็นแผลฉกรรจ์ที่เจ็บหนัก จึงทำลายรูปวิญญาณให้บวมไหม้ ยืนเวลายาวนานทั้งที่ไม่ควรจะเป็น

“แม่แสงเป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงถามอาทรล้นเหลือ ระหว่างที่พยายามถ่ายทอดไอวิญญาณของตน ให้ผีสาวได้สมานรูปรอยให้เนียนใสดังเดิม

แสงเพ็งเองก็ซาบซึ้งในน้ำใจของคุณแสมากนัก นึกไปก็ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามต้องพลอยลำบากทุกข์ร้อนไปด้วยถึงขนาดนี้

“คุณแสไม่โกรธดีฉันหรือคะ”

ผีสาวถามเสียงอ่อน ขณะยกแขนขึ้นลูบดูความนวลเนียนที่คืนกลับมา แม้จะยังมีรอยจางๆ เป็นริ้วใหญ่ แต่ก็ไม่เจ็บไม่ปวดเหมือนที่ผ่านมา

คนถูกถาม ละสายตาให้เหม่อมองไกลออกไป ทำท่าเหมือนผ่อนลมหายใจ ระบายบางสิ่งให้ผ่อนปรนลงจากความอัดอั้นในหัวอก

“ที่จริง ข้าก็น่าจะโกรธ แต่พอเห็นแล้วก็ โกรธไม่ลง...”

“คุณแส เป็นคุณแสที่ดีที่สุดของดีฉันเสมอ”

ท้ายคำแสงเพ็งยังคลี่ยิ้มจางๆ ส่งให้ หากไม่ห่วงหาหรือพะวงหม่นหมองอยู่กับอากรของทรงธรรม เธอคงยิ้มแย้มได้ชื่นตามากกว่านี้

“อันที่จริงแม่แสงก็พูดถูก ทุกคนก็มีความคิดของตัวเอง แม่แสงก็มีความคิดเป็นของตน ข้าไม่มีสิทธิ์จะไปหวงห้ามไม่ให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้”

ถ้อยคำของคุณแส ทำให้แสงเพ็งยิ่งยิ้มกว้าง ดีใจที่ผู้ที่เธอนับถือและเกรงใจ ยอมเข้าใจความรู้สึกของตนเอง

“สำหรับดีฉัน ขอแค่ได้ชอบเขาก็พอแล้ว ส่วนเขาจะชอบกลับมาบ้างหรือเปล่า ก็ไม่เป็นไร ดีฉันขอแค่มีความรู้สึกว่าได้รัก ได้ชอบ แค่นั้นก็เป็นสุขมากพอแล้ว...”

ดวงตาของผีสาวเป็นประกายขึ้นมาจนผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าพลอยรู้สึกเป็นสุขไปด้วย

“แม่แสง แม่แสงคิดได้อย่างนี้ ข้าก็ดีใจด้วยจริงๆ”

คุณแสลูบเรือนผมของผีสาวด้วยความเอ็นดู ส่งยิ้มให้แก่กันอย่างผู้ที่ในที่สุดก็เข้าใจเรื่องราวในหัวใจกันได้อย่างลึกซึ้ง

“แม่แสง...”

เป็นเสียงของทรงธรรมที่เอ่ยทักเข้ามาก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตู

แสงเพ็งหันไปตามเสียง พอเห็นว่าเป็นใครก็แทบจะโผเข้าหา

“พี่ธรรม์ พี่ธรรม์ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”

คุณแสก็ลุกตามมาด้วย รู้สึกผิดอยู่บ้างที่หุนหันขับไล่ไสส่ง ให้เขาออกไปได้รับอันตราย

“ทรงธรรม...”

คุณแสเอ่ยขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะพูดอะไร

“แม่แสงเชื่อว่าพ่อทรงธรรมเป็นคนดี ข้าก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ทำให้แม่แสงผิดหวัง”

ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านทิ้งคำไว้แค่นั้น ก่อนจะขอตัวตามออกไปสมทบกับพวกเจ้าหลงที่ริมเขื่อน

“นั่งก่อนซีคะพี่ธรรม์”

แสงเพ็งช่วยประคองให้ชายหนุ่มนั่งลงตรงริมระเบียง เห็นอยู่ว่าอาการของชายหนุ่มยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก พอนั่งลงเคียงกันเธอจึงเอ่ยถามขึ้น

“เป็นยังไรบ้างจ๊ะ ยังเจ็บมากอยู่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ สองตามองตรง สบสายตากับผีสาวอย่างไม่วางตา

“จริงๆ หรือจ๊ะ”

เพราะเข้าใจว่าน่าจะยังเจ็บอยู่มาก การส่ายหน้านั่น น่าจะเป็นแกล้งล้อเล่นมากกว่า

คราวนี้ทรงธรรมพยักหน้า เลยทำให้คนถามยิ่งไม่สบายใจ

“ประเดี๋ยวก็พยักหน้า ประเดี๋ยวก็สายหน้า ตกลงอาการพี่เป็นยังไรกันแน่...ดีฉันเลยไม่ได้รู้เรื่องกันเทียว”

ชายหนุ่มยิ้มรับให้กับคำต่อว่านั้น รู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้เห็นชัดๆ ว่ามีคนเป็นห่วงเป็นใยตนจากใจจริง

“ที่พี่ส่ายหน้า แปลว่าไม่เป็นไรมากแล้ว”

ทรงธรรมค่อยอธิบาย ส่งกระแสความจริงใจกลับไปให้คนที่คอยห่วงใย

แล้วสายตาก็แลเห็นรอยแดงจาง พาดอยู่เป็นหลายริ้วบนลำแขนของผีสาว

เขายังจำได้ดี ตอนที่แสงเพ็งยื่นมือออกไปหมายจะช่วยให้เจ้าเต่าหลงทางนั่นกลับลงน้ำ แค่พริบตาที่ถูกแสง ผิวเธอยังแทบไหม้ แล้วร่องรอยมากมายขนาดนี้เล่า จะต้องได้รับความเจ็บปวดถึงขนาดไหน

“แม่แสง... นี่... รอยนี่ แม่แสงเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

ชายหนุ่มค่อยลูบผ่านรอยแดงนั้นอย่างทะนุถนอม นึกอยากจะให้ตนเองมีมนตร์วิเศษ ช่วยเสกเป่าให้ผีสาวได้หายเจ็บปวดทุกข์ร้อน

แสงเพ็งเขินกับอาการดังนั้นของทรงธรรมจนอยากจะชักมือหนี แต่พอเขายังยึดไว้ เธอก็ทำได้แต่เพียงก้มหน้าเอียงอาย

แล้วก็ค่อยๆ ส่ายหน้าเป็นการตอบคำ ...ไม่เป็นไร

“จริงๆ น่ะหรือ”

เขาแกล้งย้อนรอยประโยคของเธอ

คราวนี้แสงเพ็งเปลี่ยนเป็นพยักหน้า

ทรงธรรมประคองลำแขนบอบบางที่ยังมีรอยแดงจางๆ นั้นพิศดูจนใกล้ ใกล้จนผีสาวรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ผ่าวรด

“แม่แสง... พี่ขอโทษจริงๆ ที่ต้องทำให้แม่แสงบาดเจ็บถึงขนาดนี้”

แสงเพ็งต้องดึงแขนของตนเองคืนมา ตอนที่เขาจะเป่าลงเบาๆ ก่อนจะแก้เขินด้วยการบอกว่า

“ที่ส่ายหน้า ก็หมายถึงไม่เป็นไร”

เป็นการใช้คำตอบของชายหนุ่มมาตอบคำ จนทำให้ทั้งสองมีอันต้องหัวเราะแก้อาการขัดเขินที่ประดังเข้ามา

เวลานี้ หัวใจสองดวง ดวงหนึ่งยังเต้นอยู่ได้ด้วยเลือดเนื้อ ขณะที่อีกดวงเต้นระรัวขึ้นด้วยความรู้สึก สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองดวงใจมีเหมือนกัน นั่นคือกำลังอิ่มเอมกับความรู้สึกลึกซึ้งของความรัก

ผีสาวกับชายหนุ่มนั่งเกาะกุมมือกันอยู่อย่างนั้นอีกเป็นนาน กว่าที่ทรงธรรมจะเอ่ยขึ้นว่า

“แม่แสงทำเพื่อพี่มากเหลือเกิน เชื่อหรือไม่ ในโลกนี้...ไม่เคยมีใครดีกับพี่อย่างนี้มาก่อนเลย พี่นึกไม่ถึงเลยว่าในที่สุด จะเป็นแม่แสง แสงเพ็งคนดีของพี่”

แสงเพ็งรู้สึกอบอุ่นกับถ้อยคำนั้นอย่างยากจะบรรยาย น้ำตารื้นขึ้นมาอีกแล้วด้วยความปีติ กุมมือของชายหนุ่มแนบแน่นยิ่งขึ้น พร้อมกับที่พูดว่า

“พี่ธรรม์จ๊ะ ที่จริง การเป็นภูตผี ไม่ใช่แค่อยากไปผุดเกิดอยู่อย่างเดียว”

พูดได้แค่นั้นก็ตื้นตันจนพูดต่อไปไม่ได้ จะให้บอกออกไปได้อย่างไรว่า นอกจากนั้น คือได้มีใครสักคน ไว้คอยรัก คอยห่วงใยจากใจจริง

“พี่... พี่เข้าใจ...”

น้ำเสียงของทรงธรรมอ่อนโยนยิ่งนัก แสงเพ็งรู้สึกว่าต่อให้ไม่ต้องผุดเกิดอีกเลยก็คุ้มค่า หากจะได้อยู่ดูแลปรนนิบัติ ได้เห็น ได้ยินถ้อยคำไพเราะที่กลั่นออกมาจากใจเช่นนี้

“แม่แสงรู้หรือไม่ ที่แท้พี่เพิ่งเข้าใจสิ่งไร...”

เขาเว้นช่วง ไม่รอให้คนฟังต้องตอบคำ ก็เอ่ยต่อไป

“พี่เข้าใจตัวเองแล้วว่า คนที่พี่อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปก็คือแม่แสง”

“พี่ธรรม์”

ผีสาวเงยขึ้นมาสบสายตากับเขาตรงๆ น้ำตาพราวพร่าง มันเป็นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากความสุขและความอบอุ่นอันสุดจะบรรยาย

“ใช่ แม่แสงได้ยินไม่ผิด พี่บอกว่าอยากจะอยู่กับแม่แสงตลอดไป”

แสงเพ็งตื้นตันจนไม่รู้จะสานต่อถ้อยคำของเขาอย่างไร

“ที่ผ่านมา...”

ทรงธรรมเลยเป็นฝ่ายต่อบทสนทนาต่อไป

“...พี่คิดจะแต่งกับธิดาท่านเจ้าคุณ อยากจะมีความสุขสบาย ได้ตกถังข้าวสาร คิดไว้ว่า นั่นจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด...

“แต่มาถึงตอนนี้... ตอนนี้เองที่เพิ่งเข้าใจ... ว่าอะไรคือจริงๆ ที่ต้องการ มันไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น ทั้งที่เคยคิดอยู่เสมอ ว่าเกิดมาเป็นคนแล้วต้องหาความสุข...

“แต่ที่แท้จริงแล้ว... เวลาอยู่กับแม่แสงนี่เอง เป็นเวลาที่พี่มีความสุขที่สุด...”

ทรงธรรมเกลี่ยนิ้วช่วยเช็ดน้ำตาที่หยาดลงมาเปียกแก้มของผีสาว รู้สึกลึกซึ้งอย่างยากจะหาถ้อยคำมาอธิบาย บอกกับตัวเองได้แต่เพียง เมื่อถึงเวลา เขาจะไม่เสียดายเลย หากต้องจบชีวิตลง แล้วได้กลับมาอยู่เคียงข้างกับผีสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าขณะนี้

แสงเพ็งดึงมือที่ถูกกุมอยู่นานนั้นกลับมากอดตัวเองเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะต้องแกล้งตีความถ้อยคำของเขาไปอีกทางหนึ่ง

“พี่ธรรม์พูดเหมือนกับว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับพวกเราทั้งหมด ไม่ใช่แต่เฉพาะกับฉันสักหน่อย”

พูดไปแล้วก็ยิ่งให้รู้สึกเขินอายหนักขึ้นไปอีก

“แม่แสง พี่ขอพูดจากใจจริง ก่อนหน้านี้พี่ก็ไม่เคยสังเกต แต่ความผูกพันที่เราสองได้อยู่ใกล้ชิดกัน มันค่อยๆ มากขึ้นทุกที จนวันนี้ถึงเข้าใจว่า ที่แท้แล้วแม่แสงอยู่ในหัวใจของพี่มาตลอด”

เขาค่อยดึงมือของคนฟังกลับมากุมไว้อีก ใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ ตรงรอยแดง

“นี่เป็นครั้งแรก ที่พี่สารภาพความในใจอย่างตรงไปตรงมา มันยากนะแม่แสง ที่จะให้พี่กล้าหาญถึงขนาดเอ่ยออกมาได้เช่นนี้ แต่พี่ก็บริสุทธิ์ใจที่จะพูด และจะจดจำคำพูดนี้ ความรู้สึกนี้ไว้จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”

ตัวเขาเองก็พลอยรู้สึกตื้นตันไปด้วย นึกถึงความเจ็บปวดที่ผีสาวต้องผจญ ต้องเผชิญเพื่อเขามาเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกรักเธอมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

“จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ที่พี่ถูกนักเลงอันธพาลพวกนั้นรุมทำร้าย เพราะมันคือบทเรียนราคาแพง ตลอดมาพี่ไม่เคยคิด และไม่เคยใช้ชีวิตอย่างจริงจัง... แต่จากวันนี้ไป พี่ธรรม์คนนี้ ขอบอกว่าจะรักแม่แสงเพ็งของพี่อย่างจริงใจ...”

“พี่ธรรม์ คงลืมไปแล้วว่าฉันเป็นแค่ภูตผี เป็นแค่ดวงวิญญาณ”

“ต่อให้เป็นแค่อากาศธาตุ พี่ก็จะรักแม่แสงตลอดไป หรือต่อให้พี่ตายไป พี่ก็จะอธิษฐานไว้ ขอให้ได้เป็นวิญญาณพเนจร ล่องลอยเคียงคู่ไปกับแม่แสง...”



******************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2555, 17:10:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2555, 17:10:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1359





<< บทที่ ๑๒   บทที่ ๑๔ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account